ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
76) บทที่ ๗๖: หลับตาเข้าสู่มิติความฝัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๗๖
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
หลับตาเข้าสู่มิติความฝัน
หลังจากกลับมาร้านกาแฟโบราณ ความกังวลก่อนที่จะไปก็กลับมาอีกครั้ง ไม่กล้าเข้าไปพบวิรงรอง นางยืนนิ่งอยู่หน้าเรือนเช่าพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดลงเรื่อยๆ
ถ้าเกิดเดินเล่นอีกหน่อยก็คงจะทันกลับมาล่ะนะ
คิดได้ดังนั้นนางก็หันหลังแล้วเดินออกจากบริเวณบ้าน ทว่าถูกวิงรงรองดึงกลับเข้ามาก่อน คมกฤชหันไปมองด้วยความตกใจที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็เข้ามาทำแบบนี้ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะไปร้านกาแฟโบราณ แต่ในขณะที่ตนเองดิ้นรนเพื่อให้อีกฝ่ายปล่อยก็เผอิญสบกับแววตาอ่อนโยนและรอยยิ้มนุ่มนวลของวิรงรอง พอเห็นเช่นนั้นแล้วนางก็หยุดนิ่งไม่ขัดขืนใดๆ อีก
“วางใจเถิด ตราบใดที่เจ้ายังมิรักข้า ข้าก็จะมิขืนใจเจ้า เชื่อข้าสิคมกฤช” รอยยิ้มนุ่มนวลนั้นทำให้คมกฤชเริ่มวางใจ ดวงตาสีดำอ่อนโยนนั้นหาความหลอกลวงไม่เจอ เห็นเช่นนั้นแล้วนางก็รู้สึกผิดขึ้นมา ถึงคำพูดจะเป็นเพียงลมปากและขัดกับที่วิงรงรองพูดไว้ว่าจะไม่บังคับทั้งที่ก่อนหน้านี้จูบคมกฤชไป …แต่ความรู้สึกที่ฉายชัดนั้นทำให้นางปฏิเสธอีกฝ่ายไม่ลง “อืม… ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนั้น… ก็คงต้องรอดูต่อไป ตอนนี้เราเข้าไปในเรือนก่อนเถิด บัดเดี๋ยวฝนจะตกลงมาอีกที” คมกฤชกล่าวก่อนจะผลักอีกฝ่ายเบาๆ แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเป็นสีเทาหลังจากที่ฝนหยุดตกในระหว่างเดินกลับมาที่เรือนเช่า วิรงรองเงยหน้ามองตามบ้างแล้วหรี่ตาสักพักนางก็จูงมือคมกฤช จากนั้นก็เดินขึ้นเรือนไป ปล่อยให้ฝนสายหนึ่งตกลงมาแล้วตามด้วยฝนอีกหลายๆ สายที่กระหน่ำตกลงมา
พั่บ
มณฑาดำเนินกลไกในพัดให้แท่งเหล็กกลับเข้าไปก่อนจะหุบพัด นางเดินช้าๆ ไปหากินรีร่างชโลมเลือดที่นอนอยู่ ดวงตาสีส้มของนางมองอย่างเยือกเย็น วาวโรจน์ปรารถนาสิ่งที่อยู่ในกายของกินรีตนนั้น นางนั่งข้างๆ แล้วช้อนคางอีกฝ่ายด้วยพัดก่อนจะเอ่ย
“สิ่งที่อยู่ในกายเจ้าฉันจะขอละกัน”
“…อยาก… ทะ ทำการใดก็… เชิญ”
กินรีตอบด้วยเสียงที่ขาดๆ หาย ก่อนจะพ่นเลือดออกมา ดวงตาเบิกโพลงครู่หนึ่งก่อนที่จะหลับลงพร้อมกับหัวใจที่หยุดเต้น มณฑายิ้มมุมปากก่อนจะยื่นมือเข้าล้วงในช่องที่ตนเองแทง สัมผัสอุ่นๆ ที่เริ่มจะเย็นกับความนุ่มนิ่มของเนื้อภายในทำให้นางรู้สึกดีบอกไม่ถูก เผลอบีบเนื้อตรงโน้นทีตรงนี้ทีจนลืมไปว่าตนเองจะทำอะไร นางเอามือที่ชโลมเลือดออกก่อนจะพบว่ามือของตนนั้นมีน้ำอย่างอื่นมาด้วย น้ำสีส้มๆ ค่อนข้างจะกลมกลืนกับสีเลือด (อาจเพราะอยู่ในสีโทนร้อน) มณฑายิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อนึกได้ว่าน้ำสีส้มนี้คือน้ำอะไร หยิบขวดขนาดเล็กขึ้นมาก่อนจะค่อยๆ เขี่ยน้ำนั่นที่หนืดๆ เหนียวๆ จับตัวกันลงไป
“ท่านมณฑา…” กาสะลองเรียกจากด้านหลัง ได้ยินแล้วมณฑาก็หันหลังไปหาอีกฝ่ายก่อนจะเดินเข้าไปกอด “ได้มาแล้วๆ ทีนี้ก็จะได้มีพืชให้ทานได้นานๆ” มณฑากล่าวถึงว่าหากใช้ยานี่ปลูกพืชก็จะทำให้พวกมันโตเร็วแล้วจะมีอยู่ได้นานกว่าขีดจำกัดเดิม กาสะลองเห็นนายิกาที่เป็นคนรักของตนดีใจก็ยินดีไปด้วย
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไปที่พัก ซึ่งส่วนใหญ่คนที่อยู่จะเป็นนายิกา บุษราคัมที่เห็นทั้งสองคนก็เข้ามาหาพร้อมกับอรุโณทัยก่อนจะถาม “เป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
“พบลูกสมุนเป็นกินรีหนึ่งตนนอกนั้นก็มิเจอใครอีก”
“แล้วศพอยู่ไหนล่ะ?”
“ศพ… จริงด้วยสิ ฉันปล่อยไว้ตรงที่ต่อสู้กัน” มณฑาบอกต่ออีกว่าศพอยู่แถวไหน คุยกันไปสักพักก็ลาจากกัน ก่อนจะแยกย้ายตามธุระของตนเอง จู่ๆ ในระหว่างเดินมณฑาก็กุมมือของกาสะลองไว้จนเจ้าของมือสะดุ้ง กาสะลองมองมณฑาอย่างฉงนแต่พอนึกอะไรได้ก็คลี่ยิ้มบางๆ และกุมมือกลับบ้าง
จ๋อม…
“?”
เสียงน้ำดังขึ้น พอมองพื้นก็พบว่าพื้นกลายเป็นน้ำไปแล้ว มีกลิ่นเค็มๆ ตามมาด้วย กาสะลองก้มลงไปใช้นิ้วแตะน้ำแล้วชิม รสเค็มปะแล่มติดลิ้น กาสะลองลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆ เช่นเดียวกับมณฑา เห็นว่าทุกคนมีท่าทีประหลาดใจที่พื้นกลายเป็นน้ำทะเล
“บัดเดี๋ยวฉันจะมานะ”
มณฑากล่าวก่อนจะเดินไปทางประตูแต่พอเดินไปอีกไม่กี่ก้าวที่จะถึงก็ตกลงไปในน้ำ กาสะลองที่วิ่งตามมาก็รีบกระโดดลงไปช่วย อีกฝั่งที่มีประตูก็มีนายิกาบางคนตกลงไปด้วย พินทุที่เห็นทุกคนเริ่มร้อนรนก็ยิ้มมุมปากเหมือนคาดได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อจากนี้ซึ่งสำหรับนางแล้วต้องเป็นเรื่องสนุกแน่ๆ วิศิษฏ์ปรลัยใช้ดาบฟันประตูโดยที่ใส่อาคมลงไปในน้ำ นางมาถึงประตูได้ก็เพราะรู้ว่าเป็นเขตน้ำลึกจึงใช้อาคมเพื่อให้อยู่บนน้ำได้ นางหยุดไปพักหนึ่งแล้วใช้ดาบฟันอีกครั้ง
ว่าแล้วเชียว ที่ประตูเปิดมิได้คงจะลงอาคมไว้กระมัง
ปังๆๆ !!
บุษราคัมยิงลูกกระสุนใส่ประตูบ้าง แต่ผลก็เป็นเช่นเดียวกับวิศิษฏ์ปรลัย อรุโณทัยเห็นเช่นนั้นจึงช่วยบ้าง นางร่ายอาคมเบาๆ สักพักสไบสองข้างของนางก็ยืดยาวแล้วเข้าไปมัดที่จับประตูแล้วดึงอย่างแรง แล้วผลที่ได้คือ…
เป็นเช่นเดิม…
“พลับพลึง…” คมกฤชที่มาไม่นาน (ใช้อาคมช่วยเลยมาได้เร็ว) พึมพำด้วยเสียงเศร้าสร้อย วิรงรองที่ได้ยินชื่อนั้นก็เจ็บแปลบในใจ …คนที่ตนเองรักยังคงรำพึงถึงสหายเก่าไม่เสื่อมครา แถมชื่อสหายของคนรักยังมีความหมายเช่นเดียวกับตนเองเหมือนกับว่าตนเองนั้นเป็นตัวแทนของสหายเก่า
ลืมนางเสียเถิดคมกฤช
ในอดีตอยู่แต่รั้ววังเพื่อนก็แทบไม่มี องค์หญิงที่เป็นบุตรอนุภรรยาก็กลั่นแกล้ง ต่างชิงดีชิงเด่น …พอได้รับความผูกพันนั้นก็ยากจะตัดใจ ไม่ว่าจะในฐานะสหายหรือคนรักซึ่งคมกฤชเองก็ไม่รู้ แต่นางอยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองและพลับพลึงเหมือนแต่ก่อน
…แต่คงจะสายไปแล้วล่ะ
จู่ๆ ชั่วพริบตาที่นางเผลอน้ำก็สูงถึงเพดานอย่างรวดเร็วจนนางเองและคนอื่นตกใจ น่าแปลกที่สามารถหายใจได้โดยไม่ต้องใช้อาคม ร่างของคมกฤชลอยขึ้น คนอื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน วิงรงรองมองหน้าคมกฤชเป็นเชิงขอความเห็นว่าจะทำอย่างไรต่อ คมกฤชมองอีกฝ่ายแล้วมองพื้น สักพักนางก็ชักดาบออกมาแล้วถือไว้ด้วยมือสองข้าง นางหรี่ตามองใบมีดซึ่งสะท้อนแสงดูงดงามและมันก็สะท้อนภาพหญิงสาวในชุดโทนสีแก่
คมกฤชยิ้มบางๆ ราวกับคาดไว้ล่วงหน้าว่าอีกฝ่ายจะทำให้นางเห็นเป็นภาพสะท้อนในใบมีด
“พลับพลึง ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที มิรีบสังหารข้าเสียล่ะ?” น้ำเสียงนั้นแทนที่จะแดกดันแต่กลับเป็นอ่อนโยนจนเจ้าของเงามองคมกฤชด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนนายิกาบางคนจะสังเกตว่านางนิ่งผิดปรกติจึงหันมามองอย่างสงสัย หนึ่งในนั้นก็มีพินทุ ไม่สิ นางไม่ใช่ผู้สงสัยเพราะนางรู้อยู่แล้วว่าพลับพลึงจะต้องอยู่กับคมกฤช
“อย่าบอกนะว่าอยู่ตรงนั้น?” อรรณพพึมพำเบาๆ ทว่ารองนายิกาของตนเองได้ยิน หญิงสาวข้างกายแต่งกายด้วยชุดแบบชาวมุสลิมมองอรรณพแล้วหันไปมองคมกฤช นางหรี่ตาอย่างพินิจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
“หลับตาเสียเถิด สหายรักของข้า ต่อจากนี้จะเป็นจะตายก็ขึ้นอยู่กับเจ้าและนายิกา” มือขาวซีดเอื้อมมาปิดตาคมกฤช พลางสวดคาถาไปด้วย น่าแปลกที่ถึงนางจะสวดเสียงเบาแต่ทุกคนกลับได้ยินชัดเจน มีนายิกาบางคนที่พยายามลืมตาขึ้นแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้แก่คาถา
พินทุยิ้มมุมปาก นางหลับตาลงเองโดยที่ไม่ต้องรอให้คาถามาถึงตนเองเพราะรอเรื่องสนุกอยู่
อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ…
พอลืมตาขึ้นสิ่งแรกที่เห็นก็คือพงไพร
คชินทร์มองไปรอบๆ เห็นแต่ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มและความมืด… ใช่ว่าจะมืดสนิทแต่มันมืดสลัว เห็นเสงอาทิตย์ลอดส่องตามแมกไม้รำไร
พอหันไปรอบๆ ก็เผอิญสบตากับหญิงสาวเกล้ามวยผมใหญ่ๆ ปล่อยผมไว้เล็กน้อย ปักปิ่นปักผมสองอันกับรัดเกล้าเรียบๆ ปอยผมหน้ายาวประบ่า ห่มตะเบงมานทับด้วยสร้อยคอ มีแขนเสื้อตุ๊กตามีลูกไม้ที่รัดกุมด้วยกำไลมือที่ติดไว้ด้วยกันเป็นแขนเสื้อ นุ่งผ้าถุงแหวกกลางเล็กน้อยแต่ก็พอเผยให้เห็นต้นขาแวบๆ ดูยั่วยวน มีผืนผ้ายาวติดในขอบผ้าแล้วมาคล้องไว้ที่ข้อมือ สวมถุงมือสีดำไม่หุ้มนิ้วกับกำไลมือ ด้านหลังเข็มขัดมีดาบในฝักสีน้ำตาลออกดำ นางคลี่ยิ้มให้คชินทร์ก่อนจะเอ่ย
“คชินทร์ เราลองเดินดูกันเถิด ข้าคิดว่าเราคงอยู่ในมิติความฝันแล้วล่ะ” คชินทร์ไม่ตอบแต่พยักหน้าให้ก่อนจะเดินไปพร้อมกับอีกฝ่าย
“หิรัญ เจ้ายังจำเรื่องตอนนั้นได้ไหม?” ไม่บ่อยนักที่คชินทร์จะเป็นฝ่ายเปิดปากกล่าวก่อน ตามจริงนางไม่ได้เป็นใบ้เพียงแต่ไม่ชอบคุยกับคนอื่นจะคุยเฉพาะกับคนที่นางเชื่อใจเท่านั้นซึ่งนั่นก็คือรองนายิกาของตนเจ้าของนาม หิรัญ ทั้งคู่เงียบไปในขณะที่คชินทร์ใช้ง้าวฟันต้นไม้ที่ขึ้นรกซึ่งหิรัญก็ใช้ดาบฟันเช่นกัน
“เรื่องอันใดล่ะ?”
“ก็… ตอนนั้นที่ข้าพบเจ้านอนบาดเจ็บอยู่น่ะ ทำไมตอนนั้นเจ้าถึงออกสู้กับทหารรามัญ?”
พอได้ฟังเช่นนั้นหิรัญก็ยิ้มเศร้าๆ ดวงตาหรี่ลงพลางหวนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ภาพท้องฟ้าสีหม่น ควันที่ขึ้นในอากาศเป็นโขมง ซากศพนับไม่ถ้วนนอนเกลื่อนพร้อมกับเลือดที่ชโลมร่างและพื้นดิน เพียงเท่านี้เสียงร่ำไห้ กรีดร้องอ้อนวอนสวรรค์และหวาดกลัวก็ดังขึ้นจนหูอื้อไปหมดแล้ว คชินทร์หยุดเดินพร้อมๆ กับอีกฝ่าย นางกุมมือหิรัญไว้พร้อมกับกล่าว
“ข้าขอโทษจริงๆ เจ้ามิต้องตอบข้าก็ได้นะ”
“…ครอบครัวข้าถูกสังหาร มีเพียงข้าที่เหลือรอดข้าและนายิการุ่นก่อนที่เป็นเพื่อนกันเลยคิดจะลุกขึ้นสู้” คชินทร์เบิกตาด้วยความคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าอีกฝ่ายเจ้าเล่าเสียงดื้อๆ
“แล้วเจ้าล่ะ?” หิรัญถามกลับ คชินทร์ยิ้มบางๆ ก่อนจะเล่าอดีตของตนเอง…
“อย่าบอกนะว่าที่คิดจะให้อยู่ในความฝันก็เพื่อจะดึงความทรงจำที่ฝังแน่นในจิตใจมาทำร้าย?” พินทุกล่าวเบาๆ ยืนอยู่บนหน้าผาที่น่าหวาดเสียว ลมเย็นๆ พัดผ่านมาส่งเสียงหวีดหวิว ปลายผมและชายผ้าถุงปลิวเล็กน้อย นางมองผืนป่าเบื้องล่างที่เหมือนกับทะเลสีเขียว ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือที่ยืนอยู่ด้านหลังพินิจพินทุเงียบๆ ก่อนจะตอบ
“ตามที่เจ้าคิด ว่าแต่เจ้าดูสบายใจเสียจริงนะ”
“เพราะข้าพอจะดูตอนจบออกแล้วอย่างไร แล้วอีกอย่าง อย่าลืมเสียสิว่าข้ามีความสารถเหนือเหล่านายิกาและอดีตนายิกาที่ก่อคดี แต่ถ้าจะถามว่าแล้วทำไมข้ามิไปเสียเองข้าก็ขอตอบเลยละกันว่าเพียงแค่ข้าก้าวเข้าไปคดีก็จะคลี่คลาย สู้ให้พวกนางผจญภยันตรายกับคดีนี้น่าสนุกกว่ากันอีกเป็นไหนๆ ….”
“…” ผู้อาวุโสแห่งภาคเหนือเงียบเพื่อจะรอว่าพินทุจะกล่าวอันใดอีก “ข้าก็พอคาดการณ์ได้ลางๆ แล้วล่ะ บทสรุปก็คงจะเหมือนกับเรื่องที่เหล่านายิกาชิงบัลลังก์แห่งรัตนโกสินทร์เพื่อเป็นใหญ่นั่นแหละ”
“เจ้าคาดการณ์ได้ข้าก็มอยากว่าอันใด แต่หากเจ้าทำให้เรื่องนี้มันยากขึ้นข้ามิปล่อยไว้แน่” ผู้อาวุโสกล่าวเสียงเย็นเชียบก่อนจะสลายร่างเป็นเถ้าธุลีปลิวหายไปกับสายลม พินทุยิ้มมุมปากพลางพึมพำ
“ข้ามิไปยุ่งดอก บัดเดี๋ยวเรื่องสนุกๆ ก็หมดสนุกน่ะสิ หึๆ …”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ