ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.51K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
64) บทที่ ๖๔: พิณเปี๊ยะกังวานท่ามกลางดอกพญาเสือโคร่ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๖๔
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
พิณเปี๊ยะกังวานท่ามกลางมายาดอกพญาเสือโคร่ง
ข้าเคยนึกเปรียบเทียบระหว่างนิยายกับชีวิตจริง
หากไม่มีเรื่องราวในโลกแห่งความเป็นจริงนิยายก็คงไม่อาจมี สำหรับข้า… ในความคิดของข้านะ นิยายมันก็คือการเล่าเรื่องกรรมของทุกสรรพสิ่ง
กรรมดี กรรมชั่ว มันล้วนทุกตัดสินเป็นตัวดำเนินชีวิต ไม่สิ ยังไม่ถูกต้องนัก โชคชะตา ต่างหากที่เป็นตัวดำเนิน กรรมก็แค่สิ่งที่ควบคุมว่าจะต้องทำเพื่อชดใช้กับสิ่งที่ตนทำ
กิเลส คือบ่อเกิดของการกระทำ ในที่นี้อย่าไปนึกถึงการทำงานของสมองฤๅจิตใจล่ะ แม้คนเราจะทำความดีเพียงใด สุดท้ายหากไม่สามารถละกิเลสได้ก็อย่าหวังเลยว่าจะนิพพาน
ข้าเคยคิดจะล้างสวรรค์ ล้างนรก แต่สุดท้ายก็เพิ่งตระหนักได้ว่าต่อให้ทั้งสองนี้หายไปก็มิอาจหลีกหนีกรรมกับโชคชะตาได้อยู่ดี ถึงทำไปก็คงเหมือนวักน้ำมาไว้ในมือแล้วค่อยๆ หายไป ข้าเคยเห็นมนุษย์ก่นด่าผู้สร้างอย่างพระเจ้าที่สร้างทุกสรรพสิ่ง ข้าคิดว่าท่านจะเสียใจไหมที่ผู้คนที่ตนเองอุตส่าห์สร้างทำร้ายภายหลัง ฤๅจะคิดเพียงว่าอย่างไรสรรพสิ่งก็หนีการเกิดมิได้เลยสร้างโดยมิมีความรู้สึก
……อย่างนี้เองฤ? สิ่งที่มองเห็นแล้วหวาดกลัวในโลกแห่งความตายอย่าง ต้นงิ้ว กระทะทองแดง อะไรก็ตามแต่ในขุมนรกก็มิน่ากลัวเท่า กรรมกับโชคชะตาที่มองมิเห็นอยู่ดี
สำหรับข้า………… โชคชะตาน่ากลัวที่สุดแล้ว โชคชะตาคือผู้แต่ง แต่เป็นผู้แต่งที่แต่งต่อไปได้มิมีหยุด
อา… นิยายมิรู้จบคือชีวิตของมนุษย์เองสินะ ต่อให้โลกล่มสลาย นรกและสวรรค์พังทลาย นิยายก็จะดำเนินต่อไปโดยมิมีคำว่าจบ
และแล้ว… โลกนี้ก็เป็นเพียงหน้ากระดาษแผ่นหนึ่ง บรรจงเขียนถักทออักษรเพื่อประจานกรรมของสรรพสิ่ง …มีทั้งสุข เศร้า โกรธ โลภ หลง รัก แค้น ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ธรรมดา แต่น้อยคนนักที่จะหยุดน้ำหมึกหลากสีนี้ได้ หลังจากตายไปสรรพสิ่งก็จะลงสู่นรกผิดกับที่มนุษย์บอกว่าไปสู่สุขคติ มัจจุราชเปิดหน้านิยาย ไหนดูซิ โชคชะตาแต่งว่าอย่างไร? มัจจุราชเหมือนผู้ตรวจสอบเนื้อหาหนังสือในปัจจุบันเลย ถ้าเนื้อเรื่องดีก็จะเก็บไว้ถ้ามิดีก็จะคัดทิ้ง ผู้ที่ดีแล้วก็จะได้ขึ้นสวรรค์เป็นที่ยอมรับของผู้อ่าน แต่ถ้ามิดีก็จะทิ้ง ลงไปขุมนรก อย่าให้ได้ออกมาเป็นที่มิชอบแก่ผู้อ่าน
ข้าแทบมิมีความรู้สึกแล้ว เพราะทั้งหมดที่กล่าวมามันก็ดำเนินมาหลายล้านปี มากกว่านั้นเสียอีก
เอาล่ะ ข้าจะรอดูตอนจบของนิยายละกันนะ
อ้อ ก่อนลาจาก …ระวังโชคชะตาลืมตรวจนิยายด้วยล่ะ ตัวละครอย่างเราประเดี๋ยวโดนคัดทิ้งพร้อมหน้ากระดาษมิรู้ด้วยนะ…
หากที่กล่าวผิดพลาดไป ก็อย่าติเตียนกันเลย
เสียงแหบแห้งในความฝันเป็นเสียงเดียวกับที่รวมตัวเป็นควัน ข้อเท็จจริงชีวิตมนุษย์กล่าวเหมือนจะตลกแต่ก็ไม่ตลก ศรีลืมตาตื่น มองไปรอบๆ ที่เป็นสีดำ เห็นภาพสิ่งต่างๆ ในห้องรางๆ
เรื่องในความฝันมันหมายความว่าอย่างไร?
ศรีเองก็เข้าใจแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงกล่าวเรื่องนี้?
เคร้ง!
ได้ยินเสียงของมีคมปะทะกันดังแว่วมา ศรีก็อดกังวลไม่ได้คิดจะไปดูว่ามีเรื่องอะไรกัน ตัดสินใจออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ไม่อยากสร้างความรบกวนให้ตื่นและถ้าอสุราตื่นเธอก็คงไม่ได้ไปแน่
พออยู่ในสถานที่อื่นศรีจะนุ่งผ้าถุงใส่กางเกงไว้ข้างในกับเสื้อยืดสีขาว เลยไม่ค่อยรู้สึกหนาวกับอากาศภายนอกตอนกลางคืนเพราะเนื้อผ้าหนากว่าชุดนอน เดินไปตรงบริเวณหลังเรือนหลักก็พบหญิงสาวสองคนยื่นอาวุธหมายจะปลิดชีพอีกฝ่าย
มณฑายื่นพัด ๒ เล่ม ที่มีแท่งเหล็กบาง ๕ อันยื่นออกมา ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นที่ยึดผ้าพัดและอาวุธ พินทุยื่นด้ามจับร่มที่มีแท่งเหล็กยื่นออกมาเช่นกัน ศรีหลบอยู่หลังต้นไม้ พยายามควบคุมการหายใจไม่ให้ทั้งสองได้ยิน พินทุหันไปมองทางที่ศรีอยู่ เธอสะดุ้งกลัวโดนจับได้แต่เมื่อพินทุหันกลับไปมองเป้าหมายศรีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าออมมือให้ฉัน พูดอะไรมิเคยจะฟัง!”
“เบาๆ หน่อย ประเดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินดอก” มณฑาเบ้หน้าเล็กน้อยด้วยความรังเกียจกับรอยยิ้มหวานเคลือบพิษของพินทุ
“ฮึ!” มณฑาแค่นเสียงด้วยความไม่พอใจ
“…” พินทุเงียบเพื่อรอว่ามณฑาจะเอ่ยอะไรต่อ “แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ฉันจะแข็งแกร่ง”
“ความแข็งแกร่งมิจำเป็นว่าต้องชนะโดยการแต่งสู้แต่มันอยู่ที่ใจต่างหาก”
“ใจ?” มณฑาทวนคำ พินทุพยักหน้าก่อนจะเอ่ย “คนเราจะทำอะไรความรู้สึกมักจะมาก่อนเสมอ บางคนลงมือทำด้วยความรู้สึก ยามท้อแท้แทบจะมิมีแรงทำอันใด เพราะฉะนั้น… หากใจมิเข้มแข็งพอมันก็เท่านั้นแหละ” มณฑาหลุบตาลง เรื่องนี้นางเองก็รู้ตัวมาตลอด แต่อย่างว่าแหละ จิตใจคนเรานั้นบังคับยาก สิ่งที่ทำได้คือกาย โดยที่ไม่รู้ตัว พินทุก็ขึ้นไปนั่งบนกิ่งต้นไม้ ร่มบ่อสร้างที่เคยเป็นอาวุธบัดนี้ถูกใช้เป็นที่บัง เงาของร่มทับใบหน้าจนเห็นเพียงเลือนราง
…ภาพนั้นทำให้มณฑานึกถึงตอนที่ตนเองพบกับพินทุครั้งแรก
ในตอนนั้น ต้นพญาเสือโคร่งผลิดอกสีชมพูอ่อนหวาน ต้นที่สูงใหญ่จนต้องแหงนหน้ามองนั้นบดบังท้องฟ้าไปส่วนหนึ่ง ราวกับจะขังไว้ในมายาแห่งความงามไว้ให้แก่ผู้ที่มาเยือน พินทุนั่งบนกิ่งพญาเสือโคร่งพลางบรรเลงพิณเปี๊ยะ ๔ สาย เสียงใสกังวานอ่อนหวาน ราวกับน้ำค้างที่หยดลงบนใบไม้ยามรุ่งอรุณ น่าแปลกที่นั่งสูงขนาดนั้นแต่มณฑาในตอนนั้นกลับได้ยินชัดเจน
ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงลมพัดมาเบาๆ และเสียงพิณเปี๊ยะที่ไพเราะจับใจ
มณฑายังไม่ลืมภาพนั้น …งดงามเหลือเกิน
“เป็นอันใดฤ?”
“ก็มิมีอันใดเป็นพิเศษดอก แค่นึกถึงครั้งแรกที่เราเจอกัน” มณฑาได้สติกลับมาเมื่อพินทุถามแล้วเก็บอาวุธ พินทุหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ฟังคำตอบนั้น นางอัญเชิญพิณเปี๊ยะออกมาราวกับรู้ใจอีกฝ่าย “อยากฟังใช่ฤๅไม่?”
“ทำไมจึงรู้?”
“ตาเจ้ามันฟ้อง” คำพูดนั้นช่างอ่อนโยนนัก พินทุกวักมือเรียกมณฑาให้เข้ามานั่งด้วยกัน เมื่อมณฑามาแล้วก็บรรเลงพินเปี๊ยะ ๔ สาย
ศรีมองอย่างไม่เข้าใจ จากตอนแรกที่เหมือนจะฆ่ากันอยู่ดีๆ ก็นั่งด้วยกันเฉยเลย แต่เสียงใสของพิณเปี๊ยะทำให้เธอลืมความสงสัย ฟังเงียบๆ
ทั้งสองคงกำลังรำลึกความหลังกระมัง
ศรีคาดจากการสนทนาเมื่อครู่
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด พิณเปี๊ยะก็บรรเลงใกล้จะจบแล้ว เสียงเหมือนน้ำไหลนั้นทำให้ศรีเคลิ้มจะหลับทั้งยืน จู่ๆ พินทุที่รู้แต่ที่แรกก็หยุดบรรเลงดึงความสนใจให้ศรีตาสว่างกว่าเดิม เธอลอบมองเผอิญสบตากับพินทุที่มองลงมาพอดี
“เด็กดี เจ้ายังมินอนอีกฤ?”
“ท่ะ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าหนูอยู่”
“พลังวิญญาณน่ะ” ศรีตะลึง ไม่คิดว่าจะถูกจับได้ด้วยวิธีนั้น นางยิ้มอย่างอ่อนโยน มณฑาหันไปมองตาม ตามจริงนางเองก็รู้แล้วว่าศรีอยู่ที่นี่แต่ไม่อยากสนใจเลยเมินเฉย
“กลับไปนอนเสีย” มณฑายิ้มบางๆ ศรียกมือไหว้ก่อนจะเดินจากไป
มณฑาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายพลางยิ้มด้วยความเอ็นดูมองร่างเล็กจนลับสายตาไปในความมืด
“เจ้ารู้สึกคุ้นหน้าเด็กคนนี้ไหม?”
“ศรีน่ะฤ?” มณฑาขมวดคิ้ว พินทุถามแบบนี้แสดงว่ามณฑาต้องเคยเจอศรีแน่ “ชาติที่แล้วศรีเกิดมาเคยคุยเล่นกับเจ้าน่ะ อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้”
“มีเรื่องในวัยเยาว์เสียมากมาย กับเรื่องคนๆ ผ่านก็เป็นสิบๆ ปี ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ใครจะจำได้กันเล่า แถมข้ายังอายุยืนมิเหมือนศรีนี่” พอนึกทบทวนอดีตมณฑาก็เริ่มจำได้ แต่เห็นภาพไม่ชัด
“น่าเสียดายจัง นั่นน่ะ… ตัวเอกในนิยายเลยนะ”
พินทุกล่าวเปรียบเทียบ กระนั้นนางก็ไม่ใช่คนในความฝันของศรีหรอกนะ มณฑาถอนหายใจ มีเรื่องมากมายเข้ามาในชีวิต ยิ่งตอนนี้ดึกแล้วยิ่งไม่อยากมานั่งใช้สมองนึกอีก มณฑากระโดดลงจากต้นไม้ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้นายิกาประจำจังหวัดเชียงใหม่นั่งเดียวดาย
วันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
เช้า
อรัญญิกที่นั่งทำความสะอาดดาบมองนางผู้เป็นที่รักอย่างเป็นห่วง นึกถึงเหตุการณ์ที่มณฑาแก้แค้น มือขาวคล้ำของนางเอื้อมไปลูบใบหน้าขาวนวลของซอ จู่ๆ เจ้าตัวก็ลืมตาตื่นและกุมมือของอรัญญิกแนบชิดกับแก้มตนเอง
“อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ” อรัญญิกตอบอย่างอ่อนโยนก่อนจะถาม “หิวฤๅยังเจ้าคะ? ข้าจะได้ไปทำมาให้”
“หิวแล้ว” ดวงตาของซอวาวโรจน์อย่างกระหายช่างขัดกับน้ำเสียงนุ่มนวลนัก อรัญญิกไม่ได้สังเกตถึงแววตานั้นจึงถามอย่างไม่รู้สึกอะไร
“จะรับอันใดฤๅเจ้าคะ?”
“เจ้า”
“ขะ ข้าน่ะฤๅเจ้าคะ?”
อรัญญิกเริ่มมีท่าทีไม่วางใจ เพราะคำถามนั้นบวกกับที่ซอเขยิบมานอนบนตักของแล้วคลอเคลียเหมือนจะยั่ว อรัญญิกถือวิสาสะยกศีรษะซอก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นเพื่อไปทำอาหารเพราะเกรงอีกฝ่ายหิวและกลัวโดนทำเรื่องกาม ไม่ทันจะเดินถึงประตูอรัญญิกกลับเดินไม่ได้ เสียงซอสามสายกังวานแต่ในความรู้สึกของอรัญญิกแล้วช่างแหลมนักเมื่อเทียบกับพิณเปี๊ยะ เสียงซอสามสายสะกดนางให้หยุด ร่างกายสั่นเพราะพยายามจะขยับตัวแต่ไม่ได้ผล ซอยิ้มเย็นออกมาทำให้อรัญญิกที่เหลือบมามองขนลุกซู่
“ใจร้ายจังนะ ทั้งๆ ที่ข้าเพิ่งผ่านเหตุการณ์นั้นมินานแต่เจ้ากลับทำเช่นนี้ฤๅ? อรัญญิก” ซอตัดพ้อแต่ในแววตาไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“ท่านซอ นี่เพิ่งอรุณเองนะเจ้าคะ” อรัญญิกกล่าวด้วยความลำบากใจ นายท่านทำให้นางหนักใจอีกแล้ว
“ใครสนล่ะ”
ซอหยุดบรรเลงก่อนจะลุกขึ้น เดินมาหาอรัญญิกแล้วลูบใบหน้าอย่างรักใคร่ก่อนจะจูบเบาๆ อรัญญิกขยับตัวได้แล้ว ทีแรกพยายามจะดันอีกฝ่ายให้ห่างเพื่อหยุดแต่ความรู้สึกมีมากกว่าสติมือของนางจึงเผลอรั้งร่างของซอเข้ามาแนบชิดแล้วจูบตอบบ้าง สัมผัสนุ่มนวลอุ่นร้อนทำให้สติเตลิดมากไปอีก ซอถอนจูบออกก่อนจะเอ่ย
“อรุณนี้… เรามาเป็นหนึ่งเดียวกันนะ” คำนั้นทำให้อรัญญิกหน้าแดง เพราะนี่เพิ่งจะเช้าเอง และอีกอย่างตั้งแต่ทำงานมาด้วยกันก็ทั้งสองก็ไม่เคยร่วมเตียงระบายความใคร่แม้แต่ครั้งเดียว
“คงมิได้…” ไม่ทันตอบจบ ซอก็เหวี่ยงร่างอรัญญิกให้นอนกับพื้น อรัญญิกรีบถอยหลังด้วยความหวาดกลัว จู่ๆ จะมาหื่นอะไรต่อนี้นะ? อรัญญิกถอยจนติดผนัง นางอยู่บนฟูกที่นอน …ติดกลับเสียแล้วล่ะ
“ท่านซอ!” อรัญญิกเอ่ยเสียงดัง เมื่อนายหญิงของตนดึงผ้าคาดหน้าอกลง เผยให้เห็นหน้าอกขาวนวลผุดผ่องยองใย ยอดอกสีอ่อนหวานน่าลิ้มรส อรัญญิกลอบกลืนน้ำลายอารมณ์เริ่มเตลิด สติแทบไม่อยู่กับตัว ภาพตรงหน้ามันช่างล่อตาล่อใจเสียจริง
“เรายังมิได้แต่งงานกันเลยนะเจ้าคะ!”
“หุบปาก” ซอเอ่ยเสียงแข็ง อรัญญิกชะงักทันใด “…”
“แต่งแล้วทำไม? มันจำเป็นด้วยฤ?”
“มิใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ เราเองก็อายุเป็นร้อยๆ ปีแล้วนะเจ้าคะ” ซอไม่ฟังอะไร ถอดเครื่องแต่งกายออกจนไม่เหลือแม้แต่อย่างเดียว อรัญญิกรู้สึกเหมือนเลือดกำเดาจะไหล นางส่ายหน้าไล่ความคิดไม่ดีออกไปแล้วหยิบผ้าจะคลุมกายไม่ให้นายหญิงตนเองเปลือย
“อรัญญิก เจ้าอยากลองดีนักใช่ไหม?”
------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ ๖๔ ลองใส่เพลงซึ่งเป็นเสียงดนตรีพิณเพี๊ยะ ๔ สาย ด้วยความที่หนูชอบและอยากให้ผู้อ่านนึกเสียงของพิณเพี๊ยะออกเลยใส่ค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=b0EO_hlCM8Q
------------------------------------------------------------------------------------------------
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
พิณเปี๊ยะกังวานท่ามกลางมายาดอกพญาเสือโคร่ง
ข้าเคยนึกเปรียบเทียบระหว่างนิยายกับชีวิตจริง
หากไม่มีเรื่องราวในโลกแห่งความเป็นจริงนิยายก็คงไม่อาจมี สำหรับข้า… ในความคิดของข้านะ นิยายมันก็คือการเล่าเรื่องกรรมของทุกสรรพสิ่ง
กรรมดี กรรมชั่ว มันล้วนทุกตัดสินเป็นตัวดำเนินชีวิต ไม่สิ ยังไม่ถูกต้องนัก โชคชะตา ต่างหากที่เป็นตัวดำเนิน กรรมก็แค่สิ่งที่ควบคุมว่าจะต้องทำเพื่อชดใช้กับสิ่งที่ตนทำ
กิเลส คือบ่อเกิดของการกระทำ ในที่นี้อย่าไปนึกถึงการทำงานของสมองฤๅจิตใจล่ะ แม้คนเราจะทำความดีเพียงใด สุดท้ายหากไม่สามารถละกิเลสได้ก็อย่าหวังเลยว่าจะนิพพาน
ข้าเคยคิดจะล้างสวรรค์ ล้างนรก แต่สุดท้ายก็เพิ่งตระหนักได้ว่าต่อให้ทั้งสองนี้หายไปก็มิอาจหลีกหนีกรรมกับโชคชะตาได้อยู่ดี ถึงทำไปก็คงเหมือนวักน้ำมาไว้ในมือแล้วค่อยๆ หายไป ข้าเคยเห็นมนุษย์ก่นด่าผู้สร้างอย่างพระเจ้าที่สร้างทุกสรรพสิ่ง ข้าคิดว่าท่านจะเสียใจไหมที่ผู้คนที่ตนเองอุตส่าห์สร้างทำร้ายภายหลัง ฤๅจะคิดเพียงว่าอย่างไรสรรพสิ่งก็หนีการเกิดมิได้เลยสร้างโดยมิมีความรู้สึก
……อย่างนี้เองฤ? สิ่งที่มองเห็นแล้วหวาดกลัวในโลกแห่งความตายอย่าง ต้นงิ้ว กระทะทองแดง อะไรก็ตามแต่ในขุมนรกก็มิน่ากลัวเท่า กรรมกับโชคชะตาที่มองมิเห็นอยู่ดี
สำหรับข้า………… โชคชะตาน่ากลัวที่สุดแล้ว โชคชะตาคือผู้แต่ง แต่เป็นผู้แต่งที่แต่งต่อไปได้มิมีหยุด
อา… นิยายมิรู้จบคือชีวิตของมนุษย์เองสินะ ต่อให้โลกล่มสลาย นรกและสวรรค์พังทลาย นิยายก็จะดำเนินต่อไปโดยมิมีคำว่าจบ
และแล้ว… โลกนี้ก็เป็นเพียงหน้ากระดาษแผ่นหนึ่ง บรรจงเขียนถักทออักษรเพื่อประจานกรรมของสรรพสิ่ง …มีทั้งสุข เศร้า โกรธ โลภ หลง รัก แค้น ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ธรรมดา แต่น้อยคนนักที่จะหยุดน้ำหมึกหลากสีนี้ได้ หลังจากตายไปสรรพสิ่งก็จะลงสู่นรกผิดกับที่มนุษย์บอกว่าไปสู่สุขคติ มัจจุราชเปิดหน้านิยาย ไหนดูซิ โชคชะตาแต่งว่าอย่างไร? มัจจุราชเหมือนผู้ตรวจสอบเนื้อหาหนังสือในปัจจุบันเลย ถ้าเนื้อเรื่องดีก็จะเก็บไว้ถ้ามิดีก็จะคัดทิ้ง ผู้ที่ดีแล้วก็จะได้ขึ้นสวรรค์เป็นที่ยอมรับของผู้อ่าน แต่ถ้ามิดีก็จะทิ้ง ลงไปขุมนรก อย่าให้ได้ออกมาเป็นที่มิชอบแก่ผู้อ่าน
ข้าแทบมิมีความรู้สึกแล้ว เพราะทั้งหมดที่กล่าวมามันก็ดำเนินมาหลายล้านปี มากกว่านั้นเสียอีก
เอาล่ะ ข้าจะรอดูตอนจบของนิยายละกันนะ
อ้อ ก่อนลาจาก …ระวังโชคชะตาลืมตรวจนิยายด้วยล่ะ ตัวละครอย่างเราประเดี๋ยวโดนคัดทิ้งพร้อมหน้ากระดาษมิรู้ด้วยนะ…
หากที่กล่าวผิดพลาดไป ก็อย่าติเตียนกันเลย
เสียงแหบแห้งในความฝันเป็นเสียงเดียวกับที่รวมตัวเป็นควัน ข้อเท็จจริงชีวิตมนุษย์กล่าวเหมือนจะตลกแต่ก็ไม่ตลก ศรีลืมตาตื่น มองไปรอบๆ ที่เป็นสีดำ เห็นภาพสิ่งต่างๆ ในห้องรางๆ
เรื่องในความฝันมันหมายความว่าอย่างไร?
ศรีเองก็เข้าใจแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงกล่าวเรื่องนี้?
เคร้ง!
ได้ยินเสียงของมีคมปะทะกันดังแว่วมา ศรีก็อดกังวลไม่ได้คิดจะไปดูว่ามีเรื่องอะไรกัน ตัดสินใจออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ไม่อยากสร้างความรบกวนให้ตื่นและถ้าอสุราตื่นเธอก็คงไม่ได้ไปแน่
พออยู่ในสถานที่อื่นศรีจะนุ่งผ้าถุงใส่กางเกงไว้ข้างในกับเสื้อยืดสีขาว เลยไม่ค่อยรู้สึกหนาวกับอากาศภายนอกตอนกลางคืนเพราะเนื้อผ้าหนากว่าชุดนอน เดินไปตรงบริเวณหลังเรือนหลักก็พบหญิงสาวสองคนยื่นอาวุธหมายจะปลิดชีพอีกฝ่าย
มณฑายื่นพัด ๒ เล่ม ที่มีแท่งเหล็กบาง ๕ อันยื่นออกมา ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นที่ยึดผ้าพัดและอาวุธ พินทุยื่นด้ามจับร่มที่มีแท่งเหล็กยื่นออกมาเช่นกัน ศรีหลบอยู่หลังต้นไม้ พยายามควบคุมการหายใจไม่ให้ทั้งสองได้ยิน พินทุหันไปมองทางที่ศรีอยู่ เธอสะดุ้งกลัวโดนจับได้แต่เมื่อพินทุหันกลับไปมองเป้าหมายศรีก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าออมมือให้ฉัน พูดอะไรมิเคยจะฟัง!”
“เบาๆ หน่อย ประเดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินดอก” มณฑาเบ้หน้าเล็กน้อยด้วยความรังเกียจกับรอยยิ้มหวานเคลือบพิษของพินทุ
“ฮึ!” มณฑาแค่นเสียงด้วยความไม่พอใจ
“…” พินทุเงียบเพื่อรอว่ามณฑาจะเอ่ยอะไรต่อ “แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ฉันจะแข็งแกร่ง”
“ความแข็งแกร่งมิจำเป็นว่าต้องชนะโดยการแต่งสู้แต่มันอยู่ที่ใจต่างหาก”
“ใจ?” มณฑาทวนคำ พินทุพยักหน้าก่อนจะเอ่ย “คนเราจะทำอะไรความรู้สึกมักจะมาก่อนเสมอ บางคนลงมือทำด้วยความรู้สึก ยามท้อแท้แทบจะมิมีแรงทำอันใด เพราะฉะนั้น… หากใจมิเข้มแข็งพอมันก็เท่านั้นแหละ” มณฑาหลุบตาลง เรื่องนี้นางเองก็รู้ตัวมาตลอด แต่อย่างว่าแหละ จิตใจคนเรานั้นบังคับยาก สิ่งที่ทำได้คือกาย โดยที่ไม่รู้ตัว พินทุก็ขึ้นไปนั่งบนกิ่งต้นไม้ ร่มบ่อสร้างที่เคยเป็นอาวุธบัดนี้ถูกใช้เป็นที่บัง เงาของร่มทับใบหน้าจนเห็นเพียงเลือนราง
…ภาพนั้นทำให้มณฑานึกถึงตอนที่ตนเองพบกับพินทุครั้งแรก
ในตอนนั้น ต้นพญาเสือโคร่งผลิดอกสีชมพูอ่อนหวาน ต้นที่สูงใหญ่จนต้องแหงนหน้ามองนั้นบดบังท้องฟ้าไปส่วนหนึ่ง ราวกับจะขังไว้ในมายาแห่งความงามไว้ให้แก่ผู้ที่มาเยือน พินทุนั่งบนกิ่งพญาเสือโคร่งพลางบรรเลงพิณเปี๊ยะ ๔ สาย เสียงใสกังวานอ่อนหวาน ราวกับน้ำค้างที่หยดลงบนใบไม้ยามรุ่งอรุณ น่าแปลกที่นั่งสูงขนาดนั้นแต่มณฑาในตอนนั้นกลับได้ยินชัดเจน
ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงลมพัดมาเบาๆ และเสียงพิณเปี๊ยะที่ไพเราะจับใจ
มณฑายังไม่ลืมภาพนั้น …งดงามเหลือเกิน
“เป็นอันใดฤ?”
“ก็มิมีอันใดเป็นพิเศษดอก แค่นึกถึงครั้งแรกที่เราเจอกัน” มณฑาได้สติกลับมาเมื่อพินทุถามแล้วเก็บอาวุธ พินทุหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ฟังคำตอบนั้น นางอัญเชิญพิณเปี๊ยะออกมาราวกับรู้ใจอีกฝ่าย “อยากฟังใช่ฤๅไม่?”
“ทำไมจึงรู้?”
“ตาเจ้ามันฟ้อง” คำพูดนั้นช่างอ่อนโยนนัก พินทุกวักมือเรียกมณฑาให้เข้ามานั่งด้วยกัน เมื่อมณฑามาแล้วก็บรรเลงพินเปี๊ยะ ๔ สาย
ศรีมองอย่างไม่เข้าใจ จากตอนแรกที่เหมือนจะฆ่ากันอยู่ดีๆ ก็นั่งด้วยกันเฉยเลย แต่เสียงใสของพิณเปี๊ยะทำให้เธอลืมความสงสัย ฟังเงียบๆ
ทั้งสองคงกำลังรำลึกความหลังกระมัง
ศรีคาดจากการสนทนาเมื่อครู่
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด พิณเปี๊ยะก็บรรเลงใกล้จะจบแล้ว เสียงเหมือนน้ำไหลนั้นทำให้ศรีเคลิ้มจะหลับทั้งยืน จู่ๆ พินทุที่รู้แต่ที่แรกก็หยุดบรรเลงดึงความสนใจให้ศรีตาสว่างกว่าเดิม เธอลอบมองเผอิญสบตากับพินทุที่มองลงมาพอดี
“เด็กดี เจ้ายังมินอนอีกฤ?”
“ท่ะ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าหนูอยู่”
“พลังวิญญาณน่ะ” ศรีตะลึง ไม่คิดว่าจะถูกจับได้ด้วยวิธีนั้น นางยิ้มอย่างอ่อนโยน มณฑาหันไปมองตาม ตามจริงนางเองก็รู้แล้วว่าศรีอยู่ที่นี่แต่ไม่อยากสนใจเลยเมินเฉย
“กลับไปนอนเสีย” มณฑายิ้มบางๆ ศรียกมือไหว้ก่อนจะเดินจากไป
มณฑาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายพลางยิ้มด้วยความเอ็นดูมองร่างเล็กจนลับสายตาไปในความมืด
“เจ้ารู้สึกคุ้นหน้าเด็กคนนี้ไหม?”
“ศรีน่ะฤ?” มณฑาขมวดคิ้ว พินทุถามแบบนี้แสดงว่ามณฑาต้องเคยเจอศรีแน่ “ชาติที่แล้วศรีเกิดมาเคยคุยเล่นกับเจ้าน่ะ อย่าบอกนะว่าจำไม่ได้”
“มีเรื่องในวัยเยาว์เสียมากมาย กับเรื่องคนๆ ผ่านก็เป็นสิบๆ ปี ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ใครจะจำได้กันเล่า แถมข้ายังอายุยืนมิเหมือนศรีนี่” พอนึกทบทวนอดีตมณฑาก็เริ่มจำได้ แต่เห็นภาพไม่ชัด
“น่าเสียดายจัง นั่นน่ะ… ตัวเอกในนิยายเลยนะ”
พินทุกล่าวเปรียบเทียบ กระนั้นนางก็ไม่ใช่คนในความฝันของศรีหรอกนะ มณฑาถอนหายใจ มีเรื่องมากมายเข้ามาในชีวิต ยิ่งตอนนี้ดึกแล้วยิ่งไม่อยากมานั่งใช้สมองนึกอีก มณฑากระโดดลงจากต้นไม้ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้นายิกาประจำจังหวัดเชียงใหม่นั่งเดียวดาย
วันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
เช้า
อรัญญิกที่นั่งทำความสะอาดดาบมองนางผู้เป็นที่รักอย่างเป็นห่วง นึกถึงเหตุการณ์ที่มณฑาแก้แค้น มือขาวคล้ำของนางเอื้อมไปลูบใบหน้าขาวนวลของซอ จู่ๆ เจ้าตัวก็ลืมตาตื่นและกุมมือของอรัญญิกแนบชิดกับแก้มตนเอง
“อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ” อรัญญิกตอบอย่างอ่อนโยนก่อนจะถาม “หิวฤๅยังเจ้าคะ? ข้าจะได้ไปทำมาให้”
“หิวแล้ว” ดวงตาของซอวาวโรจน์อย่างกระหายช่างขัดกับน้ำเสียงนุ่มนวลนัก อรัญญิกไม่ได้สังเกตถึงแววตานั้นจึงถามอย่างไม่รู้สึกอะไร
“จะรับอันใดฤๅเจ้าคะ?”
“เจ้า”
“ขะ ข้าน่ะฤๅเจ้าคะ?”
อรัญญิกเริ่มมีท่าทีไม่วางใจ เพราะคำถามนั้นบวกกับที่ซอเขยิบมานอนบนตักของแล้วคลอเคลียเหมือนจะยั่ว อรัญญิกถือวิสาสะยกศีรษะซอก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นเพื่อไปทำอาหารเพราะเกรงอีกฝ่ายหิวและกลัวโดนทำเรื่องกาม ไม่ทันจะเดินถึงประตูอรัญญิกกลับเดินไม่ได้ เสียงซอสามสายกังวานแต่ในความรู้สึกของอรัญญิกแล้วช่างแหลมนักเมื่อเทียบกับพิณเปี๊ยะ เสียงซอสามสายสะกดนางให้หยุด ร่างกายสั่นเพราะพยายามจะขยับตัวแต่ไม่ได้ผล ซอยิ้มเย็นออกมาทำให้อรัญญิกที่เหลือบมามองขนลุกซู่
“ใจร้ายจังนะ ทั้งๆ ที่ข้าเพิ่งผ่านเหตุการณ์นั้นมินานแต่เจ้ากลับทำเช่นนี้ฤๅ? อรัญญิก” ซอตัดพ้อแต่ในแววตาไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“ท่านซอ นี่เพิ่งอรุณเองนะเจ้าคะ” อรัญญิกกล่าวด้วยความลำบากใจ นายท่านทำให้นางหนักใจอีกแล้ว
“ใครสนล่ะ”
ซอหยุดบรรเลงก่อนจะลุกขึ้น เดินมาหาอรัญญิกแล้วลูบใบหน้าอย่างรักใคร่ก่อนจะจูบเบาๆ อรัญญิกขยับตัวได้แล้ว ทีแรกพยายามจะดันอีกฝ่ายให้ห่างเพื่อหยุดแต่ความรู้สึกมีมากกว่าสติมือของนางจึงเผลอรั้งร่างของซอเข้ามาแนบชิดแล้วจูบตอบบ้าง สัมผัสนุ่มนวลอุ่นร้อนทำให้สติเตลิดมากไปอีก ซอถอนจูบออกก่อนจะเอ่ย
“อรุณนี้… เรามาเป็นหนึ่งเดียวกันนะ” คำนั้นทำให้อรัญญิกหน้าแดง เพราะนี่เพิ่งจะเช้าเอง และอีกอย่างตั้งแต่ทำงานมาด้วยกันก็ทั้งสองก็ไม่เคยร่วมเตียงระบายความใคร่แม้แต่ครั้งเดียว
“คงมิได้…” ไม่ทันตอบจบ ซอก็เหวี่ยงร่างอรัญญิกให้นอนกับพื้น อรัญญิกรีบถอยหลังด้วยความหวาดกลัว จู่ๆ จะมาหื่นอะไรต่อนี้นะ? อรัญญิกถอยจนติดผนัง นางอยู่บนฟูกที่นอน …ติดกลับเสียแล้วล่ะ
“ท่านซอ!” อรัญญิกเอ่ยเสียงดัง เมื่อนายหญิงของตนดึงผ้าคาดหน้าอกลง เผยให้เห็นหน้าอกขาวนวลผุดผ่องยองใย ยอดอกสีอ่อนหวานน่าลิ้มรส อรัญญิกลอบกลืนน้ำลายอารมณ์เริ่มเตลิด สติแทบไม่อยู่กับตัว ภาพตรงหน้ามันช่างล่อตาล่อใจเสียจริง
“เรายังมิได้แต่งงานกันเลยนะเจ้าคะ!”
“หุบปาก” ซอเอ่ยเสียงแข็ง อรัญญิกชะงักทันใด “…”
“แต่งแล้วทำไม? มันจำเป็นด้วยฤ?”
“มิใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ เราเองก็อายุเป็นร้อยๆ ปีแล้วนะเจ้าคะ” ซอไม่ฟังอะไร ถอดเครื่องแต่งกายออกจนไม่เหลือแม้แต่อย่างเดียว อรัญญิกรู้สึกเหมือนเลือดกำเดาจะไหล นางส่ายหน้าไล่ความคิดไม่ดีออกไปแล้วหยิบผ้าจะคลุมกายไม่ให้นายหญิงตนเองเปลือย
“อรัญญิก เจ้าอยากลองดีนักใช่ไหม?”
------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ ๖๔ ลองใส่เพลงซึ่งเป็นเสียงดนตรีพิณเพี๊ยะ ๔ สาย ด้วยความที่หนูชอบและอยากให้ผู้อ่านนึกเสียงของพิณเพี๊ยะออกเลยใส่ค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=b0EO_hlCM8Q
------------------------------------------------------------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ