ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.41K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

119) บทที่ ๑๑๗ : งานที่โยนมาให้กับดวงตาหมายร้าย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๑๗

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

งานที่โยนมาให้กับดวงตาหมายร้าย

               การสังหารเพื่อความยุติธรรมนั้นก็เห็นบ่อย ๆ

               ก็ดูอาจหาญอย่างซื่อตรงดี ของผู้ที่หันศาสตราวุธไปยังศัตรู

               สำหรับข้าแล้ว… นั่นก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาอย่างมักง่ายเท่านั้น

               ในโลกนี้… มิมีใครเป็นสัตว์ประเสิรฐดอก

               ดีที่สุด? เลวที่สุด? เสมือนสีขาวและสีดำ

               หึ ๆ … สองสีนี้ที่เป็นสีที่ไม่มีสี ความอ่อนโยนและความดุดันนั้นหากผสมกันก็จะกลายเป็น… สีเทา

               สีความเป็นกลางที่นุ่มนวลและเศร้าหมอง

 

               ถือกำเนิดมานานแล้ว…

               ผู้สร้างโลกมิได้มีอำนาจมากมายดังที่ผู้คนในมิติผกายคาดไว้ …นางเป็นเพียงวิญญาณธรรมดาที่ขอพรจากเทพให้มีอำนาจก็เท่านั้น

               โลกเก่าก่อนที่โลกมิติผกายและมิติสามัญ (โลกนี้) จะวินาศ นางเป็นผู้เหลือรอดสุดท้ายที่ผู้คนในโลกเก่าเลือกให้ทำหน้าที่เป็นพระเจ้า  …ไม่ได้หมายความว่าให้นางเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นผู้ที่ชักนำมวลมนุษย์รุ่นต่อไปให้ดำเนินในแบบพวกเขาอีกครั้ง …แต่ก็ยังมีบางอย่างที่มีความแตกต่าง

               ผู้คนในโลกเก่าเบื่อชีวิตของตนเอง การพัฒนาความรู้ต่าง ๆ จนถึงขีดสุดจนไม่มีอะไรจะให้เรียนรู้อีกแล้ว แม้ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้จะมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก แต่พวกเขาคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ด้วยเหตุนั้นจึงตัดสินใจทำโลกเก่าให้กลายเป็นโลกที่เน่าเฟะ เผยสันดานดิบทั้งหมดที่มีทำลายทุกอย่าง จนกระทั่งถูกเทพองค์หนึ่งทำลายล้างโลกนี้จนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

               กระนั้นผู้สร้างโลกก็พยายามรวบรวมเศษวิญญาณให้ประกอบเป็นรูปร่างขึ้นมา ก่อนจะพาพวกเขาไปยังจักรวาลอื่น

               กาลเวลาล่วงเลยไปจนแทบจะนับเป็นแสนล้านปี พวกเขาก็มายังอีกฟากของเขาสุเมรุที่เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล

               ชมพูทวีป?

               หนึ่งในทวีปทั้งสี่ที่ล้อมรอบเขาสุเมรุนั้น เป็นที่ที่ไม่มีความแน่นอน ผู้สร้างโลกจึงเลือกทวีปนี้ในการสร้างมิติหนึ่งเพื่อซ้อนทับขึ้นมาซึ่งกว้างเกือบเท่าพื้นที่นี้

               มิติผกาย ชื่อของผู้คนที่รู้จักในภายหลังต่อมานั้นอยู่ตรงกลางระหว่าง มิติสามัญ (โลกนี้) ภพวิญญาณ นรกสวรรค์และป่าหิมพานต์ที่อยู่ในชมพูทวีป ซึ่งอยู่ในมิติซ้อนทับอีกทีที่ดินแดนหลังคาโลกของมิติสามัญ

               น้ำจากสระอโนดาตในป่าหิมพานต์นั้นก็ไหลผ่านเข้ามาหล่อเลี้ยงชีวิตพืชและสรรพสัตว์ ชีวิตทั้งหมดอยู่เป็นสุขดี

               …แต่ก็เพียงชั่วเวลานี้…

 

               กลางวัน

               “เฮ้อ…”

               ศรีนั่งพิงพนักโต๊ะหินอ่อนอย่างไร้ชีวิตชีวา บรรพตที่นั่งทานก๋วยเตี๋ยวเรืออย่างเอร็ดอร่อยก็ช้อนตามองอย่างสงสัย เมื่อทานคำล่าสุดแล้วก็เปิดปากถามด้วยความเป็นห่วง

               “เหนื่อยฤ?”

               “จ้ะ มีเรื่องให้ต้องเรียนรู้อีกเยอะเลย มิตินี้นี่ซับซ้อนกว่าที่คิดอีก” ศรีตอบพลางนึกถึงเรื่องที่ภูรินทร์ คุณครูประจำชั้นห้องที่ศรีเรียนอยู่อธิบายในชั่วโมงประจำชั้น[1] ดูท่าว่าการใช้ชีวิตในมิติผกายคงต้องหนักกว่ามิติสามัญแน่

               รวมทั้งความลับที่เธออยากรู้ อาจจะเปิดเผยในมิตินี้ก็ได้…

               “เป็นอย่างไรบ้างล่ะศรี?” มีเสียงถามมาจากด้านหลังพร้อมกับแก้วที่ใส่น้ำบ๊วยโซดาที่ยื่นมาแตะแก้มของศรี เจ้าตัวมองมันด้วยความฉงนก่อนจะนึกได้ว่าเจ้าของคำถามเมื่อครู่คือใคร

               “ก็รู้สึกเหนื่อย ๆ ขึ้นมาบ้างน่ะ” ศรีตอบไปโดยไม่มองหน้าและไม่รับแก้วน้ำ พงสณะถอนหายใจก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ “ดื่มน้ำสักหน่อยนะ เผื่อจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง---”

               “ออกห่างจากศรีเดี๋ยวนี้เลยนะ พงสณะ!”

               มีเสียงดังตะโกนขัดขึ้นโดยที่เด็กชายยังไม่ทันกล่าวจบ ศรี บรรพตและพงสณะหันมามองด้วยความแปลกใจ โดยที่เด็กชายมองด้วยความรำคาญและขัดใจ ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ยังไม่ทันที่พงสณะจะกล่าวอะไรแววไพรก็เดินเข้ามาผลักพงสณะให้ออกห่าง แล้วตนเองไปยืนแทนที่พร้อมกับโปรยยิ้มหวานให้ศรีโดยที่เจ้าตัวมีสีหน้าลำบากใจ

               “อย่าไปดื่มของหมอนั่นเลยนะ ใส่ยาอะไรเปล่าก็ไม่รู้ ของฉันอร่อยกว่า อะ นี่ชาเย็น” เด็กหญิงสวมแว่นยื่นแก้วใส่ชาเย็นให้ พงสณะมองด้วยความไม่พอใจก่อนจะเดินมาขวางทั้งสอง โดยหันไปประจันหน้ากับแววไพรที่ทำหน้ายียวน ศรีรู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบมีไฟฟ้าผ่าน ซึ่งจากที่บรรพตคิดดูแล้ว คงเป็นแรงกดดันจากการที่ทั้งสองคนปะทะสายตากัน

               ในขณะที่สงครามย่อม ๆ กำลังจะเกิดขึ้น ก็มีผู้มาใหม่ขัดขึ้นอีกครั้ง ทั้งสี่คนเหลือบเห็นจึงหันไปมอง ปรากฏว่าผู้ที่มาคืออสุรา ว่าว และรพิ ศรีกับบรรพตยิ้มด้วยความยินดี เด็กหญิงสวมแว่นกันลมโบกมือขึ้นไปมา ระหว่างนั้นเด็กหญิงเกล้ามวยผมปล่อยส่วนที่เหลือลงมาก็เหลือบเห็นอีกว่าผู้ที่เข้ามาคือใคร

               “?!”

               ชลจร ธันนะ อสุเรนทร์ คิมหันต์ เหมันต์ และไพรสัณฑ์

               ทำไมทุกคนถึงมาเรียนอยู่ที่นี่ล่ะ? แล้วเด็กคนนั้น… หน้าเหมือนธันนะมากเลย อย่าบอกนะว่าเป็นพี่น้อง?

               เด็กคนนั้นหมายถึงทันตะที่เป็นน้องชายของธันนะ ศรีมองพวกเขาด้วยความแปลกใจและตกตะลึง อ้าปากค้างไม่รู้จะพูดอะไร

               ดูเหมือนคนอื่น ๆ ก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างมองหน้าด้วยความฉงน

               “อะ อะไรกัน…?” ศรีพึมพำ จ้องตาแทบไม่กะพริบ ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ รวมถึงผู้คนรอบข้างจะเป็นเพียงอากาศที่ไหลเวียน ระหว่างที่ความเงียบเข้าปกคลุม บรรพตก็ปรบมือก่อนจะอ้าแขนออกกว้างแล้วเอ่ยเสียงดังอย่างร่าเริง แฝงไปด้วยความตื่นเต้นที่มีคนมารวมตัวกันมาก ๆ

               “เอ้า ๆ ไหน ๆ ก็มากันแล้ว น่าตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ เพื่อนใหม่เพื่อเก่า มาทำความรู้จักกันดีกว่านะ”

               ทุกคนออกจากภวังค์ก่อนจะมองมาที่บรรพตซึ่งกลายเป็นจุดรวมสายตาไปแล้ว

               “น่ะ นั่นสินะจ๊ะ …ดีใจจังที่พวกนายมาด้วย” คำหลังศรีเอ่ยกับเหล่าเพื่อนผู้ชายที่มาใหม่ “แนะนำตัวกันเถอะจ้ะ …โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่”

บรรยากาศกำลังเป็นไปด้วยดี แต่ก็มีบางคนที่แสดงสีหน้าลำบากใจและขุ่นเคือง…

 

               เย็น

               อีกด้านหนึ่ง…

               “โอ๊ย! จะลากฉันไปถึงไหนกัน สิไพร!” ใบโพธิ์บ่นตลอดทางที่เดินมากับสิรไพร ซึ่งเขาถูกอีกฝ่ายล่ามโซ่ไว้เสมือนตนเป็นนักโทษ รู้สึกอับอายที่ถูกกระทำเช่นนี้ยิ่งมีสายตานหลายคู่มองมาด้วยความแปลกใจ ขบขันและเวทนา จนกระทั่งมาถึงแปลงเกษตรของโรงเรียนซึ่งมีพืชและต้นไม้อื่น ๆ ปลูกหลายชนิด สิรไพรหยุดเดินโดยที่ยังคงจับโซ่ไว้ ใบโพธิ์รู้สึกโล่งใจที่อีกฝ่ายหยุดแล้ว

               “หุบปากน่านางทาส! อยากเจอดีนักเรอะ?!”

               “ว่ะ ว่าใครเป็นนางทาสฮะ?! ฉันไม่ใช่บ่าวไพร่ที่จะให้นายมาเหยียบย่ำนะ ไม่สิ ถึงจะเป็นชนชั้นนั้นนายก็ไม่มีสิทธิ์ อีกอย่าง ฉันเป็นผู้ชายนะจะเรียกว่านางได้ไง?!”

               “ก็หน้าตาเอ็งมันออกไปทางเคะมากกว่านี่! อย่าพูดมากซีวะ!” สิรไพรตะคอกอย่างรำคาญ ดูเหมือนใบโพธิ์จะยังไม่ยอมแพ้แม้จะถูกว่าขนาดนั้น

               ดะ เดี๋ยวก่อน …เคะ[2] เคยได้ยินมาเหมือนกัน อย่าบอกนะที่มันหมายถึงประมาณว่าเป็นฝ่ายรับน่ะ?!

               ใบหน้าของใบโพธิ์ขึ้นสีแดงระเรื่อ รู้สึกอายและโกรธในคราวเดียวกัน เป็นผู้ชายแต่ถูกเรียกว่าเป็นฝ่ายรับ เฉกเช่นฝ่ายหญิงที่เป็นที่รองรับของผู้ชาย จะไม่ให้รู้สึกอับอายได้อย่างไรกัน

               “อะไรกัน?! ฉันไม่ใช่ฝ่ายรับนะ!” ระหว่างที่เขาพูดสิรไพรก็เดินออกห่างไปแล้ว ปล่อยให้ตนเองอารมณ์เสียคนเดียว ใบโพธิ์ต้องเดินตามไปทั้ง ๆ ที่ไม่สบอารมณ์ต่ออีกฝ่าย แล้วเข้าไปในโรงเกษตร… จะกล่าวเป็นโรงก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะเป็นเพียงที่เก็บอุปกรณ์การทำเกษตร รวมทั้งอย่างอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ ฯลฯ และพืชของนักเรียนที่ปลูกไว้

               “อ้ายวานรินทร์ ข้าฝากเจ้านี่ด้วยล่ะ” สิรไพรกล่าวขึ้นเหมือนเห็นว่าผู้ที่ต้องการจะพบมาแล้ว ใบโพธิ์หันไปมองก่อนจะพบว่าผู้ที่เข้ามาคือกบิลปักษา[3] เขาเบิกตาด้วยความตกตะลึงกับรูปลักษณ์ที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ด้วยเหตุอันใดก็ไม่ทราบทำให้เขาไม่ตกใจมากนัก

               “กบิลปักษา?...” ในขณะที่พึมพำสิรไพรก็เข้าเรื่องที่จะพูด “ข้าฝากเจ้านี่ด้วยล่ะ จะให้มันทำแปลงที่ข้าได้รับโทษมา หากเจ้าทาสนี่คิดจะหนีจัดการได้เลยนะ แล้วโซ่นี่เจ้าจูงไปได้ ข้าไปล่ะ”

               สิรไพรอธิบายรวดเดียวจบโดยที่ใบโพธิ์ยังงุนงงอยู่ ส่วนวานริทร์ที่คงจะทราบเรื่องที่เด็กชายผมสีขาวกล่าวถึง ก็พยักหน้าพร้อมกับสีหน้าที่แสดงความลำบากใจ หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ยื่นโซ่ให้ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

               “นี่! เดี๋ยวสิ ให้ฉันมาทำอะไรที่นี่น่ะ? จากที่ฟังมานายจะให้ฉันทำงานของตนเองใช่ไหม ฉันไม่ยอมทำให้หรอกนะ!” ใบโพธิ์กล่าวเสียงดังด้วยความไม่พอใจ อีกฝ่ายหันกลับมาหลังจากที่หยุดเดิน แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

               “หุบปากเสีย นางทาส! ข้าสั่นอะไร เอ็งต้องทำเช่นนั้น หากมิอยากตายรอบสองก็รีบไปทำเสีย!”

               “อะไรกัน?! นั่นมันงานของนายนะ!”

               “ก็เรื่องของเอ็ง!”

               “งั้นนั่นก็เรื่องของนาย!” ทั้งสองยังคงเถียงกันไปมา จนวานรินทร์อยากจะเดินหนีจากจุดนี้ แต่พอเดินไปไม่ทันไรก็ถูกเรียกรั้งไว้ “อ้ายวานรินทร์! อย่าเพิ่งไป!”

               “เฮ้อ…” กบิลปักษาตนนี้ไม่ชอบอุปนิสัยเอาแต่ใจ และเห็นแก่ตัวของเพื่อนคนนี้จริง แต่ด้วยความที่ไม่อยากมีเรื่องยาวสาวความยืดเขาจึงต้องจำรับสถานการณ์ “ดูแลให้ดีล่ะ หากมันอู้จะเฆี่ยนจะตีก็แล้วแต่เจ้าเลยนะ ไปล่ะ”

               กล่าวจบสิรไพรก็เดินออกไป ส่วนใบโพธิ์นั้นก็ได้แต่ยืนแสดงสีหน้าโมโห และหงุดหงิดที่ตนไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ วานรินทร์มองอีกคนที่ยังอยู่ด้วยความเห็นใจระคนเวทนา แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากกว่านี้เว้นเสียแต่การไม่เฆี่ยนตี หากใบโพธิ์อู้อย่างที่สิรไพรบอก

               “ข้าขอโทษแทนเจ้านั่นละกัน”

               “มันไม่ใช่สิ่งที่นายจะต้องขอโทษเลย หมอนั่นทำผิดก็ควรจะเป็นคนขอโทษ อย่ารู้สึกผิดเลย” ใบโพธิ์กล่าวเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้ารู้สึกผิด ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็ไม่ใช่คนต้นเหตุ กบิลปักษาตนนี้มองอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

               “เจ้าไปหยิบช้อนพรวนดินแล้วตามข้ามา เราจะไปลงเมล็ดพืชกัน” ใบโพธิ์พยักหน้ารับคำก่อนจะเดินไปหยิบอุปกรณ์ดังกล่าว แล้วเดินตามกบิลปักษาไป

               ระหว่างที่กำลังทำการเพาะเมล็ดนั้น ก็มีดวงตาคู่หนึ่งมองไปที่พวกเขา พร้อมกับไอเย็นยะเยือกที่วานรินทร์รู้สึกได้…

 

 

 

 


 

[1] ชั่วโมงประจำชั้น มาจากคำว่า โฮมรูม (ภาษาอังกฤษ : Home room)

 

[2] อุเคะ  (ภาษาญี่ปุ่น : 受ける) อ่านว่า อุเคะรุ เรียกย่อว่า อุเคะ หรือ เคะ หมายถึง ฝ่ายรับ (ถ้าเปรียบเป็นชาย-หญิง อุเคะรุก็คือฝ่ายหญิง ทั้งนี้สามารถใช้ได้ทั้งหญิงและชายที่เป็นฝ่ายรับ) ตรงข้ามก็คือคำว่า เซเมะ (ภาษาญี่ปุ่น : 攻める) อ่านว่า เซเมะรุ เซเมะหรือ เมะ  หมายถึง ฝ่ายรุก (ถ้าเปรียบเป็นชาย-หญิง เซเมะรุก็คือฝ่ายชาย ใช้ได้ทั้งกับหญิงและชาย)

มักจะสับสนกับคำว่า เสะ ที่เป็นคำออกเสียงต่ำของคำว่า เซเมะรุ และแปลความหมายผิดไปว่าเป็นฝ่ายที่ได้ทั้งรับและรุก ซึ่งไม่ใช่ความจริง หากจะหมายถึงความนี้จริง ๆ คำที่ถูกต้องคือคำว่า Both

 

[3] กบิลปักษา, กะบิลปักษา หรือ พานรปักษา มาจาก พานรหรือวานร แปลว่า ลิง และ ปักษา แปลว่า นก รวมหมายความว่า ครึ่งลิงครึ่งนกมีปีกนกติดอยู่ที่หัวไหล่ และมีหางเหมือนนก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา