ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
121) บทที่ ๑๑๙ : การลงโทษของผู้คุมกฎ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๑๙
[บรรยายโดย เด็กชายใบโพธิ์]
การลงโทษของผู้คุมกฎ
“หมดสติไปเมื่อไหร่กัน?”
ผมพึมพำเมื่อลืมตาฟื้นขึ้นมา ก่อนจะรู้สึกขนลุกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าชีวิตของตนเองนับแต่จากนี้จะต้องทนอยู่กับเจ้าผู้ชายผมหงอกนั่น คิดได้ดังนั้นก็หันไปมองรอบ ๆ เพื่อดูว่าเจ้าตัวอยู่ไหม …แล้วก็เป็นจริงดังที่ทราบแก่ใจ
“ฟื้นแล้วเรอะ?”
“อะ อืม” ผมครางแทนคำพูด เพราะยังมึน ๆ อยู่ด้วยความที่จู่ ๆ ก็หมดสติไป สิรไพรที่อ่านหนังสือจนถึงเมื่อครู่ปิดมันลง ก่อนจะเดินมาหาผมพร้อมริมฝีปากที่แสยะยิ้ม ผมสังหรณ์ใจไม่ดีแต่ก็ป้องกันอะไรไม่ได้
“ข้าลืมหนังสือไว้ที่ห้อง ไปเอามาให้ทีซิ”
“อะไรของนายอีกฮะ?! ใช้ฉันเยี่ยงขี้ข้าจริง ตัวเองลืมก็ไปเอาสิ!” ผมกล่าวอย่างหงุดหงิด ด้วยความที่พึ่งฟื้นสติ แถมร่างกายก็ยังปวดอยู่ยังจะใช้ให้ไปเอา และผมเองก็เพิ่งย้ายมาได้ไม่นานจะไปจำเส้นทางได้อย่างไรกันเล่า โรงเรียนก็กว้างสุด ๆ ยังไม่นับนักเรียนอนุบาลและประถมนะ รวมมัธยมกับระดับมหาวิทยาลัยด้วย ถึงหอพักจะห่างจากเรือนประถมไม่ถึงกิโลเมตรก็เถอะ
“วันก่อนข้าก็พาไปเดินดูแล้วนะ เอ็งยังจำมิได้อีกเรอะ?”
“นี่ไม่ใช่โรงเรียนของโลกเดิมนะ ถึงจะกว้างมากในขนาดที่จำได้น่ะ” ผมพยายามอดกลั้นอารมณ์เดือด พร้อมกับน้ำเสียงที่ไม่ตะคอกแล้ว ทว่าดูเหมือนจะพูดดี ๆ เขาก็ยังคงไม่ยอมถึงได้ยิ้มอยู่อย่างนั้น
“บอกให้ไปเอาก็ไปเอาซีวะ!” สิรไพรใช้โซ่พันธนาการร่างผม ก่อนจะดึงให้ตกจากเตียง ความเจ็บปวดเมื่อตอนเย็นถูกความปวดร้าวตอนนี้ทับถมลงมา ต้องกัดฟันกรอดข่มเสียงไว้ เพราะยังปรับรับความเจ็บปวดได้ไม่พอ
“ก็ได้! ไปเอาสมุดก็คงดีกว่าอยู่กับคนแบบนายละกัน!”
น้ำตาเล็ดออกมาพร้อมกับที่ร่างถูกเหวี่ยงออกจากห้องส่งเสียงดังตึง! สิรไพรแสยะยิ้มกว้างส่งให้ก่อนจะปิดประตูไป
ไอ้--- ไอ้บ้าเอ๊ย!
ผมไม่รู้จะสบถคำหยาบไหนออกมาเพื่อด่ามัน …ดีนะที่ฟ้ายังคงเมตตาให้ว่าร้ายเจ้าผมหงอกนั่นได้ ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้จะคิดยังไงกับสิทธิ์ของตนเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
“แต่… ต้องไปเอาจริง ๆ เหรอ?”
ผมเอ่ยกับตนเองเบา ๆ พลางทอดสายตามองทางเดินของเรือนหอพักที่ถูกความมืดยามวิกาลโรยลงมา สุดปลายทางนั้นมืดสนิทราวกับจุดหมายอันไร้ขอบเขตเยี่ยงห้วงอวกาศ อากาศที่เย็นเชียบกับบรรยากาศวังเวงทำให้อดคิดถึงสิ่งลี้ลับไม่ได้
…นี่อย่าบอกนะ ว่าผมต้องย่างกรายผ่านความมืดในค่ำคืนนี้จริง ๆ ?
.
.
.
สุดท้ายก็มาถึงจนได้
---ขนลุกมากเลยครับ!
เจ้าบรรยากาศที่วังเวงนี้มันอะไรกันแน่?! ดอกราชพฤกษ์ที่น่าจะหมดไปเมื่อย่างเข้าสู่เดือนพฤษภาคมนั้น กลับร่วงโรยอย่างนุ่มนวลอ่อนช้อยดุจบุปผาในแดนวิมาน …มันคงจะสวยกว่านี้นะถ้าอยู่ในตอนกลางวัน แต่ในยามกลางคืนนี้มันสว่างเรือง ๆ ราวกับวิญญาณบริสุทธิ์ บวกกับเรือนไทยที่มีหลายชั้นนั้นเพิ่มความน่ากลัวอย่างไม่ยากเย็น ไหนจะต้นไทรที่มีบ้างซึ่งรากอากาศของมันนี่ ทำให้อดเหลือบ ๆ มองด้านหลังไม่ได้ว่าอยู่ดี ๆ มันจะชอนไชรากอากาศนั่นมาที่คอไหม
วิ้ว…
“บรื๋อ” ผมร้องอย่างอดไม่ได้ เมื่อลมพัดผ่านหวิว ๆ เย็นเชียบลูบไล้ตามร่างกาย รู้อย่างนี้เอาเสื้อกันหนาวมาก็ดีหรอก ไม่สิ ถึงนึกได้แต่แรกก็ใช่ว่าจะยืมสิรไพรมาได้ ไปขอเพื่อนห้องอื่นก็ไม่ได้อีกเพราะนี่เวลานอนแล้ว แถมผมยังไม่คุ้นเคยกับเพื่อน ด้วยความที่มาใหม่และกำลังเป็นที่ตั้งข้อสงสัย ว่าเป็นตัวแทนยมทูตอะไรนั่นหรือไม่ทำให้ไม่กล้า
จะว่าไป จะดีใจหรือเสียใจกันแน่นี่ ถึงไม่ได้อยู่กับสิรไพร แต่แบบนี้มันก็น่ากลัวนะ… มาก ๆ เลยด้วย
…อยากถอนคำพูดจังเลยครับ
“แล้วทำไมหมอนั่นถึงลืมได้นี่?”
ผมพึมพำเพื่อคุยกับตนเอง อย่างน้อยเวลานี้มีเสียงบ้างก็อุ่นใจขึ้น …ถึงจะเป็นเสียงของตนเองก็เถอะ
พอทำใจให้กล้าขึ้นแล้วก็ก้าวเดินอย่างระแวง และมองซ้ายทีขวาทีเพราะไม่ไว้ใจ
เดินมาถึงชั้น ๒ ได้ยินเสียงเหมือนมีใครเดินจากด้านหลังที่เพิ่งขึ้นบันไดมาเมื่อครู่ พอหันไปมองก็ไม่พบใคร
ค่ะ--- คงคิดไปเองน่า นี่ก็ค่ำแล้วอาจจะง่วงจนสมองเบลอก็ได้
ผมปลอบใจตนเองด้วยความคิดตื้น ๆ ทั้งที่ลึก ๆ ใจมันฟ้องว่าเมื่อกี้เสียงคนเดินชัด ๆ
♪~~ ♫~~
“!” ผมสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่ออยู่ดี ๆ มีเสียงดนตรีไทยดังขึ้น ฟังแล้วน่าจะเป็นปี่ ผมค่อย ๆ มองไปทางต้นเสียงก่อนจะพบกับเด็กหญิงในชุดนักเรียนปกคอบัว ผมสีดำ ใบหน้าเห็นไม่ชัดเพราะอยู่ในเงา กระนั้นอวัยวะช่วงล่างลงมายังโดนแสงจันทร์กระทบ จึงเห็นว่าผิวสีผิวของเธอซีดขาว …ผมรู้สึกว่าทั้งร่างอุณหภูมิค่อย ๆ ลดลง เหมือนใจหยุดเต้นไปครู่หนึ่ง ขาสั่นทั้ง ๆ ที่อยากวิ่งแต่แม้เพียงก้าวก็ยังทำไม่ได้
“ผะ ผะ…” ปากสั่นตามไปด้วย แต่ในขณะที่สติยังคงมีอยู่ ผมก็เกิดความรู้สึกที่ไม่เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้
ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยจัง?
ผมกลัวผี แต่ใจไม่ปฏิเสธว่าผีมีจริง และรู้สึกคุ้นเคยว่าเห็นมาหลายครั้ง พอมีความรู้สึกเช่นนี้แล้วความตื่นกลัวก็ค่อย ๆ สงบลง
ผมจ้องเธออย่างสงสัย ทว่าเจ้าตัวไม่มีท่าทีจะเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย พอเห็นผมหาย กลัวอีกฝ่ายก็หยุดเป่าปี่ ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นมือออกมา ผมเผลอนึกถึงหนังฯ แนวสยองขวัญที่ผีมันยื่นมือมาแล้วแขนก็ยาวขึ้นมาบีบคอ แต่เธอไม่ได้ทำเช่นนั้น กลับกัน เด็กหญิงวาดอะไรบางอย่างในอากาศก่อนจะยิ้มบาง ๆ ออกมา …ให้ความรู้สึกเย็นเชียบ แต่อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“นี่… ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้เจออีกครั้ง ถึงจะรู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าจะต้องกลับชาติมาเกิดอีกคราก็เถิด”
“อะ อะไร? เมื่อกี้เธอหมายความว่าอะไร?” พอถามออกไป เด็กหญิงก็เดินจากตรงนั้นแล้วหายตัว ผมจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
เมื่อกี้เธอหมายความว่าอะไร …ชาติที่แล้ว เราเคยมีเรื่องอะไรกันอย่างนั้นเหรอ?
เดินต่อไปพร้อมกับความสับสน นับตั้งแต่วันที่ผมจากมิติสามัญมา ชีวิตก็ดูเหมือนจะ วุ่นวายและมีเรื่องที่ดูท่าว่าจะต้องรอดูต่อไปอีกมาก ทั้งเรื่องที่ตนเองความจำเสื่อม ปริศนาผู้นำทางแห่งวายชนม์ อดีตชาติที่เธอตนเมื่อกี้กล่าวด้วย นี่เปิดเรียนไม่กี่วันก็มีเรื่องชวนสงสัยตั้งหลายอย่าง แต่เอาเถอะ นี่เพิ่งไม่กี่วัน ถ้าเปรียบกับนิยายนี่ก็คงไม่พ้นบทนำกระมัง
ผมหยุดเดินเมื่อมาถึงหน้าห้องเรียน ในขณะที่จะยื่นมือไปเปิดประตูก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่กลางคืนแล้วประตูจะปิดโดยไม่ผนึกกุญแจได้อย่างไร คิดได้เช่นนั้นก็ถอนหายใจ อุตส่าห์เดินมาแต่เจอแบบนี้ก็รู้สึกเบื่อสุด ๆ
“เจ้าต้องการสิ่งนี้ไหม?” ผมขนลุกขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเย็นแต่แหลมใส พอหันไปมองก็พบว่าเป็นหญิงสาวแต่งกายเรียบ ๆ ไม่ตกแต่งอะไรมาก โดยคาดผ้าหน้าอกและพาดด้วยสไบผืนยาว ผ้าถุงยาวกรอมเท้านั้นก็มีลายไทยเรียบ ๆ ปิ่นปักผมที่ปักบนมวยนั้นมีลูกห้อยยาวจนเกือบถึงบ่า ผมมองเธอและเลื่อนสายตาไปที่กุญแจซึ่งอีกฝ่ายถืออยู่ …หรือว่านั่นจะเป็นกุญแจห้องเรียน?
“น่ะ นั่นกุญแจห้องเรียนเหรอครับ?”
“จ้ะ แต่ฉันคงมิให้เธอง่าย ๆ ดอกนะ” ริมฝีปากสีชมพูที่ซีดนั้นยิ้มแปลก ๆ ผมมองเธออย่างไม่ไว้ใจ จะว่าไปแล้วเจ้าตัวเป็นใครกันถึงได้มีกุญแจห้อง หรือว่าจะเป็นครูที่สอนในโรงเรียนนี้
“เอ่อ…”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ถ้าจะให้ขอกุญแจมาก็กล่าวได้หรอก แต่ท่าทีและสีหน้าของเธอดูเหมือนจะทำเรื่องแปลก ๆ บอกไม่ถูก
“มิพูดล่ะ?”
“คือ… ผมเปลี่ยนใจแล้ว ว่าจะมาเอาของที่ลืม แต่ไว้ค่อยพรุ่งนี้ก็ได้ครับ” ผมหันหลังเตรียมเดินจากไป แต่รู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็นเชียบที่ต้นคอ มันค่อย ๆ ลูบไล้ลงมาผ่านคอเสื้อและลึกลงไปถึงอก มือของหญิงสาววนไปวนมาอยู่เช่นนั้น ผมรู้สึกเคลิ้มกระนั้นก็ตระหนกที่โดนลวนลาม
จะว่าไป… เดี๋ยวก่อนนะ ลักษณะของหญิงสาวคนเมื่อกี้ดูไร้ชีวิตชีวาเหมือนกับ…
“ฉัน… เจ้าแม่ที่สิ่งอยู่ต้นไทร ผู้คุมกฎของหอหญิงและหอชาย คงปล่อยให้เธอไปโดยไม่ได้รับโทษมิได้ดอกนะ”
…เจ้าแม่ อย่าบอกนะว่าเป็น เป็น …ผีน่ะ!
ผมหันหลังขวับ เผชิญหน้ากับหญิงสาวที่เป็นเจ้าแม่พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง เหมือนรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามา พร้อมกันนั้นรากต้นไม้ก็ผุดขึ้นจากพื้นไม้ และรากอากาศที่ไม่อาจทราบได้ว่ามาจากที่ไหน นี่คงไม่ใช่ว่าเป็นพลังอาคมที่ครูภูรินทร์อธิบายในชั่วโมงประจำชั้นนะ!
“เฮ้ย!!” ผมอุทานด้วยความตกใจและวิ่งหนีจากตรงนั้นโดยที่สมองไม่ต้องสั่งการ ล้มบ้างเกือบสะดุดบ้างเพราะวิ่งไม่คงที่ พอมาถึงชั้นล่างและออกจากเรือนประถมแล้ว ก็วิ่งต่อไปทางหอพักชายแบบไม่ต้องคิด
“ครูที่ปรึกษามิได้บอกฤ ว่าห้ามออกจากเรือนที่พักตั้งแต่ทุ่มครึ่งเป็นต้นไปน่ะ?”
ตูม!
“เหวอ!”
รากต้นไม้แทงลงพื้น แรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงส่งผลให้ผมล้มลงกับพื้น พอจะลุกขึ้นก็ถูกรากอากาศพันธนาการไว้
“---อึก”
“วิกาลนี้คงอีกนาน นักเรียนใหม่เอ๋ย… เจ้าละเมิดกฎของหอพัก อย่าหวังจะได้กลับโดยสวัสดิภาพเชียว” หญิงสาวย่างฝีเท้าเข้ามา ผมมองหาทางหนีทีไล่ด้วยใจที่วิตกสุด ๆ ในขณะวินาทีเป็นตายนั้น ก็เหลือบเห็นว่ามีใครบางคนผ่านมา
ไม่สิ …มีสองคนที่มา
“นาย… ใบโพธิ์?” ศรีมองผมอย่างแปลกใจ พอเห็นสภาพโดยรอบที่เต็มไปด้วยรากไม้ รากอากาศและรอยร้าวบนพื้นแล้วเธอก็แสดงสีหน้ากังวล “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?” เธอถามอย่างฉงน ผมละสายตาจากเธอไปมองอีกคนซึ่งเป็นนักเรียนหญิงมัธยมตอนปลาย เกล้าผมหยักศกทรงหางม้า …คงจะเป็นพี่สาวกระมัง ถึงหน้าตาจะไม่ค่อยคล้ายก็เถอะ
“ฉัน…” พอจะกล่าวขอความช่วยเหลือ หญิงสาวซึ่งเป็นผู้คุมกฎก็กล่าวขัดขึ้น “อ้าว… ยังมีอีกฤ? แถมเป็นสองคนเสียด้วยสิ”
“นี่! ห้ามทำอะไรพวกเธอนะ!” ถึงผมจะอยากขอความช่วยเหลือ แต่ไม่อยากให้พวกเขาต้องเดือดร้อนเพราะตนเอง กระนั้นหญิงสาวก็ไม่สนใจไม่ทีท่าจะสนใจผมแม้แต่น้อย เธอหันไปมองศรีและเด็กสาวอีกคนพร้อมกับรอยยิ้มที่น่าอันตรายสุด ๆ
“เอาล่ะ จะจัดการอย่างไรดีนะ~”
ผมจ้องรากที่ค่อย ๆ เปลี่ยนทิศทาง ศรีกับเด็กสาวคนนั้นก็จ้องมันเช่นกัน ทั้งสองเตรียมจะอัญเชิญอาวุธออกมา แต่เด็กสาวห้ามศรีไว้ก่อนจะกล่าวอออกมา
“ศรี น้องคงไม่คิดจะใช้มันใช่ไหม?”
“แต่… พี่คะ ใบโพธิ์เขากำลังแย่นะคะ”
“น้องก็อันตรายพอกันนะ! เอาล่ะ อยู่นิ่ง ๆ เป็นเด็กดีเสียนะ” เด็กสาวคนนั้นอัญเชิญดาบไทยออกมา ถึงจะไม่มีลักษณะพิเศษมาก แต่ยันต์ที่สลักไว้ก็บ่งบอกได้ว่ามันมีพลังอาคมอยู่พอสมควร
…ในขณะที่การต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นนั้น หิมะก็โปรยลงมาอย่างนุ่มนวล…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ