ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บทที่ ๓: อรัญญิก มีดแห่งราชวงศ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๓
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
อรัญญิก มีดแห่งราชวงศ์
“รสชาติดีไหม?” หญิงสาวถือร่มหันไปถามศรี เธอพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม บรรพตและปักเป้าใช้สายตาปะทะกันอย่างโกรธเคือง ศรีตักเม็ดสีม่วงของบัวลอยเข้าไปในปากก่อนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอมากับธันนะและแววไพร
“ท่านพินทุคะ ท่านเห็นเพื่อนของหนูไหมคะ?” น้ำเสียงกังวลเอ่ยถาม พินทุยิ้มบางๆ ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูด
“เห็นจ้ะ ---จะไปหาเขาทั้งสองไหมล่ะ”
“ปะ ไปค่ะ”
“งั้น… ว่าวจ๊ะ พาศรีไปหาเพื่อนที” นางหันไปบอกกับว่าว เด็กหญิงถักเปียพยักหน้าแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ ท่านพี่ศรีกรุณาตามน้องมาเจ้าค่ะ”
“จ้ะ”
ทั้งสองเดินตามทางที่มีกลิ่นอ่อนๆของดอกไม้จากด้านนอกอบอวลหากใครเป็นคนที่เกลียดดอกไม้คงได้เวียนศีรษะเป็นแน่เมื่อทั้งสองเดินมาถึงใกล้ห้องก็ได้ยินเสียงโครมครามดังมากจากในห้องว่าวจึงรีบเปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับสภาพที่เห็นแล้วอยากจะร้องไห้แจกันหมอนโต๊ะเก้าอี้และสิ่งไม่มีชีวิตอื่นๆวางกระจายบนพื้นไม่เรียบร้อยและ…
เด็กหญิงผมประบ่าสวมแว่นที่ในมือถือร่มบ่อสร้างใช้ปลายจิ้มหน้าผากเด็กชายในชุดเสื้อกล้ามสีเทากับกางเกงลายทหารศรีเบิกตากว้างอย่างตะลึงส่วนส่วนว่าวเป็นแบบเดียวกันแต่เผลอเผยริ้มฝีปากค้างเด็กหญิงถือว่าวเอ่ย
“ท่านพี่ทั้งสอง…ทำไม…ถึงทะเลาะกันล่ะเจ้าคะ?”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวฉันอธิบายทีหลังแต่ตอนนี้ฉันขอได้ใช้ร่มจ้วงไส้หมอนี่ก่อนเถอะ!” พร้อมกับพูดแววไพรเพิ่มแรงกดปลายร่มให้จิ้มลึกเข้าไปศรีเพิ่มสังเกตว่าปลายร่มนั้นมีแท่งเหล็กปลายแหลมจึงเอ่ยห้ามแววไพรเพราะหากกดลึกกว่านี้ได้เจาะสมองของธันนะแน่
“แววไพร! จะทำอะไรน่ะหยุดนะ!!”
แววไพรหยุด
“ศรี…ฉัน…บอกไม่ได้น่ะเอาเป็นว่าฉันโกรธธันนะก็แล้วกันนะ”พูดเพียงเท่านั้นแววไพรก็ชักร่มบ่อสร้างกลับมาพาดบ่าแล้วเอ่ยต่อ“ศรีตะคอกใส่ฉัน…”น้ำตาปริ่มจากขอบตาดวงตากลมโตใสแจ๋วศรีจึงนึกได้ว่าตนเองมีความผิดต่อแววไพร“ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ”จากสีหน้าหม่นหมองเปลี่ยนเป็นสดใสศรีตกใจต่อแววไพรเด็กหญิงสวมแว่นเข้ามากอดแน่นแล้วซุกหน้ากับอกของศรีไม่พูดอะไรอีก
ธันนะกับว่าวมองทั้งสองอย่างฉงนกับภาพตรงหน้าจากตอนแรกที่แววไพรเกือบจะฆ่าธันนะเปลี่ยนไปเป็นแสดงความรักต่อศรีซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ทราบว่าเป็นมิตรภาพหรือในแบบคนรัก…และในขณะมองทั้งสองสายตาก็เหลือบไปเห็นว่าว่าวกำมือแน่นจนเส้นเลือดแทบจะปริแตกและแววตาที่ประกายความโกรธ
ทำให้เผลอคิด
ผู้หญิงสมัยนี้เวลาโกรธทีโลกแทบแตกน่ากลัวแฮะ
“ขอตัวนะเจ้าคะเชิญตามสบายเจ้าค่ะ”
ว่าวบอกน้ำเสียงโกรธเคืองก่อนจะเดินกระแทกเท้าไปอย่างอารมณ์เสียธันนะมองร่างที่จากไปอย่างงุนงงก่อนจะชักสายตากลับไปมองทั้งศรีกับแววไพรต่อทั้งสองคุยกันอย่างถูกคอแต่เห็นจะเป็นศรีที่เป็นฝ่ายฟังมากกว่าพูดแต่ที่เขาได้ยินบ่อยสุดจะเป็นเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆเขามองพลางคิดอย่างเหนื่อยใจ
เราคิดถูกหรือคิดผิดเนี่ยที่ปล่อยให้มันตามมา
ตอนเย็น
ศรีธันนะแววไพรปักเป้าบรรพตและว่าวเดินมาข้างนอกเรือนศรีมองไปรอบตัวอย่างสนใจกลิ่นอายแบบโบราณทำให้เธอรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกเธอสังเกตว่าวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่จะเป็นแบบสมัยก่อนธันนะไม่สนใจอะไรเดินแบบเฉยๆบรรพตและปักเป้ายังเถียงเรื่องขนมไม่หยุดส่วนแววไพรและว่าวต่างเบือนหน้าหนีให้กันด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับศรีมองพลางคิดว่าทั้งสองอาจจะมีเรื่องผิดใจกันเธอวางแผนว่าจะไปคุยกับทั้งสอง
“สวัสดีนะเจ้าคะวันนี้แววไพรมีคนจะมาแนะนำให้รู้จักเจ้าค่ะ”เมื่อเดินมาตรงกลุ่มเด็กอายุไล่เลี่ยกับศรีว่าวก็กล่าวกับเด็กกลุ่มนั้นบางคนก็มีสีหน้าเย็นชาบางคนก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรศรีรู้สึกยินดีที่อย่างน้อยหนึ่งในหลุ่มนั้นก็ยังมีคนที่น่าจะพอคุยกันได้
“ใครเหรอไม่คุ้นหน้าเลย”
“นั่นสิ”
“แขกของหนูเจ้าค่ะนี่พี่ศรีและพี่ธันนะ”ศรียืนแล้วยิ้มให้เด็กกลุ่มนั้นส่วนธันนะยังคงมีหน้าเย็นชาแบบเดิมเขารู้สึว่ามีอะไรแปลกๆเดี๋ยวก่อนนะแล้วแววไพรล่ะไม่บอกแนะนำตัวเหรอชื่อของแววไพรเขาได้ยินตอนที่ศรีเรียกเขาสงสัยว่าทำไมว่าวรู้จักกับแววไพรได้เขากระซิบถามกับว่าว“ว่าวแล้วแววไพรล่ะ”
“เรื่องนั้นไว้เล่าทีหลังเจ้าค่ะเอาเป็นว่าหนูรู้จักก็แล้วกันนะเจ้าคะ”พอได้ยินชื่อของแววไพรเธอก็มีหน้าโกรธเคืองก่อนะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มกริยานั้นทำให้ธันนะถึงกับมีสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“อ่าแล้วมาจากไหนน่ะ”
“มิติสามัญเจ้าค่ะ”ศรีและธันนะหันไปมองว่าวเพราะสงสัยคำว่ามิติสามัญศรีถามว่าว“มิติสามัญคืออะไรเหรอจ๊ะว่าว”
“ขอโทษค่ะถ้าจะให้อธิบายแค่เรื่องเดียวท่านพี่ศรีคงไม่เข้าใจแน่เลยค่ะมันจึงยาวไว้หนูจะเล่าที่หลังนะเจ้าคะ”
“จ้ะ”ศรีตอบกลับอย่างเข้าใจแล้วยิ้มบรรพตและปักเป้าเดินหายไปไหนแล้วก็ไม่ทราบว่าวมองศรีแล้วกระซิบ“ท่านพี่ทั้งสองมักจะทำงานด้วยกันบ่อยๆน่ะเจ้าค่ะสงสัยมีงานด่วนจึงไม่ได้บอก”ว่าวบอกเธอก่อนจะหันไปถามเด็กกลุ่มนั้น
“แล้วท่านครูอรัญญิกไปเหรอจ้าคะ”ว่าวหันไปถามเด็กกลุ่มนั้นศรีเพิ่งสังเกตเห็นว่าทุกคนต่างถือมีดอรัญญิกอยู่ศรีคิดว่าแม่ของคุณครูที่ว่าวถามถึงคงจะตั้งชื่อตามชื่อมีดนั่นแหละแต่ชื่อที่ตั้งบางครั้งพ่อแม่ของลูกก็อาจจะตั้งเพื่อหวังให้ลูกเป็นอย่างชื่อกระมัง
“ครูบอกว่าจะไปที่อยุธยาน่ะอะไรนะคดีเรื่องดาบอรัญญิก[1]แห่งราชวงศ์น่ะใช่ป่ะเม็ดแตง”
เด็กชายในชุดของชาวเผ่าเย้าไม่ได้ตกแต่งอะไรภายนอกเลยเห็นเป็นเพียงเสื้อเนื้อมันผ้าทอย้อมสีดำถามเด็กหญิงซึ่งไว้ผมประบ่าหยักศกใส่ชุดแบบเขาแต่เป็นกระโปรงใส่ตุ้มหูห้อยเพชรสีนิลมีคันธนูคล้องบนบ่าเธอมองศรีอย่างเย็นชาแต่ไม่ได้แฝงด้วยความเกลียดชังตามองศรีแต่ปากตอบเด็กชายคนนั้น
---กล่าวตามตรงศรีศึกษาเรื่องชนเผ่าประเทศไทยมาค่อนข้างเยอะแต่บางเผ่าข้อมูลก็ไม่ได้ชัดเจนนักศรีจึงอาศัยการคาดเดาจากเครื่องแต่งกาย
“ใช่ตอนนี้ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้เลย ---นี่ประกาศฉันไปเห็นตอนตักน้ำที่ลำธารน่ะเห็นมันติดไว้เลยเอามาอ่าน”เด็กหญิงชาวเผ่าเย้าหยิบออกมาจากกระเป๋าลวดลามสวยงามเด็กชายชาวเผ่าเย้ารับมาอ่านกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว
“ไหนๆดูหน่อยซิ”
เด็กชายผมสีส้มในชุดนักเรียนชะโงกหน้าอ่านบ้างเด็กหญิงผมยาวมัดผมสองจุกไว้ข้างหน้าเป็นปอยสวมชุดแบบชนเผาไทแสกเสื้อแขนยาวสีดำกับผ้าที่คล้องบ่าเฉียงแล้วปล่อยปลายด้านหน้าสั้นๆถุงผ้าเป็นสีดำ เธอมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแต่อ่อนโยนเธอมองใบประกาศจับตัวนั่นด้วยแล้วเอ่ยอย่างตะลึง“โอ้โห! เงินรางวัลตั้งหลายบาทแน่ะ”
“ฮึดาบเล่มนี้สำคัญมากเพราะมันคืออาวุธที่เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์แล้วใช้สืบทอดเป็นกษัตริย์ด้วย”เด็กหญิงผมประบ่าหยักศกอธิบายเรียบๆแล้วชักสายตาจากศรีมองไปที่ทุกคนเด็กชายผมสีส้มถาม“แล้วครูอรัญญิกไปทำไมอ่ะครูเกี่ยวข้องยังไง”
“เพราะครูเป็นคนกรุงศรีอยุธยาน่ะสิ ---จะบอกอะไรให้นะมีดเล่มนี้สำคัญมากเท่าชีวิตของคนอยุธยาเชียวล่ะเพราะใช้ในพิธีกรรมเกือบทุกพิธีแล้วหากมันถูกนำไปใช้ในทางชั่วร้ายมันจะทำให้เมืองเกิดความอาเพศทีนี้เข้าใจหรือยัง?”
“เข้าใจแล้วเนอะ”เด็กชายผมสีส้มหันไปทางทุกคนเพื่อขอความยืนยันจากทุกคนศรีและธันนะไม่ค่อยเข้าใจนักถึงแม้ประโยคที่อธิบายจะไม่ซับซ้อนแต่ทั้งสองคนก็ยังสงสัยกันอยู่
กลางคืน
ช่วงกลางคืนหลังจากที่พูดคุยกับเด็กกลุ่มนั้นและเล่นกันบ้างอะไรบ้างซึ่งทุกคนต่างก็แนะนำตัวให้ทราบกันแล้วเด็กชายเผ่าเย้าคนนั้นชื่อดินขาวส่วนเด็กหญิงผมประบ่าหยักศกชาวเย้าชื่อเม็ดแตงทั้งสองบอกว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่เพื่อนๆในภาคกลางเรียก (ดินขาวกับเม็ดแตงเป็นชนเผ่าภาคเหนือ) กล่าวตามจริงพวกเขาตั้งชื่อให้ทั้งสองเด็กชายผมสีส้มชื่อขนมชั้นส่วนเด็กหญิงชนเผ่าไทแสก (เป็นชนเผ่าหนึ่งทางภาคเหนือ) ชื่อกลีบลำดวนแต่ส่วนใหญ่จะเรียกชื่อลำดวนหรือดอกเข็ม
แววไพรบอกหลังจากเล่นเสร็จแล้วว่าต้องไปทำร่มบ่อสร้างจึงขอตัวแยกจากพวกเขาส่วนบรรพตและปักเป้าไปทำงานที่ว่าวบอกศรีนานแล้ว
งานคงจะหนักจนป่านนี้ยังไม่กลับมาเลยศรีคิด อีก ๕ คนก็แยกตัวกลับเรือน จึงเหลือเพียง ศรี ธันนะและว่าว
ทั้งสามกลับเรือนของพินทุ บ่าวที่เรือนทำอาหารเสร็จแล้วนำมาจัดเรียงบนโต๊ะ พินทุเชิญศรีกับธันนะมาทานด้วย ซึ่งทั้งสองต่างก็กล่าวขอบคุณแล้ว เมื่อทานเสร็จว่าวก็เล่าสิ่งที่ทั้งสองสงสัยเมื่อตอนเย็น
“โลกที่ท่านพี่ศรีอาศัยเรียกว่า มิติสามัญ ส่วนโลกนี้ก็คืออีกมิติหนึ่งเจ้าค่ะชื่อมิติผกายเป็นมิติที่มีการใช้เวทมนต์และไสยศาสตร์ค่ะซึ่งก็แล้วแต่ว่าประเทศไหนจะนิยมใช้กันแต่ที่ประเทศไทยนิยมใช้ไสยศาสตร์ตะวันตกจะนิยมใช้เวทมนต์กันถ้าให้กล่าวจริงๆไสยศาสตร์และเวทมนต์มันก็จะคล้ายๆกันเจ้าค่ะเพียงแต่จะแตกต่างบ้างมิตินี้บางประเทศจะสวมชุดสมัยก่อนเพราะว่า---”
“อนุรักษ์”
เสียงมาก่อนร่างเจ้าของประตูแง้มแล้วแยกกว้างๆหญิงสาวเกล้าผมจุกเกล้าผมสองข้างแล้วที่เหลือก็ปล่อยไม่รวบผ้าสีชมพูอ่อนๆคล้องไว้บนบ่าแล้วปล่อยชายสองข้างศรีสังเกตเห็นว่าปิ่นปักผมและกำไลต้นแขนมีลักษะคล้ายกับที่ปรับสายดนตรีไทยเธอเหลือบไปมองซอสามสายที่หญิงสาวถือปลายแหลมของซอนั้นคมกริบ
“ประเทศไทยของโลกนี้มีกฎหมายว่าหนึ่งเดือนต้องสวมชุดไทยสมัยก่อนอย่างน้อย๒๐วันบางคนเลยใส่บ่อยเกินกว่านั้น---การสร้างถนนเขาก็ห้ามสร้างและให้สร้างที่อยู่เป็นแบบเรือนไทยเพราะการสร้างถนนจะตัดต้นไม้ไปเยอะส่วนที่สร้างเรือนไทยเพื่อเป็นการอนุรักษ์ความเป็นไทยและวัสดุการก่อสร้างแบบที่มิติสามัญมันต้องเสียเงินเยอะกว่าการสร้างเรือนไทยแต่โดยรวมก็ยกเว้นกรุงเทพฯที่เดียวที่เขาให้สร้างได้ ---ที่เป็นประเทศอื่นก็เป็นเหมือนกัน”หญิงสาวถือซออธิบายต่อจากว่าว
ว่าวเบิกตากว้างตะลึงก่อนจะยกมือไหว้ทักทายหญิงสาวยกมือไว้ตอบแค่ระดับอกแล้วยิ้มบางๆก่อนจะถามชื่อศรีและธันนะ นางแนะนำตนเอง นางมีนามว่า ซอ เมื่อทั้งสองบอกชื่อแล้วตัวนางแนะนำตนเองเสร็จ นางก็ถามศรีและธันนะที่ตื่นตาตื่นใจกับเรื่องที่ฟังยังไงก็ดูเหมือนเรื่องโกหกของเรื่องมิติ ไสยศาสตร์ เวทมนต์ แต่ในเมื่อทั้งสองได้พบกับตาตนเองแล้วก็ไม่อาจโกหกตนเองได้ว่านี่คือความฝันหรือภาพลวงตา
“ท่านซอ ขออนุญาตขัดเจ้าค่ะ ที่ท่านมามีธุระอะไรหรือเจ้าคะ” ว่าวถามกับท่านหญิงนามซอ นางมีสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเรื่องที่นางจะบอกเป็นเรื่องไม่ดี
“เรื่องดาบอรัญญิก”
[1] มีดไทย สร้างโดยชาวบ้านไผ่หนองและบ้านต้นโพธิ์ ตำบลท่าช้าง อำเภอนครหลวง ซึ่งเป็นชาวบ้านจากเวียงจันทน์ เข้ามาต้นรกรากตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ มีอาชีพตีทองและเหล็ก ต่อมาเลิกตีทอง จึงเหลือแต่ตีเหล็ก มีทั้งมีด ดาบ อาวุธ และเครื่องใช้อื่น ๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ