ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
33) บทที่ ๓๓: เหตุผลที่ไม่ให้ไป
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๓๓
[บรรยายโดยตัวละครหญิง เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]
เหตุผลที่ไม่ให้ไป
หนูนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่รอแววไพร ว่าวและยุพิน พร้อมกับอ่านหนังสือไปด้วย บรรพตกับธันนะเองก็นั่งอ่านเงียบๆ ด้วย มีบางครั้งที่บรรพตสะกิดหนูให้อ่านเนื้อหาที่น่าสนใจ ซึ่งหนูก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มและแสดงความคิดเห็นไปด้วย
…จะว่าไปธันนะก็ไม่ค่อยพูดกับใครเลย น่าเป็นห่วงจัง
หนูคิดด้วยความเป็นห่วงและกังวล ต้องหาวิธีช่วยธันนะเสียแล้ว เอาล่ะงั้นเริ่มจากชวนเขาคุยละกัน
“นี่ธันนะ เราร่วมเดินมาด้วยกันยังไม่ค่อยได้คุยกันเลยเนอะ”
“อืม” อีกแล้วอะ เขาไม่ค่อยชอบพูดกับใครเลย อ๊ะ! แย่จริง หนูเองก็ไม่ค่อยชอบคุยกับใครเหมือนกัน ไม่น่ากล่าวหากเขาเลย
“เราเองก็ไม่รู้จักแค่ชื่อ อยากรู้จังว่านายเรียนอยู่โรงเรียนอะไรน่ะ” ธันนะขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ หนูอาจจะเสียมารยาทไปหน่อยแต่เพื่อตัวเขาเองในฐานะที่หนูเป็นเพื่อนหนูก็ต้องช่วยเขา
แม้จะเพิ่งรู้จักกันก็ตาม…
“โรงเรียนไพสิฐโรจน์วิทยาคมน่ะ เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ที่ถามเนี่ยตั้งใจจะไปลอบฆ่าใช่ไหม?” ธันนะถามทีเล่นทีจริง ทำให้หนูทำแก้มป่องด้วยความไม่พอใจก่อนจะตบไหล่เขาไปหนึ่งที ใจร้ายจัง! หนูแค่อยากรู้ก็เท่านั้นเองน่ะ
“ไม่ใช่สักหน่อย!” หนูกล่าวด้วยอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ในขณะนั้นเองก็เป็นช่วงเดียวกับที่แววไพร ว่าวและยุพินทำความสะอาดเสร็จพอดี หนูเก็บหนังสือใส่กระเป๋าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาทั้งสามคนแล้วส่งยิ้มให้
“เหนื่อยไหมจ๊ะ ขอโทษนะที่ทำให้พวกเธอทะเลาะกันน่ะ” หนูเอ่ยอย่างสำนึกผิด แววไพรยิ้มบางๆ ก่อนจะเข้ามากอดแขนหนูแล้วซบไหล่
“ไม่ใช่ความผิดของศรีหรอก พวกฉันสิต้องขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ” หนูมองแววไพรที่เอ่ยเบาๆ แล้วหันไปมองว่าวและยุพิน จะว่าไปหนูก็ไม่ค่อยได้คุยกับยุพินสักเท่าไหร่เลย จะว่าไปหนูรูสึกตงิดๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ อะไรนะ หนูลืมอะไรไป
เอ๊ะ หรือว่า…
“อะ แววไพร ไม่ได้นะ” หนูเอ่ยด้วยความกังวลก่อนจะดันแววไพรออก เธอทำหน้าฉงนเหมือนไม่เข้าใจว่าหนูกล่าวถึงอะไรเลยถาม
“อะไรเหรอ?”
“ตอนนี้ฉันเป็นผู้ชายนะ ทำแบบนี้ไม่ได้หรอก” พอหนูตอบแบบนั้นทั้งสามคนก็เข้าใจ ดูเหมือนแววไพรจะไม่ใส่ใจเลยมากอดแขนหนูอีกครั้ง
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่”
กล่าวจบแววไพรก็หอมแก้มหนู หนูเบิกตาโตด้วยความตะลึง ปรกติถ้าตอนเป็นผู้หญิงหนูก็เฉยๆ แหละแต่พออยู่ในร่างชายแล้วเป็นแบบนี้รู้สึกแปลกๆ อย่างไรไม่รู้ ว่าวและยุพินที่เห็นภาพนั้นดูเหมือนจะไม่พอใจ (อันนี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร) ยุพินเลยมากระชากแววไพรแล้วบีบคออย่างแรงโดยที่ว่าวให้กำลังใจ (?) ด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย
“แค่ก ทำ… อะไร--- ของแก”
“แกก็น่าจะรู้นะว่าทำไม”
“นี่พอ---” หนูที่กำลังกล่าวห้ามก็มีอันต้องหยุดเพราะคาตานะเข้ามาก่อน ไม่ทราบว่าหนูตาฝาดไปหรือเปล่าหนูรู้สึกถึงรังสีอำมหิตจากคาตานะ ว่าว แววไพรและยุพินหน้าซีด สงสัยคงเพิ่งรู้ว่าหากทะเลาะกันคาตานะต้องไปฟ้องท่านจารุแน่
“เอ่อ คาตานะ พวกฉันไม่ได้ทะเลาะกันนะ ก็แค่หยอกเล่นกันเอง เนอะๆ ยุพิน” แววไพรกระแทกศอกใส่ยุพิน เจ้าตัวพยักหน้าเออออเพราะไม่อยากใกล้เส้นตาย เขายิ้มมุมปากก่อนจะก้าวเดินกลับไปนั่งดังเดิม พวกเธอคนถอนหายใจอย่างโล่งอก
หนูหันไปมองตาม คาตานะเอนกายลงนอนแล้วหลับตา …ทำไมรู้สึกว่าเขาลึกลับจังเลย เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่เป็นผีสางนางไม้ไม่มีผิด แต่… หนูว่าหน้าเขามันคุ้นๆ นะ
“เหมือนใครนะ…”
วูบ!
พลั่ก!
ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็มีลูกบอลลอยมากระแทกศีรษะ หนูกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด น้ำตาเล็ดออกมา หนูก้มไปเก็บลูกบอลเพื่อเตรียมจะโยนไปหาตัวการที่ทำให้ตนเองเจ็บ
“ตายแล้ว! ศรีเป็นอะไรหรือเปล่า” ยุพินถามอย่างเป็นห่วง แววไพรและว่าวก็มองหนูด้วยความรู้สึกนั้นเช่นกัน หนูยิ้มบางๆ เพื่อให้พวกเธอสบายใจก่อนจะหันไปมองรอบๆ ว่าใครเป็นคนทำแล้วเผอิญสบตากับซีอาห์และพงสณะที่ยืนยิ้ม สังเกตได้ว่าเหงื่อผุดตามใบหน้า …พวกนายเองสินะ
“พงสณะ! ซีอาห์!”
“ครับ!”
“ไม่ต้องมาครับเลย! เล่นยังไงถึงได้มาโดนฉันเนี่ยฮะ!” หนูตะคอกใส่อย่างโมโห พวกเขายิ้มแห้งๆ เหมือนจะกลบเกลื่อนความหวาดกลัว
“เอ่อ… จริงๆ แล้วเค้าก็ตั้งใจจะเล่นแค่สองคนนะ แต่ดูเหมือนลูกบอลมันจะอยากเล่นสามคนเลยไปโดนตัวเองไง แหะๆ” ระหว่างที่กล่าวเขาก็ค่อยๆ ถอยซีอาห์เลยทำตามด้วย เตรียมจะหนีล่ะสิอ้ายพวกพิเรนท์!
“งั้นเหรอจ๊ะตัวเอง”
“จ้ะ”
“งั้นก็รับไปซะ!!” หนูโยนบอลขึ้นแล้วตบมันให้พุ่งไปหาทั้งสอง โดนใครก็ได้เพราะอย่างไรเสียวันนี้หนูจะต้องเก็บกวาดให้หมด!
“ว้าก!”
พงสณะและซีอาห์หนีกันแทบไม่ทัน จะว่าไปแรงของหนูมันก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยล่ะ เมื่อก่อนพงสณะก็เคยล้อหนูว่าแรงเยอะอย่างกับช้าง แน่นอนว่าใครได้ยินแบบนี้ก็ต้องไม่พอใจ แต่พอได้สังเกตตนเองแล้วถึงรู้ซึ้งความความแรงของตน (ไม่กล้าโกรธ)
ตุบ!
แย่แล้ว! บอลลอยไปหาคาตานะที่นอนอย่างสงบเข้าอย่างจัง
ได้โปรด อย่าฟ้องท่านจารุเลยนะ
“หืม?” คาตานะลืมตาพร้อมกับรอยยิ้ม โดนขนาดนั้นยิ้มได้อย่างไรเนี่ย?!
“อ้าว เล่นอะไรกันอยู่ฤ?” เขาลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ก่อนจะก้มเก็บลูกบอลที่กลิ้งเบาๆ ซีอาห์ยิ้มเหยพลางตอบ
“เอ่อ…”
ซีอาห์มองหนูดูท่าจะเตรียมฟ้องคาตานะที่ตอนนี้กุมอำนาจไว้ในมือเพื่อดูแลเพื่อนๆ เรื่องที่ฟ้องคงไม่พ้นเรื่องที่หนูโต้ตอบเขาอย่างรุนแรงแต่อาจเพราะหนูส่งสายตาเยือกเย็นไปให้เขาเลยเปลี่ยนคำตอบ อ้าว? ทำไมไม่ฟ้องล่ะ หนูไม่ชอบการที่โดนปิดบังความผิดตนเองนะ
“ว่าไง?” คาตานะถาม ซีอาห์หลบตาหนูก่อนจะตอบ “ไม่มีอะไรหรอก ข้ากับพงสณะเล่นกันน่ะ แต่เผอิญไปโดนเจ้า… เอ่อ… ขอโทษนะ”
“ไม่ใช่นายสักหน่อย ฉันเป็นคนทำให้มันโดนคาตานะต่างหาก ---ขอโทษนะคาตานะที่ทำให้เจ็บแล้วรบกวนนายน่ะ” หนูที่ไม่อยากโดนปิดบังความผิดของตนก็เลยเอ่ยแทรก คาตานะหันมามองหนูแล้วยิ้ม
“มิเป็นไรดอก คราวหลังก็ระวังด้วยล่ะ”
“ขอบคุณจ้ะ” หนูกล่าวพร้อมกับยิ้มให้เขาซึ่งเขาก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน คาตานะเอนกายนอนอีกครั้ง หนูมองเขาที่กำลังจัดการให้ตนเองนอนสะดวกจนกระทั่งเขานอนนิ่งๆ นั่นแหละหนูจึงละสายตาจากเขามามองตัวก่อเรื่องเพื่อเตรียมเก็บกวาด
“ว่าไงจ๊ะ?”
สุดท้ายพงสณะและซีอาห์ก็ได้มานั่งแต่งกลอนให้หนู อันที่จริงหนูโดนบอลแค่นั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่ช่วงนี้อ่านหนังสือเดิมๆ ของตนจึงเบื่อเลยอยากอ่านอะไรใหม่ๆ บ้างน่ะ ซึ่งหนูก็ได้กำหนดให้แต่งกลอนแปด ๕ บท โดยให้มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับขนมไทย แต่ด้วยที่ซีอาห์เป็นชาวจีนเลยแต่งได้ผิดๆ ถูกๆ หนูเลยอนุโลมให้แต่งเกี่ยวกับดอกไม้แทน
“เสร็จแล้ว!” พงสณะกล่าวอย่างดีใจพร้อมกับวางดินสอลง หนูตบมือให้พลางยิ้มก่อนจะหันไปมองซีอาห์ที่กำลังแต่ง ดูท่าใก้จะเสร็จแล้ว เหลืออีกแค่บทเดียว
“ข้าก็ด้วย” ซีอาห์ยิ้มพลางมองหน้ากระดาษไปด้วย ยินดีด้วยจ้ะที่แต่งได้
เรื่องการแต่งกลอน อุปกรณ์การในการแต่งเป็นของหนูทั้งหมด ด้วยความที่หนูชอบพกสมุดและอุปกรณ์การเขียนไว้จดและวาดสิ่งที่น่าสนใจเป็นแรงบัลดาลใจแต่งนิยายและวาดรูปลงบล็อกในโลกออนไลน์เลยใส่มันในกระเป๋าคู่ใจไปไหนมาไหนด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีใครชอบ มีไม่ถึง ๒๐ คนเลย ไม่เป็นไร วาดมาได้เพียง ๘ ปีประสบการณ์เลยน้อย เอ้าๆ พยายามเข้าล่ะตัวหนู
“แต่งได้ดีจ้ะ ขอบคุณนะ” หนูกล่าวชมทั้งสองคนพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้ พงสณะยิ้มแป้น ท่าทางจะดีใจที่หนูชมเขา ก็ไม่แปลกหรอก หนูไม่ค่อยชอบพงสณะเลยไม่ค่อยได้ชมเขา น้อยครั้งนักที่จะกล่าว
“เป็นไงล่ะ ใครแต่งได้ดีกว่ากัน” ท่าทางผยองในตนของเขาทำให้หนูเบือนหน้าหนี
“ฉันเองก็ใช่ว่าจะแต่งเก่ง เพราะฉะนั้นบอกไม่ได้หรอก”
“ง่า…” พงสณะครางอย่างเศร้า ซีอาห์นั่งมองเราสองคนตาปริบๆ ก่อนจะเอ่ย
“ดูท่าข้าจะเป็นก้างขวางคอสินะ งั้นข้าตัวล่ะ บ๊ายบาย” กล่าวจบก็ลุกขึ้นเตรียมจะไป หนูรีบไปดึงคอเสื้อเขาไว้แล้วดึงกลับมานั่งต่อ
“ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ! ฉันกับหมอนี่เราเป็นแค่คู่หมั้นกัน--- อุ๊บ!” หนูหยุดพูดไม่ทัน เผลอกล่าวถึงเรื่องน่าอายเสียแล้วสิ ซีอาห์ได้ยินเรื่องนั้นก็ตาเป็นเป็นประกาย ….หายนะกำลังมาเยือน
“จริงรึ! ทำไมถึงเร็วจังเลยล่ะเพิ่งอยู่แค่ประถมเองนะ!”
“จะจริงหรือไม่จริงที่รู้ๆ ในอนาคตศรีจะมาเป็นภรรยาฉัน” พงสณะเปลี่ยนอารมณ์แล้วเลยกล่าวอย่างมีความสุข หนอย! ฉันไม่เป็นภรรยาแกหรอก
“มันจะไม่มีวันนั้น!” หนูที่ไม่รู้จะห้ามพวกเขาอย่างไรเลยหนีออกมาจากเรือนพร้อมกับที่ใบหน้าของตนที่แดงระเรื่อ เผอิญกับที่โอฟีเลียและเทสโลเอลเข้ามาพอดี ทั้งสองยิ้มให้หนูโดยที่โอฟีเลียทักก่อน
“เป็นอย่างไรบ้าง พวกนั้นได้หรือเปล่า?”
“อื้ม พอแต่งได้จ้ะ” หนูกล่าวพลางยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อนึกถึงสองหน่อนั่น โอฟีเลียที่สังเกตสีหน้าเลยหัวเราะเบาๆ
“จะว่าไปนี่ก็ใกล้จะ ๖ โมงแล้ว งานปิดเทอมนักเรียนคงจะเริ่มแล้วล่ะ” เทสโลเอลกล่าว หนูมองเธออย่างฉงน
“มีกี่วันเหรอจ๊ะ งานนี้น่ะ”
“ ๔ วันน่ะ วันนี้ฉันจะไปรับของที่สั่งจองด้วยล่ะ เอ้อ พูดแล้วก็ไปเลยดีกว่า ปะโอฟีเลีย เราไปขอท่านจารุกันเถอะ” เทสโลเอลจูงมือโอฟีเลียก่อนจะก้าวเดิน ทั้งสองหันมาโบกมือให้หนูด้วย หนูโบกมือตอบก่อนจะก้าวออกจากเรือน
เดี๋ยวขอไปด้วยดีกว่า…
“ไม่ได้!” ท่านจารุที่กำลังขมักเขม่นกับงานเงยหน้ากล่าวอย่างจริงจัง
“ขอร้องล่ะค่ะท่านจารุ หนูอยากไปมากเลยค่ะ” หนูวิงวอนท่านจากใจจริง
“เจ้าได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนั้นยังมิเข็ดฤๅอย่างไร อันที่จริงเจ้าต้องพักที่โรงพยาบาลหลายอาทิตย์ด้วยซ้ำ แต่เพราะซออยากให้เจ้าได้เล่นกับเพื่อนๆ เพราะกลัวเบื่อถึงได้ขออกมาก หากศัตรูมันมาทำร้ายอีกจะว่าอย่างไร” หนูจุกในใจเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น มือเผลอลูบตาข้างขวาที่ถูกพันผ้าพันแผลไว้ น่าแปลก… ทำไมเราโดนขนาดนั้นแต่ยังไม่รู้สึกเจ็บอะไรมากเลยล่ะ
“ว่าไป ดูท่าเจ้าจะเป็นพวกสายเลือดอมตะสินะถึงมิตายน่ะ โดนขนาดนั้นถ้าสายเลือดปรกติโดนแล้วมิตายก็แปลกแล้วล่ะ” ท่านจารุตั้งข้อสังเกต หนูขมวดคิ้วด้วยความสับสน หมายความว่าอย่างไรที่เราเป็นสายเลือดอมตะ
“มีอย่างนี้ด้วยเหรอคะ?”
“มีสิ ในมิติผกายมีการแบ่งมนุษย์ออกเป็น ๒ ประเภท ประเภทที่ ๑ คือสายเลือดปรกติ ประเภทที่ ๒ คือสายเลือดอมตะ ซึ่งเราได้จำแนกประเภทที่ ๑ ออกเป็น ๓ พวก พวกที่ ๑ คือตายได้แต่จะไม่แก่และมีอายุขัยสั้น พวกที่ ๒ คือ ตายได้แต่อายุจะยืนยาว ถ้าไม่มีอะไรมาทำร้ายก็จะตายแบบคนปรกติ พวกที่ ๓ ก็แบบเดียวกับพวกที่ ๒ แต่จะไม่แก่น่ะ”
“เอ่อ ตายได้แต่อายุยืนยาวนี่มันยังไงเหรอคะ?” หนูถาม
“ก็คือ สมมติว่าเอามีดมาแทงโดนจุดตายก็จะตายอย่างไรล่ะเหมือนคนในมิติสามัญ แต่ในเมื่อไม่ถูกทำร้ายก็จะมีชีวิตอยู่เป็นร้อยๆ พันๆ ปี บางคนก็อาจจะนานกว่านั้น” หนูฟังท่านอธิบายไปอย่างตั้งใจ ในโลกนี้กว้างจริงๆ มีอีกหลายสิ่งที่น่าตะลึงอยู่ไม่น้อย (ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่โลกของหนูก็เถอะ) ท่านจารุอธิบายต่อ
“ประเภทที่ ๒ อมตะ แบ่งออกเป็น ๒ พวก พวกที่ ๑ คือไม่แก่ต่อให้อายุมากแค่ไหนก็ตาม พวกที่ ๒ คือแก่ได้ พวกสายเลือดอมตะแม้จะตายไม่ได้แต่ก็ตายได้นะ”
“หมายความว่าอย่างไรค่ะ?” ไปๆมาๆ คุยนอกเรื่องเสียแล้วสิ
“พวกอมตะจะตายได้ก็ต่อเมื่อวิญญาณถูกทำลายเท่านั้น โดยผู้ที่สามารถทำลายได้ต้องใช้พลังขั้นสูงมาก จะว่าไปคนประเภทนี้มีมากเลยนะ ๗๐ เปอร์เซ็นต์เชียวล่ะ พวกสายเลือดปรกติมีไม่มากนักหรอก”
“เอ๊ะ? ทำไมล่ะค่ะ” ฟังแล้วก็อยากรู้มากกว่าเดิม ท่านจารุถอนหายใจเหมือนไม่อยากตอบ แววตาของท่านจริงจัง น้ำเสียงเริ่มหนักแน่น
“เพราะสงครามในสมัยก่อนน่ะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ