ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.51K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
66) บทที่ ๖๖: รักที่รอคอยเกือบจะเป็นจริง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๖๖
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
รักที่รอคอยเกือบจะเป็นจริง
ธันนะนั่งสานไม้ไผ่ย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อได้นั่งกับดินขาวตามลำพังเพราะเป็นผู้ที่ชอบแทะโลมเด็ก เด็กชายเผ่าเย่าเห็นเพื่อนใหม่นั่งห่างตนเกินจำเป็นเลยต้องกวักมือเรียก ธันนะส่ายหน้าปฏิเสธ ดินขาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเอ่ย
“ข้ากินเด็กมิได้กินเจ้าเสียหน่อย”
“นั่นแหละ! นายจะทำมิดีมิร้ายน้องฉันสินะ ฝันไปเถอะ!”
“ขะ ข้า---!”
แอ็ด…
เสียงประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างเด็กหญิงสองคนเผ่าเย้าและเผ่าไทแสก ดวงตาสีชมพูอมแดงของเม็ดแตงมองเด็กชายสองคนอย่างสงสัยว่ากำลังทะเลาะอะไรกันอยู่
“เม็ดแตง จากที่ทะเลาะกันเมื่อกี้ข้ารู้แล้วว่าหมายถึงเรื่องอะไรเมื่อกี้เจ้าคงมิได้ทันได้ฟังสินะ” กลีบเย้าพยักหน้า ดอกเข็มยิ้มบางๆ ก่อนจะโอบไหล่คนรักแล้วตอบ “ธันนะมิไว้ใจดินขาวที่ชอบกินเด็กส่วนดินขาวจะเถียงกลับเลยทะเลาะกันอย่างไรล่ะ ว่าแต่พวกเจ้าสองคนทำอันใดกันอยู่ ให้ข้าช่วยไหม?”
“ขอบคุณแต่เป็นมิเป็นไรดอก แปปเดียวข้าก็สานเสร็จแล้วล่ะ” ดอกเข็มฟังพร้อมกับหยิบไม้ไผ่ก่อนลงมือสาน แม้ดินขาวจะบอกว่าไม่เป็นอะไรแต่เธอก็อยากช่วยเพราะเกรงจะดูใจจืดใจดำจนเกินไป กลีบเย้าก็ลงนั่งช่วยสานไม้ไผ่โดยที่คนรักตนเองไม่ต้องเอ่ยปาก พอเริ่มทำอีกครั้งเด็กชายสองคนก็ทะเลาะกันต่อ กลีบเย้าถอนหายใจก่อนจะมองดอกเข็ม อีกฝ่ายยิ้มอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มนั้นทำให้กลีบเย้าใจเต้นแรง ใบหน้ามนพลันแดงระเรื่อน่าคว้ากอดมาหอมแก้มนุ่มนิ่มนั่นแต่ตอนนี้อยู่กับเพื่อนๆ เลยไม่กล้าได้แต่อดใจไว้ก่อน
พงสณะพาศรีมาอ่านหนังสือที่เขาซื้อมาให้ ดวงตาสีดำดุจรัตติกาลพลันเปล่งประกายดั่งดวงดาราฉายแววความดีใจจนปิดไว้ไม่อยู่ ดวงตาและรอยยิ้มดุจดอกทองกวาวนั้นทำให้พงสณะหุบยิ้มไม่อยู่ เสียเงินไปก็ยังคุ้มที่เห็นภาพอันงดงามนี้ ศรีอ่านหนังสือโดยไม่สนใจเขาพงสณะทำหน้าละห้อย
พอได้หนังสือนี่ไม่สนใจฉันเลยนะ
คิดด้วยความน้อยใจไม่ทันไรจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกขึ้น ทั้งสองคนหันไปมองบุคคลที่เข้ามา เด็กชายที่บุกรุกตอนศรีกำลังอาบน้ำมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ศรีถอยไปเกือบอยู่ด้านหนังพงสณะโดยสัญชาตญาณ น้อยครั้งนักที่ศรีจะเผยความอ่อนแอด้วยความกลัวให้เห็นพงสณะจึงอมยิ้มเล็กน้อยแต่เหลือบเห็นอสุเรนทร์เท่านั้นแหลพสีหน้าถึงเปลี่ยนไป
พงสณะจ้องอสุเรนทร์ไม่วางตา ในดวงตาสีดำออกน้ำเงินนั้นฉายความแค้นและเกลียดชังที่อีกฝ่ายทำร้ายคนรักตนเองในอดีตซึ่งอีกฝ่ายก็ฉายแววตาแห่งความเกลียดชังเช่นกัน ศรีนั่งห่างพวกเขาทั้งสองและเตรียมใจรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะตามมาห่างๆ
“แกนี่หน้าด้านหน้าทนจริงๆ” พงสณะกล่าวเสียงเย็น อสุเรนทร์หัวเราะในลำคอก่อนจะกล่าวบ้าง
“ถ้าหมายถึงที่ฉันยังตามศรีอยู่มันก็พอๆ กับแกนั่นแหละ”
“อย่างน้อยฉันก็ตามใจศรี พยายามทำให้เธอมีความสุข ไม่เหมือนแกหรอก ดีแต่ทำร้ายร่างกายเพื่อขู่บังคับ อ้ายซาดิส์เอ๊ย!”
“พูดอย่างนี้มาประลองหน่อยไหมล่ะ?” หลังจากถามจบแล้วพงสณะก็อ้าปากจะตอบรับโดยไม่พิจารณาทว่าถูกศรีกล่าวแทรกห้ามก่อน
“นี่! พวกนายจะโต้อะไรกันฉันไม่ว่านะ แต่อย่าให้มีเรื่องเลือดออกตกยางกันเลย!” ศรีกล่าวด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้ห่วงพงสณะคนเดียวแต่เธอก็ห่วงอสุเรนทร์เช่นกัน เคยมีความผูกพันในฐานะเพื่อนตั้งแต่เด็กแม้ตอนนี้จะตัดสัมพันธ์กันแล้วแต่ความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่ เมื่อพงสณะเห็นแววตาอ้อนวอนเต็มไปด้วยความห่วงใยก็เปลี่ยนใจไม่ต่อสู้
“ก็ได้ เห็นแก่ศรีหรอกนะ”
“ดีจัง…”
“แต่ถ้าแกทำอะไรศรีฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่” คำกล่าวต่อมานั้นทำให้ศรีไม่สบายใจเอาเสียเลย ในใจก็โทษอสุเรนทร์อย่างอดไม่ได้ว่าในเมื่อเรื่องของเธอและเขาจบไปนานแล้วยังจะตามราวีทำไมอีก
“หึๆ” อสุเรนทร์หัวเราะในลำคอ เขาไม่มีทางปล่อยคนที่ตนเองรักไปง่ายๆ แน่ ถ้าจะให้เรื่องจบเพียงเท่านี้ละก็......
ฝันไปเถอะ!
อสุเรนทร์เข้ามาหาศรีเมื่อไหร่ไม่รู้ ดึงเธอเข้ามากอดไว้ก่อนจะซุกไซร้ซอกคอ กลิ่นหอมอ่อนๆ แบบธรรมชาติให้ความรู้สึกสดชื่น ผิวนุ่มนิ่มนั้นแทบจะทำความคิดขาวโพลน ศรีพยายามจะผลักเขาออกแต่แรงเขามีมากกว่า พงสณะชกหน้าอสุเรนทร์เต็มแรง เลือดส่งกลิ่นคาวเมื่อไหลออกจากจมูก อสุเรนร์ปาดเลือดออกก่อนจะชี้หน้าแล้วกล่าวอย่างเกี้ยวกราด
“แกจำไว้เลย ถ้าฉันไม่ได้ศรีมาครองใครก็อย่าหวังจะได้เลย ถ้าแต่งงานเมื่อไหร่ฉันจะล่มงานให้พังพินาศ อย่าได้มีชีวิตครองคู่อย่างมีความสุขเลย!!” เด็กชายสองคนมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ นี่ถ้าไม่ติดว่าศรีเป็นห่วงพงสณะได้เข้าไปกระชากเนื้อทานจริงๆ แน่
ปัง
หลังจากที่อสุเรนทร์กลับไปแล้วศรีก็หันไปมองพงสณะด้วยความเป็นห่วง ศรีหวาดกลัวเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยเห็นพงสณะโกรธขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้เขาแทบอยากจะพาศรีไปล้างทำความสะอาดเอาให้ร่างกายที่เกือบเปื้อนราคะกลับมาบริสุทธิ์ดังเดิม แม้เขาจะเคยพยายามลวนลามแต่ก็ไม่เคยทำขนาดนี้ แตะต้องร่างกายด้วยการจูงมือเธอก็บุญไหนแล้วแต่นี่กลับถูกคนที่ซาดิสม์จิตแทบไม่เป็นปรกติฉกชิงไปขั้นหนึ่งรวมกับเรื่องที่ศรีเคยถูกทำร้ายก็โกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรแล้ว!!
“พงสณะ…” ศรีกล่าวเบาๆ เธอสังเกตว่าพงสณะกำมือจนเส้นเลือดปูด ด้วยความใจอ่อนและเป็นห่วงเธอจึงยอมแตะต้องร่างกายผู้ชาย มือขาวนวลดุจดอกมะลิจับมือของพงสณะอย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นและสัมผัสอ่อนนุ่มจากมือเธอทำให้พงสณะเริ่มสงบ ความตื้นตันในใจบังเกิดเมื่อเห็นว่าศรีเป็นฝ่ายจับมือตนเองก่อน
“เฮ้อ…” พงสณะถอนหายใจ อารมณ์กลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง “ศรีจับมือฉัน… อารมณ์ดีขึ้นเยอะเลยแฮะ” ศรีหน้าแดงเพราะความอาย แม้จะรู้ตัวก็เถอะแต่ถูกย้ำแบบนี้ความอายก็มีมากกว่าเดิม ศรีค่อยๆ ปล่อยมือแต่พงสณะคว้าโอกาสที่มีน้อยนิดกลับมา เขาจับมือเธอแน่นทว่าไม่รุนแรง พงสณะหลุบตามองมือตนเองที่จับมือศรีก่อนจะเอ่ยเบาๆ สีหน้าที่สดใสเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย
“ศรี… เธอรักฉันไหม?”
“ทำไมจู่ๆ ถึงถามล่ะ?”
“ฉันอยากรู้ …ศรี ฉันยอมรับนะว่าตัวฉันมันทะลึ่ง จ้องจะฉวยโอกาสตลอด พูดจาแทะโลม แต่ฉันอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงไม่เคยเหลียวแลฉันเลย” ศรีมองพงสณะอย่างตะลึง น้ำเสียงนั้นไม่มีความเสแสร้ง สิ่งที่เขาพูดมาคือข้อเสียแต่ศรีฟังแล้วไม่ได้รู้สึกรังเกียจ เพราะข้อดีของเขาดีกว่าที่จะให้สนใจข้อเสียงนั่นอีก
“พงสณะ ตอนนี้นายอาจจะรักฉัน แต่พอโตไปมีอะไรเข้ามาใหม่ๆ รวมทั้งผู้หญิงด้วย นายอาจจะเจอที่ถูกใจกว่าตัวฉันก็ได้ ตอนนี้ฉันเลยไม่อยากให้ความหวังกับนายมากเกินไปเพราะกลัวจะทำร้ายนายภายหลัง”
“ถึงเธอไม่ได้ให้ความหวังอย่างทำดีกับฉัน แต่ที่เธอสามารถทำให้ฉันรักได้หัวปักหัวปำแบบนี้มันก็เหมือนทำร้ายฉันแล้ว” บรรยากาศอึดอัด ศรีเหมือนเห็นหมอกดำที่ล้อมรอบให้เหลือเพียงเธอและเขา
“พงสณะ… ฉันน่ะโกรธนายที่ทำแบบนั้นก็จริงแต่ฉันไม่เคยเกลียดเลยนะ …นายรู้ไหม นายเข้ามาอยู่ในใจฉันครึ่งหนึ่งแล้ว” คำนั้นทำให้พงสณะตื้นตันใจจนน้ำตาแทบไหลออกมา ความยินดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและความสุขที่ท่วมล้นจิตใจทำให้เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว …นึกถึงวันวานที่คอยเอาอกเอาใจ ซื้อของให้โดยไม่สนใจว่ามันจะแพงสักเพียงใด ไม่เคยกลัวเจ็บหรือถูกลงโทษยามที่ต้องต่อสู้กับคนที่มาทำร้ายศรี ไม่เคยสนใจที่คนอื่นมองว่าเขาไปรักอสูรแห่งตระกูลวีรสังฆะ
……สิ่งที่พยายามมาและให้ความรักโดยไม่เสื่อมคลายบัดนี้ได้ส่งผลให้คนที่ตนเองรักยอมรับรักเขาครึ่งหนึ่ง แค่ครึ่งก็ยังดี อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าศรีมีความรู้สึกนี้กับเขา
“ศรี ฉันสัญญา ต่อให้เธอไม่รักฉันแล้วหรือไปรักคนอื่นฉันก็จะรักเธอ ดูแลเธอตลอดชีวิต ถ้าเธอตายเมื่อไหร่ฉันก็ยินดีที่จะตายไปพร้อมกับเธอและนอนร่วมโลงศพเดียวกัน!” น้ำตาซึมออกมา พงสณะยกมือของศรีขึ้นแนบหน้าตนเองจนศรีไม่ทันสังเกตน้ำตาแต่เธอรู้สึกได้ถึงความอุ่นชื้นที่ซึมสู่ผิว ไม่มีเสียงสะอื้นคร่ำครวญใดๆ มีเพียงแค่ไหล่และร่างที่สั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ตอนนี้พงสณะอยากจะดึงเธอเข้ามากอดด้วยความรักที่เปี่ยมล้น แต่ศรีรักนวลสงวนไม่ค่อยยอมให้ผู้ชายแตะต้องง่ายๆ ตอนนี้ได้แนบหน้ากับมือของเธอก็ดีมากแล้ว
…ศรีมองเขาอยู่เนิ่นนาน ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะมีผู้ชายหลั่งน้ำตาเพราะรักตนเอง เธอแทบจะไม่เชื่อเพราะเวลาเพียง ๓ ปีจะทำให้อีกฝ่ายรักตนเองได้ขนาดนี้และเพียงแค่เธอบอกว่าเขาเข้ามาอยู่ในหัวใจได้เพียงครึ่งก็ดีใจจนต้องร้องไห้เชียวหรือ?
เธอเขยิบเข้าไปหาเขาแล้วลูบหลังเบาๆ กล่าวขอบคุณไม่รู้กี่ครั้งที่ให้ความรักกับเธอมากขนาดนี้ …ขณะนั้นเองก็มีสายตาชิงชังเจือริษยาจากอสุเรนทร์ที่มองมาจากที่ไหนสักแห่ง
.
.
.
พงสณะรู้สึกเหนื่อยอาจเพราะว่าพยายามกลั้นร้องไห้และเหนื่อยใจ ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขาเคลิ้มๆ อยากจะหลับ ศรีที่เหม่อมองเพดานลูบศีรษะเขาอยู่นั้นก็หันกลับมาสนใจเขาที่เอนกายนอนบนตักเธอโดยไม่ถามความสมัครใจสักคำ ศรีถอนหายใจ ให้วันนี้หนึ่งวันก็ได้ เห็นแก่ที่เขารักและเอาใจใส่เธอมานานแค่นอนตักจะเป็นไรไป ละความคิดสงวนตัวไว้ก่อนจะลูบศีรษะเขาให้ผ่อนคลาย
ฝนค่อยๆ โปรยลงมาก่อนจะเพิ่มเป็นหยดใหญ่ เสียงน้ำกระทบพื้นที่ตกลงมาราวกับน้ำตาสวรรค์ ศรีรู้สึกอย่างนั้นมากกว่าที่ฝนจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ นี่เป็นเพียงจินตนาการ น้ำฝนเปรียบเสมือนน้ำตาแห่งสวรรค์และโชคชะตาราวกับว่าเป็นน้ำตาของคนบนโลกนี้มารวมกัน ดวงอาทิตย์ลับหายเข้าไปในเมฆสีขุ่นเหลือเพียงสีเทา เป็นความหม่นหมองที่น่าหดหู่ทว่าให้ความงดงามยามมันหยุด ศรีนึกถึงหลังฝนตกที่สายรุ้งพาดผ่านฟากฟ้าสีคราม หยดน้ำฝนที่โปรยปรายสายสุดท้ายใสสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่เปล่งแสงอบอุ่นมีชีวิตชีวา
ศรีหลับตาก่อนจะค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา สิ่งสุดท้ายที่ประสาทร่างกายรับรู้คือเสียงฝนตกหนักค่อยๆ เบาลงเพราะร่างกายหยุดการรับรู้
ฝนตกหนักจนแทบจะกลบเสียงซอสามสายที่สีบรรเลง พรุ่งนี้ก็วันแข่งแล้ว ซอนึกถึงวันแข่งคัดเลือกก่อนที่จดหมายของผู้ลักมีดจะมาก่อน ๑ สัปดาห์ การแข่งนายิกาในภาคตะวันออกมีด้วยกันทั้ง ๗ จังหวัด และจังหวัดที่ชนะคือชลบุรีซึ่งนางก็คือนายิกาแห่งจังหวัดนี้
อยากรู้จริงว่าอีก ๕ ภาคใครจะได้มาแข่งนะ
“อรัญญิก เจ้าพอจะรู้ไหมว่าอีกนายิกาอีก ๕ ภาคใครได้มาแข่งในรอบนี้?” ซอถามอรัญญิกที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ หญิงสาวถักเปียเงยหน้าขึ้นก่อนจะตอบ
“อุดรภูผาท่านพินทุ ทักษิณวารีท่านอรรณพ ประจิมยอแสงท่านบุษราคัม ส่วนบูรพาพันแสงกับอีสานเตโชยังไม่เปิดเผยเจ้าค่ะ”
“ว่าแต่เจ้าน่ะมิไปฝึกดาบฤ?” ซอถาม อรัญญิกเงียบไปสักพักก่อนจะตอบ “มิมีคู่มือน่ะเจ้าค่ะ”
“ให้เป็นคู่มือมิได้ฤ? ถึงข้าจะมีอาวุธเป็นเครื่องดนตรีแต่อย่างน้อยข้าก็เคยเรียนวิชาดาบนะ” ซอกล่าวอย่างไม่พอใจที่รู้สึกเหมือนว่าตนด้อยความสารมารถ อรัญญิกส่ายหน้าอย่างร้อนรนก่อนจะตอบ
“มิใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่มิอยากให้ท่านซอมีบาดแผลฤๅรอยฟกช้ำก็เท่านั้นเอง”
“เฮ้อ… ฝึกดาบนะมิใช่รบจะได้อันตรายถึงเพียงนั้น ฝนหยุดตกเมื่อไหร่เราจะไปฝึกกัน ตกลงนะ”
“จะ เจ้าค่ะ” อรัญญิกรับคำก่อนจะก้มหน้าหนังสือต่อ ซอยิ้มบางๆ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างระอา รองนายิกาของนางช่างเป็นห่วงเป็นใยเสียจริง
ฝนหยุดตกแล้ว หยดน้ำจากฟากฟ้าหยดสุดท้ายสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายดุจดวงดาวยามเช้า สายรุ้งสีจางพาดผ่านน่าหลงใหล ซอเดินไปดูตรงระเบียงแล้วคลี่ยิ้มบาง เมื่อหันกลับไปก็พบว่าอรัญญิกยื่นดาบในฝักมาให้ตนแล้ว ซอรับมาก่อนจะเดินนำหน้าลงจากเรือนไป
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
รักที่รอคอยเกือบจะเป็นจริง
ธันนะนั่งสานไม้ไผ่ย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อได้นั่งกับดินขาวตามลำพังเพราะเป็นผู้ที่ชอบแทะโลมเด็ก เด็กชายเผ่าเย่าเห็นเพื่อนใหม่นั่งห่างตนเกินจำเป็นเลยต้องกวักมือเรียก ธันนะส่ายหน้าปฏิเสธ ดินขาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเอ่ย
“ข้ากินเด็กมิได้กินเจ้าเสียหน่อย”
“นั่นแหละ! นายจะทำมิดีมิร้ายน้องฉันสินะ ฝันไปเถอะ!”
“ขะ ข้า---!”
แอ็ด…
เสียงประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างเด็กหญิงสองคนเผ่าเย้าและเผ่าไทแสก ดวงตาสีชมพูอมแดงของเม็ดแตงมองเด็กชายสองคนอย่างสงสัยว่ากำลังทะเลาะอะไรกันอยู่
“เม็ดแตง จากที่ทะเลาะกันเมื่อกี้ข้ารู้แล้วว่าหมายถึงเรื่องอะไรเมื่อกี้เจ้าคงมิได้ทันได้ฟังสินะ” กลีบเย้าพยักหน้า ดอกเข็มยิ้มบางๆ ก่อนจะโอบไหล่คนรักแล้วตอบ “ธันนะมิไว้ใจดินขาวที่ชอบกินเด็กส่วนดินขาวจะเถียงกลับเลยทะเลาะกันอย่างไรล่ะ ว่าแต่พวกเจ้าสองคนทำอันใดกันอยู่ ให้ข้าช่วยไหม?”
“ขอบคุณแต่เป็นมิเป็นไรดอก แปปเดียวข้าก็สานเสร็จแล้วล่ะ” ดอกเข็มฟังพร้อมกับหยิบไม้ไผ่ก่อนลงมือสาน แม้ดินขาวจะบอกว่าไม่เป็นอะไรแต่เธอก็อยากช่วยเพราะเกรงจะดูใจจืดใจดำจนเกินไป กลีบเย้าก็ลงนั่งช่วยสานไม้ไผ่โดยที่คนรักตนเองไม่ต้องเอ่ยปาก พอเริ่มทำอีกครั้งเด็กชายสองคนก็ทะเลาะกันต่อ กลีบเย้าถอนหายใจก่อนจะมองดอกเข็ม อีกฝ่ายยิ้มอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มนั้นทำให้กลีบเย้าใจเต้นแรง ใบหน้ามนพลันแดงระเรื่อน่าคว้ากอดมาหอมแก้มนุ่มนิ่มนั่นแต่ตอนนี้อยู่กับเพื่อนๆ เลยไม่กล้าได้แต่อดใจไว้ก่อน
พงสณะพาศรีมาอ่านหนังสือที่เขาซื้อมาให้ ดวงตาสีดำดุจรัตติกาลพลันเปล่งประกายดั่งดวงดาราฉายแววความดีใจจนปิดไว้ไม่อยู่ ดวงตาและรอยยิ้มดุจดอกทองกวาวนั้นทำให้พงสณะหุบยิ้มไม่อยู่ เสียเงินไปก็ยังคุ้มที่เห็นภาพอันงดงามนี้ ศรีอ่านหนังสือโดยไม่สนใจเขาพงสณะทำหน้าละห้อย
พอได้หนังสือนี่ไม่สนใจฉันเลยนะ
คิดด้วยความน้อยใจไม่ทันไรจู่ๆ ประตูก็ถูกเปิดออกขึ้น ทั้งสองคนหันไปมองบุคคลที่เข้ามา เด็กชายที่บุกรุกตอนศรีกำลังอาบน้ำมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ศรีถอยไปเกือบอยู่ด้านหนังพงสณะโดยสัญชาตญาณ น้อยครั้งนักที่ศรีจะเผยความอ่อนแอด้วยความกลัวให้เห็นพงสณะจึงอมยิ้มเล็กน้อยแต่เหลือบเห็นอสุเรนทร์เท่านั้นแหลพสีหน้าถึงเปลี่ยนไป
พงสณะจ้องอสุเรนทร์ไม่วางตา ในดวงตาสีดำออกน้ำเงินนั้นฉายความแค้นและเกลียดชังที่อีกฝ่ายทำร้ายคนรักตนเองในอดีตซึ่งอีกฝ่ายก็ฉายแววตาแห่งความเกลียดชังเช่นกัน ศรีนั่งห่างพวกเขาทั้งสองและเตรียมใจรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะตามมาห่างๆ
“แกนี่หน้าด้านหน้าทนจริงๆ” พงสณะกล่าวเสียงเย็น อสุเรนทร์หัวเราะในลำคอก่อนจะกล่าวบ้าง
“ถ้าหมายถึงที่ฉันยังตามศรีอยู่มันก็พอๆ กับแกนั่นแหละ”
“อย่างน้อยฉันก็ตามใจศรี พยายามทำให้เธอมีความสุข ไม่เหมือนแกหรอก ดีแต่ทำร้ายร่างกายเพื่อขู่บังคับ อ้ายซาดิส์เอ๊ย!”
“พูดอย่างนี้มาประลองหน่อยไหมล่ะ?” หลังจากถามจบแล้วพงสณะก็อ้าปากจะตอบรับโดยไม่พิจารณาทว่าถูกศรีกล่าวแทรกห้ามก่อน
“นี่! พวกนายจะโต้อะไรกันฉันไม่ว่านะ แต่อย่าให้มีเรื่องเลือดออกตกยางกันเลย!” ศรีกล่าวด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้ห่วงพงสณะคนเดียวแต่เธอก็ห่วงอสุเรนทร์เช่นกัน เคยมีความผูกพันในฐานะเพื่อนตั้งแต่เด็กแม้ตอนนี้จะตัดสัมพันธ์กันแล้วแต่ความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่ เมื่อพงสณะเห็นแววตาอ้อนวอนเต็มไปด้วยความห่วงใยก็เปลี่ยนใจไม่ต่อสู้
“ก็ได้ เห็นแก่ศรีหรอกนะ”
“ดีจัง…”
“แต่ถ้าแกทำอะไรศรีฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่” คำกล่าวต่อมานั้นทำให้ศรีไม่สบายใจเอาเสียเลย ในใจก็โทษอสุเรนทร์อย่างอดไม่ได้ว่าในเมื่อเรื่องของเธอและเขาจบไปนานแล้วยังจะตามราวีทำไมอีก
“หึๆ” อสุเรนทร์หัวเราะในลำคอ เขาไม่มีทางปล่อยคนที่ตนเองรักไปง่ายๆ แน่ ถ้าจะให้เรื่องจบเพียงเท่านี้ละก็......
ฝันไปเถอะ!
อสุเรนทร์เข้ามาหาศรีเมื่อไหร่ไม่รู้ ดึงเธอเข้ามากอดไว้ก่อนจะซุกไซร้ซอกคอ กลิ่นหอมอ่อนๆ แบบธรรมชาติให้ความรู้สึกสดชื่น ผิวนุ่มนิ่มนั้นแทบจะทำความคิดขาวโพลน ศรีพยายามจะผลักเขาออกแต่แรงเขามีมากกว่า พงสณะชกหน้าอสุเรนทร์เต็มแรง เลือดส่งกลิ่นคาวเมื่อไหลออกจากจมูก อสุเรนร์ปาดเลือดออกก่อนจะชี้หน้าแล้วกล่าวอย่างเกี้ยวกราด
“แกจำไว้เลย ถ้าฉันไม่ได้ศรีมาครองใครก็อย่าหวังจะได้เลย ถ้าแต่งงานเมื่อไหร่ฉันจะล่มงานให้พังพินาศ อย่าได้มีชีวิตครองคู่อย่างมีความสุขเลย!!” เด็กชายสองคนมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ นี่ถ้าไม่ติดว่าศรีเป็นห่วงพงสณะได้เข้าไปกระชากเนื้อทานจริงๆ แน่
ปัง
หลังจากที่อสุเรนทร์กลับไปแล้วศรีก็หันไปมองพงสณะด้วยความเป็นห่วง ศรีหวาดกลัวเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยเห็นพงสณะโกรธขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้เขาแทบอยากจะพาศรีไปล้างทำความสะอาดเอาให้ร่างกายที่เกือบเปื้อนราคะกลับมาบริสุทธิ์ดังเดิม แม้เขาจะเคยพยายามลวนลามแต่ก็ไม่เคยทำขนาดนี้ แตะต้องร่างกายด้วยการจูงมือเธอก็บุญไหนแล้วแต่นี่กลับถูกคนที่ซาดิสม์จิตแทบไม่เป็นปรกติฉกชิงไปขั้นหนึ่งรวมกับเรื่องที่ศรีเคยถูกทำร้ายก็โกรธจนไม่รู้จะโกรธอย่างไรแล้ว!!
“พงสณะ…” ศรีกล่าวเบาๆ เธอสังเกตว่าพงสณะกำมือจนเส้นเลือดปูด ด้วยความใจอ่อนและเป็นห่วงเธอจึงยอมแตะต้องร่างกายผู้ชาย มือขาวนวลดุจดอกมะลิจับมือของพงสณะอย่างอ่อนโยน ความอบอุ่นและสัมผัสอ่อนนุ่มจากมือเธอทำให้พงสณะเริ่มสงบ ความตื้นตันในใจบังเกิดเมื่อเห็นว่าศรีเป็นฝ่ายจับมือตนเองก่อน
“เฮ้อ…” พงสณะถอนหายใจ อารมณ์กลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง “ศรีจับมือฉัน… อารมณ์ดีขึ้นเยอะเลยแฮะ” ศรีหน้าแดงเพราะความอาย แม้จะรู้ตัวก็เถอะแต่ถูกย้ำแบบนี้ความอายก็มีมากกว่าเดิม ศรีค่อยๆ ปล่อยมือแต่พงสณะคว้าโอกาสที่มีน้อยนิดกลับมา เขาจับมือเธอแน่นทว่าไม่รุนแรง พงสณะหลุบตามองมือตนเองที่จับมือศรีก่อนจะเอ่ยเบาๆ สีหน้าที่สดใสเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย
“ศรี… เธอรักฉันไหม?”
“ทำไมจู่ๆ ถึงถามล่ะ?”
“ฉันอยากรู้ …ศรี ฉันยอมรับนะว่าตัวฉันมันทะลึ่ง จ้องจะฉวยโอกาสตลอด พูดจาแทะโลม แต่ฉันอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงไม่เคยเหลียวแลฉันเลย” ศรีมองพงสณะอย่างตะลึง น้ำเสียงนั้นไม่มีความเสแสร้ง สิ่งที่เขาพูดมาคือข้อเสียแต่ศรีฟังแล้วไม่ได้รู้สึกรังเกียจ เพราะข้อดีของเขาดีกว่าที่จะให้สนใจข้อเสียงนั่นอีก
“พงสณะ ตอนนี้นายอาจจะรักฉัน แต่พอโตไปมีอะไรเข้ามาใหม่ๆ รวมทั้งผู้หญิงด้วย นายอาจจะเจอที่ถูกใจกว่าตัวฉันก็ได้ ตอนนี้ฉันเลยไม่อยากให้ความหวังกับนายมากเกินไปเพราะกลัวจะทำร้ายนายภายหลัง”
“ถึงเธอไม่ได้ให้ความหวังอย่างทำดีกับฉัน แต่ที่เธอสามารถทำให้ฉันรักได้หัวปักหัวปำแบบนี้มันก็เหมือนทำร้ายฉันแล้ว” บรรยากาศอึดอัด ศรีเหมือนเห็นหมอกดำที่ล้อมรอบให้เหลือเพียงเธอและเขา
“พงสณะ… ฉันน่ะโกรธนายที่ทำแบบนั้นก็จริงแต่ฉันไม่เคยเกลียดเลยนะ …นายรู้ไหม นายเข้ามาอยู่ในใจฉันครึ่งหนึ่งแล้ว” คำนั้นทำให้พงสณะตื้นตันใจจนน้ำตาแทบไหลออกมา ความยินดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนและความสุขที่ท่วมล้นจิตใจทำให้เขายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว …นึกถึงวันวานที่คอยเอาอกเอาใจ ซื้อของให้โดยไม่สนใจว่ามันจะแพงสักเพียงใด ไม่เคยกลัวเจ็บหรือถูกลงโทษยามที่ต้องต่อสู้กับคนที่มาทำร้ายศรี ไม่เคยสนใจที่คนอื่นมองว่าเขาไปรักอสูรแห่งตระกูลวีรสังฆะ
……สิ่งที่พยายามมาและให้ความรักโดยไม่เสื่อมคลายบัดนี้ได้ส่งผลให้คนที่ตนเองรักยอมรับรักเขาครึ่งหนึ่ง แค่ครึ่งก็ยังดี อย่างน้อยก็รู้แล้วว่าศรีมีความรู้สึกนี้กับเขา
“ศรี ฉันสัญญา ต่อให้เธอไม่รักฉันแล้วหรือไปรักคนอื่นฉันก็จะรักเธอ ดูแลเธอตลอดชีวิต ถ้าเธอตายเมื่อไหร่ฉันก็ยินดีที่จะตายไปพร้อมกับเธอและนอนร่วมโลงศพเดียวกัน!” น้ำตาซึมออกมา พงสณะยกมือของศรีขึ้นแนบหน้าตนเองจนศรีไม่ทันสังเกตน้ำตาแต่เธอรู้สึกได้ถึงความอุ่นชื้นที่ซึมสู่ผิว ไม่มีเสียงสะอื้นคร่ำครวญใดๆ มีเพียงแค่ไหล่และร่างที่สั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ตอนนี้พงสณะอยากจะดึงเธอเข้ามากอดด้วยความรักที่เปี่ยมล้น แต่ศรีรักนวลสงวนไม่ค่อยยอมให้ผู้ชายแตะต้องง่ายๆ ตอนนี้ได้แนบหน้ากับมือของเธอก็ดีมากแล้ว
…ศรีมองเขาอยู่เนิ่นนาน ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะมีผู้ชายหลั่งน้ำตาเพราะรักตนเอง เธอแทบจะไม่เชื่อเพราะเวลาเพียง ๓ ปีจะทำให้อีกฝ่ายรักตนเองได้ขนาดนี้และเพียงแค่เธอบอกว่าเขาเข้ามาอยู่ในหัวใจได้เพียงครึ่งก็ดีใจจนต้องร้องไห้เชียวหรือ?
เธอเขยิบเข้าไปหาเขาแล้วลูบหลังเบาๆ กล่าวขอบคุณไม่รู้กี่ครั้งที่ให้ความรักกับเธอมากขนาดนี้ …ขณะนั้นเองก็มีสายตาชิงชังเจือริษยาจากอสุเรนทร์ที่มองมาจากที่ไหนสักแห่ง
.
.
.
พงสณะรู้สึกเหนื่อยอาจเพราะว่าพยายามกลั้นร้องไห้และเหนื่อยใจ ไม่รู้ว่าทำไมแต่เขาเคลิ้มๆ อยากจะหลับ ศรีที่เหม่อมองเพดานลูบศีรษะเขาอยู่นั้นก็หันกลับมาสนใจเขาที่เอนกายนอนบนตักเธอโดยไม่ถามความสมัครใจสักคำ ศรีถอนหายใจ ให้วันนี้หนึ่งวันก็ได้ เห็นแก่ที่เขารักและเอาใจใส่เธอมานานแค่นอนตักจะเป็นไรไป ละความคิดสงวนตัวไว้ก่อนจะลูบศีรษะเขาให้ผ่อนคลาย
ฝนค่อยๆ โปรยลงมาก่อนจะเพิ่มเป็นหยดใหญ่ เสียงน้ำกระทบพื้นที่ตกลงมาราวกับน้ำตาสวรรค์ ศรีรู้สึกอย่างนั้นมากกว่าที่ฝนจะเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ นี่เป็นเพียงจินตนาการ น้ำฝนเปรียบเสมือนน้ำตาแห่งสวรรค์และโชคชะตาราวกับว่าเป็นน้ำตาของคนบนโลกนี้มารวมกัน ดวงอาทิตย์ลับหายเข้าไปในเมฆสีขุ่นเหลือเพียงสีเทา เป็นความหม่นหมองที่น่าหดหู่ทว่าให้ความงดงามยามมันหยุด ศรีนึกถึงหลังฝนตกที่สายรุ้งพาดผ่านฟากฟ้าสีคราม หยดน้ำฝนที่โปรยปรายสายสุดท้ายใสสะท้อนกับแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่เปล่งแสงอบอุ่นมีชีวิตชีวา
ศรีหลับตาก่อนจะค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา สิ่งสุดท้ายที่ประสาทร่างกายรับรู้คือเสียงฝนตกหนักค่อยๆ เบาลงเพราะร่างกายหยุดการรับรู้
ฝนตกหนักจนแทบจะกลบเสียงซอสามสายที่สีบรรเลง พรุ่งนี้ก็วันแข่งแล้ว ซอนึกถึงวันแข่งคัดเลือกก่อนที่จดหมายของผู้ลักมีดจะมาก่อน ๑ สัปดาห์ การแข่งนายิกาในภาคตะวันออกมีด้วยกันทั้ง ๗ จังหวัด และจังหวัดที่ชนะคือชลบุรีซึ่งนางก็คือนายิกาแห่งจังหวัดนี้
อยากรู้จริงว่าอีก ๕ ภาคใครจะได้มาแข่งนะ
“อรัญญิก เจ้าพอจะรู้ไหมว่าอีกนายิกาอีก ๕ ภาคใครได้มาแข่งในรอบนี้?” ซอถามอรัญญิกที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ หญิงสาวถักเปียเงยหน้าขึ้นก่อนจะตอบ
“อุดรภูผาท่านพินทุ ทักษิณวารีท่านอรรณพ ประจิมยอแสงท่านบุษราคัม ส่วนบูรพาพันแสงกับอีสานเตโชยังไม่เปิดเผยเจ้าค่ะ”
“ว่าแต่เจ้าน่ะมิไปฝึกดาบฤ?” ซอถาม อรัญญิกเงียบไปสักพักก่อนจะตอบ “มิมีคู่มือน่ะเจ้าค่ะ”
“ให้เป็นคู่มือมิได้ฤ? ถึงข้าจะมีอาวุธเป็นเครื่องดนตรีแต่อย่างน้อยข้าก็เคยเรียนวิชาดาบนะ” ซอกล่าวอย่างไม่พอใจที่รู้สึกเหมือนว่าตนด้อยความสารมารถ อรัญญิกส่ายหน้าอย่างร้อนรนก่อนจะตอบ
“มิใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่มิอยากให้ท่านซอมีบาดแผลฤๅรอยฟกช้ำก็เท่านั้นเอง”
“เฮ้อ… ฝึกดาบนะมิใช่รบจะได้อันตรายถึงเพียงนั้น ฝนหยุดตกเมื่อไหร่เราจะไปฝึกกัน ตกลงนะ”
“จะ เจ้าค่ะ” อรัญญิกรับคำก่อนจะก้มหน้าหนังสือต่อ ซอยิ้มบางๆ ก่อนจะส่ายหน้าอย่างระอา รองนายิกาของนางช่างเป็นห่วงเป็นใยเสียจริง
ฝนหยุดตกแล้ว หยดน้ำจากฟากฟ้าหยดสุดท้ายสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นประกายดุจดวงดาวยามเช้า สายรุ้งสีจางพาดผ่านน่าหลงใหล ซอเดินไปดูตรงระเบียงแล้วคลี่ยิ้มบาง เมื่อหันกลับไปก็พบว่าอรัญญิกยื่นดาบในฝักมาให้ตนแล้ว ซอรับมาก่อนจะเดินนำหน้าลงจากเรือนไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ