ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) บทที่ ๖: ประกาศการประลองมวยและศิลปะร่มบ่อสร้าง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๖
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ประกาศการปะลองมวยและศิลปะร่มบ่อสร้าง
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วว่าวก็พาศรีพบกับเพื่อนๆ ในละแวกบ้านของเธอ เพื่อนที่อยู่ไกลจากนี้ว่าวบอกว่าจะพาไปแนะนำตัวและรู้จักทีหลัง ณ ตอนนี้เธอกำลังนั่งอ่านโคลงโลกนิติ ซึ่งก่อนที่เธอจะมากรุงเพทฯ แล้วหลงมาที่นี่เธออ่านเล่มนี้ยังไม่จบเลยหวังจะอ่านที่นี่ให้ต่อเสร็จๆ ไป ลมเบาบางพัดลอยเข้ามาทางหน้าต่างที่ศรีนั่งริม เธอหลับตาแล้วสูดความหอมของดอกไม้นอกเรือน ขณะนั้นก็มีเสียงประตูเปิดเข้ามา
“ศรีจ๋า คิดถึงฉันมั้ยเอ่ย” รอยยิ้มทะเล้นที่เผยบนใบหน้าของเด็กชายในชุดสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาขาดๆ ให้ความรู้สึกพะอืดพะอมยังไงชอบกลสำหรับเธอ ศรีเบ้หน้าก่อนจะเอ่ยตอบ “ไม่”
“ทำไมกันนะ เธอถึงชอบแข็งกระด้างกับฉันจัง พูดหวานๆ หน่อยสักคำก็ไม่ได้ อย่างน้อยให้ใจฉันชุ่มฉ่ำบ้างก็ดีน่ะ” พงสณะว่าพลางเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างๆ ศรี เธอเขยิบเก้าอี้และตนเองให้ห่างจากเขาอย่างรังเกียจจนพงสณะหน้าหงอย
“โธ่ๆ อย่าเล่นตัวไปหน่อยเลยน่า ก็รู้หรอกว่าเป็นผู้หญิงต้องเล่นตัวจะได้ดูมีค่า แต่สำหรับเธอที่เล่นตัวซะจนตัวฉันมีแต่แผลน่ะมันก็ไม่ไหวนะ …ศรีจ๋า แต่งงานกับฉันเถอะนะ ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้เธอเสียใจ จะดูแลเธอเป็นอย่างดี นะๆ”
“ของ่ายไปมั้ย? จะขอแต่งงานขอเหมือนส่งเดชเลยแฮะ นี่ขอผู้หญิงแต่งงานหรือขอขนมจากผู้ใหญเนี่ย??” ศรีเอ่ยพลางลุกขึ้นเดินไปรอบๆ ห้อง พงสณะลุกขึ้นตามแล้วเอ่ยต่อ “ขอผู้หญิงน่ะสิ ถามแปลกๆ รู้มั้ยว่าเธอเป็นคนที่ฉันรักที่สุดในโลกเลยนะ”
“มากกว่าแม่ใช่มั้ย?”
“เอ่อ… อันนั้นรักที่สุดในสามโลก”
“ของฉันโลกเดียวว่างั้น? ช่างเถอะ คนเรารักพ่อรักแม่มากกว่าใครมันก็ถูกแล้ว อันนี้ก็ไม่อยากว่าหรอก” ศรีเอ่ยพลางเก็บหนังสือเข้าที่ในชั้นวางหนังสือ แล้วหยิบหนังสือที่เป็นบทกลอนมาอ่าน เธอพลิกไปมาและเดินหนีพงสณะที่ไม่ว่ายังไงก็คงจะเดินตื๊อต่อ
ก๊อกๆ
“เชิญค่ะ”
“หือ ก็ว่าหายไปไหนที่แท้ก็มาอยู่กับพัดลมเองเรอะ” ผู้ที่เข้ามาคือเด็กชายเสื้อกล้ามสีเทาสวมกางเกงลายทหาร ธันนะเอ่ยเนิบๆ ไม่ใส่ใจมากนัก แต่แววตาของเขาฉายแววบางอย่างอยู่
“พัดลม? แฟนน่ะเหรอ… เอ๊ะ! นี่นาย เอาอีกแล้วนะ ชอบพูดจากวนโมโหอยู่เรื่อย ฉันกับพงสณะไม่ใช่แฟนกันสักหน่อย” ศรีรู้สึกว่าธันนะชอบพูดจาให้เธอโกรธตลอด ในความรู้สึกของเธอแม้เขาจะเป็นคนปากร้ายแต่ไม่แน่เขาอาจจะมีด้านดีๆ ซ่อนอยู่บ้างนั่นแหละแต่ตอนนี้ธันนะทำให้เธอเคืองศรีจึงจำต้องพูด
“ช่างเถอะ เธอจะได้ใครเป็นสามีนั่นก็ใช่ปัญหาของฉันเลย”
“ธันนะ…”
ในอกของเธอเหมือนมีภูเขาที่กำลังจะระเบิด
“ใจเย็นๆ สิที่รัก ไปซื้อไอติมกินกันมั้ย เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง”
พงสณะที่เห็นท่าไม่ดีก็จูงมือศรีโดยที่เธอไม่รู้ตัวเพราะกำลังจดจ้องอยู่ที่ธันนะอย่างโกรธเคือง พงสณะที่เห็นว่าเธอไม่สนใจตนจึงใช้โอกาสนี้ส่งสายตาจิกเยาะเย้ยให้เขา ซึ่งธันนะก็ปั้นหน้านิ่งปล่อยให้ศรีและพงสณะออกจากห้อง
ปัง
“…”
เหลือเพียงธันนะคนเดียว เขาเดินไปนั่งยังเก้าที่ศรีนั่งเมื่อสักครู่ เขาคิดบางอย่างไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดมาที่เรื่องของศรีและพงสณะ
สองคนนั้นเป็นคู่หมั้นกัน…
เขาทวนประโยคนั้น ไม่รู้เป็นเพราะอะไร แต่ยามที่ศรีและพงสณะอยู่ใกล้กันและหยอกล้อกันเล่น แม้ศรีจะไม่เล่นด้วยแต่มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ
เป็นเพราะอะไรตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจ…
เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก พอบ่ายก็จะเริ่มเป็นเวลาเย็นแล้ว ศรีเดินมากับว่าว ธันนะ ปักเป้า และพงสณะที่ยังคงเกาะแกะเธอไม่เลิกรา ธุระในการเดินครั้งนี้พินทุบอกว่าอยากจะพาศรีไปฝากตัวเป็นศิษย์เรียนมวยด้วย ศรีเคยถามนางแต่นางก็ไม่ยอมตอบบอกว่าเดี๋ยวก็จะรู้เอง ซึ่งจะช้าหรือเร็วนั่นก็อีกเรื่อง หลังจากคุยกันเสร็จระหว่างเดินนางก็ขอแยกทาง
เมื่อเดินเข้าไปก็เจอกับเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงอายุประมาณเท่าศรีและวัยมัธยมด้วย พินทุกลอกตาเหมือนจะหาใครสักคน ทันทีที่พวกเขาเข้าไปก็มีเสียงทักทายเซ็งแซ่ดังไปทั้ว บางคนก็เอ่ยทักศรี ว่าว ปักเป้าและอีกสองคน ส่วนธันนะไม่ค่อยมีใครสนใจอาจเพราะว่าเขาชอบทำหน้านิ่งจนดูไม่ค่อยน่าคบ พงสณะคุยกับเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่อย่างร่าเริงจนศรีแอบหมั่นไส้และเคืองที่เขาบอกว่ารักเธอแต่กลับไปคุยกับเด็กผู้หญิงคนอื่นอย่างสนิทสนม
มีเด็กผู้ชายผิวสีแทนคนหนึ่งนุ่งโจงกระเบนสีมืด สวมสร้อยพระและเครื่องรางของขลังจนมากมายจนแทบจะไม่เห็นคอ เดินมาทางพวกเขา ศรีแปลกใจที่เพิ่งเคยเห็นเด็กใส่เครื่องรางเยอะแบบนี้ ดูเผินๆ ไม่ต่างกับเหล่าหมอผีเลย ปักเป้ายิ้มอย่างยินดีที่เห็นเขา
เด็กชายคนนั้นเอ่ยถามปักเป้าที่ยิ้ม
“อ้ายปักเป้า วันนี้เอ็งมีกิจไม่ใช่เรอะ แล้วมาทำอะไรที่นี่น่ะ”
“อ้อ มาฝากสมาชิกใหม่น่ะสิ นี่ คนนี้มีนามว่าศรีส่วน… เอ่อ… อ้ายหมอนี่มีนามว่าธันนะ…” ปักเป้าแนะนำตัวทั้งสองพร้อมกับผายมือแต่พอมาถึงคิวธันนะเขาก็มีสีหน้าที่เหมือนกับแมวดมปลาเน่า ก่อนจะหันกลับมาทางเด็กชายคนนั้น
“อ้อ งั้นเรอะ ข้ามีนามว่าเถาวัลย์ มีหน้าที่ดูแลสมาชิกในที่นี่ สถานที่ฝึกซ้อมมวย เอ่อ… แค่รองนะแล้วก็ดูแลแทนท่านครูระหว่างที่ท่านไม่อยู่ด้วย” เถาวัลย์แนะนำตัวก่อนจะยิ้มแฉ่ง ศรีเองก็ยิ้มตอบเช่นกันส่วนธันนะก็อีกตามเคย ปั้นหน้านิ่งแล้วเบือนหน้าหนีอย่างทรนงตัว
“อื้อ เดี๋ยวท่านครูมาเมื่อไหร่ฝากบอกขอด้วยล่ะ”
“ไม่จำเป็น”
“…!”
ทุกคนตกใจกับคำพูดนั้น
เด็กหนุ่มตัวสูงท่าทางบอบบาง สวมเสื้อกั๊กสีแดงเลือดหมูตัดกับผิวสีขาวราวกับหิมะ ท่อนล่างนุ่งโจงกระเบน เด็กหนุ่มมายืนข้างหลังเถาวัลย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่อาจทราบได้ เด็กชายผิวสีแทนค่อยๆ หันตัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแล้วเอ่ยพึมพำ
“ท่าน… ชนก”
“…สองคนนี้คือใคร” เด็กหนุ่มก้มมองศรีและธันนะสลับกันไปมาแล้วเลื่อนสายตามาที่เถาวัลย์เหมือนจะต้องการคำตอบเร็วๆ “เอ่อ เพื่อนใหม่ครับ ปักเป้าบอกว่าพามาสมัครเข้า”
“ข้าไม่ต้องการ”
“!” ศรีหายใจไม่ค่อยออกเพราะคำพูดนั้น ส่วนธันนะที่หน้านิ่งอยู่แล้วพอได้ฟังเช่นนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าเขานิ่งและเยือกเย็นกว่าเดิม ว่าวที่อยู่ใกล้ๆ ประท้วง “มิได้เจ้าค่ะ ท่านพินทุบอกกับหนูว่าให้พาท่านพี่ทั้งสองมาสมัครเข้า ท่านชนกคะ กับท่านอื่นท่านอนุมัติให้ได้แต่กับท่านพี่ทั้งสองถึงมิได้ล่ะเจ้าคะ”
เด็กหนุ่มนามชนกมีใบหน้าที่ไร้อารมณ์แต่แววตากลับฉายความรู้สึกที่ธันนะไม่อาจแปรความหมายได้ ชนกมองไปที่ปิ่นปักผมของศรีก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆ
“หึ ก็ได้ แต่ข้ามีแบบทดสอบให้เจ้าทั้งสองปฏิบัติ”
“อะ อะไรเหรอคะ” ศรีเงยหน้าถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ใบหน้าขาวนวลเป็นธรรมชาตินั้นมีความวิตก ดวงตากลมเรียวทอประกายความหวังบางอย่าง ชนกเบือนหน้าหนีแล้วพูดต่อ “หากเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะอนุมัติ”
“อ่ะ ท่าน… ท่านชนกเมื่อครู่ท่านกล่าวว่าอะไรนะเจ้าคะ!” ว่าวแตกตื่น ปักเป้าและเถาวัลย์มีสีหน้าเหมือนกัน เถาวัลย์กล่าวลนลาน “ท่านสติฟั่นเฟืองไปแล้วหรือครับ การแข่งชกมวยทีไรมิเคยเลยที่จะมีใครชนะท่านได้นอกจาก…” เถาวัลย์เว้นไว้เพียงเท่านั้นเหมือนสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนั้นไม่สมควรจะพูด
หากเอ่ยออกมาแม้เพียงคำเดียวสิ่งนั้นจะย้อนกลับมา…
ชนกเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “อยากถูกบั่นคอมากสินะ”
“…”
เถาวัลย์เงียบ ไม่กล่าเอื้อนเอ่ยเสียงแม้เพียงเล็กน้อย
“เด็กๆ” เด็กหนุ่มสวมเสื้อกั๊กเรียกทุกคนเสียงดังก่อนจะกล่าวต่อ “พรุ่งนี้ยามเช้า ให้มารวมตัวกัน ณ ที่นี้ จะมีการประลองระหว่างข้ากับ… เด็กใหม่สองคนนี้”
“อ๋า เด็กใหม่นั่นน่ะฤ”
“หึๆ มีอะไรน่าสนุกให้ดูอีกแล้วว่ะ”
“ท่านชนกได้ชัยแน่เลย เด็กใหม่ไหวเหรอ”
“ตายๆ อ้ายเด็กใหม่ เละเป็นโจ๊กแน่”
เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นเซ็งแซ่ สมาชิกในค่ายมวยต่างหันมามองทางพวกเขาอย่างตื่นเต้น เยาะเย้ย ศรีรู้สึกกดดันบอกไม่ถูก หายใจไม่คล่อง เหงื่อไหลตามฝ่ามือ ธันนะเองก็เริ่มจะวิตกบ้างแต่เขาก็ยังคงรักษาความเยือกเย็นไว้ ว่าวเห็นท่าไม่ดีมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วก็รีบขอตัวลาพร้อมกับพาเพื่อนๆ ออกจากค่าย
“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ที่ทำให้ท่านเดือดร้อน จะยกเลิกขออุมัติก็ได้นะเจ้าคะ” หลังจากที่เดินออกมาได้ห่างพอแล้ว ว่าวก็รีบขอโทษศรีและธันนะจากใจจริง ศรียิ้มบางๆ แต่แฝงไปด้วยความกังวล
“ไม่เป็นไรจ้ะ แต่พี่จะไม่ถอน หากสละยกเลิกสมาชิกในค่ายจะเยาะเย้ยพี่”
“มิได้นะเจ้าคะ ท่านพี่ศรี ท่านชนกเป็นนักมวยที่ขึ้นสังเวียนแล้วมิเคยมีสักครั้งที่จะแพ้ใคร คว้ารางวัลมาแล้วทุกที ---ท่านพี่ศรี อภัยด้วยเจ้าค่ะหากหนูจะพูด ท่านพี่เป็นเพียงเด็กประถมที่แค่ให้กับเวลาเรียนก็มากพอแล้ว จะเอาเวลาไหนไปซ้อมล่ะเจ้าคะ อีกอย่าง ท่านชนกเองก็แกร่งกล่าเกินจะต่อกรนะเจ้าคะ”
“…พี่ยอมรับ แต่… พี่เองก็อยากลองดู ว่าจะสามารถชนะได้หรือไม่” ใบหน้าเจื่อนของศรีทำให้ว่าวมองด้วยความสงสาร ธันนะรู้สึกจุกในอกเพราะบางอย่าง เขามองศรีด้วยสายตาที่แข็งกร้าวและวิงวอนบางอย่างราวกับจะขอร้องเธอ ธันนะเดินไปด้านข้างที่มีทางสายน้ำเล็กๆ ไหลผ่านอย่างนุ่มนวล เขามองเงาด้วยความรู้สึกที่เริ่มจะสงบแล้วฟังการสนทนาระหว่างศรีกับว่าว
ปักเป้าไม่เอ่ยอะไรเขานั่งฟังเช่นเดียวกับธันนะ ปล่อยให้น้องสาวตนเอ่ยต่อไป
“ท่านพี่… ข้าขอร้องล่ะ”
“…” ศรีหลุบตาลงหนีว่าว ว่าวมองด้วยสายตาอ้อนวอน ระหว่างนั้น จู่ๆ ก็มีใครบางคนเดินมา ทั้งสี่คนมองคนผู้นั้น ว่าวเปิดปากเป็นคนแรก “ท่านพี่ขนมชั้น…”
“ไง กำลังเถียงอะไรกันอยู่ล่ะ”
“คือว่า”
ว่าวอธิบายเรื่องการประลองให้ขนมชั้นฟัง เด็กชายผมสีส้มพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนจะกล่าว
“เรื่องเป็นอย่างนี้เองเรอะ อืม… มันน่าแปลกอยู่นะ ทำไมท่านชนกถึงได้ต้องให้ศรีและธันนะแข่งกับท่านด้วยนะ”
“นั่นน่ะสิเจ้าคะ” ว่าวเอ่ยพร้อมกับถอนหายใจ ขนมชั้นนิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ย “ลองนำเรื่องนี้ไปปรึกษาท่านพินทุสิ อาจจะพอมีทางแก้ก็ได้นะ”
“จริงด้วยสิ ขอบคุณเจ้าค่ะ”
“เอางั้นเรอะ แต่ก็ดีเหมือนกัน” ปักเป้าเดินมาหาว่าวก่อนจะกล่าวต่อ “แต่… ในกรณีแบบนี้ข้าไม่มั่นใจนักว่าท่านแม่จะยอมให้คำปรึกษาหรือไม่”
“ก็ลองไปคุยดูก่อนสิ” ธันนะที่ปิดปากมาได้สักพักเอ่ยขึ้น “แต่ถ้าไม่ได้อะไรที่เหลือก็แล้วแต่สถานการณ์ว่าดวงจะมากน้อยแค่ไหน”
“นั่นสินะ”
ปักเป้าเอ่ยเบาๆ ก่อนจะนั่งลงบนพื้น เวลาล่วงเลยไป พวกเขาก็เดินกลับเรือนด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจปล่อยวางความวิตกได้
เมื่อกลับมาถึง ธันนะ ว่าว ปักเป้าและขนมชั้นขึ้นเรือน เหลือเพียงศรีที่ยังไม่ขึ้น เธอบอกว่าอยากสูดอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นดอกไม้ที่หลากหลาย
ศรีเดินไปทางหลังเรือน พบกับคลองสีขุ่น รอบๆ สวนพื้นหญ้าเป็นหย่อมๆ ไม้ดอกปลูกไว้ในกระถ่างประดับอยู่ มีต้นหนึ่งที่ผิดแผกจากต้นอื่น หากไม้สังเกตจะไม่รู้เลยว่ามันคือต้นซากุระ ดอกสีซีดและหุบกลีบที่ร่วงโรยนั้นทำให้เธอรู้สึกว้าเหว่ ช่างเงียบเหงานัก สายตาของเธอเหลือบไปเห็นเด็กหญิงผมประบ่าสวมแว่นนั่งอยู่ท่ามกลางร่มบ่อสร้างที่กางกับพื้นหญ้า ใบหน้าสงบนั้นแฝงไปด้วยความอ่อนโยน ริมฝีปากสีอ่อนๆ แย้มยิ้ม เธอกำลังตวัดปลายแปรงพู่กันแผ่วเบาแต่ให้ความรู้สึกหนักแน่นยามที่กดด้วยความอ่อนโยนและอ่อนช้อย
มือนั้นเคลื่อนไปมาพลิ้วราวกับผีเสื้อร่ายรำ การเคลื่อนไหวนั้นทำให้ศรีอดรู้สึกสงบและเคลิบเคลิ้มเสียมิได้ เสมือนกับได้ดูการรำทางภาคเหนือ
“ศรี…” แววไพรวางพู่กันแล้วหันมาทางศรี เด็กหญิงเกล้ามวยผมประปิ่นปักผมสีเงินสะดุ้งหลุดจากห้วงภวังค์ของความงดงาม แววไพรยิ้มขันพลางถาม “ฉันรู้นะว่าศรีมองฉันอยู่น่ะ มองตาเป็นมันเชียว”
“ขะๆ ขอโทษนะ! ฉัน… ไม่ได้ตั้งใจ” ศรีลนลานพูดกระอักกระอ่วน แววไพรหัวเราะคิกคักท่าทางน่ารักเสียจนใบหน้าของศรีเริ่มแดงระเรื่อ เธอก้มหน้างุดๆ ด้วยความเขินอายที่เสียมารยาทและถูกล้ออย่างเอ็นดู
“ไม่เป็นไร มานี่หน่อยสิ” ศรีเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย แววไพรตบเก้าอี้ที่เธอนั่งซึ่งเหลือพื้นที่นั่งได้อีกคน ศรีนั่งลงก่อนที่แววไพรจะชวน “ลองวาดไหม?”
“จะ จ้ะ”
มือบางขาวของศรียื่นรับพู่กันที่แววไพรส่งให้ ดวงตาดำสนิทนั้นจดจ้องไปที่ผิวผ้าฝ้ายของร่มบ่อสร้างซึ่งมีลวดลายวาดด้วยความประณีต ช่างงดงามนัก แม้ศรีจะเคยเห็นแววไพรวาดลวดลายบนผ้าร่มบ่อสร้างแต่นี่เป็นครั้งแรกที่ศรีชื่นชมฝีมือของแววไพรอย่างอดเสียมิได้และหลงไหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น หากใครไม่ได้มองดูใกล้ๆ และพินิจจะรู้สึกว่าลวดลายนี้เหมือนๆ กับร่มบ่อสร้างทั่วไป แต่พอมองใกล้ๆ และพินิจดูนั้นก็จะรู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณบางอย่าง
---ที่แววไพรให้ศรีลองวาดเพราะปรารถนาที่จะได้ชมใบหน้าศรีชัดๆ
แววไพรมองศรีด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหลงไหลและรักใคร่ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มองใบหน้าศรีใกล้ชิด ถึงเพียงนี้ หน้าอกร้อนผ่าวยิ่งกว่าส่วนอื่นของร่างกาย หัวใจเต้นแรง แก้มบอบบางแดงบางเบา มองด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม ศรีไม่ได้สังเกตว่าแววไพรจ้องมองเหมือนที่เธอจ้องมองแววไพร จิตของศรีเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่ สมาธิมั่นคงแม้จะสั่นคลอนเล็กน้อย
ศรี… สักวันฉันจะครอบครองหัวใจเธอ
“อ่า… แบบนี้ใช้ได้ไหมจ๊ะ--- ว่ะ แววไพร เป็นอะไรไปน่ะ”
ศรีหันไปถามแววไพรแต่ก็ต้องชะงักคำพูดเนื่องจากตกใจกับสีหน้าของแววไพรที่เคลิบเคลิ้มราวกับอยู่ในห้วงความฝันอันแสนสุข แววไพรรู้สึกตัวเมื่อศรียื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนที่หน้าจะแดงกว่าเดิมและขอโทษขอโพยศรี เด็กหญิงเกล้ามวยผมยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรจ้ะ” ก่อนที่ทั้งสองจะขึ้นเรือนไปเพราะพระอาทิตย์ลาลับฟ้าจนนภาแผ่กว้างเป็นสีดำ เด็กหญิงผมประบ่าสวมแว่นร่ายคาถาลงอาคมไว้ป้องกันไม่ให้ใครมาลักร่มบ่อสร้างไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ