ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
65) บทที่ ๖๕: ช่วงเวลาแห่งความสุข
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๖๕
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ช่วงเวลาแห่งความสุข
มือขาวนวลนั้นเอื้อมมาโอบรอบคออีกฝ่ายเหมือนจะเชื้อเชิญ ช่างขัดกับแววตาที่ฉายความไม่พอใจ เบียดกายเข้ามาแนบชิดจนเขยิบไปนั่งบนตัก ขยับส่วนล่างไหวเบาๆ ทว่าหนักหน่วงเพื่อปลุกอารมณ์ให้กับรองนายิกาตนเอง
“ท่านซอ ข้าขอร้องล่ะเจ้าค่ะ ย่ะ อย่า…”
อรัญญิกเริ่มไหลไปตามน้ำ ท่วงท่าวาบหวาบทำให้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ริมฝีปากร้อนผ่าวนุ่มนิ่มของซอบดขยี้ริมฝีปากอรัญญิก ลิ้นนุ่มอุ่นร้อนไล้เลียไปทั่วโพรงปาก มือข้างหนึ่งดึงโจงกระเบนของอรัญญิกให้หลุดส่วนอีกข้างรวบข้อมืออรัญญิกไว้ไม่ให้หนี น่าแปลกที่แต่ก่อนแรงของอรัญญิกจะมีมากกว่าแต่ทำไมพอถึงเวลานี้ซอถึงได้มีเรี่ยวแรงมากนัก
ที่ผ่านมาแกล้งทำเป็นแรงน้อยเพื่อเก็บไว้ใช้เวลานี้ฤ?
มือที่ดึงโจงกระเบนค่อยๆ ลูบไล้ ใช้เล็บกรีดเบาๆ บนต้นขา ซอถอนริมฝีปากออกแล้วเลื่อนมือไปดึงผ้าที่ทำเป็นตะเบงมานของอรัญญิก จูบแผ่วเบาบนยอดอกแล้วดูดอย่างอ่อนโยน อรัญญิกร้องครางเบาๆ ยิ่งทำให้อารมณ์ของซอพลุกพล่านมากกว่าเดิม ซอผละจากหน้าอก กำข้อมือที่รวบไว้แน่นก่อนจะท่องคาถาเบาๆ ปรากฏยันต์สีดำเลื้อยล้อมรอบข้อมืออรัญญิกเพื่อพันธนาการซอเลื่อนไปไล้เลียช่องทางลับอ่อนนุ่มชื้นๆ
“หยุดเถิดเจ้าค่ะ อ๊ะ อ๊า….!” ซอสอดลิ้นเข้าไปมากกว่าเดิมยิ่งสัมผัสได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่กำลังจะไหลออกมา “ท่าทางเจ้าก็ดูมีความสุขดีนี่” ซอกล่าวหลังจากถอนลิ้นออก เอื้อมมือไปลูบใบหน้าอรัญญิกอย่างรักใคร่
“อารมณ์ของเจ้าตอบสนองดีนี่ ถ้าจะให้ข้าหยุดตอนนี้คงมิทันเสียแล้วล่ะ หึๆ…”
“ท่ะ ท่านซอ…” ซอทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่ายแล้วกลับไปชิมรสหวานจากช่องทางลับ เมื่อหน่ำใจแล้วก็ค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไป
“อื้อ”
อรัญญิกร้องคราง รู้สึกปวดหนึบเพราะแน่นในช่องทางลับ เล็บของซอเผลอไปสะกิดผิวสีแดงนุ่มในช่องนั้นจนอรัญญิกสะดุ้งเล็กน้อย ซอเพิ่มนิ้วเข้าไปอย่างช้าๆ เป็นสามนิ้ว ความรู้สึกเจ็บทรมานทว่าให้ความรู้สึกสุขสมทำให้อารมณ์ปนเปไปหมดจนอรัญญิกต้องหลั่งน้ำตา ซอที่ได้ยินเสียงสะอื้นหยุดทันใด เงยหน้ามองนางผู้เป็นที่รัก เจ็บแปลบๆ ในอกเมื่อเห็นหยาดน้ำใสไหลรินจากดวงตาสีดำ
“ผ่อนคลายสิที่รัก อย่าร้องไห้ไปเลย ตอนนี้อาจจะรู้สึกเจ็บแต่พอผ่านไปเรื่อยๆ จะรู้สึกดีเอง” ซอเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาพลางเอ่ยปลอบอย่างอ่อนโยน ความไม่พอใจที่เคยมีหายไปเหลือเพียงความสงสาร อรัญญิกพยักหน้าและพยายามทำตัวให้ผ่อนคลายเข้าไว้
ซอยิ้มบางๆ ก่อนจะชิมรสหวานอีกครั้ง
.
.
.
เมื่อเสพกามจนสมอารมณ์หมาย อรัญญิกก็แต่งตัวให้ซอและตนเองก่อนจะลงไปทำอาหาร ที่นี่มีวัตถุดิบไม่มากนักเพราะเป็นเพียงเรือนเช่าชั่วคราวเพราะไม่อยู่ถาวร เป็นเรือนแบบภาคกลางเล็กๆ ใต้ถุนไม่สูงเท่าไหร่ สักพักกลิ่นอาหารก็โชยมายั่วกระเพาะก่อนที่ร่างของหญิงสาวถักเปียจะเข้ามาในห้อง อรัญญิกจัดโต๊ะอย่างรีบร้อนเพราะเกรงว่าซอจะหิว นางเปิดฝาออกยิ่งทำให้กลิ่นอาหารลอยอบอวล ก่อนจะเขยิบไปนั่งด้านข้างซอ
ซอตักกับข้าวมาไว้ในจานแล้วทานอย่างเอร็ดอร่อย ดวงตาสีดำเหลือบมองรองนายิกาตนเองอย่างไม่พอใจ
“ทำไมถึงมิทานฤ?”
“รอให้ท่านซอทานเสร็จก่อนข้าถึงจะทานเจ้าค่ะ” อรัญญิกตอบโดยไม่คิดอะไร นางไม่ทันสังเกตว่าทำให้นายหญิงตนเองต้องไม่พอใจอีกครั้ง
“อรัญญิก เจ้าเป็นรองนายิกาและเป็นคนรักของข้า ไยเจ้าถึงทำตัวเยี่ยงเป็นบ่าวกันล่ะ?”
“ข้ามิชินเจ้าค่ะ” อรัญญิกตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ คราวนี้นางจะโดยอะไรอีกก็ไม่รู้ “งั้นก็ทำตัวให้ชินเสียแล้วมาทานบัดเดี๋ยวนี้ถ้าเจ้ามิอยากให้ข้าต้องลงโทษ”
“เจ้าค่ะ” อรัญญิกตอบรับอย่างว่าง่ายทำให้ซอเริ่มสงบใจ เมื่ออรัญญิกตักอาหารเข้าปากซอถึงจะทานต่อ
เมื่อทานอาหารคาวเสร็จก็มาทานอาหารหวานต่อ ซอตักลูกชุบให้อรัญญิกที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวาน ดวงตาสีดำของนางหยาดเยิ้มหวานปานน้ำเชื่อม ทีแรกอรัญญิกเบือนหน้าหนีจะไม่ทานแต่พอเหลือบเห็นน้ำตาที่ปริ่มเพราะซอดัดจริตก็อดไม่ได้จึงต้องรับลูกชุบมาทาน
“อร่อยไหม?”
“อร่อยดีเจ้าค่ะ” พอตอบจบก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก บรรยากาศน่าอึดอัดแบบนี้ซอเกลียดที่สุด รู้สึกโกรธรองนายิกาตนเองที่ไม่เคยคิดจะทำอะไรหวานๆ แบบคนที่เขารักกัน
“อรัญญิก เจ้ารักข้าฤๅไม่?” น้ำเสียงเย็นเยียบทำให้อรัญญิกหวาดหวั่น รู้สึกถึงลางไม่ดี คำถามนั้นแฝงความน้อยใจ อรัญญิกยิ้มบางๆ ก่อนจะกอดอีกฝ่าย
“รักสิเจ้าคะ”
“ไฉนเจ้าถึงมิเคยจะทำอะไรแบบที่คนรักเขาทำกัน? ข้าเองก็เหงาเป็นเป็นเหมือนกันนะ ตั้งแต่เด็กข้าก็ต้องเคร่งครัดแต่การเล่นดนตรี ตอนนี้ข้าโตแล้วเรื่องดนตรีก็ศึกษาจนแตกฉาน ข้าอยากทำอะไรสมใจอยากบ้าง”
คำตัดพ้อทำให้อรัญญิกใจเสีย สงสารอีกฝ่ายที่น้ำตาเริ่มหยดจากตา คราวนี้ซอไม่ได้ดัดจริตแต่มันแสดงออกมาจากจิตใจจริงๆ มือขาวออกคล้ำของอรัญญิกไล้นิ้วมือเช็ดน้ำตาแผ่วเบาให้ความรู้สึกอ่อนโยนจนตื้นตัน
“เอาอย่างนี้นะเจ้าคะ ข้าจะพยายามตาใจท่านซอ …ส่วนเรื่องบนเตียงนั้น… ไว้คดีจบลงเมื่อไหร่ก็ทำกันนะเจ้าคะ”
“สัญญานะ”
“สัญญาเจ้าค่ะ” อรัญญิกยื่นนิ้วจะเกี่ยวก้อยสัญญา ซอยื่นนิ้วมาเกี่ยวแล้วกอดอรัญญิกแน่น อรัญญิกยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางกอดตอบ
มีเสียงถอนหายใจจากหญิงสาวผมยาวสีดำสนิทเกล้าเป็นมวยสูงปล่อยที่เหลือลงมาพลิ้วถึงเอว เส้นผมส่วนหนึ่งโผล่พ้นจากมวยผมมีปิ่นใบพายสีเงินและปิ่นปักผมอีกสองอันประดับด้านขวา ดวงตาเรียวดุจหงส์คมเข้มพอกรีดอายไลเนอร์ปัดยาวยิ่งเพิ่งเสน่ห์ตรงนี้ขึ้นอีก นางสวมผ้าคาดหน้าอกสีม่วงปล่อยชายผ้าที่เหลือลงมีมีเส้นไหมแถมท้าย ผ้าถุงสีม่วงที่มีจีบหน้านางนั้นผ่าข้างและผ่ากลางส่วนหลังเผยให้เห็นเรียวขาที่ปกผิดรางๆ ด้วยถุงน่องตาข่ายสีดำ ต้นขานั้นมีปืนยึดติดอยู่สองข้าง สร้องสังวาลย์นั้นมีลูกกระสุนประดับรวมกับอัญมณี พาหุรัดฝังลูกกระสุนตรงต้นแขน เข็มขัดสองเส้นมีลูกกระสุนอยู่ด้วย
งานแข่งนายิกานางจะหนีก็ไม่ได้ด้วยสิเพราะจะเป็นการเสียเกียรติแต่ถ้าจะให้ห้ำหั่นกับนายิกาที่ตนเองเคยรู้จักนางก็รู้สึกไม่ดีเลย
หญิงสาวชื่อบุษราคัม พัชรไพฑูรย์ นางกำลังเดินเล่นแก้เบื่อ เพิ่งคิดได้ว่าลูกสาวบุญธรรมของตนกำลังทำอาหารจึงมุ่งเดินไปวางแผนจะแกล้งให้ตกใจเล่น บุษราคัมแง้มประตูเบาๆ แล้วหยิบปืนสลักลวดลายกนกไทยตรงด้ามจับ เล็งไว้ให้เฉียดๆ ร่างเป้าหมาย
ปัง!
ลูกกระสุนถูกยิงเกือบจะเฉียดร่างเป้าหมายไปทะลุผนังที่ทำจากไม้หลังจากนั้นก็มีอีกเสียงดังขึ้น
“อ๊ะ!”
เสียงหวานใสอุทาน มีดที่กำลังแกะสลักผลไม้เผลอบาดนิ้วเพราะเมื่อครู่สะดุ้งด้วยความตกใจ ผู้เป็นแม่เห็นลูกสาวตนเองบาดเจ็บก็เปิดประตูเข้าไปหาอย่างร้อนรน หญิงสาวรูปหน้ามนเยาว์วัยช้อนดวงตาคู่ใสมองผู้เป็นแม่ นางแต่งกายด้วยสไบสองข้างผิดแผกการแต่งกายชุดไทยที่สวมสไบข้างเดียว ผ้าถุงที่มีจีบหน้านางยาวถึงเข่าด้านหน้าทำเป็นรูปสามเหลี่ยมเผยให้เห็นขาท่สวมกางเกงสีดำ ผมยาวสีน้ำตาลถูกเกล้าเป็นจุกสองข้างหลวมๆ แบ่งเป็นครึ่ง เกล้าผมส่วนหนึ่งเป็นมวยประดับด้วยดอกไม้
บุษราคัมจับมือลูกสาวมาดูด้วยความเป็นห่วงอีกใจรู้สึกผิดที่ทำให้ลูกตนต้องบาดเจ็บ
“แม่ขอโทษนะ” บุษราคัมประคองลูกตนไปล้างแผล ลูกของนางแสดงสีหน้ารู้สึกผิดพลางเอ่ย
“มิเป็นไรดอกเจ้าค่ะ ลูกเองก็น่าจะชินแล้วที่ท่านแม่ใช้ปืนเป็นอาวุธที่ต้องมีเสียงดังๆ เกิดขึ้น แต่เพียงนัดเดียวลูกก็ตกใจ ฉะนั้นแล้วเป็นความผิดของลูกเองเจ้าค่ะ”
“อย่าพูดเช่นนั้นเลย เป็นความผิดแม่เองแหละ” กล่าวไปก็เช็ดแผลไปก่อนจะไปหยิบขวดแอลกอฮอล์มาฆ่าเชื้อโรคและพลาสเตอร์มาติด พอรักษาแผลเสร็จแล้วลูกสาวของนางก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะกอดแม่อย่างออดอ้อน ท่าทางนั้นทำให้บุษราคัมเอ็นดูอดจะลูบศีรษะเสียไม่ได้
“ท่านแม่หิวฤๅยังเจ้าคะ เมื่อครู่ลูกกำลังตกแต่งอาหารเตรียมมื้อเช้าพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
“แม่หิวแล้วล่ะ ว่าแต่บ่าวหายไปไหนกันหมดถึงกล้าให้ลูกแม่ต้องมาทำครัวเช่นนี้ ฮึ? อรุโณทัย??” ผู้เป็นลูกสาวเจ้าของนามอรุโณทัยอ้ำๆ อึ้งๆ นางปกปิดความลับเอาไว้ไม่อยากเล่าให้แม่ตนเองทราบ
“คือ…”
“บอกแม่มา ถ้าลูกมิบอกแม่มิรักแล้วนะ” อรุโณทัยทราบดีว่าแม่ของตนนั้นรักนางมากเพียงใด ปากว่าจะไม่รักแต่ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความอาทรรักใคร่แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะกล้าไม่บอกเพราะแววตานั้นทำให้นางยิ่งรู้สึกผิดที่ต้องโกหกผู้ที่รักตนเองยิ่งกว่าอะไร ทั้งสองเงียบไปสักพักในที่สุดอรุโณทัยก็ตอบ
“ถ้าบอกแล้วต้องลงโทษลูกนะเจ้าคะ”
“ทำไมกันล่ะ?”
“ก็ทั้งๆ ที่แม่มิอยู่แต่ลูกกลับปล่อยให้บ่าวหยุดงานหนึ่งวันเพื่อไปเที่ยวเล่น …ลูกมิมีความรับผิดชอบเพราะฉะนั้นลงโทษลูกเถิดเจ้าค่ะท่านแม่ ที่ทำไปลูกเพียงแค่อยากให้บ่าวได้พักผ่อนบ้างเจ้าค่ะ” ดวงตาอ่อนหวานฉายความรู้สึกผิดนั้นทำให้ผู้เป็นแม่ใจอ่อนยวบ พิจารณาว่าควรจะทำอย่างไรและแล้วนางก็ได้ข้อสรุป
“แม่จะมิลงโทษใครทั้งนั้น แม่เองก็มิได้ให้บ่าวหยุดทำงานตั้งนานจะหยุดสักวันหนึ่งก็มิเป็นไรดอก”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” บุษราคัมลูกศีรษะอรุโณทัยอย่างอ่อนโยนก่อนจะชวนทำอาหารต่อโดยที่อรุโณทัยนั้นลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ บุษราคัมหันหลังไปต้มผักจึงมองไม่เห็น อรุโณทัยมองแม่ตนเองอย่างรักใคร่ ไม่ใช่ความรักแบบครอบครัวแต่เป็นความรักแบบเชิงชู้สาว
หึๆ ท่านแม่ใจอ่อนเสียจริง ที่ลูกบอกว่าอยากให้บ่าวพักผ่อนมิจริงเสียหน่อยเพราะลูกอยากอยู่กับท่านแม่สองต่อสองต่างหากล่ะ!
คิดเรื่องอกุศลที่จะได้นอนบนเตียงบรรเลงเพลงรักด้วยกันไปพลางจูบพลาสเตอร์ที่แม่ตนเองติดให้แล้วหยิบมีดแกะสลักผลไม้มาไล้เลียเช็ดคราบเลือดก่อนจะแกะสลักต่อ
มื้อเช้านี้สองแม่ลูกก็นั่งทานอาหารลำพังแต่ทั้งสองไม่กังวลว่าจะมีใครทำอะไรเพราะมีวิชาการต่อสู้ บรรยากาศเย็นอุ่นเล็กน้อยไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไปให้ความรู้สึกสดชื่น ได้ยินเสียงน้ำค้างจากที่ไหนสักแห่งหยดลงดังติ๋งๆ พร้อมกับเสียงนกร้องผสมผสานเป็นดนตรีธรรมชาติร่มรื่น พอไม่มีใครอยู่แล้วอรุโณทัยก็รู้สึกว่าสงบ นางคิดว่าถ้าทานอาหารแล้วรอให้กระเพาะย่อยเสร็จจะนอนหนุนตักแม่ให้สมใจอยาก
“อรุโณทัย งานแข่งนายิกาลูกยังจำได้ไหม?”
“จำได้เจ้าค่ะ …พรุ่งนี้ก็แข่งแล้วสินะเจ้าคะ ……จะว่าไปที่เราสามารถชนะนายิกาและรองนายิกาอีก ๕ จังหวัดก็น่าเหลือเชื่อจังเลยเจ้าค่ะ”
“แหม มิมีอะไรเกินความสามารถเราสองแม่ลูกดอก แม่ว่านายิกาภาคอีสานเตโชน่าสุดยอดมากกว่า จังหวัดมีมากกว่าภาคไหนๆ นายิกาและรองนายิกาก็พลอยมีมากไปด้วย การจะคัดเลือกก็ต้องยากขึ้น แสดงว่าผู้ที่ชนะจะต้องแข็งแกร่งมากๆ เลย”
“ท่านแม่… ทำไมถึงกล่าวเหมือนว่าเราด้อยกว่าเขาล่ะเจ้าคะ?” อรุโณทัยถามอย่างเป็นห่วงแฝงความไม่พอใจที่แม่ของตนกล่าวเหมือนดูถูกตนเอง
“มิใช่อย่างนั้นดอกแม่เพียงแค่ชื่นชม ลูกอย่าคิดมากเลย” บุษราคัมกล่าวอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มหวานบางทำให้อรุโณทัยคลายความไม่สบายใจ นางมองข้าวในจานสีขาวผ่องเป็นข้าวมะลิคัดสรรอย่างดี เมล็ดข้าวนั้นส่งมาจากนายิกาแห่งจังหวัดลพบุรีซึ่งอยู่ในภาคกลางพอนึกได้อย่างนั้นอรุโณทัยจึงชวนคุยอีกครั้ง
“อืม… จะว่าไปเราก็มิค่อยไปเยี่ยมท่านธัญเลยเจ้าค่ะ”
“ธัญ? …นายิกาแห่งจังหวัดลพบุรี… จริงด้วยสิ ทั้งๆ ที่นางมอบข้าวแก่เราแต่เรากลับมิค่อยตอบแทนเลย” บุษราคัมนึกถึงหญิงสาวสวมชุดแขนกระบอกสีน้ำเงินเข้มนุ่งโจงกระเบนสีดำ สวมงอบ มีเคียวผมสีดำเหลือบน้ำตาลเข้มลอนหยักศก ดวงตาฉายความอ่อนโยน สงบทว่าขณะเดียวกันก็ดุดันเข้มแข็ง
“งั้นเราไปเยี่ยมหลังจากงานแข่งจบเลยดีไหมเจ้าคะ?”
“ดีเลย ถึงคราวนั้นซื้อของฝากด้วยดีกว่า” พอกล่าวจบบุษราคัมก็ตักอาหารให้ลูกของตน อรุโณทัยยิ้มบางๆ ก่อนจะตักให้บ้าง แล้วทั้งสองก็ทานต่ออย่างมีความสุข
…โดยไม่สนใจว่าภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ