ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  115.51K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) บทที่ ๑๙: กรรมของสิ่งที่เป็นจริงและสิ่งที่จำลอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๙

[บรรยายโดยตัวละครชาย เด็กชาย ธันนะ อรุณทิพย์]

กรรมของสิ่งที่เป็นจริงและสิ่งที่จำลอง

                ผมจะจัดการกับเจ้าลูกหมาตัวนี้ยังไงดีเนี่ย มันเพิ่มจำนวนและวิ่งตามอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด โว้ย! ผมไม่น่าไปอุ้มมันเลย เห็นมันทำตาระยิบระยับก็อดสงสารไม่ได้เลยขอเจ้าของร้านอุ้ม ก่อนหน้านั้นผมเห็นร้านขายลูกสุนัขที่เจ้าของร้านใจจืดใจดำขายเพราะเกียจคร้านจะเลี้ยง เกลียดนักไอ้พวกนี้! หมามันก็มีหัวจิตหัวใจเหมือนกันนะ!

                แต่ถึงงั้นก็เถอะ ผมก็ขอให้เขาเอาออกมาจากกรง ลูกหมาที่อยู่อีกกรงทำตาเป็นประกายแล้วมันก็วิ่งชนลูกกรงฝั่งนู้นฝั่งนี้จนกรงล้มเผอิญกับที่มันแงะประตูได้พอดี เท่านั้นแหละ ตัวอื่นเห็นอย่างนั้นเลยเลียนแบบ เจ้าของพยายามห้ามมันก็ไม่ยอมหยุด ในที่สุดผมก็โดนไล่อย่างนี้แหละ

                เห็นฉันเป็นกระดูกของพวกแกรึงั้นเรอะ!

                ผมใช้ความคิดหาแผนล่อพวกมัน ให้ขนมหน่อยละกัน คิดได้อย่างนั้นผมเลยหยิบขนมในกระเป๋ากางเกงโยนไปทางตรงข้ามหลายๆ ชิ้น หลังจากนั้นพวกมันก็ตามไป เฮ้อ! ค่อยยังชั่ว

                แต่จริงๆ แล้วผมน่าจะคิดให้เร็วกว่านี้นะ

                จากนั้นผมก็เดินเหมือนผีดิบมาหลบใต้ต้นไม้ เหนื่อยชะมัด… ผมวิ่งได้รอบงานยังเนี่ย ถ้าไม่ครบล่ะก็ผมจะจับเจ้าลูกหมานั่นทอดกินแน่ ---รู้สึกว่าตนเองใจร้ายแฮะ

                ความเหนื่อยค่อยๆ หายไป ล้าไปหมดทั้งตัว ผมเผลอนึกถึงเรื่องศรี ทำไมกันนะ… อกมันเจ็บแปลบทุกครั้งยามที่พงสณะอยู่กับเธอ

                ผมจำได้แล้ว… ผมนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นที่ศรีหลงทาง อ้อมกอดจากร่างเล็กๆ มันทำให้ผมมีความสุขมากเลย รอยยิ้มที่น้อยคนนักจะมีให้ผมนั้นมันอบอุ่นจริงๆ

                ………หากย้อนกลับไปได้อีกครั้งผมจะกอดเธอให้นานๆ และแน่นกว่าเดิม ผมรู้สึกตนเองผูกพันธ์กับเธอมานานแล้ว แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้เจอกัน

                ผมยกมือทั้งสองข้างแล้วดู ผมผิดเองที่ช่วยเธอไว้ ผมน่าจะทำเป็นไม่สนใจตนเองจะได้ไม่ต้องโหยหาขนาดนี้ ถ้าจะให้ผมกอดเธออีกครั้งในตอนนี้มันก็คงไม่งาม เพราะผมกับศรีเราก็เป็นวัยที่เข้าสู่วัยรุ่นแล้ว เผลอๆ คนอื่นจะมองว่าผมมันแก่แดดแล้วก็จะพูดต่อว่าศรีเป็นผู้หญิงใจง่าย

                มันต้องมีสักวันที่ผมจะ------

                ผมส่ายหน้าไล่ความคิดที่จะทำให้ตนเองทรมานยิ่งกว่าเดิม

                “ดื่มนี้หน่อยไหม?” จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายถามพร้อมกับเงาที่บังแสง ผมเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นหน้าความเหนื่อยก็ทุเลาในทันทีแทนที่ด้วยความโกรธ ---เสไพร!

                “ไม่” เสียงที่ตอบไปนั้นเด็ดขาดและเย็นชาแต่เสไพรก็ไม่ลดละเขาเข้ามาขวางผมที่จะเดินหนี

                “เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมนายถึงรังเกียจฉันขนาดนั้นล่ะ?” เสไพรถามอย่างฉงน ริมฝีปากยกมุมขึ้นให้ความรู้สึกอันตรายชอบกล ผมไม่ตอบและผละมันอย่างแรงก่อนจะก้าวต่อ เสไพรไม่ยอมหยุดเขาจับข้อมือผมไว้

                “!” ผมหันไปมองด้วยสายตาเย็นชา ไอ้พวกคนสองหน้ามันไว้ใจได้ที่ไหนกันล่ะ

                “อย่าฝืนตนเองสิ นั่งพักก่อน ดูซิเหงื่อเยิ้มเชียว” เขาว่าพลางหัวเราะ …ทำไมผมถึงรู้สึกว่าภายใต้คำพูดที่อันตรายนั้นมีความเป็นห่วงซ่อนอยู่ แววตาเจ้าเล่ห์ฉายความรู้สึกที่ทำให้ผมผ่อนคลาย

                แปะ

                “?” จู่ๆ หมอนั่นก็เอาผ้าเช็ดหน้ามาแปะแก้มผมก่อนจะเช็ด จนเหงื่อซึมเข้าผ้า เขาไม่ได้ทำแบบลวกๆ แต่ทำอย่างทะนุถนอม ผมรู้สึกแปลกๆ เลยเบือนหน้าหนีก่อนจะถามอย่างร้อนรน “ทำอะไรของนายน่ะ!”

                 เขาหัวเราะเบาๆ แล้วตอบ “ก็เช็ดหน้าให้นายไง”

                “ไม่ต้อง ฉันเช็ดเองได้!” ผมกระชากผ้าเช็ดหน้าจากเสไพรมาเช็ดต่อ …ผมไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับมันแม้แต่น้อย แค่คำว่าเพื่อนมันยังไม่ถึงด้วยซ้ำ!

                ผมเดินหนีมานั่งตรงริมแม่น้ำที่มีผู้คนบางส่วนมานั่งทานอาหารกัน แต่ที่ผมเห็นส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนเสียมากกว่า ตามชื่องานปิดเทอมนักเรียนจริงๆ เพราะงานนี้เฉาก๊วยบอกว่าจัดขึ้นเพื่อให้นักเรียนมีกำลังใจในการเรียน …อยากให้ที่มิติสามัญเป็นแบบนั้นบ้างแฮะ

                “ธันนะ…” เสียงผู้หญิงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงฟังดูแล้วน่าจะเป็นศรี ผมไม่ได้เงยหน้ามองเพราะรู้สึกเหนื่อใจ …กาย และไม่อยากมองหน้า เมื่อฝ่ายตรงข้ามเห็นผมเงียบจึงเขย่าไหล่ผม

                “เป็นอะไรไปน่ะ เหงาเหรอจ๊ะ” เธอถามพร้อมกับนั่งลงข้างๆ ผมหันข้างนั่ง ศรีจึงเขยิบตามจากนั้นก็ใช้มืออังหน้าผากผม

                “ตัวร้อนจัง ไปทานยาหน่อยไหม?”

                “ไม่ล่ะ ---ฉันอยากอยู่คนเดียว”

                “งั้นเหรอ………” ศรีกล่าวอย่างหงอยๆ สักพักเธอก็ถามผม “หนาวไหม? ถึงจะกลางคืนแล้วก็เถอะแต่มืดๆ แบบนี้ยุงเยอะนะ อะ เอาไปคลุมสิ” ศรีหยิบผ้าปักลายสวยงามสีแก่ให้ผม มันคลี่ออกจนมีขนาดที่ใหญ่ เธอเอามาคลุมให้ผมจากทางด้านหลัง ผมตะลึงกับสิ่งที่เธอทำ

                เสไพร… ศรี และก็น้องชาย …ทันตะ มีเพียงสามคนนี้เท่านั้นที่ทำเหมือนกับว่าเป็นห่วงผม น้อยคนนักที่จะมีคนใส่ใจไอ้เด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่อย่างผม ของเหลวเอ่อออกมา ผมรีบใช้ปลายผ้าเช็ด จู่ๆ ศรีก็กุมไหล่ผม

                “นายอย่าทำตัวเย็นชาสิ” เธอเอ่ยอย่างอ่อนโยนไม่มีความหลอกลวงแฝงอยู่ ผมพูด

                “เรื่องของฉัน มันดัดนิสัยไม่ได้แล้ว”

                “อย่างน้อยนายก็ช่วยเปิดใจหน่อยสิ นะ” ผมยิ่งก้มหน้าต่ำกว่าเดิม …น่าอายชะมัด

                “…ทำไมต้องทำเหมือนเป็นห่วงฉันด้วย”

                “ไม่รู้สิ ฉันรู้สึกว่าฉันผูกพันธ์กับนายน่ะ” ---ผมแทบไม่เชื่อ เธอรู้สึกแบบเดียวกับผมงั้นเหรอ อย่าบอกนะว่าเธอจำได้ว่าเราเคยพบกัน

                “งั้นเรอะ” นิสัยผมเย็นชายังไงก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เราต่างคนต่างเงียบ จนในที่สุดผมทนไม่ไหวก็เลยเอ่ย

                “ฉันไม่อยากใช้ผ้า ดูซิ คนอื่นยังไม่ใช้เลย” กล่าวไปอย่างนั้นพลางมองผ้าที่ลายไม่เหมาะกับผู้ชายอย่างผม ศรีขำคิกคักแล้วเดินมาอยู่ตรงหน้าผมก่อนจะนั่งคุกเข่า

                “ก็แล้วแต่นายนะ ---อะ! จริงสิ” เหมือนเธอนึกอะไรได้ ศรีหยิบของในกระเป๋าแล้วยื่นกล่องกระดาษเล็กๆ กว่ามือเล็กน้อยให้ เธอยิ้มแฉ่งพลางพูด

                “ของขวัญจ้า”

                “ของขวัญ?” ผมเอ่ยอย่างงุนงงยังไม่ถึงวันเกิดผมสักหน่อย ที่แน่ๆ ถ้ารู้แล้วเธอรู้ได้อย่างไร

                “อื้ม ตอบแทนที่นายช่วยชีวิตฉันไว้” เธอกล่าวพร้อมกับจับมือผมแบแล้ววางกล่องนั้นไว้         

                “เรื่องแค่นั้นเอง ฉันก็แค่ไม่อยากให้มีผีมาสิงแถวบ้านฉันก็เท่านั้นเอง” ผมหลบตาเธอที่จ้องมองมาอย่างแน่วแน่ ศรีส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย

                “ถึงงั้นก็เถอะ ยังไงฉันก็อยากตอบแทนนายนะ”

                “ว่าแต่มันคืออะไรล่ะ?”

                “ไม่บอก ถ้าอยากรู้ไว้เปิดตอนที่ฉันไม่อยู่ละกันนะ คิกๆ” เธอกล่าวอย่างร่าเริง ผมขมวดคิ้วแบบรำคาญแล้วเก็บกล่องนั้นใส่กระเป๋ากางเกงไปพลางๆ

                “อยากให้วันนี้เป็นวันสำคัญหรืองานลอยกระทงจังเลย” ศรีเอ่ยอย่างเพ้อๆ ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างหลังจากที่เธอขยับตัว ผมถาม

                “ทำไมล่ะ?”

                “เพราะดวงจันทร์มันจะสวยมากเลยน่ะสิ นายเองก็คงชอบใช่ไหม?”

                “ก็เฉยๆ สำหรับฉันต่อให้มันสวยแค่ไหนก็เป็นเพียงแค่โคมไฟตอนกลางคืนก็เท่านั้น”

                “งั้นเหรอ…” ศรีเอ่ยอย่างเศร้าๆ ผมทำเป็นไม่สนใจแล้วถาม “พงสณะหายไปไหนล่ะ”

                “หมอนั่นน่ะเหรอ ฉันหนีมาตอนที่มันไปร้านยิงตุ๊กตาน่ะ ---เป็นคนที่ตื๊อจริงๆ เลยนะ” เธอตอบแล้วยิ้มแห้งๆ ผมเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นนอนแล้วหลับตา ---เธอเองก็ตื๊อเหมือนกันนั่นแหละ

                “จะหลับเหรอ อย่านะ ไว้ไปหลับที่ห้องพักดีกว่า”

                ศรีเห็นผมหลับตาก็รีบตบหน้าให้ผมตื่น ผมครางเบาๆ อย่างไม่พอใจ คาดว่าเธอจะนึกสนุกที่ผมไม่โต้ตอบจึงหยิกแก้มผมแล้วดึงไปดึงมาจนในที่สุดผมก็ต้องลืมตาแล้วจับศีรษะเธอโยกไปโยกมา ศรียอมแพ้แล้วจับมือผมออก

                “ยังไงนายก็ช่วยตื่นหน่อยเถอะนะ มาๆ ลุกขึ้นๆ” ศรีพยุงร่างผมขึ้น เนื่องจากผมเบื่อกับการที่เธอตื๊อเลยปล่อยให้พยุงไป

                ผมกับศรีออกเดิน เราสองคนมากันเรื่อยๆ จนผ่านร้านที่ยิงตุ๊กตา มีเซอาห์ ดินขาว และขนมชั้นเล่นยิงปืน ผมเห็นว่าดินขาวยิงได้เยอะที่สุด ขนมชั้นมองอย่างอิจฉาก่อนจะยิงอีกครั้ง หนึ่งตัว พลาด เพิ่มอีกหนึ่งเป็นสอง… ผมกับศรีมองอย่างเพลินๆ มาดูพวกมันยิงก็บันเทิงดีแฮะ จู่ๆ พงสณะก็เดินเข้ามาแล้วเอ่ยกับศรี

                “ศรี! มาดูฉันยิงดีกว่า ฉันยิงได้กว่าพวกมันอีก” คำพูดนั้นโอ้อวดอย่างมั่นใจ เธอถอนหายใจด้วยความเบื่อแล้วเอ่ย

                “แค่ยิงเอง”

                “ไหงพูดงั้นอะ นี่ เดี๋ยวถ้ายิงได้ฉันให้เธอนะ” ธันนะเอ่ยพร้อมกับจ่ายเงินแล้วหยิบกระสุนพลาสติกหรือยางเนี่ย

แหละมาครอบปากปืน ศรีพยักหน้าเงียบๆ แล้วมองเขา

                พงสณะยิงได้ ๓ ตัวแล้ว เพิ่มอีกหลายๆ ตัวจนพวกที่มาก่อนตามไม่ทัน ศรีมองอย่างสนใจแล้วจดจ้องที่เขาเพียงคนเดียว เธอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

                ทำไมถึงอยากรู้สึกถีบพงสณะตงิดๆ นะ

                “นายไม่เล่นเหรอ?” จู่ๆ เธอก็ถาม ผมส่ายหน้าแล้วตอบ “เห็นแล้วมันวุ่นวาย”

                “ดูท่านายจะเบื่อนะ ไปเดินเล่นด้วยกันไหม?” เธอชักชวนพลางมองผมอย่างเห็นใจ ผมทำท่าจะส่ายหน้าแต่ก็ถูกเธอดึงข้อมือเดินไป

                “ศรี ดูสิฉันได้ตั้งเยอะแน่ะ ---อ้าว จะไปไหนน่ะ” พงสณะเอ่ยไล่หลัง ผมรู้ว่าเธอไม่สนใจเขาอยู่แล้วเลยไม่เตือนเธอที่ไม่มองแม้เพียงหางตา

                ผมเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านร้านตักปลา เด็กประถมต่างหัวเราะเฮฮาเมื่อตักได้ มีพี่มัธยมบางคนที่มาตักแต่ก็น้อยนัก ศรีลอบมองอย่างสนใจแต่ดูเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้เธอเลยเดินต่อ ระหว่างนั้นก็มีเสียงผู้ชายทักเธอ

                “ศรี! มานี่สิ ฉันให้เธอตักฟรีนะ” ลูกค้านั่งล้อมบ่อปลาจนศรีไม่รู้ว่าใครพูดกับเธอ ศรีมีท่าทีนึกอยู่สักพักก่อนจะเอ่ย

                “เฉาก๊วยเหรอ! นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ”

                มีร่างหนึ่งลุกขึ้นมาหาเธอ เฉาก๊วยยิ้มแฉ่งแล้วเอ่ย

                “อ้อ รับจ้างระหว่างพี่เจ้าของไม่อยู่ ๑ ชั่วโมงต่อ ๕๐ บาท สำหรับเพื่อนพี่เขาบอกว่าให้ตักฟรีได้” ผมฟังเงียบๆ ได้ยินศรีพึมพำ “ก็นึกว่าหายไปไหน”

                “อ๋อ ขอบคุณจ้ะ แต่ฉันไม่ตักล่ะ”

                “ทำไมอะ?”

                “ยายฉันสอนไว้ว่าการตักปลาเป็นการทรมานสัตว์ พอเราตักไม่ได้มันหล่นแล้วพอคนอื่นตักซ้ำๆ หล่นซ้ำๆ มันก็จะเวียนหัว ดีไม่ดีมันจะโดนอะไรเฉือนก็ได้”

                ตรงทุกอย่าง ถ้าผมโดนแบบนั้นผมก็ทรมานเหมือนกัน …ศรีนี่จะบอกว่าไงดี นิสัยดีแล้วก็เป็นห่วงคนอื่นด้วย เอาใจเขาใส่ใจเรา ถ้าเกิดนึกถึงตรงนี้พวกสัตว์เดรัจฉานก็จะพ้นทุกข์ในระหว่างชีวิตที่เกิดมาชดใช้กรรม

                เฉาก๊วยหัวเราะแหะๆ แล้วเอ่ย “ฉันเองก็เคยได้ยินนะ แต่ก็น่าสงสารเนอะ ทั้งปลาและชาวประมง โดยเฉพาะถาคใต้ที่พื้นที่ของเขามันมีแต่ทะเลเลยต้องตกปลา”

                ผมมองทั้งสองที่คุยกันเรื่องกรรมของสัตว์ ช่วงหนึ่งที่ลูกค้าตักปลาได้เขาก็จะไป ศรีโบกมือลาแล้วพาผมเดินต่อ

                “ไม่ได้ตักปลา อย่างน้อยเราก็ตักไข่ได้”

                เธอกล่าวอย่างร่าเริงจากเมื่อกี้ที่ดูซึมๆ เรามาถึงร้านตักไข่ ผมมองมองบ่อไข่ที่มีน้ำและน้ำพุตรงกลางกำลังกระจายอย่างสง่า แต่ช่างน่าเศร้านักเพราะไม่มีใครมา ไข่หลากสีลอยตุ๊บป่องๆ กับไม้ตักปลายาวๆ ที่นิ่ง มันมีพลังดึงดูดให้เข้าไปหา… ศรียิ้มแล้วเอ่ยเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน

                “คนบางคนกล่าวว่า ของจริงมีค่ามากกว่าของปลอมเหมือนกับปลาที่มีชีวิตและไข่ที่จำลอง แต่ฉันคิดว่ายอมใช้ของปลอมดีกว่าไปเบียดเบียนคุณค่าของสิ่งที่เป็นจริงยังดีซะกว่า”

                กล่าวจบเธอก็เดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วหยิบเงินไปจ่ายแม่ค้าวัยกลางคนก่อนจะหยิบไม้ให้ผม ผมมองมันแล้วมองเธอ ศรียิ้มแล้วเอ่ย

                “ฉันจ่ายให้  ---นายคิดซะว่าฉันเป็นแม่ของนายละกันนะ” ศรีใช้ช้อนจุ่มน้ำแล้วเขี่ยๆ จากนั้นก็ตักไข่สีชมพู ดึงไม้กลับมาและหยิบไข่ของเธอผมที่ส่งให้แม่ค้า ผมเห็นดังนั้นจึงหยิบของตนเองให้ด้วย

                “เบอร์ ๑๔…”

                 แม่ค้าพึมพำก่อนจะหยิบแม่กุญแจกับลูกกุญแจ หัวของมันเป็นดอกราชพฤกษ์มีลายกนกด้วย ตาของศรีเป็นประกาย เธอรับมันจากแม่ค้าแล้วยิ้มให้ แม่ค้าหน้าเหวอเล็กน้อยแต่ศรีไม่ได้สนใจ  สักพักแม่ค้าก็หยิบของผม มันเป็นตุ๊กตาช้างที่แต่งองค์ทรงเครื่องได้น่ารักน่าชัง มีที่นั่งอยู่บนหลังด้วย

                ผมรับมันแล้วออกจากร้านพร้อมกับศรี เธอเดินไปพลางมองของที่จับได้และยิ้ม จากนั้นเธอก็หยิบแม่กุญแจให้ผม

                “?”

                “ฉันให้นายจ้ะ” เธอยิ้มแฉ่ง ผมเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “อีกแล้วเรอะ พอแล้วล่ะ แม่เธอไม่ว่าเหรอจ่ายเงินและให้ของคนที่เพิ่งรู้จักน่ะ”

                “นายเป็นเพื่อนฉันแล้วนะ แม่บอกว่าถ้าเกิดเพื่อนเคยช่วยอะไรไว้ก็ซื้อของให้เขาเป็นการตอบแทนก็ได้”

                “เฮ้อ! เอาก็เอา ถ้าเธอไม่เสียดายน่ะนะ” อันที่จริงผมก็ไม่อยากแย้งต่อให้มากเรื่องเลยรับมันไว้ น่าแปลก… แม่กุญแจมันประกายแสงงดงามอย่างชอบกลเหมือนมันจะบอกว่า นายทำถูกแล้ว

                ผมมองมันแล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกง …หวังว่ามันจะไม่ใช่ลางร้ายนะ

                แต่คนให้ไม่มีความเจ้าเล่ห์ซ่อนอยู่ มันคงไม่เป็นไรจริงๆ นั่นแหละ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา