ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.42K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

29) บทที่ ๒๙: คาตานะล้อเล่น เด็กหญิงสามคนเริ่มเปิดศึกอีกครั้ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ ๒๙
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
คาตานะล้อเล่น เด็กหญิงสามคนเริ่มเปิดศึกอีกครั้ง
                “ศรีหายไปไหนน่ะ” พงสณะถามระหว่างทานอาหารมื้อเที่ยง เพื่อนๆ ต่างส่ายหน้า จู่ๆ ขนมชั้นก็พูดขึ้น
                “จะว่าไปแล้วข้าสงสัยเรื่องศรีมากเลยว่ะ จำตอนที่เราไปสู้กับลูกสมันผู้ลักดาบได้ไหม อยู่ๆ จากตอนแรกที่ศรีแทบมิมีแรงเดินก็กลับเดินได้แล้วมีเขี้ยวงอกอกมา …แต่สยองว่ะ เล่นผ่านางยักษ์เป็นสองซีกแล้วกินเครื่องในอีก นึกกี่ทีก็มิหายขนลุก”
                ขนมชั้นเล่าเมื่อนึกถึงเรื่องของศรี แต่มันกลับทำให้ใครหลายคนทานอาหารไม่ลงเมื่อนึกถึงฉากเลือดสาดนั่น
                “นายมาพูดอะไรตอนนี้ฮะ? อาหารกำลังร้อนๆ อร่อยๆ มันพูดเรื่องน่าขุนลุกทำไมเนี่ย??” เฉาก๊วยเบ้หน้าอย่างนึกรังเกียจฉากนั่น
                “ก็มันอดมิได้นี่ เจ้าลองคิดดูละกัน ศรีมันเป็นยักษ์ฤๅเปล่าก็มิรู้ แถมยังดวงตานั่นที่เป็นสีแดงมีสัญลักษ์ยันต์อีก” คำพูดนั้นทำให้เพื่อนๆ เริ่มสงสัยและคิดตามๆ กัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครรู้สาเหตุ
                “ก็ไม่แปลกนี่ถ้าศรีจะเป็นยักษ์ เพราะสมัยนี้ยักษ์กับมนุษย์อย่างไรก็อยู่ด้วยกันมาตลอด” ปักเป้าพูดอย่างไม่ใส่ใจเรื่องที่หลายคนสงสัย กลีบเย้าพยักหน้าก่อนจะเอ่ย
                “แต่ที่น่าสงสัยที่สุดก็เรื่องดวงตานั่น มันแปลกมากเลย น้อยคนนักที่จะมีเนตรสีแดง เพราะเนตรสีแดงเป็นสีที่แกร่งที่สุด ท่าทางศรีจะมิธรรมดาแล้วล่ะ”
                “แล้วยังดาบนั่นอีก ข้ารู้สึกคุ้นๆ มันอยู่นะ” บรรพตเอ่ยอย่างฉงนพลางนึกถึงเนื้อหาในหนังสือที่เคยอ่าน
                “นึกออกแล้ว” ในที่สุดเธอก็นึกได้ ดอกเข็มเห็นดังนั้นจึงถามบ้าง บรรพตยิ้มแป้นก่อนจะตอบ “ดาบนั่นมีมานานเหมือนกันนะ สืบทอดในตระกูลวีรสังฆะรุ่นต่อรุ่น …ถ้าจำไม่ผิดมันจะมีวิญญาณยักษ์สองพี่น้องสถิตอยู่”
                “วิญญาณยักษ์” ทุกคนทวนคำพร้อมกัน
                “ใช่แล้ว เห็นว่าดาบด้านขวาเป็นวิญญาณธาตุน้ำคนพี่ ด้านซ้ายวิญญาณธาตุไฟคนน้อง มันสถิตเพื่อปกป้องดาบ เนื้อหาที่ข้าอ่านมาก็มีประมาณว่าดาบนั่นจะมอบให้ผู้ถือครองที่ครอบครองตั้งแต่ชาติแรก เจ้าของเกิดเป็นอะไรมันก็มอบ คนอื่นไม่สามารถใช้มันได้เว้นแต่เจ้าของมันจะอนุญาต”
                “ขี้หวงชะมัด” โซค่อนล้อดาบของศรี รพิที่พอได้ฟังเรื่องที่เกี่ยวกับพี่สาวซึ่งเป็นญาติก็อดจะพูดบ้างไม่ได้
                “ผมก็เคยได้อ่านมาเหมือนกันครับ ดาบของพี่ศรีแปลงเป็นปิ่นปักผม อย่างตอนนั้นที่พี่ศรีใช้ดาบผมก็ไม่เห็นปิ่นปักผมเลยครับ”
                “น่าสนๆ” โซค่อนเอ่ยก่อนจะตักข้าวกับหมูใส่ปากแล้วเคี้ยวหงุบๆ ปักเป้ายักไหล่ก่อนจะทานต่อ
                ระหว่างที่ทุกคนทานอาหาร โอฟีเลียก็คุยเบาๆ กับเทสโลเอล
                “นี่ๆ ไว้ศรีกลับมาเราขอดูดาบดีไหม?”
                “ทำไมล่ะ?” เทสโลเอลถามด้วยความฉงน เธอเองก็สงสัยเรื่องดาบของศรีเหมือนกัน แต่สงสัยถึงขนาดไปขอมาดูมันก็เกินไปหน่อย
                “แหม ก็มันน่าสนดีนี่ ลองคิดดูสิ ดาบที่มีวิญญาณยักษ์สถิตแถมแปลงเป็นปิ่นปักผมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย จะไม่ให้สนได้ยังไงกัน” ท่าทางกระตือรือร้นของโอฟีเลียทำให้เทสโลเอลต้องถอนหายใจ อย่างไรนิสัยขี้สงสัยของเด็กหญิงสวมชุดแดงก็เป็นมานานแล้ว
                แถมแก้ไม่ได้ซะด้วยสิ
 
                พลั่ก!
                ร่างของศรีไถลกับพื้นเมื่อคาตานะดันดาบออกแล้วถีบเธอ ศรีข่มความเจ็บปวดที่ร้าวไปทั้งตัวแล้วพุ่งไปฟันดาบใส่คาตานะ เมื่อศรีดันดาบได้ก็กระแทกศอกใส่คาตานะก่อนจะใช้ดาบฟันร่างเขา
                เลือดไหลจากร่างเขาไม่มากนักแต่มันค่อยๆ เพิ่มปริมาณมากขึ้น ศรีมองภาพนั้น เธอลืมหายใจเพราะคาดไม่ถึงว่าตนเองจะสร้างบาดแผลถึงขั้นเลือดออดขนาดนี้
                คาตานะก้มดูบาดแผล เขาแสยะยิ้มก่อนจะกระโดดขึ้นและลงมาฟันดาบสองเล่มใส่ร่างศรี  จากบ่าลากลงมาเลือดพุ่งแล้วไหลเป็นสายตา เสื้อผ้าของเธอและเขาตอนนี้ต่างมีเลือดเปื้อนแต่งแต้มให้กับผ้าสีอ่อน
                ศรีเสียการทรงตัวเลยล้มลงไป เธอคิดด้วยความกังวล บ่าที่เชื่อมกับแขนเมื่อได้รับบาดแผลและความเจ็บปวดเธอจะขยับดาบได้ยาก คาตานะเข้ามาใกล้ก่อนจะนั่งคุกเข่าด้วยขาข้างหนึ่ง
                “อย่างน้อยข้าโดนที่ช่วงตัว แต่เจ้าโดนที่บ่าซึ่งเชื่อมกับแขนก็ขยับดาบลำบาก เอาเป็นว่าหยุดเพียงแค่นี้ก่อน ไว้ต่อคราวหน้านะ”
                “…”
                “ถ้าเกิดเจ้าอยากได้ความลับของเนตรก็ฟื้นตัวเร็วๆ ล่ะ”
                ศรีมองคาตานะที่หันหลังเดินกลับไปที่เรือน เธอกำมือแน่นด้วยความเจ็บใจ
                เราโดนแค่บ่าก็ไม่มีแรงแล้วงั้นเหรอ?
                …ช่างน่าสมเพศจริงๆ
                ศรียิ้มมุมปากก่อนจะยันตัวลุกขึ้นแล้วกำดาบในมือทั้งสองข้างแน่น แม้จะเจ็บบ่าก็ยังจับสิ่งของได้ ศรีไม่รอช้ายกขาสูงจะเตะศีรษะคาตานะ แต่ไม่โดนเพราะเขาหลบตัวได้ทันก่อน
                “ยังไหวฤๅ?”
                “ไหวสิ! ก็แค่เจ็บบ่าและไม่ได้เจ็บมากอะไรนี่” ศรีจ้องอีกฝ่ายไม่ให้คลาดสายตา ทำให้เขายิ้มชอบใจ คาตานะเอื้อมมือมา ศรีถอยตัวแล้วตั้งท่า
                แปะ
                “เอ๊ะ?” ศรีเอ่ยอย่างฉงนเพราะคาตานะทำผิดจากที่เธอคิดไว้ เขาลูบศีรษะเธอเบาๆ อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มอบอุ่นทำให้ศรีไม่มีกระจิตกระใจจะจู่โจมต่อ
                “ข้าก็แค่อยากเล่นกับเจ้าเลยพูดไปงั้นแหละ เพราะฉะนั้นเจ้ารีบไปทำแผลเถิด ประเดี๋ยวมันจะไหลมากกว่าเดิมนะ” กล่าวจบก็เดินเข้าไปในเรือน ศรีตะลึงกับกกิริยาของเขาจนยืนนิ่งไปชั่งครู่
                ทั้งๆ ที่เราไม่ชอบให้ผู้ชายมาแตะเนื้อต้องตัวแบบนี้ แต่ทำไมเราถึงไม่ปัดป้องเลยล่ะ
                …แต่รู้สึกดีอย่างไม่บอกไม่ถูก
                มันทำให้เรา… นึกถึงครอบครัว นานแค่ไหนแล้วนะที่เราไม่ได้รู้สึกถึงความอบอุ่นแบบนี้ นับตั้งแต่วันที่เรารู้ว่าพ่อกับแม่ของเราไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง ความอบอุ่นก็เปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บที่เกาะกุมจิตใจ
                คาตานะ… เป็นใครกัน……               
                ศรีคิดพลางเดินเข้าไป
                เด็กชายสวมชุดยูคาตะชั้นเดียวกับนุ่งโจงกระเบนเดินมาหาเธอที่นั่งรออยู่บนพื้นบ้านด้านนอก เขารักษาแผลให้เธอเงียบๆ แต่ก็ยิ้มไปด้วย ศรีสงสัยว่าเขายิ้มทำไมแต่ก็ไม่ได้ถามเพียงแค่เงียบอยู่นิ่งๆ ให้เขาทำได้สะดวก
                “เสร็จแล้วล่ะ” คาตานะยิ้มบางๆ ศรีก้มมองแผลก่อนจะเงยหน้าแล้วกล่าว
                “คาตานะ… ขอบคุณจ้ะ” เด็กชายไม่พูดอะไรแต่ยิ้มรับด้วยความยินดี
                ไม่นึกเลยว่าโตแล้วจะเป็นอย่างนี้ เข้มแข็งขึ้นนะ…
                สายใยครอบครัวทำให้เขาอดจะยิ้มไม่ได้…
 
                “เอาเป็นว่าเราแข่งตกปลา ถ้าฉันชนะแกห้ามยุ่งกับศรีเป็นเวลาสามวัน” แววไพรเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ ตอนนี้เธอ ว่าวและยุพินมาที่ลานแห่งหนึ่ง ยุพินแสะยิ้มพลางเอ่ย
                “ตกปลา? ที่แกพูดเมื่อกี้ไม่ธรรมดาไปหน่อยเหรอ”
                “รึอยากจะโดนท่านจารุเทศน์ล่ะ ต่อสู้มันก็สร้างความรบกวนและความเสียหาย ตกปลาแหละดีแล้ว” แววไพรขมวดคิ้วเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตน ว่าวและยุพินทะเลาะกันจนโดนสั่งสอนไปหลายนาที ว่าไปก็ยังไม่ได้ทานอาหารมื้อเที่ยงเลย
                “เที่ยงแล้วยังไม่ได้ทานอะไร ตกปลามากินก็ดีเหมือนกัน” ยุพินเอ่ยต่อ ว่าวปล่อยทั้งสองคนก่อนจะเดินไปที่เรือนตรงใต้ถุนแล้วหยิบอุปกรณ์ตกปลาจากนั้นก็เดินกลับไปรวมกลุ่มอีกครั้ง เธอยื่นของให้แววไพรและยุพิน
                “ใครจับได้มากที่สุดก็ชนะใช่ฤๅมิใช่เจ้าคะ”
                “อือ แต่ว่าเราจะนั่งเรือไปตก เพราะคลองแถวๆ นี้มันไม่ค่อยมีปลา ลึกตรงเข้าไปมันน่าจะเยอะกว่า”
                “หากเกิดท่านจารุรู้เข้าก็…” ว่าวค้านแววไพรต่อพอเห็นดวงตาที่เยือกเย็นเข้าก็จำยอม
                หลังจากนั้นพวกเธอก็แอบลอบนำเรือมาใช้ ดีที่แถวนี้ไม่ค่อยมีใครมาแวะเวียนจึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครเห็น
                …ไม่รู้ว่าพวกเธอคิดถูกหรือคิดผิด บรรยากาศวังเวงราวกับมีสัตว์ร้ายซ่อนอยู่ ยุพินกลอกตาไปมาด้วยความหวาดกลัวและกังวล
                ในขณะเดียวกันศรีและคาตานะก็นั่งเรือเพื่อกลับเรือนมณฑา
                คาตานะ  เป็นใครกันแน่
                ในใจของศรีคิดแต่เรื่องของคาตานะ เธอเหม่อลอย ดวงตามองทิวทัศน์รอบด้านและมองท้องฟ้าที่สว่างจ้า ช่างขัดกับบรรยากาศคลองที่อันตราย
                เรือแล่นไปหลายนาทีเธอและเขากับเด็กหญิงสามคนก็พายเรือสวนกัน ดวงตาทุกคู่สบกัน แววไพร ว่าวและยุพินคาดไม่ถึงว่าศรีและคาตานะจะอยู่ที่นี่
                กลัวว่าการแข่งลับจะถูกเปิดเผย
                “ศรี… มาอยู่ที่นี่ได้ไงน่ะ” แววไพรถามด้วยความกังวล เหงื่อบริเวณมือซึมจนชื้น ศรียิ้มบางๆ พลางตอบ
                “ก็… มาเดินเล่นกับคาตานะน่ะ …แต่เขามาชวนฉันมา”
                “งั้นเหรอ… ว้าย! ศรี ไปโดนอะไรมาน่ะ” แววไพรเหลือบเห็นเลือดที่ซึมออกมา นั่นเองที่ทำให้ว่าวและยุพินรีบเขยิบมาดูบ้าง
                “ท่านพี่ศรีไปโดนอะไรมาน่ะเจ้าคะ” ว่าวถามอย่างเป็นห่วง ร่างกายพักผ่อนมาไม่นานก็ต้องมาโดนอีก เรื่องนั่นศรีรู้ดีแต่เธอก็ยังฝืนสู้กับคาตานะเพราะอยากรู้ความลับของเนตรตนเอง
                “กะ ก็…” ศรีไม่รู้จะโกหกอย่างไร คาตานะเห็นดังนั้นจึงตอบแทน
                “ตอนนั้นเผลอไปกระแทกจนมีดหล่นลงมาน่ะ”
                “แต่เป็นสองข้างนะ…” ยุพินเอ่ยเบาๆ ในขณะที่จ้องแผลไม่วางตา คาตานะพยักหน้าพลางยิ้มเหมือนไม่ใส่ใจราวกับว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ก่อนจะพายเรือต่อ เมื่อเป็นดังนั้นศรีจึงโบกมือลาพร้อมกับส่งยิ้มให้ด้วย เด็กหญิงสามคนจึงโบกมือลา
                “ศรีไปแล้ว งั้นเราไปกันต่อเถอะ”
                “อื้ม”
 
                “ท่าทางมีพิรุธ” จู่ๆ คาตานะก็เอ่ยเมื่อเรือใกล้จะถึงฝั่ง
                “ยังไงเหรอ?” ศรีถาม “เมื่อกี้ข้าเห็นว่ามีคันตกปลาด้วย”
                “หือ ในเรือจะมีคันตกปลาก็ไม่แปลกนี่” ศรีแย้ง คาตานะที่รู้ดีจึงหัวเราะแล้วเอ่ย
                “มิใช่ เจ้าลองคิดดู พวกเธอสามคนนั่นเพิ่งทะเลาะกันมาใช่ฤๅมิใช่ เมื่อเป็นเช่นนั้นเรื่องมันก็มิจบง่ายๆ ดอก ข้าว่าคงต้องไปแข่งตกปลาแน่เลย”
                “หือ?” ศรีขมวดคิ้วเหมือนไม่ใช่ในสิ่งที่เขาพูด
                เรือเทียบท่าแล้ว คาตานะขึ้นก่อนแล้วยื่นมือเพื่อให้เธอจับ แต่ศรีไม่ยอมเพราะมันดูไม่งามจึงยิ้มให้เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจก่อนจะจับพื้นไม้แล้วพยุงตัวขึ้น
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา