ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.31K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
123) นิทานหลอกคนเรา : ช็อกโกแลตที่ละลายในหน้าร้อน (๑)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนิทานหลอกคนเรา
ช็อกโกแลตที่ละลายในหน้าร้อน กับลูกกระสุนปืนที่ฝังในศพ องก์ที่ ๑
ว่าด้วยเรื่องที่ผู้เล่าจะเกริ่นก่อน
“ที่เราต้องมีความทุกข์ ก็เพื่อเวลามีความสุขจะได้ยิ้มกว้าง ๆ อย่างไรล่ะ”
หญิงสาวผิวขาวซีดผมยาวสีดำสนิทใส่ผ้าแถบสีเดียวกัน นุ่งผ้าที่คาดเข็มขัดหลวม ๆ มีลูกกระสุนเรียงไปตามเส้น ขาเรียวยาวใส่รองเท้าบู้ทหนังสีดำเลยเข่ามาหน่อย ตรงต้นขามีแถบคาดซองใส่ปืนอยู่ นางกำลังใช้นัยน์ที่ตาขาวเป็นสีดำกรอบตากรีดอายไลเนอร์ มองตุงหลากสีหลายผืนซึ่งกำลังปลิวไปตามสายลม ได้กลิ่นดอกไม้หอม ๆ ที่ใส่สักการบูชาจาง ๆ
วันที่ ๑๕ เมษายน เป็นวันพญาวันหรือวันเถลิงศก ซึ่งเป็นวันที่นิยมถวายตุงกัน การถวายตุงมีความเชื่อว่าหากล่วงลับไปแล้ววิญญาณจะได้ยึดเกาะพ้นจากนรกขึ้นสู่สวรรค์ กระนั้นหญิงผู้ที่กำลังมองตุงนิ่ง ๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่าอย่างน้อยหากเป็นคนที่ทำกรรมชั่วก็คงแค่พ้นนรกไม่นานเท่าไหร่ นางไม่ค่อยรู้หรอกเรื่องความเชื่อของคนภาคเหนือ แต่ก็ไม่ได้คิดลบหลู่อะไร เพราะมันเป็นความศรัทธาอันบริสุทธิ์ของผู้ที่เชื่อ
เดิมทีปัจจุบันนางก็ย้ายจากประเทศไทยไปอาศัยที่ต่างประเทศนานแล้ว เลยไม่ค่อยคุ้นชินกับบรรยากาศแบบนี้ แต่มันก็ทำให้นึกถึงเรื่องเก่า ๆ เหมือนกัน
และส่วนใหญ่มันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด
พอภาพในวันวานจะหวนกลับมา หญิงสาวก็ก้าวเท้าออกจากตรงนั้น แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนอากาศก็เย็นสบาย พอมาตอนนี้นางก็รู้สึกว่าตนเองคิดถูกจริง ๆ ที่ไม่ได้ไปที่ภาคกลาง เพิ่งกลับมาที่ประเทศไทยไม่ทันไรก็ถูกแดดเผา แค่คิดก็รู้สึกว่าเหมือนตนเองเป็นผีดูดเลือดแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนเช้านางเข้าไปสักการพระพุทธรูปและฟังธรรม จะว่าไปวันนี้นางก็รีบตื่นเช้ามาตักบาตรกับนายิกาประจำจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีชื่อว่า พินทุ แน่นอนว่าเจ้าตัวเป็นคนเชิญชวนให้นางกลับมา
ในตอนบ่ายจะเป็นช่วงที่ไปขมาญาติผู้ใหญ่ และขอขมาลาโทษ แต่พวกนางเองก็เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่หน้าตายังเยาว์วัย พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ลาจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยสิ้นอายุขัยตายดี หรือถึงแก่กรรมในสงคราม คงจะเหลือพี่น้องไม่กี่คนกระมังที่ยังคงอยู่
“สงกรานต์นี้มิไปหาน้องเจ้าฤ?”
พอเดินไปพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น นางหยุดเดินเผอิญกับที่อยู่หน้าจุดหมายปลายทาง ซึ่งก็คือวัดร้างที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครดูแลแล้ว หน้าทางเข้ามีหญิงสาวในชุดปกสูงแขนยาวทับด้วยสไบ ผมยาวที่รวบเป็นหางม้าสูงมีปิ่นใบไหวประดับกับดอกพญาเสือโคร่ง คอประดับด้วยสร้อยทรงจันทร์เสี้ยวสีเงิน มือถือร่มบ่อสร้างที่ทอดเงาลงมาบดบังใบหน้างามครึ่งหนึ่ง ริมฝีปากแย้มยิ้มยากจะเดาความหมาย
“บุษราคัมน่ะฤ” นางถามทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ “จะมีใครอีกเล่า สายเลือดเพียงคนเดียวของเจ้า” พินทุตอบพลางย่างเท้าเข้ามา “น่าเห็นใจน้องเจ้า มีพี่แต่เจ้าตัวกลับไม่มาเยี่ยม”
“มันคงมิทำให้นางเหงาตายดอก ข้าได้ข่าวมาว่านางมีลูกบุญธรรม ตอนนี้คงลืมข้าไปแล้วกระมัง” น้ำเสียงของนางแม้เรียบเฉย แต่พินทุที่รู้จักกับคน ๆ นี้มาหลายร้อยปีก็รู้ว่าลึก ๆ แล้วอีกฝ่ายก็เหงา แต่จะให้ทำตัวดีใจเป็นเด็ก ๆ ก็คงไม่เข้ากับเจ้าตัว อย่างน้อยที่สุดพินทุก็คิดว่าขอแค่น้องสาวมีความสุข อีกฝ่ายก็หายเป็นห่วงแล้ว
“ช่วงนี้พวกนายิกาชั้นต้น ๆ เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว” จู่ ๆ พินทุก็เปลี่ยนเรื่อง อีกฝ่ายเพียงชำเลืองตามองแล้วถาม “เจ้าว่ากระไรนะ?”
“ข้าว่าเจ้าน่าจะรู้แล้วนะ ทั้ง ๆ ที่เรื่องของแก่อย่างเรามันจบไปก่อนปี ๒๕๕๐ แล้วแต่ไฉนพวกนายิกาชั้นต้น ๆ ถึงเพิ่งเริ่มเคลื่อนไหว คดีลักมีดก่อนหน้านี้ก็จบง่ายเกินไป มิคิดว่าคนร้ายถูกพวกนางชักจูงให้ลงมือฤ?” พินทุก้าวเดินไปรอบ ๆ คู่สนทนากอดอกแล้วมองไปทางอื่น
“ข้าน่าจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่านะเรื่องนี้ เจ้าเองก็ดูใกล้ชิดกับพวกนางมากที่สุดแล้วนี่”
“พิกุล เจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน” พินทุเรียกนามของอีกฝ่ายเหมือนจะย้ำเตือน “แต่ก็จริงอย่างที่เจ้าพูด ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่อยากไปก้าวก่ายนักดอก ไม่ว่าจะเป็นพวกนายิกาชั้นต้น หรือสุพินทุตะตินายิกาเช่นเรา”
“ไม่ก้าวก่าย? พวกสอดรู้สอดเห็นเช่นเจ้าน่ะเรอะ?” พิกุลแดกดันข้อเสียของอีกฝ่าย เจ้าตัวไหวไหล่แล้วตอบ
“นั่นเป็นการกระทำให้ฐานะผู้ชมที่นั่งดี ๆ ต่างหากเล่า” นายิกาประจำจังหวัดเชียงใหม่หมุนตัวพร้อมกับร่ม เป็นช่วงเดียวกับที่พวกนางสังเกตว่าเวลาล่วงเลยมาจนเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเข้าสู่นิทรา สายลมอ่อน ๆ พัดโชยพร้อมกับใบไม้แห้งและดอกไม้บนต้นบริเวณนี้ สไบของพินทุพลิ้วกลางอากาศ
…สุริยะทอแสงสีส้มแดงวาบ เป็นประกายเจิดจ้าเพียงเสี้ยวซึ่งพ้นร่มของพินทุวูบหนึ่ง ฉากหลังคือนภาสีส้ม แดง ชมพู และสีม่วงที่ไล่ไปราวกับหวนถึงความหลัง…
…และเข้าสู่โหมโรง
“หนังใหญ่ข้าก็ชอบ วรรณกรรมก็อ่าน ลิเกข้าก็ยิ่งชอบ แต่ละครชั้นดีคือชีวิตเราต่างหาก เจ้าก็รู้นี่” พิกุลมองร่างนั้นซึ่งประดุจดั่งเทพอัปสร ใบหน้างามหมดจดไม่แพ้กันของพิกุลเริ่มเปลี่ยนสีหน้า ก่อนที่ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีแดงสดจะขยับ
“ถ้าเช่นนั้นแล้วเจ้าชอบฝ่ายไหนล่ะ?”
สุพินทุตะตินายิกา ฤ นายิกาชั้นต้น ๆ
ราวกับดวงตาบอกเช่นนั้น พินทุคลี่ยิ้มอย่างรู้ใจก่อนจะตอบ
“แต่ถ้าให้พูดตามจริงข้าก็ไม่ได้ชอบฤๅเกลียด เพราะโลกนี้ไม่มีคนเลวกับคนชั่ว เพราะฉะนั้นถ้าให้เลือกเข้าข้างใครล่ะก็ ข้าก็มิเลือก”
เพราะคนเลวก่อนหน้านี้อาจเป็นคนดี
คนดีก็อาจเคยเป็นคนเลว
สถานการณ์ที่บีบคั้นให้ทำชั่วปกป้องคนที่รัก
การหลอกตนเองทำให้ดีทั้ง ๆ ที่ใจยังมีมลทิน
“จิตใจคนเรามันมีชั่วเลวปน ๆ กันไปมิมีที่สิ้นสุด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็น่าจะรู้นี่ ว่าการแบ่งฝ่ายในละครมันก็แค่หลอกคนว่า การหลุดพ้นจากความชั่วก็คือการฆ่าอีกฝ่ายที่เป็นเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่ตนเองนั่นแลน่ากลัวที่สุด และไม่ต่างอะไรจากอีกฝ่าย คนเราไม่มีกิเลสก็มิอาจพ้นจากมันได้”
พิกุลรู้สึกว่าตอนนี้ใจตนเองว่างเปล่า
“ ‘ฆ่าเพื่อปกป้องคนที่รัก’ เรื่องเช่นนี้เจอบ่อยใช่ไหมล่ะ? แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่งอีกฝ่ายไม่มีอะไรที่ต้องปกป้องเลยฤ? สุดท้ายก็แค่ความเห็นแก่ตัวของตนเอง”
แต่ก็เพื่อความอยู่รอดด้วย
พิกุลเหมือนได้ยินคำนั้นแว่ว ๆ
สิ่งที่เราว่าปัจจัยในชีวิตของคนเรา มันมีอีกมากเลยนะ
พิกุลหลับตาพักหนึ่งแล้วลืมขึ้น ก่อนจะถาม
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าอยากเป็นคนที่รัก ฤๅ อยากจะเป็นคนที่ถูกรัก?”
เนิ่นนาน… ท้องฟ้าบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินแล้ว ดวงตาสองคู่สบกันเหมือนจะหาคำตอบในใจของตนเองและอีกฝ่าย
“ข้าก็เคยถามตนเองเช่นกัน”
กึก
เสียงช็อกโกแลตหักดังขึ้นเบา ๆ ทำลายความเงียบยามรัตติกาล บนหลังคาเรือนไทยที่หน้าจั่วมีกาแล พิกุลกำลังทอดสายตามองท้องฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาว พลางนั่งไขว่ห้างทานช็อกโกแลตที่ดูเหมือนว่านางจะเสพติดมันเข้าให้แล้ว
พอมาคิดดู นางเองก็สงสัยว่าตอนนี้ตนเองทำอะไรอยู่ และทำมันเพื่ออะไร คำตอบน่ะมีแน่ แต่ความจริงในใจตนคืออะไรล่ะ? ตอนที่คุยกับพินทุนางก็รู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังปลงชีวิตตนเองอยู่ …มีชีวิตยืนยาวจวบจนปัจจุบันก็หาได้รู้ซึ้งรสชาติที่แท้จริงไม่ นับวันนานเข้าไปโลกที่เป็นอยู่ก็แปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
หรือจริง ๆ แล้วเพียงแค่เราพอกับสิ่งที่เห็นก็ไม่ต้องแคลงใจอะไรอีก?
“แต่คงจะแปลกพิลึกถ้าโลกเราไม่มีสีดำ”
ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ พิกุลลุกขึ้นแล้วยื่นมือข้างขวาที่สวมถุงมือเปิดนิ้วคลุมมือไม่มิดสีดำออกไปยังท้องฟ้า ตรงแขนก็มีปลอกสีดำคาดด้วยเข็มขัดสั้นสองเส้น ส่วนมือข้างซ้ายที่ใส่ถุงมือสีดำยาวถือช็อกโกแลต
“ณ โลกที่ที่ห่างไกลอีกหลายล้านปีแสง พระพุทธองค์ซึ่งรู้แจ้งทรงสถิตอยู่ ณ แห่งหนใด”
--------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะที่หายไปนานเป็นปี ...ก็ไม่มีคำแก้ตัวอะไร อย่างที่เคยแจ้งในช่วงบทแรก ๆ แล้วว่าเรื่องนี้หนูลงที่เว็บเด็กดีด้วย และจะเพิ่มที่เว็บนั้นเสียส่วนใหญ่ วันนี้เลยมาเพิ่มบทพิเศษ และหนูอาจจะหายไปนานอีกเนื่องจากจะปรับปรุงเรื่องนี้ครั้งใหญ่ เพราะหนูรู้สึกว่าที่แต่ง ๆ มาความสมเหตุสมผลมีน้อยมากน่ะค่ะ
และตอนพิเศษบางตอนที่มีความลับความตัวละครเช่น พินทุ เปิดเผย หนูจึงวางแผนเปิดขายในระบบออนไลน์ที่เว็บเด็กดีค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ช็อกโกแลตที่ละลายในหน้าร้อน กับลูกกระสุนปืนที่ฝังในศพ องก์ที่ ๑
ว่าด้วยเรื่องที่ผู้เล่าจะเกริ่นก่อน
“ที่เราต้องมีความทุกข์ ก็เพื่อเวลามีความสุขจะได้ยิ้มกว้าง ๆ อย่างไรล่ะ”
หญิงสาวผิวขาวซีดผมยาวสีดำสนิทใส่ผ้าแถบสีเดียวกัน นุ่งผ้าที่คาดเข็มขัดหลวม ๆ มีลูกกระสุนเรียงไปตามเส้น ขาเรียวยาวใส่รองเท้าบู้ทหนังสีดำเลยเข่ามาหน่อย ตรงต้นขามีแถบคาดซองใส่ปืนอยู่ นางกำลังใช้นัยน์ที่ตาขาวเป็นสีดำกรอบตากรีดอายไลเนอร์ มองตุงหลากสีหลายผืนซึ่งกำลังปลิวไปตามสายลม ได้กลิ่นดอกไม้หอม ๆ ที่ใส่สักการบูชาจาง ๆ
วันที่ ๑๕ เมษายน เป็นวันพญาวันหรือวันเถลิงศก ซึ่งเป็นวันที่นิยมถวายตุงกัน การถวายตุงมีความเชื่อว่าหากล่วงลับไปแล้ววิญญาณจะได้ยึดเกาะพ้นจากนรกขึ้นสู่สวรรค์ กระนั้นหญิงผู้ที่กำลังมองตุงนิ่ง ๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่าอย่างน้อยหากเป็นคนที่ทำกรรมชั่วก็คงแค่พ้นนรกไม่นานเท่าไหร่ นางไม่ค่อยรู้หรอกเรื่องความเชื่อของคนภาคเหนือ แต่ก็ไม่ได้คิดลบหลู่อะไร เพราะมันเป็นความศรัทธาอันบริสุทธิ์ของผู้ที่เชื่อ
เดิมทีปัจจุบันนางก็ย้ายจากประเทศไทยไปอาศัยที่ต่างประเทศนานแล้ว เลยไม่ค่อยคุ้นชินกับบรรยากาศแบบนี้ แต่มันก็ทำให้นึกถึงเรื่องเก่า ๆ เหมือนกัน
และส่วนใหญ่มันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด
พอภาพในวันวานจะหวนกลับมา หญิงสาวก็ก้าวเท้าออกจากตรงนั้น แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนอากาศก็เย็นสบาย พอมาตอนนี้นางก็รู้สึกว่าตนเองคิดถูกจริง ๆ ที่ไม่ได้ไปที่ภาคกลาง เพิ่งกลับมาที่ประเทศไทยไม่ทันไรก็ถูกแดดเผา แค่คิดก็รู้สึกว่าเหมือนตนเองเป็นผีดูดเลือดแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนเช้านางเข้าไปสักการพระพุทธรูปและฟังธรรม จะว่าไปวันนี้นางก็รีบตื่นเช้ามาตักบาตรกับนายิกาประจำจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีชื่อว่า พินทุ แน่นอนว่าเจ้าตัวเป็นคนเชิญชวนให้นางกลับมา
ในตอนบ่ายจะเป็นช่วงที่ไปขมาญาติผู้ใหญ่ และขอขมาลาโทษ แต่พวกนางเองก็เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่หน้าตายังเยาว์วัย พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ลาจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยสิ้นอายุขัยตายดี หรือถึงแก่กรรมในสงคราม คงจะเหลือพี่น้องไม่กี่คนกระมังที่ยังคงอยู่
“สงกรานต์นี้มิไปหาน้องเจ้าฤ?”
พอเดินไปพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น นางหยุดเดินเผอิญกับที่อยู่หน้าจุดหมายปลายทาง ซึ่งก็คือวัดร้างที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครดูแลแล้ว หน้าทางเข้ามีหญิงสาวในชุดปกสูงแขนยาวทับด้วยสไบ ผมยาวที่รวบเป็นหางม้าสูงมีปิ่นใบไหวประดับกับดอกพญาเสือโคร่ง คอประดับด้วยสร้อยทรงจันทร์เสี้ยวสีเงิน มือถือร่มบ่อสร้างที่ทอดเงาลงมาบดบังใบหน้างามครึ่งหนึ่ง ริมฝีปากแย้มยิ้มยากจะเดาความหมาย
“บุษราคัมน่ะฤ” นางถามทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ “จะมีใครอีกเล่า สายเลือดเพียงคนเดียวของเจ้า” พินทุตอบพลางย่างเท้าเข้ามา “น่าเห็นใจน้องเจ้า มีพี่แต่เจ้าตัวกลับไม่มาเยี่ยม”
“มันคงมิทำให้นางเหงาตายดอก ข้าได้ข่าวมาว่านางมีลูกบุญธรรม ตอนนี้คงลืมข้าไปแล้วกระมัง” น้ำเสียงของนางแม้เรียบเฉย แต่พินทุที่รู้จักกับคน ๆ นี้มาหลายร้อยปีก็รู้ว่าลึก ๆ แล้วอีกฝ่ายก็เหงา แต่จะให้ทำตัวดีใจเป็นเด็ก ๆ ก็คงไม่เข้ากับเจ้าตัว อย่างน้อยที่สุดพินทุก็คิดว่าขอแค่น้องสาวมีความสุข อีกฝ่ายก็หายเป็นห่วงแล้ว
“ช่วงนี้พวกนายิกาชั้นต้น ๆ เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว” จู่ ๆ พินทุก็เปลี่ยนเรื่อง อีกฝ่ายเพียงชำเลืองตามองแล้วถาม “เจ้าว่ากระไรนะ?”
“ข้าว่าเจ้าน่าจะรู้แล้วนะ ทั้ง ๆ ที่เรื่องของแก่อย่างเรามันจบไปก่อนปี ๒๕๕๐ แล้วแต่ไฉนพวกนายิกาชั้นต้น ๆ ถึงเพิ่งเริ่มเคลื่อนไหว คดีลักมีดก่อนหน้านี้ก็จบง่ายเกินไป มิคิดว่าคนร้ายถูกพวกนางชักจูงให้ลงมือฤ?” พินทุก้าวเดินไปรอบ ๆ คู่สนทนากอดอกแล้วมองไปทางอื่น
“ข้าน่าจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่านะเรื่องนี้ เจ้าเองก็ดูใกล้ชิดกับพวกนางมากที่สุดแล้วนี่”
“พิกุล เจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน” พินทุเรียกนามของอีกฝ่ายเหมือนจะย้ำเตือน “แต่ก็จริงอย่างที่เจ้าพูด ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่อยากไปก้าวก่ายนักดอก ไม่ว่าจะเป็นพวกนายิกาชั้นต้น หรือสุพินทุตะตินายิกาเช่นเรา”
“ไม่ก้าวก่าย? พวกสอดรู้สอดเห็นเช่นเจ้าน่ะเรอะ?” พิกุลแดกดันข้อเสียของอีกฝ่าย เจ้าตัวไหวไหล่แล้วตอบ
“นั่นเป็นการกระทำให้ฐานะผู้ชมที่นั่งดี ๆ ต่างหากเล่า” นายิกาประจำจังหวัดเชียงใหม่หมุนตัวพร้อมกับร่ม เป็นช่วงเดียวกับที่พวกนางสังเกตว่าเวลาล่วงเลยมาจนเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเข้าสู่นิทรา สายลมอ่อน ๆ พัดโชยพร้อมกับใบไม้แห้งและดอกไม้บนต้นบริเวณนี้ สไบของพินทุพลิ้วกลางอากาศ
…สุริยะทอแสงสีส้มแดงวาบ เป็นประกายเจิดจ้าเพียงเสี้ยวซึ่งพ้นร่มของพินทุวูบหนึ่ง ฉากหลังคือนภาสีส้ม แดง ชมพู และสีม่วงที่ไล่ไปราวกับหวนถึงความหลัง…
…และเข้าสู่โหมโรง
“หนังใหญ่ข้าก็ชอบ วรรณกรรมก็อ่าน ลิเกข้าก็ยิ่งชอบ แต่ละครชั้นดีคือชีวิตเราต่างหาก เจ้าก็รู้นี่” พิกุลมองร่างนั้นซึ่งประดุจดั่งเทพอัปสร ใบหน้างามหมดจดไม่แพ้กันของพิกุลเริ่มเปลี่ยนสีหน้า ก่อนที่ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีแดงสดจะขยับ
“ถ้าเช่นนั้นแล้วเจ้าชอบฝ่ายไหนล่ะ?”
สุพินทุตะตินายิกา ฤ นายิกาชั้นต้น ๆ
ราวกับดวงตาบอกเช่นนั้น พินทุคลี่ยิ้มอย่างรู้ใจก่อนจะตอบ
“แต่ถ้าให้พูดตามจริงข้าก็ไม่ได้ชอบฤๅเกลียด เพราะโลกนี้ไม่มีคนเลวกับคนชั่ว เพราะฉะนั้นถ้าให้เลือกเข้าข้างใครล่ะก็ ข้าก็มิเลือก”
เพราะคนเลวก่อนหน้านี้อาจเป็นคนดี
คนดีก็อาจเคยเป็นคนเลว
สถานการณ์ที่บีบคั้นให้ทำชั่วปกป้องคนที่รัก
การหลอกตนเองทำให้ดีทั้ง ๆ ที่ใจยังมีมลทิน
“จิตใจคนเรามันมีชั่วเลวปน ๆ กันไปมิมีที่สิ้นสุด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็น่าจะรู้นี่ ว่าการแบ่งฝ่ายในละครมันก็แค่หลอกคนว่า การหลุดพ้นจากความชั่วก็คือการฆ่าอีกฝ่ายที่เป็นเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่ตนเองนั่นแลน่ากลัวที่สุด และไม่ต่างอะไรจากอีกฝ่าย คนเราไม่มีกิเลสก็มิอาจพ้นจากมันได้”
พิกุลรู้สึกว่าตอนนี้ใจตนเองว่างเปล่า
“ ‘ฆ่าเพื่อปกป้องคนที่รัก’ เรื่องเช่นนี้เจอบ่อยใช่ไหมล่ะ? แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่งอีกฝ่ายไม่มีอะไรที่ต้องปกป้องเลยฤ? สุดท้ายก็แค่ความเห็นแก่ตัวของตนเอง”
แต่ก็เพื่อความอยู่รอดด้วย
พิกุลเหมือนได้ยินคำนั้นแว่ว ๆ
สิ่งที่เราว่าปัจจัยในชีวิตของคนเรา มันมีอีกมากเลยนะ
พิกุลหลับตาพักหนึ่งแล้วลืมขึ้น ก่อนจะถาม
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าอยากเป็นคนที่รัก ฤๅ อยากจะเป็นคนที่ถูกรัก?”
เนิ่นนาน… ท้องฟ้าบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินแล้ว ดวงตาสองคู่สบกันเหมือนจะหาคำตอบในใจของตนเองและอีกฝ่าย
“ข้าก็เคยถามตนเองเช่นกัน”
กึก
เสียงช็อกโกแลตหักดังขึ้นเบา ๆ ทำลายความเงียบยามรัตติกาล บนหลังคาเรือนไทยที่หน้าจั่วมีกาแล พิกุลกำลังทอดสายตามองท้องฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาว พลางนั่งไขว่ห้างทานช็อกโกแลตที่ดูเหมือนว่านางจะเสพติดมันเข้าให้แล้ว
พอมาคิดดู นางเองก็สงสัยว่าตอนนี้ตนเองทำอะไรอยู่ และทำมันเพื่ออะไร คำตอบน่ะมีแน่ แต่ความจริงในใจตนคืออะไรล่ะ? ตอนที่คุยกับพินทุนางก็รู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังปลงชีวิตตนเองอยู่ …มีชีวิตยืนยาวจวบจนปัจจุบันก็หาได้รู้ซึ้งรสชาติที่แท้จริงไม่ นับวันนานเข้าไปโลกที่เป็นอยู่ก็แปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ
หรือจริง ๆ แล้วเพียงแค่เราพอกับสิ่งที่เห็นก็ไม่ต้องแคลงใจอะไรอีก?
“แต่คงจะแปลกพิลึกถ้าโลกเราไม่มีสีดำ”
ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ พิกุลลุกขึ้นแล้วยื่นมือข้างขวาที่สวมถุงมือเปิดนิ้วคลุมมือไม่มิดสีดำออกไปยังท้องฟ้า ตรงแขนก็มีปลอกสีดำคาดด้วยเข็มขัดสั้นสองเส้น ส่วนมือข้างซ้ายที่ใส่ถุงมือสีดำยาวถือช็อกโกแลต
“ณ โลกที่ที่ห่างไกลอีกหลายล้านปีแสง พระพุทธองค์ซึ่งรู้แจ้งทรงสถิตอยู่ ณ แห่งหนใด”
--------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะที่หายไปนานเป็นปี ...ก็ไม่มีคำแก้ตัวอะไร อย่างที่เคยแจ้งในช่วงบทแรก ๆ แล้วว่าเรื่องนี้หนูลงที่เว็บเด็กดีด้วย และจะเพิ่มที่เว็บนั้นเสียส่วนใหญ่ วันนี้เลยมาเพิ่มบทพิเศษ และหนูอาจจะหายไปนานอีกเนื่องจากจะปรับปรุงเรื่องนี้ครั้งใหญ่ เพราะหนูรู้สึกว่าที่แต่ง ๆ มาความสมเหตุสมผลมีน้อยมากน่ะค่ะ
และตอนพิเศษบางตอนที่มีความลับความตัวละครเช่น พินทุ เปิดเผย หนูจึงวางแผนเปิดขายในระบบออนไลน์ที่เว็บเด็กดีค่ะ
ขอบคุณค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ