ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
47) บทที่ ๔๗: อารมณ์ที่ชักนำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๔๗
[บรรยายโดยผู้ประพันต์]
อารมณ์ที่ชักนำ
กาสะลองเดินพร้อมกับอุ้มมณฑามาถึงห้องของเจ้าตัว ก่อนจะใช้พลังวิญญาณเปิดประตู นางเดินเข้าไปก่อนจะค่อยๆ วางมณฑาลง เมื่อมณฑาทำท่าจะหนีนางก็รีบจับข้อมือแล้วกดอีกฝ่ายลงไปกับเตียงก่อนจะจูบอย่างดูดดื่ม ริมฝีปากนุ่มร้อนผ่าวทำให้กาสะลองแทบจะควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้จนอาจจะเผลอกระชากเสื้อของมณฑาขาดแล้วกลืนกินร่างเย้ายวนนั่นจนหมด
กาสะลองเลื่อนริมฝีปากไปกระซิบที่ข้างหูมณฑาที่หน้าเป็นสีแดงมากกว่าเดิม
“ถอดเสื้อสิ” คราวนี้นางไม่มีหางเสื้อ จนมณฑานึกแปลกใจ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จะยอมเสียไปทั้งตัวหรืออดกลั้นอารมณ์ไว้แต่งงานก่อน
“เธอ… จะมิทิ้งฉันไปจริงๆ ฤ?”
ข้ารักท่านมากนักเจ้าคะ” กล่าวจบนางก็ขบหูมณฑาเบาๆ สร้างความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกให้แก่เจ้าตัว มณฑาดันร่างของกาสะลองเบาๆ ก่อนจะถอดเสื้อลูกไม้แล้วพับไปไว้บนโต๊ะด้านข้างเตียง
ร่างเปลือยเปล่าเผยให้เห็นทั้งหมด ไม่มีอะไรมาปิดบังทั้งสิ้น ทรวดทรงหน้าอก ส่วนเว้าโค้งช่างดูเย้ายวนนัก กาสะลองจูบมณฑาอีกครั้งก่อนจะเลื่อนริมฝีปากไปจูบบนเนินอกแล้วไล้ลงมา มืออีกข้างก็เคล้นคลึงหน้าอกนุ่มนวลไปด้วย มณฑาเผลอร้องครางออกมา มือเผลอไปโอบร่างของกาสะลองเพื่อให้ช่วยตนพยุงตัว
“กะ กาสะลอง…”
“มีเรื่องอันใดฤๅเจ้าคะ?” ปากถามแต่ใจยังคงจดจ่อกับร่างเปลือยเปล่า ความร้อนในตัวมณฑาทำให้อารมณ์ของนางมีมากกว่าเดิม มณฑาเงียบไปสักพักก่อนจะเอ่ย
“เธอ พร้อมใช่ไหมที่จะ อะ อ๊ะ!” มณฑาเอ่ยขาดคำไปไม่ทันอะไรกาสะลองก็ไล้เลียหน้าอกอย่างกระหาย ใบหน้าของหญิงสาวร่างเปลือยเปล่าขึ้นสีแดงมากกว่าเดิม ร่างกายร้อนไปหมด
“คิก… ท่านในตอนนี้น่ากินเสียจนข้าควบคุมอารมณ์แทบมิอยู่เลยนะเจ้าคะ” กาสะลองเอ่ยด้วยความขบขันและต้องการ
“จะยั่วฉันไปอีกเมื่อไหร่กัน รีบใส่มาบัดเดี๋ยวนี้เลยนะ”
“หึๆ เจ้าค่ะ…”
ระหว่างนั้นมณฑาก็จัดการถอดโจงกระเบนไปด้วย นางปลดเข็มขัดก่อนจะจังแจงผ้า กาสะลองจ้องนางไม่วางตา ขาอ่อนเผยให้เห็นชัด ขาข้างหนึ่งที่ยกขึ้นของมณฑาปดปิดส่วนลับไว้ กาสะลองรีบเข้าไปลูบต้นขาก่อนจะบรรจบจูบเบาๆ แล้วขบกัดไปด้วย มณฑาร้องครางออกมา กาสะลองเงยหน้ามองนายตนสักพักก่อนจะแยกขามณฑาออกแล้วค่อยๆ เข้าไปใกล้ช่องทางลับนั่นแล้วสอดลิ้นเข้าไป มณฑาสะดุ้งแล้วร้องครางเสียงดังกว่าเดิมอีกครั้ง
“อ๊า……!”
กาสะลองไลเลียผิวหนังอ่อนนุ่มในช่องงทางนั้นที่เริ่มชื้นแฉะ มณฑากระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิมเพราะเริ่มไม่มีแรง
กาสะลองถอนลิ้นออกมาก่อนจะใช้นิ้วสอดเข้าไป มณฑาสะดุ้งอีกครั้ง ความเจ็บปวดเล็กน้อยเข้ามาแทนที่ กาสะลองค่อยๆ สอดเข้าไปลึกๆ และลึกเข้าไปอีก มณฑาเผอลหลั่งน้ำตาออกมาเพราะความรู้สึกที่ดีมากและเจ็บในเวลาเดียวกัน
“ท่านมณฑา…” กาสะลองเงยหน้ามองด้วยความเป็นห่วง มณฑาส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะเอ่ย
“ทำต่อเถิดกาสะลอง ฉัน… ฉันมิไหวแล้ว”
“เจ้าค่ะ” กาสะลองยิ้มเมื่อเห็นว่านายตนไม่เป็นอะไร นางค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไปอีกหนึ่งนิ้ว
กาสะลองลูบไล้ต้นขาของมณฑาไปด้วย ก่อนจะเลื่อนไปเกาะกุมหน้าอกไว้แล้วเคล้นคลึง ชักพาอารมณ์ของหญิงสาวใต้ร่างให้ว่างเปล่ายิ่งกว่าเดิม หยอกล้อยอดอกสีระเรื่อด้วยปลายนิ้ว มณฑาเผลอเกร็งร่างขึ้นมาทว่าเมื่อกาสะลองทำแบบนั้นไปสักพักนางก็ผ่อนคลายร่าง
“อื้อ… อ๊ะ อ๊า” มณฑาร้องครางเมื่อกาสะลองเปลี่ยนจากมือมาเป็นลิ้น นางดูดดื่มยอดอกแล้วขบกัดเบาๆ มณฑาหลั่งน้ำตามากกว่าเดิม ทว่ากาสะลองไม่ได้สนใจเพราะรู้ดีว่ามณฑาเป็นเช่นนั้นเพราะอารมณ์ของตน
กาสะลองค่อยๆ จูบหญิงสาวใต้ร่างแล้วสอดลิ้นเข้าไป หยอกล้อกับลิ้นร้อนผ่าวและผิวผนังภายใน มณฑาตวัดลิ้นรับ น้ำตาเริ่มหยุดไหล ลืมความเจ็บปวดที่อยู่เบื้องล่าง
“หืม?”
กาสะลองเลิกคิ้วอย่างฉงนเมื่อรู้สึกถึงของเหลวอุ่นเกือบร้อนในช่องล่าง มณฑานิ่งไปสักพักเมื่อนึกได้ว่าตนมีอารมณ์จนถึงฝั่งเลยเผลอหลั่งน้ำนั่นออกมา กาสะลองกลั้นขำกับใบหน้านั้นก่อนจะจูบมณฑาอีกครั้งพลางถอดนิ้วออกเพื่อให้อีกฝ่ายลืมความเจ็บปวด มณฑารู้สึกว่าช่องทางเบื้องล่างโล่งขึ้นและมีของเหลวอยู่ภายในนั้น กาสะลองมองของเหลวสีเหมือนน้ำนมด้วยความกระหายที่ไหลจากช่องทางลับหยดสู่ผ้าปูเตียง
“ย่ะ อย่าขำนะ”
“มิขำดอกเจ้าค่ะ อารมณ์ถึงฝั่งเร็วนะเจ้าคะท่านมณฑา” ปากบอกว่าไม่ขำแต่ตอนนี้กาสะลองอยากขำออกมาดังๆ คราวนี้มณฑาหน้าแดงเพราะความอาย นางเอ่ยอย่างโมโห
“แล้วใครกันล่ะทำให้ฉันเป็นเช่นนี้ รู้ก็รู้ว่านี่มันครั้งแรกสำหรับฉัน อารมณ์ก็ย่อมต้องไวอยู่แล้วนี่!”
“ฮ่ะๆๆ อย่างอนสิเจ้าคะ ข้าเข้าใจ …ผ่อนคลายนะเจ้าคะ”
มณฑาปิดปากเงียบอีกครั้ง กาสะลองสอดลิ้นเข้าไปแล้วไล้เลียลิ้มรสน้ำสีน้ำนมนั่นอย่างกระหายก่อนจะถอนลิ้นแล้วจูบมณฑาอีกครั้ง นางสอดลิ้นแล้วหยอดน้ำสีขาวนั่นให้เจ้าของลิ้มรสบ้างจนมันล้นออกมาไหลภายนอก เมื่อถอนจูบออกน้ำจากปากและน้ำจากช่องทางเบื้องล่างก็ไหลยืดเป็นเส้นน้ำใสๆ
“กา… กาสะลอง” เสียงของมณฑาแหบพร่า กาสะลองจูบมณฑาอีกครั้งนางโอบกอดมณฑาซึ่งอีกฝ่ายก็เขยิบแขนมาโอบรอบคอตน กาสะลองถอนจูบก่อนจะเลื่อนไปจูบแก้มและกระซิบเบาๆ ข้างหูมณฑา
“ข้ารักท่าน”
ศรีนอนพักร่างกายยามเนื่องจากไม่สบายในขณะที่เพื่อนๆ เล่นกัน
จะว่าไปเพื่อนที่มาจากต่างประเทศหายไปไหนกันนะ
เธอสงสัย เพราะไม่ค่อยเห็นเด็กๆ จากประเทศอื่นเลย ศรีคาดว่าคงจะมีธุระ เพราะตอนนั้นเพื่อนหนึ่งในนั้นก็เคยบอกว่าถูกส่งตัวมาสืบคดีผู้ลักมีด ศรีมองเพื่อนๆ ที่หยอกล้อและเล่นไปมา เผลอนึกถึงช่วงเวลาที่เคยอยู่กับเพื่อนๆ สมัยก่อนที่เคยทรยศเธอ …อย่างน้อยตอนนี้เพื่อนๆ ที่มิติผกายก็ไม่ได้รังเกียจเธอ อาจเพราะว่าพวกเขาคุ้นชินกับอมนุษย์และไสยศาสตร์ การที่ศรีเป็นครึ่งยักษ์เลยไม่กลัว
“ศรี เป็นอย่างไรบ้าง” ยุพินที่เผลอหันมาเห็นเธอก็อดจะถามไม่ได้ ศรียิ้มแล้วส่ายหน้า แป้งมันที่เห็นยุพินหยุดเล่นก็มองอีกฝ่าย
เธอเจ็บที่ยุพินพยายามจะครอบครองศรี ทั้งๆ ที่เป็นเพื่อนรักกันแท้ๆ แต่ทำไมล่ะ ยุพินถึงต้องทำแบบนั้น
ไม่สิ
เธอเองก็เหมือนกัน พยายามจะครองคนที่รักคนที่เป็นคนเดียวกับเพื่อน
แป้งมันฉงน เพราะเหตุใดเธอถึงรักศรี ไม่เคยรู้จัก แต่เพียงได้เห็นใบหน้าครั้นตอนที่เธอเดินผ่านมาแถวที่ศรีนั่งอยู่ก็ตกหลุมรักเด็กหญิงผมยาวถึงสะโพกสีดำ …หรือว่านี่จะไม่ใช่รัก เพียงแค่ความชอบ หรือความหลงกันนะ?
จู่ๆ ภาพในหัวก็ผุดขึ้นมา เธอเห็นภาพหญิงสาวแต่งกายแบบสมัยก่อนทำร้ายร่างกายกัน ด้านข้างนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งยืนมองอย่างเหม่อลอย
“!” แป้งมันสะดุ้งเมื่อขนมชั้นเข้ามาตบไหล่ เธอหันไปมองเขาซึ่งเจ้าตัวก็เลิกคิ้วอย่างฉงนสักพักเขาก็ถาม
“เป็นอะไรฤ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร” แป้งมันหลบหน้าแล้วมองไปทางเด็กหญิงสองคนอีกครั้ง ขนมชั้นมองตามพลางคิดไปด้วยว่าเธอเป็นอะไร ดวงตาสีส้มสะดุดกับภาพที่ยุพินลูบแก้มศรี …เขาเข้าใจแล้ว
“ตัดใจเสียเถิด ถ้าเจ้ามิอยากให้คำว่าเพื่อนเป็นเพียงแค่ลมปาก” ขนมชั้นเอ่ยเบาๆ เพราะกลัวเพื่อนคนอื่นโดยเฉพาะยุพินจะได้ยินเข้า แป้งมันหลุบตา เธอกำกระโปรงแน่นพยายามสะกดอารมณ์ก่อนจะตัดสินใจยืนขึ้นแล้วออกจากห้องไป
“…” ขนมชั้นมองตามร่างนั้นไปจนพ้นสายตาก่อนจะหันไปมองยุพินอีกครั้ง
ยุพิน… แป้งมัน…
กลีบเย้าเดินด้วยความว่องไวจนดอกเข็มตามแทบไม่ทันในทางที่แคบๆ เพราะต้นไม้ที่ปลูกไว้มาก ดอกเข็มสูดอากาศเข้าไปก่อนจะถามกลีบเย้า
“นี่ กลีบเย้า รอข้าด้วยสิจะรีบไปทำไมเนี่ย?”
“ไม่ต้องพูดเลย” กลีบเย้ากล่าวแทนคำตอบแต่สักพักเธอก็หยุดก่อนจะกุมมือดอกเข็มแล้วจูงเดินต่อไป ดอกเข็มมองเด็กหญิงเผ่าเย้าด้วยความฉงนแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะคิดว่าเดี๋ยวไปถึงก็คงจะรู้เอง
“?” เมื่อมาถึงดอกเข็มก็เบิกตาด้วยความคาดไม่ถึง เธอมองไปรอบๆ บริเวณที่เธอกับกลีบเย้าอยู่ แผ่นทรงกลมที่เขียนเป็นเป้านั้นมีลูกธนูปัก บางครั้งก็อยู่วงนอกบางครั้งก็อยู่วงใน ดอกเข็มหันไปมองกลีบเย้าก่อนจะถาม
“นี่มัน… เจ้าไปซ้อมยิงธนูเมื่อใดกัน?”
“ก็นะ มันเป็นมานานแล้วล่ะ …อย่าถามมากเลย มาช่วยข้าหน่อยสิ” ดอกเข็มพยักหน้า กลีบเย้าส่งลูกบอลเล็กประมาณฝ่ามือให้ อีกฝ่ายรับมาแล้วมาอย่างสงสัย
“วางไว้บนหัว ข้าจะลองฝึกความแม่นยำในการยิง” กลีบเย้าเอ่ยก่อนจะตั้งท่ายิงธนู ดอกเข็มเดินให้ออกห่างพอควรก่อนจะวางลูกบอลบนศีรษะเธอพยายามทรงตัวไม่ให้ลูกบอลตก เมื่อมันอยู่นิ่งกลีบเย้าก็เล็งเป้า
หนึ่ง… สอง… สาม… ยิง!
ฉึก!
ลูกธนูยิงเข้าไปที่ลูกบอล ดอกเข้มใจหายวาบเพราะรู้สึกเหมือนมันจะแทงเข้าที่หน้าผากเธอ เธอไม่ได้เป็นสายเลือดอมตะ เพียงแค่สามารถอยู่ได้หลายร้อยปีและไม่ชราด้วยก็เท่านั้นเอง แต่ยังดีนะที่กลีบเย้ายิงแม่นมิเช่นนั้นเธอเสียชีวิตแน่
“อึก…”
ดอกเข็มยืนนิ่งไม่กล้าขยับ กลีบเย้าเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าจริงจัง ดอกเข็มอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกิดกลีบเย้าหมดรักเธอแล้วคิดจะสังหารด้วยวิธีนี้เธอก็ไม่รอดแน่ …แต่จะกล่าวให้ถูกคือไม่กล้าทำร้ายจนตนเองต้องพ่ายแพ้ ทว่าไม่ใช่เธอคิดมากไปเอง กลีบเย้าลูบไล้ใบหน้าเธอก่อนดึงใบหน้าดอกเข็มเข้ามาใกล้ๆ แล้วจูบแก้ม เด็กหญิงเผ่าไทแสกเบิกตาครู่หนึ่งก่อนจะผ่อนคลาย กลีบเย้าถอนริมฝีปากก่อนจะถาม
“ข้าพาเจ้ามาที่นี่มิใช่ว่าอยากซ้อมยิงธนู แต่ข้าอยากอยู่กับเจ้าตามลำพัง” ดอกเข็มจ้องกลีบเย้าซึ่งเจ้าตัวก็จ้องกลับเช่นกัน ดวงตาโหยหากลีบเย้าทำให้ดอกเข็มใจเสีย เธอรีบกอดกลีบเย้าก่อนจะลูบหลังเธอเบาๆ
“น้อยใจที่ข้ามิค่อยมีเวลาให้เจ้าใช่ฤๅไม่?”
“รู้ตัวก็ดี ยายคนใจร้าย รู้ก็รู้ว่าข้ารู้สึกเช่นไร” กลีบเย้าตัดพ้อ ดอกเข็มซบร่างบางก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ข้าขอโทษ… อย่างอนเลยนะคนดีของข้า โอ๋ๆ”
“ฮึ!” กลีบเย้าเบือนหน้าหนี เธอซบต้นคอดอกเข็มด้วยความคิดถึง ริมฝีปากบางเผยเอ่ยเบาๆ
“อยู่อย่างนี้… ไปนานๆ นะ” ดอกเข็มมองเด็กหญิงเผ่าเย้า สักพักเธอก็ยิ้มพลางพยักหน้าแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม
เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งมาถึงกลางคืน มณฑาลืมตาปรือแต่ยังลืมไม่เต็ม นางมองกาสะลองที่นอนกอดเธอข้างๆ
“เช้าแล้วฤ” มณฑาพึมพำ นางเข้าใจว่าตอนนี้เป็นตอนเช้าเพราะปรกตินางจะนอนแล้วก็ตื่นในตอนเช้า ทว่าวันนี้ไม่เหมือนกัน
“หืม? อย่าบอกนะว่าตะวันทับตา[1]” นางคิดเมื่อรู้สึกว่าดวงตาตนเองไม่ขึ้นและอ่อนเพลีย นางมองเห็นว่าท้องฟ้ายังมีพระจันทร์สว่างด้วยแสงอ่อนโยนชัดอยู่
“เฮ้อ! ฉันทำงานหนักมาตลอดพอปล่อยตามตัวสบายเช่นนี้เลยหลับยาวสินะ แย่จริงๆ เลยเรา” มณฑาพึมพำเบาๆ ก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากกาสะลองแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำ
[1] ตะวันทับตา เป็นคำที่คนสมัยก่อนเรียกใช้การนอนในช่วงหัวค่ำที่ส่งผลให้เรานอนแล้วไม่อยากตื่นหรือตื่นแล้วก็อาจสับสนวัน เวลา บางคนตื่นมาแล้วรู้สึกไม่สดชื่น จะลืมตาก็ลืมไม่ค่อยขึ้น จึงเป็นคำออกกุศลโลบายไม่ให้นอนเร็วเกินไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ