ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
119) บทที่ ๑๑๗ : งานที่โยนมาให้กับดวงตาหมายร้าย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๑๗
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
งานที่โยนมาให้กับดวงตาหมายร้าย
การสังหารเพื่อความยุติธรรมนั้นก็เห็นบ่อย ๆ
ก็ดูอาจหาญอย่างซื่อตรงดี ของผู้ที่หันศาสตราวุธไปยังศัตรู
สำหรับข้าแล้ว… นั่นก็เป็นเพียงการแก้ปัญหาอย่างมักง่ายเท่านั้น
ในโลกนี้… มิมีใครเป็นสัตว์ประเสิรฐดอก
ดีที่สุด? เลวที่สุด? เสมือนสีขาวและสีดำ
หึ ๆ … สองสีนี้ที่เป็นสีที่ไม่มีสี ความอ่อนโยนและความดุดันนั้นหากผสมกันก็จะกลายเป็น… สีเทา
สีความเป็นกลางที่นุ่มนวลและเศร้าหมอง
ถือกำเนิดมานานแล้ว…
ผู้สร้างโลกมิได้มีอำนาจมากมายดังที่ผู้คนในมิติผกายคาดไว้ …นางเป็นเพียงวิญญาณธรรมดาที่ขอพรจากเทพให้มีอำนาจก็เท่านั้น
โลกเก่าก่อนที่โลกมิติผกายและมิติสามัญ (โลกนี้) จะวินาศ นางเป็นผู้เหลือรอดสุดท้ายที่ผู้คนในโลกเก่าเลือกให้ทำหน้าที่เป็นพระเจ้า …ไม่ได้หมายความว่าให้นางเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นผู้ที่ชักนำมวลมนุษย์รุ่นต่อไปให้ดำเนินในแบบพวกเขาอีกครั้ง …แต่ก็ยังมีบางอย่างที่มีความแตกต่าง
ผู้คนในโลกเก่าเบื่อชีวิตของตนเอง การพัฒนาความรู้ต่าง ๆ จนถึงขีดสุดจนไม่มีอะไรจะให้เรียนรู้อีกแล้ว แม้ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้จะมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก แต่พวกเขาคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ด้วยเหตุนั้นจึงตัดสินใจทำโลกเก่าให้กลายเป็นโลกที่เน่าเฟะ เผยสันดานดิบทั้งหมดที่มีทำลายทุกอย่าง จนกระทั่งถูกเทพองค์หนึ่งทำลายล้างโลกนี้จนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก
กระนั้นผู้สร้างโลกก็พยายามรวบรวมเศษวิญญาณให้ประกอบเป็นรูปร่างขึ้นมา ก่อนจะพาพวกเขาไปยังจักรวาลอื่น
กาลเวลาล่วงเลยไปจนแทบจะนับเป็นแสนล้านปี พวกเขาก็มายังอีกฟากของเขาสุเมรุที่เป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล
ชมพูทวีป?
หนึ่งในทวีปทั้งสี่ที่ล้อมรอบเขาสุเมรุนั้น เป็นที่ที่ไม่มีความแน่นอน ผู้สร้างโลกจึงเลือกทวีปนี้ในการสร้างมิติหนึ่งเพื่อซ้อนทับขึ้นมาซึ่งกว้างเกือบเท่าพื้นที่นี้
มิติผกาย ชื่อของผู้คนที่รู้จักในภายหลังต่อมานั้นอยู่ตรงกลางระหว่าง มิติสามัญ (โลกนี้) ภพวิญญาณ นรกสวรรค์และป่าหิมพานต์ที่อยู่ในชมพูทวีป ซึ่งอยู่ในมิติซ้อนทับอีกทีที่ดินแดนหลังคาโลกของมิติสามัญ
น้ำจากสระอโนดาตในป่าหิมพานต์นั้นก็ไหลผ่านเข้ามาหล่อเลี้ยงชีวิตพืชและสรรพสัตว์ ชีวิตทั้งหมดอยู่เป็นสุขดี
…แต่ก็เพียงชั่วเวลานี้…
กลางวัน
“เฮ้อ…”
ศรีนั่งพิงพนักโต๊ะหินอ่อนอย่างไร้ชีวิตชีวา บรรพตที่นั่งทานก๋วยเตี๋ยวเรืออย่างเอร็ดอร่อยก็ช้อนตามองอย่างสงสัย เมื่อทานคำล่าสุดแล้วก็เปิดปากถามด้วยความเป็นห่วง
“เหนื่อยฤ?”
“จ้ะ มีเรื่องให้ต้องเรียนรู้อีกเยอะเลย มิตินี้นี่ซับซ้อนกว่าที่คิดอีก” ศรีตอบพลางนึกถึงเรื่องที่ภูรินทร์ คุณครูประจำชั้นห้องที่ศรีเรียนอยู่อธิบายในชั่วโมงประจำชั้น[1] ดูท่าว่าการใช้ชีวิตในมิติผกายคงต้องหนักกว่ามิติสามัญแน่
รวมทั้งความลับที่เธออยากรู้ อาจจะเปิดเผยในมิตินี้ก็ได้…
“เป็นอย่างไรบ้างล่ะศรี?” มีเสียงถามมาจากด้านหลังพร้อมกับแก้วที่ใส่น้ำบ๊วยโซดาที่ยื่นมาแตะแก้มของศรี เจ้าตัวมองมันด้วยความฉงนก่อนจะนึกได้ว่าเจ้าของคำถามเมื่อครู่คือใคร
“ก็รู้สึกเหนื่อย ๆ ขึ้นมาบ้างน่ะ” ศรีตอบไปโดยไม่มองหน้าและไม่รับแก้วน้ำ พงสณะถอนหายใจก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วเดินมานั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ “ดื่มน้ำสักหน่อยนะ เผื่อจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง---”
“ออกห่างจากศรีเดี๋ยวนี้เลยนะ พงสณะ!”
มีเสียงดังตะโกนขัดขึ้นโดยที่เด็กชายยังไม่ทันกล่าวจบ ศรี บรรพตและพงสณะหันมามองด้วยความแปลกใจ โดยที่เด็กชายมองด้วยความรำคาญและขัดใจ ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ยังไม่ทันที่พงสณะจะกล่าวอะไรแววไพรก็เดินเข้ามาผลักพงสณะให้ออกห่าง แล้วตนเองไปยืนแทนที่พร้อมกับโปรยยิ้มหวานให้ศรีโดยที่เจ้าตัวมีสีหน้าลำบากใจ
“อย่าไปดื่มของหมอนั่นเลยนะ ใส่ยาอะไรเปล่าก็ไม่รู้ ของฉันอร่อยกว่า อะ นี่ชาเย็น” เด็กหญิงสวมแว่นยื่นแก้วใส่ชาเย็นให้ พงสณะมองด้วยความไม่พอใจก่อนจะเดินมาขวางทั้งสอง โดยหันไปประจันหน้ากับแววไพรที่ทำหน้ายียวน ศรีรู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบมีไฟฟ้าผ่าน ซึ่งจากที่บรรพตคิดดูแล้ว คงเป็นแรงกดดันจากการที่ทั้งสองคนปะทะสายตากัน
ในขณะที่สงครามย่อม ๆ กำลังจะเกิดขึ้น ก็มีผู้มาใหม่ขัดขึ้นอีกครั้ง ทั้งสี่คนเหลือบเห็นจึงหันไปมอง ปรากฏว่าผู้ที่มาคืออสุรา ว่าว และรพิ ศรีกับบรรพตยิ้มด้วยความยินดี เด็กหญิงสวมแว่นกันลมโบกมือขึ้นไปมา ระหว่างนั้นเด็กหญิงเกล้ามวยผมปล่อยส่วนที่เหลือลงมาก็เหลือบเห็นอีกว่าผู้ที่เข้ามาคือใคร
“?!”
ชลจร ธันนะ อสุเรนทร์ คิมหันต์ เหมันต์ และ…ไพรสัณฑ์
ทำไมทุกคนถึงมาเรียนอยู่ที่นี่ล่ะ? แล้วเด็กคนนั้น… หน้าเหมือนธันนะมากเลย อย่าบอกนะว่าเป็นพี่น้อง?
เด็กคนนั้นหมายถึงทันตะที่เป็นน้องชายของธันนะ ศรีมองพวกเขาด้วยความแปลกใจและตกตะลึง อ้าปากค้างไม่รู้จะพูดอะไร
ดูเหมือนคนอื่น ๆ ก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างมองหน้าด้วยความฉงน
“อะ อะไรกัน…?” ศรีพึมพำ จ้องตาแทบไม่กะพริบ ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ รวมถึงผู้คนรอบข้างจะเป็นเพียงอากาศที่ไหลเวียน ระหว่างที่ความเงียบเข้าปกคลุม บรรพตก็ปรบมือก่อนจะอ้าแขนออกกว้างแล้วเอ่ยเสียงดังอย่างร่าเริง แฝงไปด้วยความตื่นเต้นที่มีคนมารวมตัวกันมาก ๆ
“เอ้า ๆ ไหน ๆ ก็มากันแล้ว น่าตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ เพื่อนใหม่เพื่อเก่า มาทำความรู้จักกันดีกว่านะ”
ทุกคนออกจากภวังค์ก่อนจะมองมาที่บรรพตซึ่งกลายเป็นจุดรวมสายตาไปแล้ว
“น่ะ นั่นสินะจ๊ะ …ดีใจจังที่พวกนายมาด้วย” คำหลังศรีเอ่ยกับเหล่าเพื่อนผู้ชายที่มาใหม่ “แนะนำตัวกันเถอะจ้ะ …โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่”
บรรยากาศกำลังเป็นไปด้วยดี แต่ก็มีบางคนที่แสดงสีหน้าลำบากใจและขุ่นเคือง…
เย็น
อีกด้านหนึ่ง…
“โอ๊ย! จะลากฉันไปถึงไหนกัน สิไพร!” ใบโพธิ์บ่นตลอดทางที่เดินมากับสิรไพร ซึ่งเขาถูกอีกฝ่ายล่ามโซ่ไว้เสมือนตนเป็นนักโทษ รู้สึกอับอายที่ถูกกระทำเช่นนี้ยิ่งมีสายตานหลายคู่มองมาด้วยความแปลกใจ ขบขันและเวทนา จนกระทั่งมาถึงแปลงเกษตรของโรงเรียนซึ่งมีพืชและต้นไม้อื่น ๆ ปลูกหลายชนิด สิรไพรหยุดเดินโดยที่ยังคงจับโซ่ไว้ ใบโพธิ์รู้สึกโล่งใจที่อีกฝ่ายหยุดแล้ว
“หุบปากน่านางทาส! อยากเจอดีนักเรอะ?!”
“ว่ะ ว่าใครเป็นนางทาสฮะ?! ฉันไม่ใช่บ่าวไพร่ที่จะให้นายมาเหยียบย่ำนะ ไม่สิ ถึงจะเป็นชนชั้นนั้นนายก็ไม่มีสิทธิ์ อีกอย่าง ฉันเป็นผู้ชายนะจะเรียกว่านางได้ไง?!”
“ก็หน้าตาเอ็งมันออกไปทางเคะมากกว่านี่! อย่าพูดมากซีวะ!” สิรไพรตะคอกอย่างรำคาญ ดูเหมือนใบโพธิ์จะยังไม่ยอมแพ้แม้จะถูกว่าขนาดนั้น
ดะ เดี๋ยวก่อน …เคะ[2] เคยได้ยินมาเหมือนกัน อย่าบอกนะที่มันหมายถึงประมาณว่าเป็นฝ่ายรับน่ะ?!
ใบหน้าของใบโพธิ์ขึ้นสีแดงระเรื่อ รู้สึกอายและโกรธในคราวเดียวกัน เป็นผู้ชายแต่ถูกเรียกว่าเป็นฝ่ายรับ เฉกเช่นฝ่ายหญิงที่เป็นที่รองรับของผู้ชาย จะไม่ให้รู้สึกอับอายได้อย่างไรกัน
“อะไรกัน?! ฉันไม่ใช่ฝ่ายรับนะ!” ระหว่างที่เขาพูดสิรไพรก็เดินออกห่างไปแล้ว ปล่อยให้ตนเองอารมณ์เสียคนเดียว ใบโพธิ์ต้องเดินตามไปทั้ง ๆ ที่ไม่สบอารมณ์ต่ออีกฝ่าย แล้วเข้าไปในโรงเกษตร… จะกล่าวเป็นโรงก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะเป็นเพียงที่เก็บอุปกรณ์การทำเกษตร รวมทั้งอย่างอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ ฯลฯ และพืชของนักเรียนที่ปลูกไว้
“อ้ายวานรินทร์ ข้าฝากเจ้านี่ด้วยล่ะ” สิรไพรกล่าวขึ้นเหมือนเห็นว่าผู้ที่ต้องการจะพบมาแล้ว ใบโพธิ์หันไปมองก่อนจะพบว่าผู้ที่เข้ามาคือกบิลปักษา[3] เขาเบิกตาด้วยความตกตะลึงกับรูปลักษณ์ที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่ด้วยเหตุอันใดก็ไม่ทราบทำให้เขาไม่ตกใจมากนัก
“กบิลปักษา?...” ในขณะที่พึมพำสิรไพรก็เข้าเรื่องที่จะพูด “ข้าฝากเจ้านี่ด้วยล่ะ จะให้มันทำแปลงที่ข้าได้รับโทษมา หากเจ้าทาสนี่คิดจะหนีจัดการได้เลยนะ แล้วโซ่นี่เจ้าจูงไปได้ ข้าไปล่ะ”
สิรไพรอธิบายรวดเดียวจบโดยที่ใบโพธิ์ยังงุนงงอยู่ ส่วนวานริทร์ที่คงจะทราบเรื่องที่เด็กชายผมสีขาวกล่าวถึง ก็พยักหน้าพร้อมกับสีหน้าที่แสดงความลำบากใจ หลังจากนั้นเจ้าตัวก็ยื่นโซ่ให้ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
“นี่! เดี๋ยวสิ ให้ฉันมาทำอะไรที่นี่น่ะ? จากที่ฟังมานายจะให้ฉันทำงานของตนเองใช่ไหม ฉันไม่ยอมทำให้หรอกนะ!” ใบโพธิ์กล่าวเสียงดังด้วยความไม่พอใจ อีกฝ่ายหันกลับมาหลังจากที่หยุดเดิน แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
“หุบปากเสีย นางทาส! ข้าสั่นอะไร เอ็งต้องทำเช่นนั้น หากมิอยากตายรอบสองก็รีบไปทำเสีย!”
“อะไรกัน?! นั่นมันงานของนายนะ!”
“ก็เรื่องของเอ็ง!”
“งั้นนั่นก็เรื่องของนาย!” ทั้งสองยังคงเถียงกันไปมา จนวานรินทร์อยากจะเดินหนีจากจุดนี้ แต่พอเดินไปไม่ทันไรก็ถูกเรียกรั้งไว้ “อ้ายวานรินทร์! อย่าเพิ่งไป!”
“เฮ้อ…” กบิลปักษาตนนี้ไม่ชอบอุปนิสัยเอาแต่ใจ และเห็นแก่ตัวของเพื่อนคนนี้จริง แต่ด้วยความที่ไม่อยากมีเรื่องยาวสาวความยืดเขาจึงต้องจำรับสถานการณ์ “ดูแลให้ดีล่ะ หากมันอู้จะเฆี่ยนจะตีก็แล้วแต่เจ้าเลยนะ ไปล่ะ”
กล่าวจบสิรไพรก็เดินออกไป ส่วนใบโพธิ์นั้นก็ได้แต่ยืนแสดงสีหน้าโมโห และหงุดหงิดที่ตนไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ วานรินทร์มองอีกคนที่ยังอยู่ด้วยความเห็นใจระคนเวทนา แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากกว่านี้เว้นเสียแต่การไม่เฆี่ยนตี หากใบโพธิ์อู้อย่างที่สิรไพรบอก
“ข้าขอโทษแทนเจ้านั่นละกัน”
“มันไม่ใช่สิ่งที่นายจะต้องขอโทษเลย หมอนั่นทำผิดก็ควรจะเป็นคนขอโทษ อย่ารู้สึกผิดเลย” ใบโพธิ์กล่าวเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้ารู้สึกผิด ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็ไม่ใช่คนต้นเหตุ กบิลปักษาตนนี้มองอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เจ้าไปหยิบช้อนพรวนดินแล้วตามข้ามา เราจะไปลงเมล็ดพืชกัน” ใบโพธิ์พยักหน้ารับคำก่อนจะเดินไปหยิบอุปกรณ์ดังกล่าว แล้วเดินตามกบิลปักษาไป
ระหว่างที่กำลังทำการเพาะเมล็ดนั้น ก็มีดวงตาคู่หนึ่งมองไปที่พวกเขา พร้อมกับไอเย็นยะเยือกที่วานรินทร์รู้สึกได้…
[1] ชั่วโมงประจำชั้น มาจากคำว่า โฮมรูม (ภาษาอังกฤษ : Home room)
[2] อุเคะ (ภาษาญี่ปุ่น : 受ける) อ่านว่า อุเคะรุ เรียกย่อว่า อุเคะ หรือ เคะ หมายถึง ฝ่ายรับ (ถ้าเปรียบเป็นชาย-หญิง อุเคะรุก็คือฝ่ายหญิง ทั้งนี้สามารถใช้ได้ทั้งหญิงและชายที่เป็นฝ่ายรับ) ตรงข้ามก็คือคำว่า เซเมะ (ภาษาญี่ปุ่น : 攻める) อ่านว่า เซเมะรุ เซเมะหรือ เมะ หมายถึง ฝ่ายรุก (ถ้าเปรียบเป็นชาย-หญิง เซเมะรุก็คือฝ่ายชาย ใช้ได้ทั้งกับหญิงและชาย)
มักจะสับสนกับคำว่า เสะ ที่เป็นคำออกเสียงต่ำของคำว่า เซเมะรุ และแปลความหมายผิดไปว่าเป็นฝ่ายที่ได้ทั้งรับและรุก ซึ่งไม่ใช่ความจริง หากจะหมายถึงความนี้จริง ๆ คำที่ถูกต้องคือคำว่า Both
[3] กบิลปักษา, กะบิลปักษา หรือ พานรปักษา มาจาก พานรหรือวานร แปลว่า ลิง และ ปักษา แปลว่า นก รวมหมายความว่า ครึ่งลิงครึ่งนกมีปีกนกติดอยู่ที่หัวไหล่ และมีหางเหมือนนก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ