ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
62) บทที่ ๖๒: ความกลัวที่คืบคลาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๖๒
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ความหวาดกลัวที่คืบคลาน
คมกฤชลูบดาบด้วยมือที่สั่น แววตาที่ฉายความหวาดหวั่นและกลัวสะท้อนในดาบเช่นเดียวกับเงาของใครอีกคน …ความทรงจำย้อนกลับมา มือซีดสีขาวดึงร่างหญิงสาวลงในบ่อเลือดส่งกลิ่นคาวน่าอาเจียน ไม่จริง หญิงสาวคนนั้นจะกลับมาได้อย่างไรในเมื่อ…
“เจ้า… เจ้าถูกสังเวยร่างให้พิธีกรรมแล้วนี่ ฤๅนี่จะเป็นเพีย วิญญาณ?...”
“อยากรู้ฤ?” ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาตั้งแต่ตอนไหน อีกฝ่ายเจ้าของเงานั่นลูบลำคอสร้างความรู้สึกขนลุกหวาดผวา แววตาตื่นตระหนกทำให้อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ “ข้าจะตายมิได้หากมิได้ปลิดชีพนายิกา! โทษฐานที่ทิ้งข้าโดยมิช่วยเพื่อสังเวยให้พิธีกรรม โดยเฉพาะเจ้า… ข้าคิดมิถึงเลยนะว่าเพื่อนรักจะทำกันได้ลงคอ!!”
เสียงแหบแห้งกล่าวจบมือซีดขาวบีบจนคมกฤชหายใจไม่ออก นิ้วมือของอีกฝ่ายบีบช่วงกระดูกลำคอจนปวดร้าว คมกฤชอ้าปากจะเอาอากาศหายใจเข้าแต่แรงบีบนั้นแรงกว่าเดิมจนนางเริ่มอ่อนแรง ตามจริงนางก็สามารถชักดาบออกมาทำร้ายได้แต่เพราะคิดว่ามันเป็นความผิดของตนเองที่ทำให้เพื่อนรักตายโดนอย่างนี้ก็สมควรแล้ว
ตอนนั้นนางขี้ขลาด… แต่เพื่อนรักที่ตายไปกลับมาเยือนเพื่อสังหารนายิกา นางจึงต้องทำใจกล้าให้มากขึ้น …แต่ตอนนี้ ปล่อยให้เพื่อนทำในสิ่งที่อยากทำไปก่อนละกัน
“?” อีกฝ่ายที่เห็นอดีตเพื่อนรักไม่ตอบโต้อะไรก็สงสัยเพราะแรงบีบเท่านี้ทำอะไรคมกฤชไม่ได้หรอก นางจึงปล่อยมือแล้วถามด้วยเสียงแหบแห้ง
“คมกฤช… ทำไมถึงมิตอบโต้?”
“ข้าสมควรแล้ว เจ้าทำต่อเถิด…” คำตอบนั้นทำให้อีกฝ่ายเผลอกลั้นหายใจ ไม่คิดว่าคมกฤชจะยอม
“…”
“นายิกาทุกคนมิได้ทิ้งเจ้าไป ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจโดยมิต้องรู้เหตุผล”
อีกฝ่ายเงียบไปก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วก้าวถอยหายไป ร่างสลายเป็นเถ้า… คมกฤชค่อยๆ หันไปมองเห็นเพียงเถ้าที่ลอยไปตามลมที่พัดเข้ามา
ปักษธรอยากจะบ้าตาย!
จู่ๆ ก็เลื่อนวันแข่งขันนายิกาเข้ามาใกล้ในอีก ๓ วัน! นี่นางยังแทบไม่ได้เตรียมตัวเลยนะ ถึงจะมีการฝึกยิงธนูและคาถาอาคมบ้างแต่นี่… เร็วเกินไปแล้ว
นางรู้ก็ตอนที่พินทุติดต่อมาบอกนี่แหละ
ติ๊ด… ติ๊ด…
เสียงจากโทรศัพท์ดังขึ้น ปักษธรหยิบขึ้นมากดรับสาย ปลายสายเอ่ยแผ่วเบาขึ้นแทบไม่ได้ยินและจับความรู้สึกไม่ได้
“[สวัสดี นี่ข้าคมกฤช]”
“มีเรื่องอันใดฤ?” เอ่ยเรียบเช่นนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ “[มิต้องตามหาตัวคนร้ายแล้ว …คดีลักมีดน่ะ]”
“หมายความว่าเช่นไร?!” ปักษธรร้อนรนขึ้นมา ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบ “[เรื่องนี้ข้าคาดว่านายิกาคนอื่นคงจะรู้กันเกือบหมดแล้วล่ะ …เมื่อกี้ อดีตนายิกาเมื่อหลายปีก่อนมาหาข้า ……นางคือเพื่อนรักของข้าเอง]” ยิ่งกล่าวเสียงยิ่งเบา เหมือนคนไร้หัวจิตหัวใจ ความแค้นในอดีตย้อนกลับมายังปัจจุบัน ต่อให้ชดใช้ด้วยชีวิตก็ไม่พอ!
นั่นเป็นสิ่งที่คมกฤชทราบดี …แต่ยิ่งเตรียมใจกับผลที่กำลังตามมาก็เหมือนมีมีดมาคว้านจนใจหายวาบ
“ถ้านายิกาคนอื่นรู้… แล้วทำไมถึง…” ปักษธรเว้นไว้เหมือนจะให้คมกฤชตอบ
“[เรื่องเหรียญกับจดหมายเป็นเพียงสิ่งที่นางส่งเล่นๆ ให้ นางมิใช่คนที่จะเล่นวิ่งไล่จับ แต่นางมักจะปรากฏตัวออกมาเอง ที่ทำไปคงจะอยากให้รู้การมาเยือน]”
“เพียงแค่นั้น?”
“[ใช่]”
“แล้วทำไมถึงมิค่อยมีความคืบหน้าของผู้ลักมีดเลยล่ะในเมื่อรู้แล้ว?” ผู้ลักมีดก็คือนายิกาในอดีตคนนั้น ทั้งๆ ที่รู้กันเกือบหมดแต่ทำไมถึงไม่เห็นใครเคลื่อนไหวเลยล่ะ?
“[ทุกคนที่รู้วางแผนไว้ให้ต่อสู้กันซึ่งๆ หน้า เพราะหลบตัวไปก็มิมีอะไรคืบหน้า ข้าคาดว่าถ้านางจะมาเผยโฉมก็คงเป็นงานแข่ง จากที่ช้ากว่านี้ก็เลยเลื่อนเป็นเพียงอีก ๓ วัน เพราะถ้าจะฆ่านายิกาก็มีแต่งานนี้ที่รวมทุกจังหวัดจะได้รวบทีเดียวกระมัง]” ยิ่งทบทวนสิ่งที่อดีตนายิกาจะกระทำ ก็รู้สึกว่าปากสั่นมีเสียงลอดสะอื้น น้ำตาซึมออกมา ผู้ร้ายก็คือเพื่อนตนเองและเพื่อนคนนั้นก็กำลังจะฆ่านายิกาทุกคน!!
ก็ว่าทำไมถึงปล่อยให้คดีล่าช้า ที่แท้ก็รอวันที่ผู้ร้ายน่าจะปรากฏตัวนี่เอง ปักษธรเผลอกลั้นหายใจ นางมิค่อยจะสนใจคดีนี้แม้มันจะสำคัญมากก็ตาม …แต่พอได้ฟังแผนการของทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งใจหายวาบ
นี่ความแค้นมันรุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ?
ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก คมกฤชที่บอกเรื่องจะคุยเสร็จแล้วก็วางสายพร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา สะอื้นร้องไห้หนักจนตัวโยน เพื่อนในยามเสียใจคือน้ำตาที่มีรสชาติขมขื่น…
มณฑาเรียกให้นักเรียนจากโรงเรียนฟิคซาก้อนมารวมตัวกัน บอกให้กลับโรงเรียนไปเพราะคดีนี้นายิกาจัดการเองได้ พวกเขาที่ทีแรกมีสีหน้าตื่นเต้นเพราะคิดว่าจะมีอะไรให้ทำแต่ได้รับคำแบบนี้มาจึงทำตาละห้อย ซึ่งก็เป็นบางคน มณฑากล่าวขอโทษแทนนายิกาคนอื่นด้วย บางคนก็ยิ้มแห้งๆ และบอกว่าไม่เป็นอะไร
พวกเขาเปิดประตูมิติกลับไป เหลือเพียงมณฑาที่ยืนยิ้มแห้ง
คราวหน้าก็มีงานแหละน่าเด็กๆ
วันนี้ปักเป้านึกอะไรสนุกๆ เขาขอพินทุ (แม่ของเขาเอง) ปลูกต้นไม้ ซึ่งนางก็ให้คำว่าต้องขอพื้นที่ปลูกจากมณฑาเพราะถ้าจะปลูกตอนนี้ก็มีเพียงเรือนมณฑาเท่านั้น เขาจึงไปขอมณฑา นางก็ใจดีให้พื้นที่ส่วนหนึ่งแต่น่าเสียดายที่เป็นเพียงที่รกชัน แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีน่ะนะ
“แล้วเจ้าจะปลูกต้นอันใด?” ขนมชั้นถามเมื่อมาถึงพื้นที่นี้ ปักเผ้ายืดอกราวกับเรื่องที่จะทำนั้นน่าภูมิใจ
“ผักบุ้ง”
“ฮะ? ผักบุ้งเนี่ยนะ??” ขนมชั้นทวนคำอย่างสงสัย ปักเป้ายิ้มหน้าบานก่อนจะตอบ “ข้าอยากกินผักบุ้งไฟแดงน่ะ”
“ซื้อกินเอาก็ได้นี่ แล้วนี่นะ กว่ามันจะโตใช้เวลาอีกกี่วัน?”
“เออน่ะ มันจะโตตอนไหนช่างมันเถิด!” กล่าวจบเขาก็ลงมือปลูกทันที ขนมชั้นถอนหายใจก่อนจะลงมปลูกด้วย
“หืม? ทานตะวัน??” คราวนี้ปักเป้าเอ่ยบ้างอย่างสงสัย ขนมชั้นพยักหน้าก่อนจะถาม “แล้ว ‘ไง”
“นี่มันฤดูอะไรแล้ว ปลูกทานตะวันโตไปมันก็ได้แต่นี่แสงอาทิตย์แทบมิมีเลยนะ!”
“แล้วจะทำไม? ทีเจ้าปลูกผักบุ้งได้กะอีแค่ดอกทานตะวันมันจะปลูกมิได้ฤ?”
“เออ!”
“นี่เจ้า!”
การต่อสู้ก็เปิดขึ้นเมื่อกระถางต้นไม้ พลั่ว ส้อมปลูก ช้อนปลูก และอะไรๆ ที่ไว้ทำเกษตรก็หยิบมาเป็นอาวุธ พินทุที่เดินมาดูลูกตนเองก็ขำคิกคักอย่างเอ็นดู ถ้าทะเลาะกันแบบนี้คงไม่ร้ายแรงนักหรอก
เป็นเด็กนี่ดีจังเลยนะ
กลางคืน
มื้อค่ำวันนี้ไม่ค่อยจะดีนักเมื่อถูกบรรยายคุกรุ่นของเด็กชายสองคนอบอวลทั่วบริเวณ ว่าวดึงแขนเสื้อพี่ชายตนเพื่อดึงสติให้เลิกจ้องตาขนมชั้น ถ้าพวกเขาเป็นปลากัดปลานี้ (ก็น่าจะ) ท้องไปแล้วกระมัง
“อ้าวๆ จ้องกันขนาดนั้นระวังท้องนะ”
ฉึก!
ขนมชั้นใช้ส้อมทิ่มกับมือของเฉาก๊วยที่จับแก้วอยู่ พูดจาเพ้อเจ้อจริง!
มุกไม่ฮา พาคนเคลียด!
“โหดร้าย”
เฉาก๊วยแกล้งบีบน้ำตา เพื่อนคนอื่นๆ บางคนหัวเราะน้อยๆ เมื่อบ่าวนำอาหารชุดสุดท้ายมาให้ก็หยุดลงแล้วทานอาหาร โดยมีรอยยิ้มบางๆ แย้มอยู่
ศรีอาบน้ำเป็นคนสุดท้ายหลังจากทานอาหารเสร็จเนื่องจากมีการแข่งว่าใครทานคนสุดท้ายต้องล้างจานซี่งศรีเป็นคนทานช้าเลยแพ้
บรรยากาศเย็นเฉียบ เงียบวังเวง แม้จะมีเสียงอื่นลอดมาแต่ทางที่ไม่ค่อยมีใครอยู่นี่มันน่าขนลุกเสียจริง ศรีส่ายหน้าไล่ความคิดถึงสิ่งลี้ลับ แม้เธอจะคุ้นชินกับเรื่องภูตผีเพราะมีในการใช้ไสยศาสตร์แต่แบบนี้ก็ไม่ไหวอยู่ดี
เมื่อลงไปในอ่างอาบน้ำศรีก็ทำตัวผ่อนคลายสูดความหอมของกลิ่นสบู่สมุนไพร รู้สึกเจ็บแปลบๆ จากบาดแผลที่ต่อสู้กับศฤคาล (เรื่องนี้เธอ บรรพตและอสุราเก็บไว้ โดยที่อสุราวางแผนจะไปเอาคืน) เส้นผมยาวสีดำดุจรัตติกาลสยายไปในน้ำ ร่างอรชรนั้นพิงกับอ่างอาบน้ำก่อนจะหลับตา
ตุบ
มีเสียงบางอย่างประทบพื้น ศรีลืมตาขึ้นก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวมาห่มกาย เธอมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
“ ‘ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ” เสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้น พร้อมกับมือเย็นจนแทบจะทำให้ศรีขนลุกไปทั้งตัวลูบไล้ผิวกายเธอแผ่วเบา ศรีสะบัดตัวแล้วหันไปมองคนต้นเหตุ
“นี่นาย…” ศรีเบิกตาค้างอย่างตกตะลึงและคาดไม่ถึง เด็กชายร่วมห้องเรียนในมิติเดิมที่เธอไม่ชอบหน้าเอาสุดๆ คนที่ชอบแกล้งเธอจนมีบาดแผล ไล้เลียอย่างกระหายในรสเลือดคาวน่าสะอิดสะเอียน ชิมรสน้ำตายามที่เธอร้องไห้พร้อมกับปลอบประโลม …ซาดิสม์
…คำสารภาพรักในวันวานที่หวานแต่แฝงไปด้วยรสขม…
------------------------------------------------------------------------------------------------
หากอ่านมาจนถึงตอนนี้น่าจะรู้สึกว่าเนื้อหาสั้นทีละนิดทีละนิด อันเนื่องจากเนื้อเรื่องต้องตัดจบ ความรีบและเวลาของหนูที่ไม่ค่อยจะมี (พอขึ้นมัธยมแล้วเวลาน้อย) ก็ต้องขออภัยสำหรับท่านที่ติดตามอ่าน (อ่านแบบจริงๆ) ด้วยค่ะ เพราะเนื้อเรื่องเป็นแบบนั้นบวกกับไม่ค่อยมีใครจะอ่านเลยแต่งตามแต่ใจหนูค่ะ)
ขอบคุณค่ะ
------------------------------------------------------------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ