ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
77) บทที่ ๗๗: อดีต เพื่อน องก์ที่ ๔
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๗๗
[บรรยายโดยเด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]
อดีต เพื่อน องก์ที่ ๔
วันอาทิตย์ที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
บ่าย
หนูติดต่อกับเฉาก๊วยผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ฟูกสีครีมบนเตียงพลางมองหนังสือรวมภาพวาดสำหรับวันปีใหม่ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ หัวเราะเป็นบางครั้งยามโดนเฉาก๊วยส่งมุกขบขำให้
“อย่าลืมนะ ขนมสูตรฝีมือของเธอน่ะ ไม่งั้นมีเคือง!”
“เฉาก๊วยนี่ล่ะก็ เหมือนเด็กจริงเลยนะ ได้ๆ ฉันทำไปให้แน่นอนจ้ะ” หนูตอบรับพลางหัวเราะไปด้วย คุยกันไปสักพักก็ลาก่อนจะตัดสาย หนูพลิกกายกลับมานอนหงายพร้อมกับตั้งหนังสืออ่านบนอก ริมฝีปากยังแย้มยิ้มไม่หุบเลย เฉาก๊วยสามารถทำให้คนที่ชอบเจอเคราะห์ร้ายอย่างหนูอารมณ์ดีได้ตลอดจริงๆ
นึกถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อกี้ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ เรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องอาหารที่จะนำมาทานในวันปีใหม่ในอีก ๔ วันซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดี ถึงแม้หนูจะไม่มีเพื่อนๆ พอขนาดให้เข้ากลุ่มสังสรรค์ได้ แต่หนูก็ยังมีเฉาก๊วย คิมหันต์ เหมันต์ ชลจรเป็นเพื่อนสังสรรค์อยู่ด้วย ถึงจะกังวลที่ว่าหนูอยู่แต่กับเพื่อนผู้ชายเพราะที่ผ่านมาคนที่ยอมรับหนูก็มีไม่กี่คน เลยเกรงว่าจะโดนนินทา ซึ่งมันก็เป็นบ่อยแล้วล่ะ (ส่วนเพื่อนผู้หญิงส่วนใหญ่ก็แทบไม่มี …ถ้าไม่นับยันต์ด้วยน่ะนะ แม้หนูจะมีเพื่อนผู้หญิงที่ยอมคุยกับหนูโดยไม่แสดงทีท่ารังเกียจ แต่หนูดูออกว่าพวกเธอกลัวหนู หนูก็ไม่ว่าอะไร) แต่หนูก็พยายามไม่ใส่ใจ …บอกตามตรงเลยนะว่าหนูอยากมีเพื่อนผู้หญิง เกิดมานี่เพื่อนผู้หญิงที่ยอมรับหนูจริงๆ ก็อยู่ที่อื่น เช่น แววไพร แต่เธออยู่ภาคเหนือ จะให้ลาหยุดไปฉลองถึงภาคเหนือนี่ก็กระไรอยู่…
ถึงจะเพิ่งทานอาหารกลางวันไปไม่กี่ชั่วโมง แต่ท้องมันว่างๆ อย่างไรไม่รู้ หนูจึงตัดสินใจลงไปทำขนมทานเองในห้องครัว เดินลงมาตามบันไดก็มองเห็นพี่อสุรานั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ หนูเผลอมองนานด้วยความฉงน เพราะพี่อสุราไม่ชอบเขียนอะไรเล่นๆ อย่างนี้ เว้นเสียงแต่คำนวณเลขไม่ก็จดกันลืม แต่นี่ไม่ใช่ หนูพอมองออกว่าพี่อสุราเขียนอะไรติดกันยาวๆ จะบอกว่าหนูสายตาดีมากแบบเกินจริงก็ได้นะ หนูสังเกตว่าแววตาของพี่อสุราฉายความกังวลอยู่ เหงื่อที่ไหลลงมารวมถึงสีหน้ากังวลและซีด หนูเดินลงมาต่อโดยที่แอบโล่งในใจที่พี่อสุราไม่ทันสังเกตเห็นหนู พร้อมกับมองพี่อสุราเขียนไปด้วย หนูเพิ่งเห็นซองจดหมายวางอยู่ด้านข้างโต๊ะ…
…จดหมาย? พี่อสุราน่ะหรือเขียนจดหมาย? หนูไม่มีเจตนาดูถูกพี่สาวของตนเองนะ แต่หนูรู้อุปนิสัยดีว่าไม่ใช่คนที่ทำอะไรละเอียดอ่อนอย่างการเขียนจดหมาย เพราะมีธุระอะไรพี่อสุราก็ติดต่อทางโทรศัพท์ …แต่เขียนจดหมายแบบนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องบางอย่างปกปิดแน่ๆ หนูเองก็อดกังวลไม่ได้เพราะเป็นห่วงพี่อสุรา กลัวท่านจะเจอเรื่องลำบาก แต่นี่ก็เป็นเพียงเขียนจดหมาย หากหนูไปสักถามอาจทำให้พี่ลำบากใจจนวางตัวไม่ถูกก็ได้ ไม่เป็นไร หนูจะคอยสังเกตแทนแล้วกัน แม้การทำเช่นนี้จะเป็นเชิงจับตาดู แต่ที่ทำไปก็เพราะเป็นห่วง …ครอบครัวจริงๆ ที่หนูมีอยู่หนูก็อยากดูแลให้ดีที่สุด
พ่อกับแม่ของหนูแท้จริงแล้วไม่ใช่พ่อแม่จริงๆ ของหนู ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ท่านทั้งสองก็ดูแลหนูกับพี่อสุราเหมือนเป็นลูกจริงๆ แม้จะไม่เคยบอกความจริงนี้ แต่หนูดูออกว่าทั้งสองท่านไม่ได้คิดจะใช้ประโยชน์จากพวกหนู…
เพราะเช่นนั้น… ถ้ากล่าวให้ถูกจริงๆ หนูต้องดูแลทั้งสามท่านให้ดีที่สุด ถึงแม้สุดท้ายเรื่องอาจจะเลวร้ายแต่ในเมื่อพ่อกับแม่ของหนูดูแลมาก็มีบุญคุณกับหนูมากแล้ว……
“ศรีจ๊ะ น้องจะกินอะไรเหรอ เดี๋ยวพี่จะไปเอามาให้” พี่อสุราที่เขียนจดหมายเสร็จหันมาถามหนูที่เพิ่งลงมาด้วยรอยยิ้มโดยที่มีท่าทีร้อนรนพร้อมกับสอดกระดาษและซองจดหมายในหนังสือ หนูนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบพร้อมกับยิ้ม
“ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวหนูทำเองดีกว่าค่ะ”
“ให้พี่ทำให้เถอะจ้ะ” พี่อสุรารั้นจะไปนำขนมมาให้ หนูถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบ
“คือ… หนูจะทำคานาเป้[1]น่ะค่ะ”
“คานาเป้เหรอจ๊ะ? …อืม มันเป็นขนมแบบไหนนะ” คำหลังๆ พี่อสุราถามกับตนเองเบาๆ ในขณะที่หนูกำลังจะบอกดูเหมือนท่านจะนึกได้ก่อนจึงยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องครัว
จริงด้วยสิ ในวันปีใหม่แบบสากลทำคานาเป้ไปด้วยดีกว่า เป็นอาหารที่ทานง่าย สองคำก็หมดแล้วแถมยังทำได้หลายแบบอีก เพื่อนๆ ที่จะร่วมกลุ่มสังสรรค์คงจะพอใจไม่มากก็น้อยล่ะนะ
หนูเพิ่งนึกได้ว่าขนมปังในห้องครัวหมดเลยขออนุญาตพี่อสุราไปซื้อ
“เดินระวังๆ นะ ส่วนหน้าคานาเป้เดี๋ยวพี่จะทำรอก่อน”
“ไว้กลับมาทำพร้อมกันเลยไม่ดีกว่าเหรอคะ?”
“ไม่เป็นไรจ้ะ” พี่อสุรายิ้มอย่างอ่อนโยนให้หนูก่อนจะหยิบอุปกรณ์ขึ้นมา หนูเห็นดังนั้นจึงเดินออกจากบ้านไป มุ่งหน้าไปที่ร้านสะดวกซื้อ
จะว่าไปหนูคงจะตื่นเต้นมากแน่ๆ ยังไม่ถึงวันปีใหม่แบบสากลตั้ง ๔ วัน แต่ไม่เป็นไร ถือว่าลองทำดูก็ไม่เสียหาย เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ ที่หนูจะทำคานาเป้เพราะตนเองหิวนี่
เฮ้อ… เรานี่ละก็
หนูนึกระอาตนเองในใจ มองไปรอบๆ แก้เบื่อ เผอิญเห็นเด็กผู้ชายในชุดสีเทากับกางเกงสีซีดๆ ผมสีดำยุ่งเล็กน้อย กำลังหยิบของขึ้นมาดู พอดูเสร็จก็วางทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่ไม่นานเขาก็ยืนนิ่งพร้อมกับสีหน้าครุ่นคิด มองทีแรกหนูนึกว่าเป็นเหมันต์แต่พอเขม็งตามองชัดๆ ก็เห็นว่าเป็นอสุเรนทร์…
อะ อสุเรนทร์!
หนูรีบหันหน้าหนีก่อนที่เขาจะมองเห็น แต่เขากลับมองทันว่าเป็นหนู จะว่าไปถึงหนูจะหันหน้าหนีทันเขาก็รู้ เพราะหนูเกล้ามวยผมสูงถึงกลางกระหม่อมแถมปักปิ่นปักผมไว้อีกเลยเด่น ในเขตพื้นที่นี้ ไม่สิ หนูคิดว่าคนทั่วไปคงจะไม่เกล้ามวยผมและปักปิ่นปักผมเหมือนหญิงสมัยก่อนหรอกเว้นเสียงแต่แสดงนาฏศิลป์ และด้วยความที่ขอบกระจกต่ำถึงเอวเลยพอมองเห็นขอบโจงกระเบนสำเร็จรูป คนส่วนใหญ่เขาไม่นุ่งโจงกระเบนและเกล้ามวยผมถึงกลางกระหม่อมหรอก เพราะฉะนั้นแล้วด้วยลักษณะดังกล่าวการที่อสุเรนทร์จะรู้ว่าเป็นหนูก็ไม่ใช่เรื่องน่าสงสัย เพราะที่กล่าวมานั้นมีแต่หนูนี่แหละที่แต่งกายคล้ายคนสมัยก่อน
เมื่อเขารู้ดวงตาที่เรียบเฉยก็พลันเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก กระหายและร้อนรน เขารีบเดินออกจากร้าน หนูเห็นท่าไม่ดีเลยวิ่งจนเจ้าของร้านมองตามเราสองคนด้วยความสงสัย
โชคร้ายมาก! มาเจออสุเรนทร์นี่มันไม่ดีเลย หนูหันไปเหลือบมองด้วยความหวาดกลัว ถึงหนูจะโดนทำร้ายมามากและเริ่มไม่กลัวแล้วแต่ไม่รู้ทำไมถึงกลัวอสุเรนทร์มากนัก ทั้งๆ ที่แต่ก่อนโดนหนักกว่าที่เขาเคยทำอีก
“แฮ่กๆ” หนูหอบหายใจเบาๆ เริ่มหยุดวิ่งเพราะนึกว่าอสุเรนทร์ไม่ตามมาแล้ว ทว่าผิดคาด อสุเรนทร์เข้ามาจับข้อมือหนูไว้แล้วบีบแน่น หนูกลั้นเสียงไว้ไม่ให้แสดงความเจ็บปวดเว้นเพียงแต่สีหน้าที่คงจะฉายชัด
“ปล่อยนะ!” หนูตะคอก อสุเรนทร์เหลือบมองแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปแล้วลากหนู หนูตัดสินใจใช้กำลังด้วยการเหวี่ยงมือที่ถูกจับไปทางขวามือของอสุเรนทร์ขึ้นด้านบนพร้อมกับพลิกมือไปจับข้อมือของเขา จากนั้นก็ใช้มือซ้ายดันศอกข้อศอกของเขาแล้วโถมกายไปด้านหน้าจนเขาล้มลง ทั้งหมดนี้หนูทำอย่างรวดเร็วเพราะกลัวเขาอาศัยช่องโหว่โต้กลับ
หนูวิ่งออกไปโดยแทบไม่ต้องคิด พอหันไปเหลือบมองด้านหลังก็เห็นเขารีบลุกขึ้น โซเซเล็กน้อย และคนรอบๆ บางคนที่มองมาอย่างตื่นตระหนกและสงสัยด้วย หนูหันกลับไปแล้วเร่งความเร็วแบบไม่คิดชีวิต
จนกระทั่งมาถึงร้านสะดวกซื้อหนูถึงหยุดวิ่ง พอพักหายใจได้แล้วก็มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อไม่เห็นเขาตามมาอีกหนูจึงวางใจและเดินเข้าไปในร้าน จากนั้นก็ซื้อขนมปัง…
พอหนูกลับมาหนูก็ยืนนิ่งในห้องนั่งเล่น พยายามทำใจให้สงบและคิดเรื่องดีๆ เพื่อให้สีหน้าไม่ฉายความเหนื่อยล้าและไม่สบายใจได้สมจริง จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับรอยยิ้ม
…หวังว่าพี่อสุราจะไม่จับถึงความผิดปรกตินะ
พอเข้าไปกลิ่นของส่วนผสมหน้าคานาเป้ก็ลอยมา ได้กลิ่นเผ็ดคาวๆ และหวานละมุนคลุ้งจางๆ อาจเพราะว่าไม่ได้ทำแบบที่ต้องใช้ความร้อน เพราะหากใช้ความร้อนอย่าง ต้ม อบ ฯลฯ กลิ่นมันจะคลุ้งกว่านี้แน่ ได้กลิ่นแล้วความหิวก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง
“เสร็จแล้วจ้ะ”
พี่อสุรายิ้มแป้นพร้อมกับยกชามที่ใส่ส่วนผสมไว้ก่อนจะยกมาวางไว้บนโต๊ะทานอาหาร หนูนำห่อขนมปังออกจากถุง หนูซื้อขนมปังมา ๔ แบบ อย่างแรกคือขนมปังธรรมดา ขนมปังฝรั่งเศส ขนมปังธัญพืชและแครกเกอร์ หนูหยิบมาวางเรียงไว้ชนิดละชาม จากนั้นพี่อสุราก็ตักส่วนผสมหน้าคานาเป้แล้วค่อยๆ บรรจงหยอดลงบนขนมปัง หนูอาสาช่วยพี่อสุราหยอดเพื่อให้พี่กลับไปทำอีก ๒ แบบ
หลายนาทีผ่านไปในที่สุดก็เสร็จ พี่อุสรานำมาไว้บนโต๊ะทานอาหารตามด้วยอีกชาม หนูที่นั่งรอหลังจากที่หยอดเสร็จนานแล้วก็รีบมาช่วยพี่อสุราหยอดอีก
ระหว่างนั้นพี่อสุราก็ชวนคุยสัพเพเหระไปเรื่อยๆ มีการสักถามถึงเรื่องในโรงเรียนด้วยความเป็นห่วงและเอาใจใส่ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หนูเล่าเรื่องไม่สบายใจให้ฟังพี่อสุราก็ลูบศีรษะปลอบโยน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น จากตอนแรกที่รู้สึกหนาวเพราะอากาศในฤดูหนาวก็พลันเปลี่ยนเป็นความอบอุ่น
พอเสร็จแล้วเราก็นำขนมมานั่งทานในห้องนั่งเล่นแล้วเปิดโทรทัศน์ดู รายการที่ดูก็เป็นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นรายการที่หนูชอบมาก สัปดาห์ที่แล้วฉายเรื่องประวัติศาสตร์ตะวันตก วันนี้เป็นประวัติศาสตร์ไทย หนูดูภาพโบราณสถานปราสาท วัด รูปปั้นและพระพุทธรูปที่ก่อด้วยอิฐซึ่งผุพังมากแล้ว มีรอยไหม้ด้วย เห็นเช่นนั้นแล้วหนูก็รู้สึกเศร้าใจเมื่อนึกภาพตามถึงสงครามในสมัยก่อน…
“เป็นอะไรไปเหรอจ๊ะ?” พี่อสุราที่เหลือบเห็นพอดีถามด้วยความเป็นห่วง หนูส่ายหน้าพลางยิ้มก่อนจะตอบ “เศร้าใจพอนึกถึงเรื่องในสมัยก่อนน่ะค่ะ”
“งั้นเหรอจ๊ะ จะเปลี่ยนช่องอื่นก็ได้นะ”
“ขอบคุณค่ะ แต่หนูไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ”
พี่อสุราพยักหน้า ทว่าสีหน้าของท่านยังมีความกังวลอยู่ แต่พอหนูยิ้มแป้นเท่านั้นแหละถึงยอมหันกลับไปดู ซึ่งหนูเองก็ดูต่อ พลางหยิบคานาเป้ทานไปด้วย
กลางคืน
หนูนั่งเช็ดผมที่สระหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วบนพื้นที่หน้าพัดลม หนูไม่ชอบการใช้เครื่องเป่าผมเพราะมันทำให้ผมเสียเร็ว แม้การใช้พัดลมมันจะช้าและใช่ว่าจะไม่มีผลเสีย แต่หนูวางใจได้มากกว่า ผมที่ส่วนหนึ่งถูกเกล้าเป็นมวยกลางกระหม่อมนั้นถูกปลดจากรัดเกล้า แม้รัดเกล้านั้นจะผนึกพลังบางอย่างของหนูไว้และหากนำออกพลังก็จะตื่นจนควบคุมแทบไม่ได้แต่หนูก็สวมสร้อยคอที่ผนึกแทน จริงแล้วใส่สร้อยคอมันก็ได้อยู่หรอก แต่ถึงมันจะผนึกอยู่แต่ก็มีหลุดเป็นบางครั้ง เพราะฉะนั้นหนูถึงถูกสั่งให้ใส่รัดเกล้าตลอดเวลา ส่วนปิ่นปักผมนั้นหนูไม่ทราบว่ามีไว้ทำอะไรที่รู้ๆ มันสารมารถช่วยให้ผมยึดเข้ากัน
ในขณะที่ใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมไปด้วยหนูก็ก้มมองจี้สร้อยคอที่ใส่อยู่ เป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสกลับมุมตั้งสีเงินฝั่งด้วยอัญมณีสีแดงเข้มเหมือนเลือดไว้ …อืม จะว่าไปก็เข้ากับรัดเกล้าและปิ่นปักผมได้ดีนะ
วูบ…
จู่ๆ ก็มีลมพัดผ่านจนรู้สึกเสียวสันหลัง หนูพาดผ้าขนหนูไว้บนพัดลมก่อนจะไปปิดหน้าต่าง จะว่าไปเรือนไทยมันไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่เพราะโครงสร้างลักษณะไม่รัดกุมแบบสมัยนี้ หน้าต่างก็เป็นแบบไม้การที่จะพังเข้ามาย่อมง่ายกว่าแบบโลหะ แต่ยังดีนะที่มีรั้วรอบบ้านเลยวางใจได้หน่อย
เมื่อปิดหน้าต่างเสร็จหนูก็กลับมานั่งเช็ดผมต่อเป็นเวลาเดียวกับที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งเสียงรอสาย หนูหยิบมันขึ้นมาและดูรายชื่อ
เอ๊ะ นี่ใครกันน่ะ?
[1] คานาเป้ (Canape) เป็นอาหารที่ถูกคิดค้นโดยชาวฝรั่งเศส มีลักษณะเป็นอาหารชิ้นเล็กพร้อมกับค็อกเทลในงานสังสรรค์ อาหารชนิดนี้เป็นอาหารทั้งคาวและหวาน ทำจากขนมปังแผ่น ขนมปังอบหรือขนมปังแครกเกอร์ที่มีหน้าเนย เนื้อสัตว์ เนื้อปลาหรือเครื่องปรุงต่างๆ รสชาติส่วนใหญ่ของคานาเป้มักจะเป็นรสเค็มหรือรสเผ็ดเพื่อให้ดื่มค็อกเทลได้มากขึ้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ