ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
74) บทที่ ๗๔: ความห่วงใย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๗๔
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ความห่วงใย
“จะออกไปเลยไหม?” หญิงสาวสวมหน้ากากถามหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียง วันนี้ก็เป็นอีกวันที่นางมาเยี่ยมอีกฝ่าย …ถ้าจะกล่าวให้ถูกคือนางมาถามความคืบหน้าของงานต่างหาก
“ยังมิไปน่ะ ---นี่ ผู้อาวุโส ข้าขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม?”
“อันใดล่ะ?”
“เนตรยันต์มรณะ ของเด็กคนนั้น… ข้าขอได้ฤๅไม่?”
“!” หญิงสวมหน้ากากมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึงก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความโกรธ อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะกล่าว
“ข้าได้มาข้างหนึ่ง แล้วถ้าเจ้ามิว่าอะไร… ข้าจะขออีกข้างได้ไหม?”
“มิได้!!” หญิงสวมหน้ากากตะคอกตอบ นางกำมือที่สั่นแน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้น อีกฝ่ายหลับตาก่อนจะลืมขึ้น สบตากับหญิงสวมหน้ากากตรงๆ รอฟังว่าจะกล่าวอันใดต่อ
“…”
“พลับพลึง ตอนนั้นที่เจ้าสั่งให้นางยักษ์ชิงเนตรไปข้าก็แทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว! นี่ยังขออีกข้างฤ? ที่เจ้าได้ไปตอนนั้นข้ามิสังหารเจ้าเสียก็ถือว่าเมตตามากแล้วนะ!!!”
“…” หญิงสาวเจ้าของนามพลับพลึงมองอีกฝ่ายนิ่งๆ นางเองก็รู้ดีว่าเด็กหญิงที่กำลังพูดถึงอยู่สำคัญกับหญิงสวมหน้ากากเพียงใด ลึกๆ นางก็ขอบคุณที่อีกฝ่ายไม่ฆ่าทั้งๆ ที่ชิงอวัยวะจากคนสำคัญของอีกฝ่ายมา
“ฮึ! ข้ากลับล่ะ ---ข้าขอเตือนก่อนจาก หากเจ้าชิงมาอีกอย่าหวังจะได้ตายดี!!!” หญิงสวมหน้ากากตวาดเสียงลั่นก่อนจะกระแทกเท้าเดินออกไปส่งเสียงตึง!
พลับพลึงมองจนอีกฝ่ายปิดประตูเสียงดังปัง! พลางคิดในใจไปด้วย
…ถึงข้าจะชิงมาแต่เจ้าคงมิมีโอกาสสังหารดอก …ถ้าเกิดข้าเป็นฝ่ายแพ้ในคดีนี้น่ะนะ
ศรีแตะดวงตาขวาที่ปิดด้วยผ้าพันแผลในขณะที่นอนอยู่บนฟูก สัมผัสได้ถึงเบ้าตาที่ยุบลงไปเพราะไม่มีลูกตา แม้จะเสียดวงตาไปแต่เธอก็ไม่ค่อยเสียใจสักเท่าไหร่เพราะอย่างน้อยมันก็เหลืออีกข้าง ถ้าเป็นแขน ขาก็ว่าไปอย่าง อสุราที่ถือถาดมีกาน้ำกับถ้วยวางอยู่สะดุดตาเข้ากับตาข้างขวาของน้องสาวตนเอง ความโกรธแค้นพลันกัดกินจิตใจ เธอพยายามระงับอารมณ์ มือสั่นจนสะเทือนกับถาด กาน้ำและถ้วยส่งเสียงแกร๊งๆ ศรีได้ยินเสียงนั้นก็รู้การมาเยือนของพี่สาวตน เธอเห็นท่าไม่ดีเลยเข้ามาจะช่วยถือ ทว่าอสุรายื่นถาดหนีก่อนจะวางไว้บนโต๊ะข้างประตู แล้วโอบไหล่ศรีให้ไปนอน
“พี่อสุราเป็นอะไรเหรอคะ?” ศรีถามอย่างไม่สบายใจหลังจากนอนแล้ว อสุรายิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ “ไม่เป็นไรจ้ะ นอนพักเถอะร่างกายจะได้ดีขึ้น”
“…พี่จะกลับไปก่อนก็ได้นะคะ หนูดูแลตนเองได้ค่ะ” ศรีรู้สึกผิดจริงๆ หลายต่อหลายครั้งที่เธอเข้าไปพัวพันกับเรื่องร้ายๆ โดยมีอสุราตามเข้ามาช่วยเสมอ อสุราส่ายหน้าแล้วลูบศีรษะศรีเบาๆ
“ไม่ได้นะ มิติที่เราอยู่ก็ว่าอันตรายแล้วพี่ปล่อยให้หนูอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก”
“หนูยังมีเฉาก๊วย พงสณะ แววไพร รพิและก็คนอื่นๆ ด้วย พวกเขาช่วยเหลือหนูได้ค่ะ”
“แต่ดูแลไม่ได้” อสุราเอ่ยเสียงแข็ง ทำให้ศรีนิ่งไปพักหนึ่ง “แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ ถ้ายังดื้อด้านอย่าหาว่าพี่ไม่เตือนนะ” น้ำเสียงนั้นจริงจังและอ่อนโยนในความรู้สึกของศรี แม้เธอจะไม่กลัวแต่เธอก็ยังเกรงใจผู้เป็นพี่และรู้สึกผิด เพราะแบบนี้จึงไม่เอ่ยแย้งใดๆ อีก
“…ศรี หนูน่าจะรู้นี่ว่ามีเพียงเราสองพี่น้อง พ่อแม่เราก็ไม่ใช่พ่อแม่แท้ๆ คนในตระกูลก็ไม่ค่อยจะยอมรับ ถึงหนูจะมีเพื่อนแต่ใช่ว่าหนูจะไว้ใจได้นี่” อสุราเอ่ยเสียงเบา ยิ่งฟังสิ่งที่เธอพูดศรีก็ยิ่งรู้สึกผิด
“…”
“หนูไม่ต้องรู้สึกผิดและแบกรับทุกอย่างที่เข้ามาหรอกนะ …ขอให้นึกเสมอว่าหนูยังมีพี่อยู่…”
พี่ไม่อยากเสียหนูไปอีกแล้ว
คำต่อมาอสุราไม่เอ่ย แต่ศรีรับรู้ได้จากแววตาที่ฉายความโศกเศร้า ความหวัง เป็นความหวังที่มีที่พึ่งพิงสุดท้าย …ซึ่งนั่นก็คือตัวศรีเอง
ศรียื่นมือออกไปซึ่งอสุราก็ยื่นมากุมไว้เบาๆ มองพี่สาวของตนพลางยิ้มบางๆ ก่อนจะหลับตาลง สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือดวงตาสีดำที่ฉายความว้าเหว่
หญิงสาวสวมผ้าคาดหน้าอก ปิดตาด้วยที่คาดสีดำข้างซ้าย ผมที่ยาวเลยบ่าเล็กน้อยเรียบแต่โค้งช่วงปลาย มีผ้าลายไทยคาดรอบศีรษะแล้วผูกไว้ปล่อยชายด้านข้าง สวมเกราะที่แขนและตรงสะโพก มองโลงศพในห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะจนต้องจามเป็นบางครั้ง สัมผัสได้ถึงความสากของฝุ่นที่ลอยในอากาศ ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวผมสั้นปลายงอนคาดที่คาดผม สวมเสื้อทรงกระบอกตัวยาว นุ่งผ้าซิ่น มือที่ผสานไว้และเท้าที่ชิดกันทำให้เธอดูเรียบร้อย
“ลินินณา หยิบมีดให้แม่ที”
“ค่ะ” หญิงสาวเจ้าของนามลินินณาหยิบมีดมาให้โยธาซึ่งเป็นแม่ของตน มองอีกฝ่ายเปิดฝาโลงแล้วใช้มีดกรีดร่างในโลงศพอย่างไม่สบายใจ รู้สึกเหมือนกำลังล่วงเกินผู้ตาย แม้จะเป็นศพฝ่ายศัตรูก็ตามที “แม่คะ อย่าดีกว่าค่ะ ทำแบบนี้เหมือนล่วงเกินผู้ตายนะคะ” น้ำเสียงนุ่มนวลเตือนเบาๆ ทว่าผู้เป็นแม่ทำเป็นไม่สนใจแต่ก็ตอบกลับอย่างขัดใจ
“เฮ้อ… ก็มันช่วยมิได้นี่ อีกอย่างนะ ที่แม่เคยเห็นมาแพทย์ก็ตรวจศพแบบนี้ก็มิเห็นมีอันใดเลย”
“…ค่ะ” ลินินณาจำต้องเงียบ เทียนหยดแหวกเนื้อภายในอย่างจริงจัง สัมผัสเย็นเชียบและกลิ่นเหม็นทำให้นางต้องกลั้นหายใจ เมื่อเสร็จแล้วนางก็วักน้ำเหนียวๆ ข้นๆ ใส่ลงไปในขวด นางไม่รอช้ารีบปิดฝาโลงศพอย่างนึกขยะแขยง นางไม่กลัวศพ แต่รังเกียจเพราะมันสกปรก
“ได้มาแล้ว ลูกช่วยดูทีสิว่าใช่น้ำนั่นฤๅไม่?”
“ใช่ค่ะ แล้วแม่จะนำไปทำอะไรเหรอคะ?” ลินินณาเงยหน้าถาม อีกฝ่ายเท้าเอว มืออีกข้างถือขวดพลางพินิจ
“ก็… เก็บไว้เฉยๆ”
“งั้นเหรอคะ…” เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ โยธาละความสนใจจากขวดมามองลูกสาวที่แสดงสีหน้าไม่สบายใจ เห็นเช่นนั้นก็อดจะยื่นมือไปปลอบเสียไม่ได้
“ลินินณา ลูกต้องยอมรับให้ได้นะ การที่เราเห็นเรื่องแบบนี้มันก็ปรกติสำหรับมิติผกายนี่”
“…ค่ะ” เสียงตอบมานั้นแผ่วเบาแฝงความกังวลไว้ โยธาถอนหายใจเบาๆ กับนิสัยขี้กังวลของลูกสาวตนเอง นางวางขวดไว้บนโลงศพก่อนจะดึงลินินณามากอดไว้ สูดกลิ่นกายหอมหวานแบบธรรมชาติทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ความอบอุ่นแผ่ซ่านให้ซึ่งและกัน มือข้างหนึ่งลูบศีรษะอย่างรักใคร่
“มิพอใจแม่ฤ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ” ลินินณาตอบอย่างร้อนรน มือที่กอดแม่ของตนอยู่เผลอกำผ้าคาดหน้าอกด้านหลังของอีกฝ่ายแน่น “จริงๆ นะคะ”
“แม่ถามไปงั้นแหละ” โยธากล่าวแล้วยิ้มบางๆ คำนั้นทำให้ลินินณาคลายความกังวลไปได้มากทีเดียว ระหว่างนั้นเองก็มีเสียงจากโทรศัพท์ โยธาชักสีหน้าเพราะปลายสายขัดเวลาที่นางจะได้กอดลูก ทำใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย
“ว่าอย่างไร?”
“…หืม? นี่ข้ามาผิดจังหวะฤ? น้ำเสียงฟังมิสบอารมณ์เลยนะ” ปลายสายคือบัวผ่องนั่นเอง นางรับรู้ได้ถึงน้ำเสียงที่แข็งกระด้างของอีกฝ่าย
“…รู้ตัวก็ดี ว่าแต่มีอันใดล่ะ ว่ามา”
“เจ้าจะร่วมด้วยฤๅไม่?”
“คดีนั่นน่ะฤ?”
“ใช่” บัวผ่องเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ได้ยินว่าได้เงินด้วยล่ะ” พอได้ฟังดังนั้นโยธาก็เหงื่อตกขึ้นมา เพราะเบื่อกับนิสัยของบัวผ่องที่เห็นแก่เงิน ไม่ใช่ว่านางมองในแง่ร้าย แต่บัวผ่องเป็นเช่นนั้นจริงๆ หลายครั้งต่อหลายครั้งที่บัวผ่องจะพูดถึงเงินและก็ใช้เวลาในการค้าขาย จะทำอะไรก็นึกถึงเงินเสมอ
“แค่นี้ใช่ไหม?”
“บะ บัดเดี๋ยวก่อน---!” ปลายสายกล่าวไม่ทันจบโยธาก็กดตัดสาย โยธาถอนหายใจ ลินินณาเมื่อเห็นแม่ของตนเป็นเช่นนั้นก็อดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “แม่เป็นอะไรเหรอคะ?”
“มิมีอันใดดอก วันนี้เราพอแค่นี้ก่อน กลับเรือนไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า”
กล่าวจบโยธาก็จูงมือลินินณาเดินออกจากห้องไปมุ่งหน้าไปยังอีกเรือนเมื่อมาถึงทั้งสองก็บอกบ่าวให้ไปนำขนมมา ระหว่างนั้นนางคุยเรื่องสัพเพเหระกับลินินณาเพื่อฆ่าเวลาและคลายความเครียด จู่ๆ นางก็เหม่อไปนึกถึงเรื่องระหว่างตนเองและลูกสาว โดยที่ลูกสาวของตนเองเล่าอะไรให้ฟัง สักพักลินินณาเห็นว่าแม่ตนเองใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ถือวิสาสะจับแก้มโยธาเบาๆ แล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรเหรอคะ? เดี๋ยวนี้แม่ดูเหม่อบ่อยๆ นะคะ” เป็นอย่างที่ลินินณากล่าวจริงๆ เพราะที่ผ่านมาแม่ของตนเองเหม่อบ่อยมาก จนอดคิดไม่ได้ว่าจะมีเรื่องไม่สบายใจอยู่มาก
“มิเป็นไรดอก” โยธายิ้มบางๆ นางใช้โอกาสนั้นมองหน้าลินินณาพลางนึกถึงเรื่องตอนที่ตนเองรับลินินณามาเป็นลูกบุญธรรม
ในวันที่ฝนกระหน่ำตกลงมา หลังจากทำภารกิจเสร็จ โยธาก็เดินตากฝนด้วยร่างที่มอมแมมเปื้อนเลือด ความเหนื่อยล้าเสมือนโซ่ที่ทำให้ขาเดินแทบไม่ได้ นางเดินขึ้นเรือนไป น้ำฝนบนร่างหยดลงบนพื้นเป็นทาง โชคดีที่ไม่มีบ่าวคนไหนอยู่แถวนี้เพราะถ้าพวกบ่าวเจอนางจะต้องสักถาม ช่วยกันรักษาแผลและพาไปอาบน้ำให้วุ่นวายแน่ โยธาเดินเข้าไปในห้องของตนแล้วนั่งบนเตียง ท่ามกลางความมืดนั้นนางเห็นแสงเป็นจุดเล็กๆ ตรงหัวเตียง ด้วยความสงสัยนางจึงเขยิบเข้าไปดูว่ามันคืออะไรก็พบว่าเป็นเด็กทารกผู้หญิงที่สวมสร้อยคอซึ่งเรือแสงอยู่ นั่นเองที่ทำให้นางทราบถึงต้นกำเนิดแสง
เปรี้ยง!
“อุแว้ๆ !!” เด็กทารกคนนั้นซึ่งก็คือลินินณาร้องไห้เพราะคงจะตกใจและกลัวเสียงฟ้าร้อง โยธารีบอุ้มขึ้นมาแล้วพยายามกล่อมให้ลินินณาหยุดร้อง จนกระทั่งฝนเริ่มหยุดตก มันตกลงมาโปรยๆ แล้วค่อยๆ หยุดตก ลินินณาถึงจะหยุดร้อง ดีนะที่ฝนหยุดตกเร็วเลยหายกลัว
“เฮ้อ… เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าเป็นบุตรของใครกันนะ....” โยธาถามแต่นางไม่ต้องการคำตอบเพราะอีกฝ่ายเป็นเด็กทารกยังไม่รู้อะไรและพูดไม่ได้ศัพท์
แปลก… เราเองก็ลงอาคมแล้วนี่ทำไมถึงมีคนนอกเข้ามาได้ ทุกคนที่อยู่ใต้ความดูแล เราก็เอาเลือดมาสร้างม่านอาคมไม่ให้ใครนอกเหนือจากนี้เข้ามาได้ ….แล้วทำไมล่ะ?
“แม่คะ…” เสียงของลินินดึงให้โยธากลับสู่ปัจจุบัน ผู้เป็นแม่ยิ้มแห้งๆ ในขณะคนเป็นลูกมีสีหน้าความกังวล นางเลื่อนจานขนมมาให้ลินินณาแล้วป้อนขนมให้ ลินินณาอ้าปากกลืนขนมนั่นลงไปแล้วเคี้ยวด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ