ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.43K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

43) บทที่ ๔๓: ความจริงที่ยากจะยอมรับ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๔๓

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ความจริงที่ยากจะยอมรับ

                พงสณะได้ยินเสียงน้ำ เขาเพิ่งสังเกตว่าน้ำเป็นคลื่นระลอก เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วพบเงาหลายที่ที่มารุมร่างหนึ่ง

                หรือว่าจะเป็นพวกพราย?

                พงสณะยิงกระสุนออกไปสองสามนัด เงาทั้งหลายต่างถอยห่างไป พงสณะตัดสินใจจะลงไปดูในน้ำ แล้วหยิบขวดน้ำที่ใส่น้ำมนต์ไว้ด้วย อยู่ในน้ำใช้ปืนหรืออาวุธอย่างอื่นไม่ได้เพราะมีแรงดันของน้ำ เขาถอดเสื้อนักเรียนเพื่อไม่ให้ถ่วงก่อนจะลงไป ตรงนี้เป็นบริเวณที่ลึกที่สุดถ้าให้เขายืนสุดฝีเท้าก็ไม่พ้นน้ำแน่ ทว่าเขาไม่กลัวถ้าเพื่อที่คนที่ตนเองรักเขาก็ยินดีจะทำทุกอย่าง

                แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

                เมื่อเขาลงไปก็พบร่างของศรีกำลังว่ายน้ำขึ้นไปโดยไม่ได้สังเกตว่าเขาลงมา พงสณะรีบว่ายเข้าไปคว้าร่างของศรีไว้ เด็กหญิงหันนหน้ามาแล้วเบิกตาด้วยความคาดไม่ถึง ระหว่างนั้นเองพงสณะก็หยิบเปิดฝาขวดแล้วปล่อยให้น้ำมนต์ออกมา น้ำมนต์กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำ

                พวกพรายต่างสลายไปทีละตนเพราะทนความร้อนไม่ได้ที่มีแต่พวกภูตผีเท่านั้นที่สัมผัสได้จากน้ำมนต์ พงสณะดึงร่างศรีขึ้นแล้วพาเธอไปนั่งบนขอบสระ

                “ศรี เป็น ‘ไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหม?”

                “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่คนอื่นๆ ล่ะ”

                แม้ใบหน้าของเธอจะอ่อนล้าแต่เพียงเท่านี้เขาก็สบายใจได้แล้ว พงสณะยิ้มบางๆ ออกมา ดวงตาของเขาเหลือบเห็นว่าเสื้อที่เปียกน้ำแนบเนื้อกับผิวของศรีจนเห็นเนื้อลางๆ น้ำที่เกาะตามผิวและเส้นผมนั้นหยดลงมาชวนวาบหวิว เขารู้สึกว่ามีของเหลวสีแดงไหลจากจมูก ยังดีนะที่ผ้าห่มสไบของศรีทับหน้าอกไว้เลยไม่เห็นเสื้อชั้นในไม่งั้นป่านนี้เลือดกำเดาไหลหมดแน่

                “พงสณะ เป็นอะไรไปเหรอ?” ศรีที่เห็นอาการของพงสณะก็อดจะเป็นห่วงไม่ได้ เจ้าตัวส่ายหน้าเพราะไม่อยากให้ศรีรู้ว่าสภาพเธอในตอนนี้มันน่าชวนจับกดเสียจริง

                “ทำยังไงดีเนี่ย ไหลไม่หยุดเลย”

                เพียงแค่เธอไปเช็ดตัวแล้วเปลี่ยนชุดอาการของฉันก็จะดีขึ้นแล้วล่ะ

                แน่นอนว่าเขาไม่ได้เอ่ยออกไปเพราะกลัวเธอจะส่งสัย ศรีลุกขึ้นแล้วช่วยเขาพยุงตัวพลางยื่นผ้าเช็ดหน้าซับเลือดไปด้วย

               

                “….นี่ พินทุ” ปักษธรเอ่ยขึ้น หญิงสาวชาวภาคเหนือเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ หญิงสาวลูกครึ่งไทยกับญี่ปุ่นมองร่างสูงระหงที่นั่งพับเพียบเท้าแขนข้างหนึ่งกับหมอนทรงสามเหลี่ยมที่ปักลวดลายไทยงดงาม พินทุแย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะถาม

                “มีเรื่องอันใดฤ?”

                “ข้ารู้สึกมิพอใจเจ้าอย่างไรชอบกล”

                “หึๆ ใครๆ ก็กล่าวเช่นนี้แล ความรู้สึกของข้าที่มิค่อยสะทกสะท้านต่ออะไรทำให้หลายคนมองว่าข้าไร้ความรู้สึกจนมิน่าคบแต่ก็อย่างว่าแหละ อยู่มาหลายปีแล้วการที่เห็นอะไรซ้ำๆ เดิมๆ มันก็รู้สึกเบื่อนี่นะ”

                “ยายแก่เอ๊ย…”

                “ข้าชราก็จริงอยู่ดอก ข้าอายุมากกว่าเจ้าเสียอีก ตั้งแต่สมัยทวารวดีแล้ว เจ้าเพิ่งเกิดช่วงอโยธยาสินะ”

                “ใช่”

                “ว่าแต่เจ้ามีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าอีกฤๅไม่ ข้ารู้สึกว่าเจ้าอยากถามข้ามากกว่านั้น” พินทุยิ้มอย่างสบายใจ เป็นรอยยิ้มที่ยียวนน่าตบ ปักษธรถอนหายใจแล้วกล่าว

                “เจ้าน่ะ รู้ไปเสียทุกอย่างเลยนะ”

 

                คชินทร์เหม่อมองท้องฟ้า นางนั่งเท้าแขนกับหมอนทรงสามเหลี่ยมพลางจิบน้ำใบเตยไปด้วย กลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้นางผ่อนคลาย  มือข้างหนึ่งก็เขียนงานไปด้วย อันที่จริงควรจะเรียกว่าเป็นงานอดิเรกเสียมากกว่า

                นางเขียนพรรณนาโวหารเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเห็นในวันนี้ รวมถึงน้ำใบเตยหอมกรุ่น ได้เขียนจนมาถึงครึ่งหน้ากระดาษแล้วก็วางปากกาลงก่อนจะตักขนมกลีบลำดวนทานแล้วเคี้ยว

                ‘อย่าทิ้งข้าไป!’

                ‘ชีวิตของส่วนใหญ่จะรอดก็จำเป็นต้องทิ้งใครคนใดคนหนึ่ง และนั่นก็คือเจ้า!’

                ‘…พวกเจ้า ทำไม’

                บทสนทนาระหว่างซอกับหญิงสาวนางหนึ่งยังคงตรึงใจคชินทร์มาโดยตลอด เหตุการณ์ในงานที่สะสางเมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้วทำให้นางฝันร้ายเกือบทุกวัน น้ำตาของหญิงสาวหยดลงอย่างน่าเวทนา นายิกาคนอื่นๆ และนางที่เป็นหนึ่งในนั้นได้แต่มองร่างขาวซีดจมลงไปในบ่อเลือด

                …ปล่อยให้ตายไปแล้วทุกคนที่เหลือก็จะรอด

                ‘อ้ายคนเห็นแก่ตัว!!’

                “เฮือก!!” คชินทร์สะดุ้งเมื่อใดยินเสียงบางอย่างเอ่ยขึ้น หันไปมองรอบด้านก็ไม่พบใคร นางหอบหายใจ ใบหน้าซีดเผือด

                เจ้า… ยังมิไปสู่สุคติอีกฤ?

                “ข้าขอโทษ… หากเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้เป็นฝีมือเจ้า ข้าก็อยากให้เจ้ามาลงที่ข้า”

                คชินทร์เผลอหลั่งน้ำตาออกมา หัวใจที่กำลังถูกบีบให้แตกเพราะสงสารนายิกาที่ถูกทอดทิ้งกำลังภาวนาให้วิญญาณของนายิกาไปสู่สวรรค์

                ไปในภพที่จะไม่มีใครทอดทิ้ง

 

                แป้งมันมีสีหน้าเบื่อหน่าย เนื่องจากเธอต้องอยู่ที่เรือน ใจจริงเธอก็อยากไปกับพวกศรีด้วย แต่ขนมชั้นห้ามไว้ เขาให้เหตุผลว่าถ้าไม่มีใครสักคนอยู่มณฑาต้องสงสัยแน่

                “จำไว้เลยนะขนมชั้น ชิ!”

               

                “เมื่อไหร่ท่านจะกลับมาเสียที” อรัญญิกพึมพำ ซอหายไปนานแล้วแต่ยังไม่กลับมาเลย นั่นเองที่ทำให้นางอดเป็นห่วงไม่ได้ จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น นางหันหน้าไปมองระหว่างนั้นประตูก็เปิดออกพร้อมร่างของหญิงสาวนางหนึ่งที่ถือง้าว

                “…”

                “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ ท่านคชินทร์” อรัญญิกทราบดีว่าคชินทร์ไม่ชอบพูดเลยเป็นฝ่ายทักทาย ทั้งสองตั้งยกมือไหว้กันและกัน คชินทร์หยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมาแล้วเขียนให้อรัญญิกอ่าน

                พรุ่งนี้เป็นวันประลองคัดเลือกนายิกา ใครกันนะที่จะเก่งที่สุดในบรรดานายิกาประมาณ ๒๒๕ น่ะ

                “ข้าเกือบลืมไป ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”

                แล้วเจ้าไปโดนอะไรมาล่ะ

                “เสือของสมุนผู้ลักดาบเจ้าค่ะ” อรัญญิกเผลอมองแผลตนเอง คชินทร์พยักหน้าก่อนจะเขียนถามอีกครั้ง

                จะว่าไปข้าก็อดสงสัยมิได้ ตกลงอรัญญิกนี่เป็นชื่อเรียกดาบฤๅมีดกันแน่

                “ข้ามิมั่นใจนัก คงจะเป็นมีดเจ้าค่ะ”

                ถ้าเช่นนั้นก็คงจะเป็นชื่อเรียกเจ้าด้วยสินะ

                “มิทราบเจ้าค่ะ” อรัญญิกตอบกลั้วหัวเราะ คชินทร์ยิ้มบางๆ ก่อนจะถามอีกครั้ง

                ว่าแต่ซอหายไปไหน

                “เอ่อ…”

                ข้าขอตัวก่อนนะ

                “จะ เจ้าค่ะ ขอให้โชคดีนะเจ้าคะ” อรัญญิกเอ่ย ขณะนั้นคชินทร์ก็ลุกขึ้นยืน นางยิ้มให้อรัญญิกก่อนจะเดินออกจากห้องไป

                เมื่อคชินทร์ปิดประตูลง นางก็ถอนหายใจก่อนจะก้าวเดินไปตามทางแล้วลงบันได จุดหมายคือเรือนของมณฑา

                คงจะเป็นเรื่องจริงสินะ

                ในเวลาต่อมา คชินทร์ก็มาถึงเรือนของมณฑา นางได้ยินเสียงสนทนาแว่วๆ

                “ข้าเองก็รักมณฑา” คชินทร์เบิกตาด้วยความแปลกใจ เพราะนางเองก็พอจะทราบอยู่แล้วว่าเรื่องมันจะต้องมาถึงจุดนี้ แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นจริง

                “เราเป็นพี่น้องกันนะเจ้าคะ” มณฑาเอ่ย แววตาของนางฉายความหวั่นใจและฉงน พี่สาวผู้ที่เย็นชากับตนมาตลอดจะเอ่ยคำนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมให้เชื่อได้ภายในเร็ววัน

                “แล้วอย่างไร? ---มณฑา เจ้าต้องแต่งงานกับข้านะ” นนทรีหันไปจ้องตาสีส้มของมณฑา หญิงสาวผมลอนหยักศกเผยปากจะตอบแต่ก็ถูกกาสะลองขัดจังหวะ

                “ไปบังคับแบบนั้นคิดฤๅเจ้าคะว่าท่านมณฑาจะยอม”

                “หึ! อย่าคิดเชียวนะว่าเป็นนายิกาจะมาทำเช่นนี้กับข้าได้ คนที่มีเชื้อสายเดียวกันหากได้เป็นนายิกานั่นก็หมายความว่าอีกคนก็เป็น!”

                “…มณฑา” ซอเอ่ยเบาๆ มณฑาหลุบตา นางพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์นี้

                “เจ้ารักใคร”

                “…กาสะลอง”

                “!”

                “!”

                คำตอบนั้นทำให้แทบทำให้นนทรีลุกขึ้นมาเขย่าร่างมณฑา แต่นางสะกดอารมณ์ไว้แล้วพยายามยอมรับความจริง นนทรีฉายแววตระหนกและฉงน

                “เพราะเหตุได เจ้าถึง…”

                “ท่านพี่มิเคยแม้แต่จะไยดีว่าน้องจะเป็นอย่างไร วันๆ เอาแต่เคร่งกับตำรา น้องหกล้มก็เมินเฉย ยามป่วยไข้ก็ไปเรียนวิชาอื่น ยามร้องไห้ก็เอาแต่ดุว่าอย่าร้อง”

                “…”

                “…มันมิมีเหตุผลอะไรที่น้องจะรักท่านพี่”

                “นั่นสินะ พี่มาก็เพื่อฟังคำนี้แหละ” นนทรีเปลี่ยนคำสรรพนาม มณฑามองนางที่ลุกขึ้นยืน กาสะลองยืนแล้วจดจ้องร่างนั้น คชินทร์ค่อยๆ หลบไปอีกด้านเผื่อนนทรีจะเห็น

                “แต่ข้ามั่นใจ ว่าพวกเจ้าไปมิรอดดอก” กล่าวจบนางก็เดินออกจากห้อง เหลือเพียงหญิงสาวสามคน คชินทร์รีบเดินไปให้ห่างจากตรงนี้

 

                “อ้าว เป็นอะไรของเจ้าเนี่ย เลือดกำเดาไหลมิหยุดเลย” ขนมชั้นถามเมื่อพงสณะพาศรีมาบนอาคาร แต่จะกล่าวให้ถูกต้องพูดว่าศรีพาพงสณะมาจะดีกว่า เจ้าตัวส่ายหน้าแล้วตั้งท่าถือปืน เลือดกำเดาก็ค่อยๆ หยุดไหล

                ขนมชั้นมองพสณะอย่างฉงนก่อนจะหันไปมองศรี เขาสังเกตว่าเสื้อของเธอมันแนบเนื้อแล้วเห็นผิวลางๆ ขนมชั้นเผลอจ้องไปชั่วหนึ่งก่อนจะดึงสติกลับมาแล้วทราบในที่สุดว่าพงสณะเป็นอะไร

                “ศรี ข้าว่าเจ้าไปเปลี่ยนเสื้อจะดีกว่านะ”

                “ทำไมเหรอจ๊ะ?”

                “ก็… เอ่อ” ขนมชั้นเบือนหน้าหนี แล้วขว้างมีดไปตรงที่มีวิญญาณ ศรีเอียงคอมองอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามต่อแล้วตั้งท่าดาบอีกครั้ง

                ในระหว่างนั้นก็เป็นช่วงเดียวกับที่เฉาก๊วยและธันนะมาพอดี ศรีเห็นดังนั้นจึงยิ้มให้ทั้งสอง รอยยิ้มนั้นทำให้ธันนะที่เผลอมองเธอต้องเบือนหน้า เพราะอับอายกับความรู้สึกของตนเอง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา