ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) บทที่ ๑๒: ออกเดินทาง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๒
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ออกเดินทาง
“สบายดีแฮะ อาบน้ำอุ่นๆ หลังจากที่เสียเหงื่อเสียแรงไป” เฉาก๊วยเอ่ยด้วยความรู้สึกผ่อนคลายพลางกวักน้ำไปรินบนศีรษะธันนะ นั่นจึงทำให้เด็กชายหน้านิ่งขมวดคิ้วรำคาญ ธันนะหยิบขันตักน้ำไปราดบนศีรษะเฉาก๊วยเป็นการตอบแทน (?)
“ทำไมถึงไม่ไปราดใส่ขนมชั้นล่ะ เห็นสนิทกันดีนี่”
“นายทำหน้านิ่งอย่างนั้นมันน่าแกล้งอะ” เฉาก๊วยตอบอย่างขบขันก่อนจะค่อยๆ ดันกายให้จมสู่น้ำ ดินขาวมองพงสณะที่มีสีหน้าเคลิบเคลิ้ม แก้มเป็นสีระเรื่อแดง เด็กชายเผ่าเย้าถามเขา
“เป็นอะไรไปน่ะพงสณะ”
“หึๆ นึกถึงศรีน่ะว่าถ้าเกิดเปลือยร่างจะเป็นยังไง คงน่าหม่ำเนอะ” คำตอบนั้นทำเอาดินขาวเหงื่อตกกับความหื่นของเพื่อนตน ก็ไม่แปลกหรอกที่ศรีจะเกลียดพงสณะเข้าไส้ โซค่อนยิ้มมีเลศนัยก่อนจะเอ่ย
“โหย ไอ้พงสณะ ถ้านายหื่นขนาดนี้สนใจจะให้ฉันทำให้มั้ย?”
“ทำอะไรน่ะ?”
“แอบถ่ายศรีไง” คำตอบนั้นทำให้พงสณะคลี่ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะถาม “ทุกอิริยาบถเลยเรอะ?”
“ก็เกือบน่ะนะถ้าขยันหน่อย ถ้านายอยากให้ถ่ายฉันคิดเงินสองภาพเป็น ๕ บาทละกัน”
“คิดด้วยเรอะ แกนี่มันเห็นแกเงินจริงๆ” พงสณะเอ่ยพลางมองค้อนโซค่อนที่เห็นเงินมากกว่าเพื่อน เด็กชายผมยาวนามหว่อซีอายิ้มอย่างขันก่อนจะเอ่ย “ระวังด้วยล่ะ เดี๋ยวความแตกขึ้นมาจะเป็นเรื่อง ดีไม่ดีพวกเจ้าอาจถูกศรีจับมัดโยนให้จระเข้กิน”
“นั่นสิครับ ผมว่าอย่าทำดีกว่า”
รพิที่ใกล้จะหลับได้ยินพวกเขาคุยจึงลืมตาตื่นขึ้นมาพูด แต่กระนั้นทั้งสองคนก็ทำเป็นไม่สนใจ เด็กชายผมสีเขียวนามเซอาห์เบี่ยงความสนใจพวกเขา ลากมือไปขยุ้มผมเฉาก๊วยก่อนจะกดศีรษะให้แนบกับก้นอ่างจนเด็กชายใต้น้ำต้องยกมือประท้วง
“ทำอะไรของนายเนี่ยเซอาห์ เดี๋ยวฉันก็ได้กลายเป็นผีพรายพอดีหรอก!” เฉาก๊วยต่อว่าหลังจากโผล่ขึ้นมาซึ่งเขาก็ไม่ได้โกรธจริง เซอาห์จึงพิงแบบเดียวกับธันนะ
ถ้าเกิดเราพูดได้แบบคนอื่นๆ ก็ดีน่ะสิ
เป็นเพราะคำสาปนั่นจึงทำให้เรา---------
เด็กชายสวมผ้าใส่ยางครอบศีรษะสีเทาเดินไปตามทางที่ปลูกต้นไม้อยู่รอบๆ พลางคุยกับปลายสายทางโทรศัพท์ไปด้วย
“แกมองคนผิดหรือเปล่า ไอ้ธันนะมันจะมาที่นี่ได้ยังไง?”
“[มาได้ยังไงฉันก็ไม่รู้หรอก แต่ที่แน่ๆ มันมากับผู้หญิงเกล้าผมจุกเหมือนกุมารด้วยล่ะ]”
“แฟนมันรึอย่างไร เออ แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหนล่ะ” เด็กชายขมวดคิ้วพลางถามไปด้วย ปลายสายตอบ “[ไม่รู้สิ เห็นว่าจะไปกรุงเทพฯ เนี่ยแหละ]”
“อ้อ งั้นเรอะ งั้นแค่นี่นะ”
“[บาย]”
ติ๊ด---
เด็กชายเก็บโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋าอย่างหงุดหงิด ทำไมนะคู่แค้นอันดับ ๑ อย่างธันนะถึงต้องมาด้วย เขาหวังว่าปิดเทอมกลางภาคจะมาอย่างสบายใจแต่เจอคู่ปรับอย่างนี้ก็ไม่มีทางเลือก
ถ้าส่งมันกลับไม่ได้ก็มีแต่ต้องกลั่นแกล้ง จะได้ไม่ต้องโผล่หน้ามาให้เห็น
หึๆ…
งั้นไปรอที่กรุงเทพฯ เลยละกัน
วันอาทิตย์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘
เช้า
“ฟี้… ฟี้…”
เสียงกรนของบรรพตดังเบาๆ ศรีนอนโดยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะฟัง ข่มตาหลับไม่ลงแต่ไม่ใช่เพราะว่าบรรพตทำเสียงรบกวนแต่เป็นเพราะศรีนึกถึงความฝันนั้น เงาสองร่างสีดำเคลื่อนไหวพูดคุยไปมา นั่นทำให้เธอนึกถึงหนังตะลุงที่เคยไปดูในช่วงวัยอนุบาล
ระหว่างที่นึกไปเรื่อยๆ ความมืดแห่งนิทราก็ครอบงำ…
เด็กหญิงผมสีดำเกล้าต่ำปรากฎรอยยิ้มอันอบอุ่นให้เธอ ศรีในวัยอนุบาลยิ้มตอบพร้อมกับโผเข้ากอดอย่างรักใคร่ ซึ่งเด็กหญิงเองก็นั่งคุกเข่ากอดตอบพลางลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู ศรีคลอเคลียไปมาระหว่างนั้นเด็กหญิงเอ่ย
“ไปดูหนังตะลุงไหมจ๊ะ”
“หนังตะลุง… คืออะไรเหรอคะ?” คำถามนั้นช่างไร้เดียงสาจริงๆ เด็กหญิงคิดพลางยิ้มก่อนจะตอบด้วยเสียงอันอ่อนโยน “เป็นการแสดงอย่างหนึ่งที่ใช้หนังสัตว์มาแกะเป็นลวดลายภาพตัวละครแล้วเชิดด้านในจอจ้ะ เราจะเห็นมันเป็นเหมือนเงาลางๆ น่ะ”
“น่าสนใจจังเลยค่ะ หนูอยากไปดูจัง”
“จ้ะ งั้นไปกันเลย”
…หลังจากชมการแสดงหนังตะลุงจบทั้งสองก็ยิ้มอย่างมีความสุขกับเรื่องที่แสดง …แต่สิ่งที่ทำให้ศรีและเด็กหญิงยิ้มออกมาได้คือการที่ทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน ขอเพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
“พี่รักหนูนะ”
กระซิบแผ่วเบาพลางเอามือลูบศีรษะ ศรีรู้สึกง่วงนอนจึงเอนกายลงในอ้อมกอดของเด็กหญิง
.
.
.
ภายในห้องที่ใช้ไม้สร้างทำให้สภาพดูอบอุ่น ร่างที่จมอยู่ในนิทราหลับไหลอย่างเปี่ยมสุข แววไพรหลับตาพลางเขยิบกายเข้ากอดศรีที่หลับไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แววไพรทำเนียนลูบไล้เอวที่โค้งเว้าได้รูปของศรีอย่างเพลินๆ ลากไปลูบที่หน้าท้องแล้วค่อยๆ เคลื่อนไปบริเวณด้านบน มือสัมผัสกับบางอย่างที่กลมๆ นูนๆ อ่อนนุ่ม แววไพรติดใจจึงลงมือหนัก
“อือ…” เสียงหวานครางออกมา เด็กหญิงสวมแว่นชะงักกลัวว่าศรีจะตื่น แต่เมื่อศรีไม่แสดงอาการอะไรออกมาแววไพรจึงทำต่อจากเมื่อกี้ มือบีบสิ่งนั้นอย่างสนุก ศรีขยุกขยิกร่าง แววไพรชะงักอีกครั้ง
“อื้อ…” ศรีเหยียดกายอย่างเกียจคร้านก่อนลืมตาตื่น สายตาเหลือบเห็นมือขาวครอบครองหน้าอก
“เอ่อ ศรี… ฉัน… ไม่ได้ตั้งใจนะ” เด็กหญิงสวมแว่นแก้ตัวเมื่อเธอดันกายมองดูว่ามือกำลังจับอะไร ภาพที่เห็นทำให้แก้มเธอขึ้นสีแดง
อะ อายจัง
“ไม่เป็นไรจ้ะ” ศรียิ้มบางๆ ให้ก่อนจะโอบกอดแววไพร ทำให้เด็กหญิงภาคเหนือหน้าแดงกว่าเดิม ได้จับหน้าอกคนที่ชอบและยังโดนกอดอีกแค่นี้วิญญาณเธอก็จะออกจากร่างแล้ว แววไพรเขยิบเข้าไปใกล้ก่อนจะหอมแก้ม
กรี๊ด! ขอกินสักคำได้ไหมเนี่ย
หมับ!
มือเล็กอีกหนึ่งข้างโอบกอดศรี เธอไม่สามารถพลิกตัวไปกอดตอบได้เพราะกอดแววไพรอยู่
“ฮึ! ลวมลามท่านพี่ศรีแต่เช้าฤๅเจ้าคะ?” ว่าวที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดถาม ประโยคนั้นทำให้แววไพรหน้าแดงอีก เพราะทั้งอายทั้งโกรธและขายหน้าที่เด็กอย่างว่าวเห็น
“ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน อย่ายุ่ง” แววไพรเอ่ยอย่างโมโห “สนุกไหมล่ะที่ได้จับน่ะเจ้าคะ?”
“อะ ---อึก” แววไพรพูดไม่ออก ว่าวยกมุมปากยิ้มเยาะ ศรีถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะถาม “พอเถอะ พวกเธอสองคนมีเรื่องแคลงใจอะไรหรือเปล่า”
“ม่ะ ไม่มีเจ้าค่ะ/น่ะ” ทั้งสองตอบพร้อมกัน ศรีคลี่ยิ้มอย่างสบายใจ “ดีแล้วล่ะจ้ะ” ศรีหลับตานอนอีกครั้ง ระหว่างนั้นแววไพรและว่าวก็ส่งสายตาจิกกัน จู่ๆ มีเสียงใครบางคนพูด
“ตื่นได้แล้วๆ” เด็กหญิงผมยาวสีม่วงนามเทสโลเอลพูดเสียงดัง ปลุกทุกคนที่เกียจคร้านให้ตื่นขึ้นมา
แป๊งๆๆๆๆๆ
“พอแล้วๆ” เด็กหญิงชาวสเปนนามโอฟิเลียเอ่ยอย่างงัวเงียกับเสียงที่เทสโลเอลตีไม้กับกระทะ อิฟิเลียยันกายนั่งก่อนจะบิดร่างท่อนบนไปมา
“ไปอาบน้ำอาบท่าซะ เราต้องรีบออกเดินทางแล้ว” เสียงอรัญญิกเอ่ยก่อนร่างจะมา นางมาพร้อมกับถุงผ้าสีขาวปักลายเป็นรูปช้างขนาดใหญ่ ว่าวมองพลางถาม “นั่นถุงอะไรฤๅเจ้าคะ?”
“อ้อ อาหารกับขนมน่ะ เราไม่มีเวลามากข้าเลยทำไว้ทานบนรถฯ” อรัญญิกตอบ ว่าวขมวดคิ้วก่อนจะมองห่ออาหารและขนมด้วยใบตองโผล่แวบๆ เลยขอบกระเป๋า เธอถาม “เยอะขนาดนั้นท่านทำไหวฤๅเจ้าคะ”
“ไม่ไหวดอก จริงๆ ข้าจะทำคนเดียวแต่ท่านซอมีน้ำใจต่อข้าจึงช่วยทำด้วย แต่ข้าไม่อยากให้ท่านต้องเสียแรงมากสุดท้ายจึงต้องทำคนเดียวน่ะ”
“ทำไมท่านมิให้ข้าทำด้วยล่ะเจ้าคะ” ว่าวถาม “พวกเจ้าพักผ่อนไม่เพียงพอ ข้าจึงให้หลับต่อไม่ปลุกให้มาช่วย พวกเจ้าเป็นเด็กต้องพักผ่อนให้เพียงพอ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
ว่าวรู้สึกตื้นตันที่อรัญญิกเป็นห่วงพวกเธอ แม้ภายนอกจะแข็งกระด้างไม่สมเป็นหญิงแต่กระนั้นลึกๆ นางก็ยังเป็นคนอ่อนโยน เอาใจใส่ผู้อื่น
ทุกคนทยอยขึ้นรถหลังจากอาบน้ำเสร็จ ซอเอ่ยกับอรัญญิกเมื่อขึ้นรถเทียมม้าแล้ว
“หวังว่าคงไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเหมือนยามนั้นนะ”
“ข้าเองก็หวังเช่นนั้นเจ้าค่ะ” อรัญญิกตอบพร้อมกับยิ้มก่อนจะสะบัดสายบังเหียนออกรถ
“ภารกิจสืบหาผู้ลักดาบ?”
หญิงสาวผมยาวหยักศกตรงปลาย สวมเสื้อลูกไม้มีคอตั้ง แขนเสื้อมีระบายหลายชั้นสีครีมคาดทับด้วยผ้าแพรสวมสร้อยมุกหลายเส้น นุ่งโจงกระเบน ถือพัดโบกไปมา นางมองเหล่าลูกศิษย์ร้อยมาลัยอย่างเรียบร้อย หญิงสาวผมประบ่าประดับด้วยดอกไม้สีขาวนุ่งโจงกระเบนและคาดด้วยผ้าสไบตอบ
“ใช่เจ้าค่ะ ท่านซอและท่านอรัญญิกกำลังมุ่งหน้าไปกรุงเทพฯ ---ท่านมิไปด้วยหรือเจ้าคะ?”
“ฉันยังไปไป ขออยู่สอนศิษย์ร้อยมาลัยก่อนละกัน” หญิงสาวถือพัดตอบ “หากมิรีบไปจะเสียโอกาสนะเจ้าคะ”
“เงินทองอะไรนั่นฉันไม่ต้องการ เหลือเฟือแล้ว ของมีค่าอย่างอื่นก็ไม่จำเป็น”
“แต่มันจะสร้างชื่อเสียงเรียงนามให้ท่านมากขึ้น---” หญิงสาวสวมเสื้อลูกไม้สะบัดพัดใส่หน้าหญิงสาวเบื้องหลัง “เดี๋ยวเรื่องนั้นฉันจัดการทีหลัง”
“จะ เจ้าค่ะ”
หญิงสาวคาดสไบค่อยๆ เดินออกจากห้อง หญิงสาวสวมเสื้อลูกไม้ใช้ปลายที่ยึดผ้าพัดกรีดกระจกห้อง
“หึๆ… ความสนุกรออยู่เบื้องหน้าแล้วจะรีบร้อนไปทำไมกันเล่า”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ