ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
117) บทที่ ๑๑๖ : ตัวละครหลักผู้เป็นจุดเด่น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทที่ ๑๑๖
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ตัวละครหลักผู้เป็นจุดเด่น
หลังจากการประลองจบลง เสียงสัญญาณบอกหมดชั่วโมงที่ ๑ ก็ดังขึ้น พงสณะให้เฉาก๊วยอุ้มร่างศรีขึ้นหลังตนเอง ก่อนจะพาไปยังเรือนพยาบาลที่อยู่ไม่ไกลจากโรงพลศึกษาเท่าไหร่ สีหน้าที่มักจะทะเล้นนั้นบัดนี้ฉายความกังวลอย่างเห็นได้ชัด ...เป็นใครไม่กังวลบ้างล่ะ คนที่ตนเองรักบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ถึงแม้ศรีจะมีสายเลือดอมตะ แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่าการประลองเมื่อครู่จะมีผลข้างเคียงอันเกิดจากการต่อสู้ ธรรมดายังพอว่าแต่นี่ใช้อาวุธที่ลงอาคมด้วย ระหว่างที่พวกเขามุ่งหน้าไปโรงพยาบาลนั้น ขนมชั้นก็เข้าไปช่วยสิรไพรพยุงตัว ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ต้องการแต่ด้วยความที่ร่างกายแทบจะไม่มีแรงดึงดันจึงต้องให้ขนมชั้นช่วยจนได้
แววไพรและกลุ่มเพื่อน ๆ ที่ตามมานั้นก็กังวลไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเฉาก๊วย แววไพร และว่าว
“ทำไมต้องเกิดเรื่องอย่างนี้ด้วยนะ” แววไพรพึมพำเบา ๆ ด้วยความไม่สบายใจอย่างยิ่ง ส่วนว่าวมีสีหน้าสลด เฉาก๊วยเองก็เช่นกัน แต่เขาใจแข็งกว่า
เมื่อมาถึงเรือนพยาบาลแล้วเฉาก๊วยก็เปิดประตูให้พงสณะเข้าก่อนแล้วตามด้วยคนอื่น ๆ ในห้องไม้นั้นมีหญิงสาวผมสีน้ำเงินถักเป็นเปียหลวมๆ เส้นผมหลุดลุ่ยแต่ก็ไม่ทำให้ความงดงามอันแสนเย้ายวนลดลงได้ เธอสวมชุดสีครีมแบบผ่าหน้าจึงทำให้เห็นร่องอกที่ใหญ่ และนุ่งผ้าถุงลายไทยยาวถึงข้อ ดวงตาสีดำมองมาทางเด็กๆ ก่อนจะโปรยยิ้มหวานให้
“สวัสดีจ้ะ เด็กๆ ชั่วโมงของครูวีนะล่ะสิ สะบักสะบอมเชียว” ชบา (นามของหญิงสาว) กล่าวขึ้นก่อนจะหันจากเอกสารบนโต๊ะมามองกลุ่มของศรี
“ครับ เพื่อนผมบาดเจ็บช่วยดูให้ด้วยนะครับ” ปักเป้าตอบอย่างร้อนรน ชบาพยักหน้าก่อนจะชี้นิ้วไปทางเตียงหลังม่านเป็นเชิงให้พงสณะพาศรีไปนอนตรงนั้น ก่อนที่ตนเองจะตามเข้าไปดูอาการ
“แหม น่ารักจังเลย”
ชบาเอ่ยอย่างเอ็นดู พงสณะเริ่มใจคอไม่ดีเพราะด้วยความที่เรียนอยู่ที่นี่ เลยพอจะทราบมาบ้างว่าชบาชอบเด็กผู้หญิง ซึ่งเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาจารย์ประจำห้องพยาบาลท่านนี้จะไม่เกิดชอบศรีขึ้นมา ดวงตาสีดำจดจ้องทุกอิริยาบถของชบาเผื่อว่าเธอจะแอบลวนลามเด็กหญิงลนเตียง …และก็เป็นไปตามที่เขากังวลจริงๆ เมื่ออีกฝ่ายปลดกระดุมเสื้อก่อนจะเผยให้เห็นขอบเสื้อชั้นในสีฟ้า ภาพนั้นทำให้เลือดกำเดาของเขาไหลออกมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด แววไพรกับว่าวที่ตามเขามาก่อนคนอื่นๆ ก็แทบจะห้ามใจตนเองไว้ไม่อยู่ ระหว่างนั้นอีกสามคนก็เข้ามาก่อนที่ปักเป้าจะเอ่ยขึ้น
“ท่านครู รีบ ๆ ดูเสียทีเถิดครับ”
“ก็ดูอยู่นี่ไงจ๊ะ”
ปักเป้าแทบจะเอาศีรษะโขกกับผนังข้าง ๆ จริง ที่เขาให้ดูไม่ใช่ดูเพื่อเสพ แต่เพื่อให้ดูอาการของศรีต่างหาก ชบาเห็นสีหน้าเบื่อหน่ายของอีกฝ่ายก็ขำคิกคัก ก่อนจะค่อยๆ แตะนิ้วบริเวณใกล้หน้าอกของศรี ในระหว่างที่หลับตาเพื่อรับการสื่อสารของจิตอยู่นั้นเธอก็สะดุ้ง เพราะเห็นภาพเด็กหญิงผมสีน้ำตาลอ่อนอยู่ในร่างของศรีเลือนราง ชบาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึมก่อนจะหันไปบอกกับเด็ก ๆ
“พลังวิญญาณในการฟื้นตัวดีและเร็วมากจ้ะ แต่น่าแปลกที่มีคลื่นวิญญาณดวงหนึ่งอยู่บางเบามากในร่างของเธอ ดูเหมือนว่าจะใช้เป็นที่สถิตโดยกินพลังวิญญาณของหนูคนนี้เป็นสิ่งหล่อเลี้ยง แต่โชคดีที่พลังวิญญาณแข็งแกร่งมากพอเลยรับไว้” พอชบากล่าวจบสีหน้าแปลกใจและฉงนฉายขึ้นบนใบหน้าของทุกคน
“วิญญาณอีกดวง… เหตุไฉนถึงมิเคยรู้สึกมาก่อนล่ะ?”
เม็ดแตงเอ่ยขึ้น เธอแปลกใจมากจริง ๆ เพราะการที่วิญญาณสถิตในร่างใครสักคนจะต้องแสดงคลื่นพลังงานให้รู้สึกถึงได้ เว้นเสียแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมีพลังวิญญาณแข็งแกร่งจริง ๆ จึงจะควบคุมเพื่อปกปิด แต่เมื่อครู่ที่ชบาบอกว่าคลื่นพลังวิญญาณบางเบามากแสดงว่าวิญญาณดวงนั้นออกไปแล้ว แต่เศษยังคงหลงเหลือ ไม่ก็วิญญาณยังอยู่แต่พลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ
หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุม ก่อนที่ปักเผ้าจะตัดสินใจกวักมือเรียกให้เพื่อนๆ ไปเรียนวิชาต่อไป ถึงแม้จะยังเป็นห่วงศรีจนเกือบจะเอ่ยปากขออนุญาตอยู่เฝ้า แต่พอสบตากับชบาซึ่งฉายแววมั่นใจว่าจะดูแลเด็กหญิงบนเตียงได้อย่างแน่นอน พวกเขาก็ยอมออกจากเรือนพยาบาลไปแม้ในใจจะกังวลก็ตาม
.
.
.
เจ็บ… ไม่ไหวแล้ว…
เสียงเล็กหวานใสเอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเครือ แฝงด้วยความเจ็บปวดยากที่จะบรรยาย เจ้าของเสียงคือเด็กหญิงผมสีน้ำตาลอ่อนกำลังนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ โดยมีผ้าผืนเล็ก ๆ ปิดไว้เพียงช่วงสะโพก ตามผิวที่ขาวอ่อนนุ่มของเธอเต็มไปด้วยรอยแผลและรอยช้ำสีแดงออกม่วง ขอบตาเป็นสีแดงเนื่องจากร้องไห้หนัก ดวงตาสีชมพูใสเพราะน้ำอุ่น ๆ ที่ยังคงไหลไม่หยุด
ภาพนั้นอยู่ในสายตาของศรีโดยที่ร่างของเธอนั้นสั่นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก น้ำตาเอ่อล้นจากขอบตาอย่างไม่อาจกลั้นได้
ใครทำ? ใครทำร้ายเธอ?
ศรีถามในใจด้วยความรู้สึกที่เศร้าโศกและโกรธ ร่างกายสั่นเพราะอารมณ์โกรธาที่แทบจะระงับไว้ไม่อยู่ …เด็กหญิงผมสีน้ำตาลอ่อนผู้เป็นเสมือนอีกส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ บัดนี้กำลังนอนด้วยสภาพที่น่าเวทนา
พอควบคุมร่างกายที่ชาเพราะอารมณ์รุนแรงที่ปะทุภายในได้ เธอก็รีบเข้าไปหาอีกฝ่ายที่สลบไปแล้ว แต่พอจะช้อนร่างขึ้นมากอดปลอบไว้มือก็ผ่านเข้าไปราวกับอากาศ ศรีเบิกตาด้วยความแปลกใจอย่างมาก แล้วก้มมองมือทั้งสองข้างของตนเอง
นี่อย่าบอกนะว่าวิญญาณหลุดจากร่าง …ถ้าอย่างนั้นแสดงว่านี่ก็ไม่ใช่ความฝัน
ศรีเงยหน้ามองเด็กหญิงผมสีน้ำตาลอย่างฉงนว่าอีกฝ่ายออกจากร่างของเธอเมื่อใด แต่ไม่ทันจะคิดอะไรได้มากกว่านี้ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผู้ที่เข้ามาคือชายหนุ่มสวมหมวกสีดำ …ผม เสื้อสูทแซงแซวที่ทับเสื้อเชิ้ต และโจงกระเบนนั้นล้วนเป็นสีเดียวกับหมวก
เขาปิดประตูแล้วยืนนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น พอเวลาผ่านไปสักพักก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเด็กหญิงผมสีน้ำตาลอ่อน ศรีจ้องเขาตาแทบจะไม่กะพริบเพราะระแวงว่าเจ้าตัวคือผู้ที่ทำร้ายเด็กหญิงบนเตียงหรือไม่ …ดูเหมือนจะไม่ใช่ เมื่อเขาช้อนร่างของเด็กหญิงมากอดแล้วไล้นิ้วที่สวมถุงมือขาวไปตามใบหน้าที่มีรอยช้ำ ศรีผ่อนความระแวงลงแต่ก็ยังไม่ลดละสายตา ระหว่างนั้นเองเด็กหญิงในอ้อมกอดชายหนุ่มก็ปรือตาขึ้นพร้อมกับเอ่ยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ศรี… ช่วยฉัน… ด้วย…” ศรีกำมือไว้เพื่อข่มความโกรธที่มีต่อตนเอง …ทำไมเธอถึงช่วยอีกฝ่ายไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็เคยให้ที่พักพิงใจมาหลายครั้ง แต่เพียงจะเข้าไปกอดเธอก็ยังทำไม่ได้
ในขณะนั้นชายหนุ่มก็แสดงสีหน้าฉงนออกมา ว่าเด็กหญิงผมสีน้ำตาลอ่อนเอ่ยถึงใคร เขาหันไปมองรอบ ๆ ก่อนที่สายตาจะสะดุดกับร่างของศรี เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจที่อีกฝ่ายมองเห็นตนเอง ก่อนที่จะหยิบปิ่นปักผมออกจากมวยผมซึ่งก่อนหน้านี้แปลงเป็นดาบเพื่อต่อกรกับสิรไพร และ ณ ตอนนี้เธอจะได้ใช้มันอีกครั้ง
ทว่าไม่ได้เป็นตามที่คาดเพราะชายหนุ่มทำเพียงยืนนิ่ง ๆ โดยไม่มีท่าทีระแวง ดวงตาสีดำจดจ้องที่อีกฝ่ายอย่างพินิจ ศรีเองก็สบตากับเขาโดยไม่มีท่าทีทำตัวไม่ถูก
“เจ้า… เป็นเพื่อนกับเด็กคนนี้ฤๅ?” ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ ศรีนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ย “แล้วท่านเป็นใครเหรอคะ? แล้วเพื่อนหนูโดนใครทำร้ายมา และทำไมถึงโดนทำร้ายล่ะคะ?” ศรีถามรัวจนชายหนุ่มต้องยกมือเป็นเชิงว่าพอ เธอจึงจำใจต้องเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะกล่าว
“ข้าเป็นใครอย่าได้ใคร่รู้เลย ส่วนคำถามของเจ้าไว้รอเจ้าตัวบอกแล้วกัน”
กล่าวจบชายหนุ่มก็อุ้มร่างของเด็กหญิงผมสีน้ำตาลอ่อน ก่อนจะเดินไปเปิดประตูโดยใช้อาคมแล้วออกจากห้องไป พอศรีวิ่งตามโดยไม่ทันพ้นเขตประตู สติของเธอก็ดับวูบก่อน
.
.
.
“อือ…”
ศรีครางเบา ๆ เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสแปลก ๆ และความชื้น พอเธอลืมตาขึ้นก็พบว่าชบากำลังเลียคอเธออยู่พร้อมกับสีหน้าเปี่ยมสุข เด็กหญิงบนเตียงขนลุกซู่ขึ้นมาเพราะการกระทำของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่รู้สึกตัวว่าเธอตื่นแล้วเลยเลียต่อไป แล้วไล้ลงมาเรื่อย ๆ จนถึงบริเวณเนินอก พอเห็นดังนั้นเด็กหญิงผมยาวสีดำเกล้าส่วนหนึ่งเป็นมวยผมก็จับไหล่ผู้เป็นครู พออีกฝ่ายรู้สึกตัวก็หยุดการกระทำของตนเองก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างเย้ายวนให้
“สวัสดีจ้ะ ต่ออีกนิดไหมจ๊ะ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ศรีตอบด้วยสีหน้าหนักใจในขณะที่ชบาพินิจร่างของเธอ “อืม… หายดีแล้วสินะจ๊ะ …ดี จะได้เล่นกับครูต่ออย่างเต็มที่” ศรีหวาดหวั่นขึ้นมา เธอเขยิบให้ร่างห่างจากชบาซึ่งก็ไม่ได้ผลอะไรนักเมื่อเจ้าตัวเขยิบตามเข้ามา มือข้างหนึ่งของครูประจำเรือนพยาบาลโอบที่หลังคอของเธอ ก่อนจะตามด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อ
“อย่าสิจ๊ะ เป็นเด็กดีนะ”
ก่อนที่มือจะทันได้ปลดกระดุมแบบติดประตูเรือนพยาบาลก็ถูกเปิดออกก่อน ผู้ที่เข้ามาคือเด็กชายผมสีน้ำเงินสวมชุดนักเรียนประถม ส่วนสูงต่ำกว่ามาตรฐานค่อนข้างมาก ดวงตาสีดำมองไปรอบ ๆ เพื่อหาครูประจำเรือนพยาบาล เมื่อไม่พบเขาจึงตัดสินใจไปดูที่เตียงนอน พอเปิดม่านจนมาถึงที่ชบากับศรีอยู่ในสภาพล่อแหลมเขาก็เอ่ยอย่างหงุดหงิด
“คิดไว้แล้วเชียว ไปทำงานต่อไป”
“เอ๋? มาถึงก็พูดแบบนี้ใจร้ายไปแล้วนะ จะมาแย่งเด็กของฉันเหรอ?”
ชบาดัดจริตทำเป็นน่าสงสาร แต่เด็กชายหาได้เห็นใจไม่ เขาดันหญิงสาวไปอีกทางก่อนจะจับข้อมือของศรี เธอมองอีกฝ่ายสลับกับชบาอย่างไม่เข้าใจว่านี่เป็นเรื่องอะไรกัน ไม่ทันได้ถามก็ถูกลากลงจากเตียงแล้วเดินออกจากห้องไปโดยที่ชบาถูกทิ้งไว้คนเดียว
“ใจร้อนจริง ๆ นะ ภูรินทร์ …เดี๋ยวต้องไปดูสิรไพรก่อนแล้ว รายนั้นอาการหนักกว่านี่นะ”
.
.
.
“นี่ นายจะพาฉันไปไหนเหรอ? แล้วช่วยปล่อยมือฉันได้ไหมแบบนี้ดูไม่งามเลย” ศรีกล่าวในขณะที่เด็กชายเจ้าของนาม ภูรินทร์ จูงข้อมือเธอไปทางเรือนประถม พอได้ยินดังนั้นเจ้าตัวก็ปล่อยมือแล้วหันมาก่อนจะตอบ
“ไปเรียนสิ แล้วอีกอย่างนะ ฉันไม่ใช่เด็กนักเรียน เป็นครูสอนวิชาภาษาไทยที่สอนห้องเธอ …เอาล่ะ อย่าถามมาก ตอนนี้เลยมาครึ่งชั่วโมงแล้ว เธอไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากก็ทำตัวให้กระฉับกระเฉงหน่อย …เร็วเข้าสิ”
ภูรินทร์เอ่ยเร่งศรีในขณะที่ออกเดินไปไม่กี่ก้าว เธอมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจโดยไม่ได้ขอโทษที่กล่าวล่วงเกินผู้เป็นครู ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ได้ใส่ใจเพราะมัวแต่รีบจะไปสอน เห็นดังนั้นศรีก็เดินตามโดยพยายามก้าวขายาว ๆ และเร็ว ๆ
เมื่อมาถึงศรีก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลัง เพื่อลอบมองดูว่าเพื่อนทำอะไรกันเสียงถึงดังเอะอะ เธอเหลือบมองไปทางประตูหน้าว่าภูรินทร์จะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อลูกศิษย์เป็นเช่นนี้อย่างกังวล และก็เป็นไปตามที่คาดเมื่อครูสอนวิชาภาษาไทยท่านนี้ถึงจุดเดือด
“ฉันไปไม่กี่นาทีพวกแกก็เล่นกันแล้วเรอะ?”
“อ้าว อาจารย์มาแล้วเหรอ?”
“นั่งที่ ๆ”
“ไม่อยากเรียนเลย”
“เรียนต่อ ๆ วรรณคดีมีอะไรน่าสนุกอีกเยอะ”
ฯลฯ
หลังจากนั้นเสียงก็ค่อย ๆ เบาลงภูรินทร์มองเหล่านักเรียนที่นั่งทำตาใสซื่อ ประหนึ่งว่าตนเองเป็นเด็กดีมาตลอดระหว่างที่เขาไม่อยู่ เด็กชายร่างจำแลงถอนหายใจก่อนจะทำมือส่งสัญญาณให้ศรีไปนั่งที่ เธอเดินกลับไปนั่งที่เดิมโดยมีแววตายินดีของเพื่อน ๆ ส่งมา หลังจากนั้นภูรินทร์ก็กล่าวขึ้น
“ให้ตายสิ อย่าเสียงดังนักจะได้ไหม เดี๋ยวหักคะแนนเลยนี่”
ซุบซิบ ๆ
คิก ๆ
ปึด!
เหมือนได้ยินเสียงเส้นประสาทขาดผึง เมื่อยังมีบางคนคุยกันเบา ๆ ภูรินทร์หยิบไม้มาตีกระดานแรง ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ
“เอ้า! เงียบ! วันนี้แนะนำตัว มีนักเรียนที่เพิ่งย้ายมาเรียนกับเรา ถ้าฉันไม่ได้ยินสิ่งที่เพื่อนใหม่พูดพวกแกเจอดีแน่! นักเรียนใหม่ที่ย้ายเข้ามาลุกขึ้นแล้วแนะนำตัว”
ศรีเบิกตากว้างเล็กน้อยด้วยความไม่ทันตั้งตัว ที่อยู่ดี ๆ ต้องแนะนำตนเองกะทันหันรวมทั้งใบโพธิ์ก็ด้วย ทั้งสองลุกขึ้นก่อนที่ศรีจะแนะนำตัวก่อน
“ฉันชื่อสังรศรี วีรสังฆะ เรียกสั้น ๆ ว่าศรีจ้ะ เป็นนักเรียนที่ย้ายมาจากโรงเรียนในมิติสามัญ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องในมิตินี้มากนัก อย่างไรก็ขอคำแนะนำด้วยนะจ๊ะ”
มิติสามัญเรอะ? ไม่ค่อยเห็นบ่อยนักเลยนี่
ภูรินทร์คิดด้วยความแปลกใจ แต่ก็ยังไม่เอ่ยถามเพราะอยู่ในช่วงแนะนำตัว หลังจากที่ศรีกล่าวจบใบโพธิ์ก็แนะนำตัวต่อ
“ฉันชื่อใบโพธิ์ น่าจะมาจากมิติสามัญ ยังไม่รู้เรื่องตัวเองเท่าไหร่เพราะความจำเสื่อม อย่างไรก็ฝากตัวด้วยล่ะ” หลังจากนั้นทั้งห้องก็มีเสียงซุบซิบดังขึ้นเพราะแปลกใจกับทั้งสองคน เจ้าตัวที่เป็นหัวข้อการสนทนายืนนิ่งแทบไม่กระดิกด้วยความที่ทำตัวไม่ถูก
“ศรีน่ะเหรอที่ตัดโซ่ของสิรไพรได้ ตอนนั้นยังดูน่ากลัวอยู่เลย มาตอนนี้นี่เป็นเด็กที่น่ารักเหมือนกันเนอะ”
“เนตรยันต์มรณะนั่นไม่น่าเชื่อ เธอคนนี้มีจริง ๆ น่ะฤ?”
“นี่ใช่ไหมคนที่ชื่อใบโพธิ์ที่ช่วงนี้ทุกระดับชั้นลือกันว่า อาจเป็นตัวแทนยมทูตของโรงเรียนประดู่แดง?”
ฯลฯ
ทั้งสองเผลอมองหน้ากันด้วยความหนักใจ …สมมติถ้านี่เป็นนิยายสถานการณ์ตอนนี้ก็คงเป็นของตัวเอกที่มักจะเป็นจุดเด่นทั้ง ๆ ที่ไม่ตั้งใจ
เป็นตัวเอกก็อย่างนี่แล
พินทุคิดในใจก่อนจะลุกจากขอบหน้าต่างแล้วลอยออกไป นางมาตั้งนานแล้วแต่ไม่มีใครเห็น เหตุผลที่มาก็เพราะว่าอยากเห็นทั้งสองคน …ตัวละครหลักที่ตนเองเป็นผู้กำหนด ไม่สิ ท่านผู้สร้างโลกต่างหากเล่า นางมาดูในฐานะที่เป็นเสมือนบรรณาธิการก็เท่านั้น
“แสดงให้น่าประทับใจล่ะ ข้าล่ะเบื่อกับชีวิตเช่นนี้เต็มทีแล้ว…”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ