ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
14) บทที่ ๑๔: เพื่อน องก์ที่ ๑
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๔
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
[ณ ที่โรงเรียนก่อนปิดเทอมกลางภาค] เพื่อน องก์ที่ ๑
ณ ตอนนี้เหล่านักเรียนกำลังเคร่งเคลียดกับการทำข้อสอบ ศรีรู้สึกถึงความเหนียวตามร่างกายอันเกิดจากเหงื่อ การใส่เสื้อมากกว่าสองชั้นนี่มันทรมานเหลือเกิน… เธอคิดพร้อมกับตวัดปากกาเข่นฆ่าคำตอบที่คาดว่าจะถูก
เด็กชายตัดผมส่วนบริเวณใกล้หูออกสวมสร้อยสีเงินนามชลจรลอบมองศรีอย่างเป็นห่วง เขาคิดว่าถ้าสามารถช่วยเหลือเธอได้ก็คงดี แต่เขารู้ว่าเด็กหญิงเกลียดการทุจริตลอกข้อสอบหรือใบ้คำตอบมากนั่นจึงทำให้ล้มเลิกความตั้งใจก่อนจะหลบสายตาจากคุณครูที่จับผิดนักเรียนทุจริตอยู่
เฉาก๊วยที่นั่งข้างๆ กระซิบ “เป็นห่วงศรีเหรอ”
“…” ชลจรไม่ตอบ เฉาก๊วยยิ้มขันพลางเอ่ย “แค่ข้อสอบเอง ไม่เป็น ‘ไรหรอก”
“…”
ชลจรเองก็ไม่คัดค้านเฉาก๊วยเรื่องที่ศรีเคลียดกับข้อสอบแต่เพราะเรื่องเมื่อวานต่างหาก…
ณ สวนสาธารณะร้าง ที่นี่ไม่มีใครจะมาอีกแล้ว เพราะอุบัติเหตุเมื่อ ๔ สัปดาห์ก่อน ถ้าแค่มีศพก็ไม่ใช่ปัญหาแต่ประเด็นคือหลายคนที่มาบริเวณนี้มักจะบอกกันว่าเห็นหญิงสาวคลานอยู่กับพื้นวนเวียนในสวนสาธารณะด้วยร่างที่เปื้อนเลือด จากนั้นพอลมพัดมาร่างนั้นก็จะหายไป
---ก็เป็นเพียงแค่คำบอกเล่า---
เมื่อวานนี้ชลจรมีความจำเป็นที่จะต้องมาทางนี้ด้วยเพราะว่าเขาเผลอไปเหยียบหางสุนัขไร้เจ้าของเข้า มันไล่เขาจนกระทั่งมาถึงสวนสาธารณะ เด็กชายหอบหายใจอย่างหมดแรง สายตาที่เบลอๆ เห็นภาพเด็กหญิงกำลังเดินบนราวสระน้ำที่ผู้คนมักจะมาให้อาหารไม่ขาดสักวัน
…ไม่สิ นับแต่นี้จะไม่มีใครให้มันอีกแล้ว
ชายประโปรงสีน้ำเงินตามเครื่องแบบนักเรียนไหวเบาๆ ดวงตาสีดำสนิทว่างเปล่าไร้ความรู้สึก
---หากร่างทรงตัวไม่คงที่ก็จะต้องตก
เด็กชายนึกถึงเรื่องนี้จึงวิ่งไปกระชากแขนเด็กหญิงให้ลงมา เขาเผลอกอดศรีเพราะกลัวเธอจะตกลงมาเจ็บ พอคิดได้หน้าเขาก็แดง
ชลจรเขย่าร่างเธอ “ศรี! เธอเป็นอะไรน่ะ”
“ฉัน…” ดวงตาที่เมื่อกี้หลับไปชั่วหนึ่งลืมขึ้น ศรีดันร่างเขาเบาๆ ก่อนจะจับราวไม่ให้ร่างล้ม เด็กชายกล่าว “เมื่อกี้เธอเดินอยู่บนราวสระน้ำอยู่ ถ้าฉันไม่ดึงเธอลงมาป่านนี้คงตกไปแล้ว”
“ขอโทษนะที่ทำให้เดือดร้อน” ศรีเอ่ยอย่างสำนึกผิด เธอเองก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมตนเองถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เธอเอ่ยต่อ “ฉันจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ตนเองกำลังทำการบ้านอยู่ แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงใครบางคนเรียกฉัน”
“เฮ้อ! ช่างเถอะ… เธอไม่เป็น ‘ไรก็ดีแล้วล่ะ”
“ขอบคุณจ้ะ” เด็กหญิงเกล้ามวยผมกล่าวพลางส่งยิ้มอ่อนหวานแก่เด็กชาย ทำให้เขาใจเต้นแรงขึ้นมา
เรื่องแค่นี้มันก็ไม่ลำบากเขาอะไรเพราะศรีเองก็ช่วยเขาหลายครั้งเหมือนกัน
เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เขารักเธอ…
แต่ไม่ใช่แค่นี้ที่ทำให้รัก
วิชาการงานนี้คุณครูให้งานนักเรียนประดิษฐ์ของใช้จากวัสดุที่เหลือ เฉาก๊วยหน้ามุ่ยกับการทาก้าวตรงจุดที่มันยากๆ เขาต้องใช้สมาธิอย่างมากแต่แล้วก็มีใครบางคนทำลายมัน
“เฉาก๊วย! นายยืมกรรไกรไปแล้วไม่คืนน่ะ”
“อ้าก! อะไรเนี่ย ฉันกำลังมีสมาธิอยู่เลยนะ” เขาว่าพลางโยนอุปกรณ์ลงกับพื้นแล้วนวดศีรษะ ศรีขำคิกคักก่อนจะเอ่ย
“ให้ฉันช่วยมั้ย?”
“ไม่ล่ะ ไปทำงานของเธอเถอะ” เฉาก๊วยบอกพร้อมกับหยิบอุปกรณ์มาทำอีกครั้ง เอาล่ะ คราวนี้ใครมากวนอีกจะจับโยนออกนอกหน้าต่างห้องเลยคอยดู… เขาคิดอย่างหงุดหงิด
ศรีมองเขาแล้วยิ้มในขณะที่กำลังใช้คัตเตอร์กรีดกระดาษลัง แต่เพราะประมาทเกินไปใบมีดเลยกรีดนิ้วของเธอ
“โอ๊ย!” ศรีร้องเสียงดังอย่างเจ็บปวด ของเหลวอุ่นเอ่อจากขอบตา ชลจรเดินจากกลุ่มอื่นมาหาเธอก่อนจะพูด “ไปห้องพยาบาลกันเถอะ เดี๋ยวเชื้อโรคเข้านะ”
“อื้อ” ศรีเอ่ยพร้อมกับพยักหน้า
เมื่อมาถึงห้องพยาบาล ชลจรก็ใส่ยาฆ่าเชื้อให้ศรี ก่อนจะทาบด้วยพาสเตอร์ยามีลายตัวการ์ตูนอยู่ด้วย อันที่จริงเขาก็มีอีกแบบหนึ่งแต่แบบนั้นมันติดแน่นศรีจึงไม่ชอบ เธอเคยบอกเขาอย่างนั้น
“ขอบคุณจ้ะ” ศรีกล่าวพลางยิ้ม เธอพยายามนั่งให้ห่างจากเขาเพราะมันไม่สะดวกที่จะนั่งกับผู้ชายนัก ชลจรยิ้มตอบ “แค่นี้เล็กน้อย เธอเองก็ช่วยฉันไว้หลายครั้งเหมือนกัน”
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีกเพียงแค่ยิ้มให้ซึ่งกันและกัน
เด็กชายพันผ้าพันแผลปิดตาขวาไว้กำลังใช้ตาข้างซ้ายมองศรีกับชลจรจากหลังตึกเรียน สอดส่องสายตาเข้าทางหน้าต่างพลางคุยโทรศัพท์ ปลายสายถามเขา
“ศรีเป็นอย่างไรบ้าง?”
“สบายดีครับ ถึงตอนนี้เธอบาดเจ็บเพราะเหม่อช่วงกรีดกล่อง แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะเพื่อนช่วยไว้”
“งั้นรึ? เฮ้อ… เจ้าลูกคนนี้ชอบทำให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย” ปลายสายเอ่ยด้วยความโล่งอก เด็กชายยิ้มบางๆ พลางเอ่ย “งั้นขอตัวก่อนนะครับ หากคุณครูมาเห็นเข้าเดี๋ยวจะโดนยึดเอา”
“อือ งั้นแค่นี้แล้วกัน”
ติ๊ด---
ปลายสายวางไป เขาจึงเก็บโทรศัพท์ก่อนจะเดินจากตรงนี้
“ศรี ขอยืมปากกาหน่อย”
“จ้ะ” ศรียื่นปากกาให้เพื่อนผู้หญิงนามดอกหญ้า พลางคิดเลขลงสมุด เด็กหญิงคนนั้นยิ้มให้เธอก่อนจะเอ่ย “ขอบคุณนะ” ศรียิ้มให้เธอก่อนจะคิดเลขต่อ
เฉาก๊วยมองภาพนั้นก่อนจะยิ้ม เขาดีใจที่เพื่อนรักของตนยิ้มได้อย่างนั้น
---แต่เขากลัวเหลือเกิน ว่าจะถูกหักหลังอีก
ใช่แล้ว หลายต่อหลายครั้งที่เพื่อนของเธอที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมักจะหลอกใช้เธอ บ่อยครั้งที่ชอบเอาเปรียบ เรื่องนั้นเขาจำฝังใจ
ภาพที่เพื่อนคนหนึ่งของศรีในตอน ป. ๓ ผลักเธอลงสระน้ำในโรงเรียนพร้อมกับหัวเราะเยาะ …โชคร้ายนักที่มันเป็นช่วงลึกแต่ดีที่คุณครูมาเห็น
คูณครูท่านนั้นถามเพื่อนด้วยเสียงจริงจัง “หนูเป็นคนผลักใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ค่ะ ศรีเค้าจะผลักหนูแต่เสียหลักตกลงไปเองค่ะ” เพื่อนคนนั้นตอบพร้อมกับขยิบตาให้เพื่อนตนซึ่งพวกเธอก็ตอบว่าเป็นความจริง
คุณครูท่านนั้นจึงทำโทษเธอโดยการให้ศรีทำเวรคนเดียวหนึ่งอาทิตย์พร้อมกับให้เธอไปขอโทษผู้ปกครองของเด็กคนนั้น
น้ำตาที่เปล่งแสงอย่างเวทนาหยดลงหยดแล้วหยดเล่า เฉาก๊วยที่เห็นภาพตอนนั้นรู้สึกผิดมากที่ไม่ได้ช่วยเธอไว้เพราะพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อแน่นอนเพราะเพื่อนผู้หญิงพวกนั้นมีมากกว่า เขาเป็นส่วนน้อย
เฉาก๊วยขอโทษเธอจากใจจริง…
ศรียิ้มให้อย่างอ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไร น้ำเสียงนั้นสั่นจนเฉาก๊วยต้องเช็ดน้ำตาให้เธอ
ปัญหาที่เธอถูกกลั่นแกล้งใช่ว่าจะน้อย นับว่าบ่อยครั้งมาก ทั้งจากคนในตระกูลที่รังเกียจเธอเพราะได้ยินคำทำนายว่าเธอเป็นอสูรของตระกูล จะนำพาความพินาศมา และเพื่อนๆ ที่รังเกียจเธอเช่นกันเพราะคำทำนายนั่น
---ทว่าเฉาก๊วยไม่เชื่อ---
แค่คำทำนายเพ้อเจ้อนั่นมันหนักหัวตรงไหน? อสูร ปีศาจที่นำพาความพินาศมีแต่พวกคนเลว
แต่ศรีไม่ใช่
เขาเชื่ออย่างนั้น การกระทำของเธอไม่ได้บอกว่าเธอเป็นคนเลว ต่อให้ศรีต้องมีรูปกายอัปลักษณ์เขาก็จะไม่รังเกียจเธอ ขอเพียงเด็กหญิงไม่คิดเรื่องชั่วช้าและกระทำตามความคิดนั้นเขาก็จะเชื่อและปกป้องเธอ
ในฐานะเพื่อน
เหนื่อยเหลือเกิน…
ศรีรำพึงในใจอย่างท้อแท้ ไม่ใช่เพราะข้อสอบที่คุณครูให้ทำแต่เป็นเพราะความเจ็บปวดในอดีตที่ถาโถมเข้ามาความทรงจำเลือนรางเหมือนหนังกลางแปลงที่ภาพขาดๆ หายๆ เธอกุมอกแน่นพร้อมกับหายใจอย่างทรมานเหมือนคนจมน้ำ มืออีกข้างจับเฮดโฟนไว้ เธอฟังเพลงที่ขับร้องบรรเลงด้วยท่วงทำนองที่เศร้าสร้อย
ถ้าไม่มีกฎของกรรมมาขีดไว้ละก็เธอก็อยากจะฆ่าตัวตายให้พ้นๆ จากชีวิตที่โสมมพรรค์นี้ แต่คนเราเลือกที่จะเกิดหรือตายไม่ได้
เพราะมีกรรมจึงต้องเกิด--- เพื่อที่จะได้ชดใช้
---ให้หมดสิ้น---
ศรีลากแขนไปหยิบปากกากับสมุดทำข้อสอบจากโต๊ะใกล้หัวเตียง เธอพลิกกายก่อนจะลงมือทำ สมองไม่แล่นเลย…
เธอควงปากกาหมุนไปมา ระหว่างนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ประตูเปิดเผยให้เห็นร่างหญิงวัยกลางคนสวมเสื้อสีอ่อนกับผ้ากันเปื้อน เธอยิ้มให้ศรีก่อนจะเอ่ย
“เฉาก๊วยโทรฯ มาจ้ะ” เธอคนนั้นคือแม่ของศรี เด็กหญิงถอดเฮดโฟนก่อนจะรับโทรศัพท์จากเธอแล้วกดรับสาย “สวัสดีจ้ะ มีอะไรเหรอ” เธอเอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนแรง พอปลายสายได้ยินแบบนั้นจึงถาม
“เหนื่อยเหรอ?” ศรีตอบพลางพยายามทำตัวให้ผ่อนคลาย “จ้ะ ---แต่ฉันเหนื่อยใจน่ะ”
“ไม่เป็นไรนะ ว่าแต่เธอกังวลอะไรอยู่เหรอ?”
“ขอโทษนะ ฉันบอกไม่ได้หรอก ช่วงนี้ฉันเคลียดน่ะแต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันสบายดี”
“แน่ใจนะ? ถ้ามีอะไรมาปรึกษาฉันล่ะ” เฉาก๊วยเอ่ยอย่างเป็นห่วง เพื่อนที่ศรีจะวางใจได้แบบจริงๆ มีไม่กี่คนนักหรอกแต่ที่เธอคุยกับใครดีๆ และให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นห่วงเพราะเธอรักเพื่อน
---ถึงบางคนจะเธอจะเกลียดก็เถอะ---
“อะ แค่นี้นะ แม่เรียกให้ไปล้างชามน่ะ บาย เจอกันพรุ่งนี้”
“จ้ะ ฝันดีนะ”
ติ๊ด---
“…”
เป็นความเงียบที่สงบนัก ตกเย็นเริ่มมีเสียงนกร้องดัง ศรีลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างให้กว้างกว่าเดิม สายลมพัดหอบเอากลิ่นดอกไม้มาด้วย สีเหลืง สีส้ม สีแสด สีแดง สีม่วงต่างแบ่งชั้นทาบนภา สุริยะลาเปล่งแสงสีแดงจัดเคลื่อนตัวลง ต้นไม้ที่อยู่ไกลๆ กลายเป็นสีดำเนื่องจากถูกเงาทาบทับ มันกลายเป็นรูปร่างสีดำ ภาพนั้นไปฟื้นความทรงจำเมื่อตอนเธอไปดูหนังตะลุง
ไม่… ไม่นะ อย่ากลับมาสิ ไม่ อย่านะ
เธอพยายามห้ามมัน แต่จนแล้วจนรอดมันก็ผุดขึ้นมาในหัว
ความทรงจำอันแสนอบอุ่นนั้นบีบหัวใจเธอ
รอยยิ้มของเด็กหญิงเกล้าผมต่ำสีดำทำให้เธอมีความสุขและทุกข์ในเวลาเดียวกัน อ้อมกอดอันอบอุ่นนั้นแผดเผาให้หัวใจร้อนรุ่มและเจ็บปวด มันเป็นความสุขที่ทรมานเหลือเกิน…
เด็กหญิงหลั่งน้ำตาออกมา เธอแทบไม่เชื่อว่าภายหลังความอ่อนโยนของเด็กหญิงจะแฝงไว้ด้วยความโหดร้าย
เด็กหญิงสังหารย่าของเธอ
ความจริงนั้นเผยในตอนที่เธอยังอยู่ ป.๒ เมื่อช่วงเทียงวันที่เธอมาเยี่ยมย่าครั้งแรกในชีวิตแต่เมื่อเปิดประตูเธอก็พบกับร่างไร้วิญญาณที่นอนในหนองของเหลวสีแดงที่กระจายกลิ่นคาวน่าสะอิดสะเอียน ศรีทรุดกายร้องไห้อย่างน่าเวทนา ผู้อาวุโสท่านอื่นที่เข้ามาพบภายหลังก็กลั้นหายใจ
ศรีร้องไห้
ยังไม่ทันได้คุย ได้พบหน้าก็ต้องจากกันแล้ว…
ใครเป็นคนทำน่ะ
ดวงตาพร่ามัวเพราะน้ำตา สายตาเห็นใครบางคนกำลังหลบอยู่ใต้เงาบนต้นไม้ ผมสีดำมัดต่ำโผล่ให้เห็น ริมฝีปากวาดเป็นเส้นโค้ง ศรีมองภาพนั้นแบบไม่เชื่อสายตา
พี่สาวคนนั้น…
ทำไม……… ล่ะ
“พี่ทำไปเพราะรักหนูนะ”
คำพูดนั้นมีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ยิน………
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ