ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

36) บทที่ ๓๖: อย่าไปนึกถึงอดีต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๓๖

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

อย่าไปนึกถึงอดีต

                มณฑาพาซอกลับมายังเรือนตน นางคิดว่าดีจริงๆ ที่เด็กๆ ไม่อยู่ นางจัดการพาซอไปอาบน้ำแล้วไปที่ห้องตน มณฑาผลักซอให้นอนกับเตียงแล้วลงนอนตามก่อนจะพลิกกายหันไปกอดแล้วลูบไล้ร่างกายด้วยความคิดถึง

                “นานแล้วนะที่ฉันมิได้ใกล้ชิดกับเธอถึงเพียงนี้…” มณฑาขึ้นไปคร่อมร่างของซอแล้วซุกกับคอขาวผ่องอย่างหลงใหล หญิงสาวผู้ตกเป็นเบี้ยล่างครางอย่างไม่พอใจ หญิงสาวผมสีทองออกส้มแสยะยิ้มก่อนจะขบกัดซอกคอนั่นด้วยเขี้ยวแบบผีดูดเลือดอย่างกระหาย

                “ย่ะ อย่า!” ซอเอ่ยอย่างหวาดกลัว นั่นทำให้มณฑาอยากทำร้ายมากกว่าเดิม หญิงสาวสวมชุดสมัยรัชกาลที่ ๕ ถอนเขี้ยวแล้วไปกระซิบข้างหูซอด้วยเสียงแหบพร่า

                “ลืมไปแล้วฤว่าฉันมีสายเลือดอะไรด้วย?”

                “…” สีหน้าของซอไม่ดีนัก นางไม่กล้าหายใจเพราะกลัวหญิงสาวตรงหน้า มณฑากัดลิ้มรสเลือดที่ซึมออกมาสองจุด รสคาวหวานนั้นทำให้นางแทบควบคุมตนเองไว้ไม่อยู่ มณฑาฝังคมเขี้ยวให้ลึกกว่าเดิมทำให้ซอสะดุ้งจนเผลอไปกอดหลังด้วยความเจ็บปวด แม้นางจะมีสายเลือดอมตะ แต่ความรู้สึกนั้นก็ยังคงมีอยู่

                กาสะลองมองจากหลังคาอีกเรือนสอดส่องสายตาทางหน้าต่าง นางยิ้มอย่างยินดีที่นายตนสามารถแก้แค้นได้สำเร็จและอิจฉาในเวลาเดียวกัน

                ท่านมณฑา ไยท่านถึงมิเคยมองข้าบ้างเลยล่ะ ทั้งๆ ที่ข้าดูแลท่านมากกว่านาง แต่ทำไมล่ะเจ้าคะ

                …สนใจข้าบ้างสิ

               

                “เฮ้อ! จะฟ้องดีไหมนะ” คาตานะกล่าวอย่างสบายๆ ผิดกับเด็กหญิงสามคนที่ยืนก้มหน้าก้มตาเพื่อรับชะตากรรมของตนที่ริอาจมาทะเลาะกันให้คาตานะเห็น (อย่างไม่ตั้งใจ)

                “…”

                “ฟ้องเนอะ” คาตานะแกว่งดาบไทยไปมาก่อนจะชี้ปลายไปที่เศษระเบิดของว่าวและลูกกระสุนของยุพิน ทำให้เจ้าของหน้าซีดเผือด สีหน้านั้นทำให้คาตานะอดที่จะหัวเราะไม่ได้

                “…” พวกเธอยังคงเงียบต่อไปทั้งๆ เหงื่อที่ซึมชื้นไปทั่วใบหน้า  ขนมชั้นยิ้มอย่างพอใจที่ในที่สุดพวกเธอก็หยุดเสียที คาตานะมองเศษขยะก่อนจะใช้ดาบจิ้มๆ มันแล้วเขย่าเศษใส่ถังขยะ

                “ทำพื้นสกปรกมากกว่าเดิม” เขากล่าวพลางยิ้ม

                “อ้ายน้องโง่ ทำเรื่องมิเข้าท่าอีกแล้ว” ปักเป้าถอนหายใจ ซีอาห์ที่ไม่รู้ว่าไปซื้อลูกชิ้นเสียบไม้มาตอนไหนก็เคี้ยวมันอย่างเอร็ดอร่อยพลางเอ่ยไปด้วย

                “ข้าก็ไม่ได้อิจฉาศรีหรอกนะ แต่อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าทำไมพวกผู้หญิงถึงหลงนักหลงหนา เกล้ามวยผมแถมปักปิ่นปักผม ไหนจะผมที่ยาวอีก เหมือนผีเลย น่ากลัวอะ”

                “…” ปักเป้าไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ ดินขาวที่เพิ่งซื้อขนมถังแตกก็มองทั้งสองและคาตานะที่กำลังบ่นๆ พลางคิดอย่างเหม่อลอย

                …ป่านนี้พวกเจ้าไปอยู่ไหนนะ …กลีบเย้า …ดอกเข็ม

               

                จารุไม่สบายใจเอาเสียเลย เมฆสีหม่นบดบังพระจันทร์ที่กำลังเปล่งแสงนุ่มนวลให้มืดมิด …เหมือนคืนเมื่อตอนเกิดเหตุการต่อสู้ของสมุนผู้ลักดาบ

                ฤๅว่าที่พลังของเนตรตื่นทั้งๆ ที่ยังมิได้เอาปิ่นปักผมออกก็เพราะว่าพระจันทร์ถูกบัง

                จารุคิดไปมาพลางจัดการกับเอกสารไปด้วยและพยายามไม่ให้คิดมากกับเรื่องของศรี …แต่สุดท้ายความอดทนก็ขาดผึง จารุเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวเลยไปค้นๆ ตู้หนังสือก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ตัวอักษรเริ่มขาดๆ หายๆ กระดาษขึ้นสีเหลืองออกน้ำตาล กลิ่นอับจากตู้ไม้ทำให้เขาขมวดคิ้ว ……คำพูดของหญิงชราในวันนั้นทำให้เขาใจหาย

                เราคงไม่มีชีวิตยืนยาวขนาดนั้นพอที่จะอธิบายให้หลานได้เข้าใจความเป็นมาของตน แม้นเราจะตายไปแต่วิญญาณเราก็จะยังคงกลับมามีเลือดเนื้อดังเดิมด้วยพลังของปิ่นปักผม ทว่าเราก็มิอาจไปหาหลานได้ เพราะฉะนั้น

                …ช่วยบอกเรื่องของหลานเราได้เข้าใจด้วย

                “ฮึ โกมุท ยายบ้า ตนเองมาอธิบายก็ได้นี่ ยังมีหน้ามาใช้อีก” ปากก็บ่นๆ ไปแต่จิตใจของเขาสั่นไหว เมื่อนึกถึงหญิงสาวเกล้ามวยผมปักปิ่นปักผมข้างเดียว ดวงตาที่เยือกเย็น ท่าทางที่สุขุม ปัญญาที่เฉียบขาด ลักษณะนั้นช่างเข้าหาได้ยากนัก

                …แต่เพราะเหตุใดล่ะ เขาถึงตกหลุมรักเธอ

                จารุสลัดภาพนั้นทิ้งไป เรื่องก็นานมาแล้ว หญิงสาวที่เขานึกถึงก็ไปแต่งงานมีลูกมีหลาน สมองนึกแค้นเคืองกับชายคนนั้นที่แย่งเธอไปจากเขา

                จะว่าไป… เจ้าไปอยู่ภพไหนแล้วนะลินจง

                ภาพวันที่เธอและชายที่ชื่อว่าลินจงสมรสนั้นทำให้ใจเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ เขารู้ว่าทั้งสองไม่ได้รักกัน แต่เพราะเหตุผลทางบ้านทำให้ต้องแต่งงาน จารุไม่เข้าใจ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ฟ้าดินไม่ยุติธรรม ควรจะให้ความรักเป็นเหตุในการแต่งสิถึงจะถูก

                แต่ถึงฟ้าจะประทาน เรื่องมันก็บานปลายแล้ว

                เด็กชายสวมชุดราชประแตนยิ้มเยาะตนเองพร้อมกับเปิดหน้าหนังสือไปด้วย

                ปิ่นปักผมของตระกูลวีรสังฆะมีทั้งหมด ๕ อัน อันแรกเป็นปิ่นปักผมฝังด้วยอัญมณีสีดำตัวไม้เป็นสีดำ ล้อมด้วยปิ่นปักผมเล็กๆ สีแดง พลังของมันสามารถแปลงเป็นดาบส่วนปิ่นปักผมเล็กๆ แปลงเป็นดาบไว้ทำพิธี  มีวิญญาณชั่วร้ายสถิตอยู่ ชื่อของมันคือโลหิตบุปผาทมิฬ

                อันที่ ๒ เป็นปิ่นปักผมของเรา เป็นปิ่นปักผมสีทองที่ประดับด้วยอัญมณีที่ห้อยลงมา มีรัดเกล้าฝังด้วยอัญมณีสีอำพัน พลังของมันสามารถแปลงเป็นดาบได้ มีวิญญาณสถติยู่ ชื่อของมันคือบุปผาจันทรา

                อันที่ ๓ เป็นปิ่นปักผมที่เราจะมอบแก่หลานของเรา เป็นปิ่นปักผมสีเงินที่มีสองอัน รัดเกล้าฝังด้วยอัญมณีสามจุดเป็นสีแดง ปิ่นปักผมข้างขวามีวิญญาณยักษ์คนพี่ธาตุน้ำสถิต อันซ้ายมีวิญญาณยักษ์คนน้องธาตุไฟสถิต ชื่อของมันคือบุปผารากษส

                อันที่ ๔ เป็นปิ่นปักผมประดับด้วยอัญมณีที่เจียระไนเป็นรูปดอกราชพฤกษ์สีเหลือง เป็นปิ่นปักผมที่ไม่ถูกกับปิ่นปักผมบุปผาโลหิตทมิฬ เพราะวิญญาณของปิ่นปักผมนี้เป็นอริกัน

                ผู้ครองปิ่นปักผมต้องเป็นทายาทของตระกูลวีรสังฆะที่มีเนตรยันต์มรณะ ในตอนแรกจะต้องประดับปิ่นปักผมเพื่อสะกดมันไว้ พออายุเกิน ๑๐ ปีพลังอาจจะตื่นๆ ดับๆ หากเป็นที่มิติสามัญก็ไม่มีปัญหา แต่หากอยู่นอกบ้านในวันที่พระจันทร์ถูกเมฆบังเนตรก็จะตื่น เลือดจะออกจากร่างกาย

                ผู้ที่ครองจะมีความรู้สึกอยากทานเลือดเนื้อสดๆ และจะอาละวาดเพราะเนตรยันต์มรณะเป็นเนตรที่ใช้เลือดและความมืดเป็นพลัง

                วิธีสะกดหรือทุเลาอาการมีสองวิธี หนึ่ง ทำพิธี สองปล่อยให้ผู้ครองอาละวาดและทานเลือดเนื้อ

                วันจันทร์

โกมุทสินธุ์ วีรสังฆะ ลงนาม

                หนังสือเล่มนี้ ไม่สิ สมุดบันทึกของโกมุทถูกเขียนอย่างรีบๆ แต่ก็พยายามบรรจงอย่างสวยงาม จารุปิดสมุดก่อนจะนั่งเท้าคางกับโต๊ะอย่างคนไม่มีปัญญาพลางมองพระจันทรืที่เริ่มโผล่จากปุยเมฆ

                …เนตรยันต์มรณะ

               

                ก่อนหน้าที่พระจันทร์คืนนี้จะถูกบดบัง ศรีได้หยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าๆ ขาดๆ มาอ่านด้วย ณ ตอนนี้เธอกำลังนั่งอยู่ริมสระน้ำที่อยู่นอกงามมาไกลหน่อย เธอใช้ไฟฉายส่องหน้ากระดาษพร้อมกับอ่านเนื้อหาไปด้วย

                เราต้องฝึกสมาธิสินะ

                เธอเข้าใจเนื้อหาได้เช่นนั้น ก่อนจะเก็บไฟฉายใส่ในกระเป๋าและหนังสือลงไปด้วย จากนั้นก็หยิบแก้วดินเผาใส่น้ำมะพร้าวมาดื่มแล้วคิดไปเรื่อยเปื่อย ชีวิตของเธอไม่ค่อยสงบเลย มีลางสังหรณ์บางอย่างว่าต่อจากนี้ผืนดินจะเต็มไปด้วยเลือดเนื้ออบอวลด้วยกลิ่นเหม็นคาว

                ย่าคะ ย่ารู้ใช่ไหมว่าเรื่องนี้จะดำเนินต่ออย่างไรคะ?

 

                “เนตรตื่นแล้ว?” คำถามจากหญิงสาวสวมชุดกี่เพ้าทับด้วยสไบกับกางเกงสีดำทับด้วยโจงกระเบนสั้นเลยเข่านั้นทำให้หญิงสาวเกล้าผมสองข้างห่มตะเบงมานและโจงกระเบนแบบนักมวยต้องพยักหน้าตอบ มือและเท้าของนางพันด้วยเชือกเก่าๆ

                “เจ้าค่ะ สาส์นนี้ท่านจารุส่งมาไม่นานนัก ทายาทของตระกูลวีรสงฆะอยู่ภายใต้ความดูแลของท่านซอเจ้าค่ะ”

                “ยังเหลืออีก ๓ คนที่เราต้องหาให้เจอ เพื่อที่พิธีจะได้สำเร็จ บ้านเมืองเราจากที่แต่ก่อนสงบแล้วแต่ศัตรูกลับมาสร้างความวุ่นวายเราจึงจำต้องใช้เนตรนั่นมาทำพิธี                   

                “คนหนึ่งเป็นย่าของทายาท ชื่อโกมุทสินธุ์ วีรสังฆะ แต่เสียชีวิตแล้ว ส่วนอีกสองคนยังไม่ทราบว่าเป็นใครเจ้าค่ะ” ดวงตาของหญิงสาวเกล้าผมสองข้างฉายความกังวล

                “แต่ที่สำคัญกว่าเนตรนั่นก็คือปิ่นปักผมประจำตระกูลที่เราเรียกรวมๆ ว่าบุปผาราชัน ที่จะสามารถใช้พลังได้”

                “…”

                หญิงสาวเกล้าผมสองข้างไม่เอ่ยอะไรต่อ หญิงสาวสวมชุดกี่เพ้าก็ทำงานของตนต่อพลางคิดไปด้วย

                นำเรื่องนี้ไปบอกกับผู้อาวุโสดีกว่า

 

                คาตานะที่พาเด็กหญิงสามคนไปส่งให้จารุทำโทษแล้วก็มานั่งในร้านอาหารเพื่อทานหอยทอด เขาคิดอย่างไม่สบายใจในขณะที่รอแม่ค้าทำรายการอาหารที่เขาสั่ง

                เรื่องมันกำลังจะเริ่มขึ้นอีกแล้วเหรอ?

                ‘นี่ ทำไมนายถึงอยากแต่งกับเราล่ะ?’ โกมุทถามในวันที่ทั้งสองยังเรียนประถม คาตานะที่รดน้ำต้นไม้จึงเงยหน้าเพื่อจะได้คุยสะดวก เขาตอบพลางยิ้มบางๆ

                ‘ใครว่าฉันอยากแต่งกับเธอล่ะ พ่อแม่บังคับน่ะสิถึงต้องแต่ง’ คาตานะก้มไปรดน้ำต่อ เมื่อเสร็จแล้วเขาจึงนำบัวรดน้ำไปเก็บแล้วมานั่งดื่มน้ำบนเก้าอี้ตัวยาวไม้ไผ่ โกมุทมองเขาก่อนจะหลุบตา

                ‘ฟ้าดินลงโทษเราสินะ เราสองคนถึงต้องแต่งทั้งๆ ที่ไม่ได้รักกัน’

                ‘อย่าคิดมากเลยน่า เราเพิ่งอยู่ประถมนะ อนาคตที่จะออกเรือนยังอีกนาน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเล่นไปก่อน’

                ‘…’

                ‘แก้เคลียด’

                คาตานะยิ้มเมื่อนึกถึงช่วงเวลาอบอุ่นที่เต็มไปด้วยความหดหู่ ขณะนั้นพนักงานก็นำหอยทอดที่ใส่จานมาวางไว้บนโต๊ะ เขาส่ายหน้าอย่างระอาที่ตนคิดเรื่องไม่เข้าท่าแล้วหยิบขวดซอสพริกมาราดปรุงรส

                …ถ้าถึงวันนั้นศรีก็ต้องแต่งกับพงสณะเหมือนที่เราแต่งกับโกมุทสินะ

                ……จะยินดีหรือยินร้ายนะ เจ้าหลานผู้น่าสังเวช

 

บทที่ ๓๗

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา