ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.67K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
105) บทที่ ๑๐๔ : ครั้งแรกที่พงสณะและศรีรู้จักกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๐๔
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ครั้งแรกที่พงสณะและศรีรู้จักกัน
พอกลับมาเพื่อนๆ ก็ถามพงสณะว่าไปทำอะไรมา เขาตอบว่าไปสนทนากันเล่นๆ ตามประสาเพื่อนที่นานๆ ทีจะได้พบ พวกเขาไม่เอะใจอะไร ทานต่อไปพลางสนทนาอย่างสนุกสนานโดยที่พงสณะมีสีหน้ากังวล เพราะไม่สบายใจกับเรื่องของศรีและตนเอง เขายกน้ำมาดื่มโดยไม่ทานอะไรต่อจนเพื่อนบางคนคีบหมูด้วยตะเกียบที่ย่างจนสุกแล้วมาให้ แล้วชวนให้มาสนทนากับเพื่อนคนอื่น พงสณะฝืนยิ้มด้วยความที่ไม่อยากทำลายบรรยากาศ ทานอาหารต่อไปพลางฟังเรื่องที่เพื่อนๆ เล่าโดยพยายามลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไป
หลังจากที่ทุกคนทานกันอิ่มแล้วก็สนทนาอะไรเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน โดยที่เพื่อนๆ ส่งเขากลับไปที่บ้านก่อน เมื่อมาถึงเขาก็ขึ้นไปบนห้องตนเองโดยไม่พูดไม่จากับพ่อแม่ ทั้งสองคนมองตามอย่างเป็นห่วง แม้จะอยากถามว่าเป็นอะไรแต่ก็ต้องห้ามใจไว้เพราะไม่อยากให้ลูกคิดมากไปกว่านี้ เลยปล่อยให้อยู่เงียบๆ เผื่อจะดีขึ้นบ้าง
พงสณะหลับตาไปพักหนึ่ง เรียบเรียงความคิดและพยายามสงบจิตสงบใจไม่ให้ฟุ้งซ่านกว่านี้ เรื่องที่คาตานะบอกทำให้เขาพาลนึกถึงอนาคต มีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องใหญ่เกี่ยวกับศรี เขาหยิบโทรศัพท์มาเล่นเกมเพื่อให้ลืม ระหว่างนั้นก็มีข้อความส่งถึง พงสณะกดเข้าไปดูเพื่อจะลบทิ้งด้วยความเคยชิน เพราะปรกติไม่ค่อยมีใครส่งมาถ้าจะมีก็คงเป็นประเภทโฆษณาเสียส่วนใหญ่ ทว่าคราวนี้ไม่ใช่มันเป็นข้อความจากคาตานะ พงสณะมองอยู่พักหนึ่งด้วยความแปลกใจระคนสงสัย เขาตัดสินใจเปิดดูจะได้หายคาใจ
จาก คาตานะ วิกสิตนิโลบล
มีภารกิจจากทางโรงเรียนตั้งแต่ระดับชั้น ป.๖ จนถึง ม.๓ ให้สืบหาสตรีหิมะที่อาจเป็นต้นเหตุทำให้หิมะตกในประเทศไทยที่มิติผกาย เริ่มภารกิจตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป
“หวังว่าคราวนี้จะได้ทำจริงๆ จังๆ ล่ะ ภารกิจผู้ลักมีดอรัญญิกที่แล้วก็ไม่ได้ทำ นายิกาจัดการกันเอง แต่ได้ข่าวว่าผู้ลักเคยเป็นรองนายิกามาก่อนเลยสืบหาต้นตอง่าย หวังว่าคราวนี้จะไม่ใช่อย่างนั้นละกันนะ” พงสณะบ่นเบาๆ อย่างเบื่อหน่าย ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ต้องทำใจร่วมภารกิจนี้อยู่ดี
ป.๖ ถึง ม.๓ …เพียงนายิกาไม่กี่คนก็ทำได้ แต่ก็ดีจะได้มีอะไรทำหน่อย
พงสณะนอนมองเพดานเพราะไม่มีอะไรทำ ด้วยความเบื่อหน่ายเขาจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบจดหมายที่ศรีส่งมาให้เมื่อไม่กี่วัน อ่านไปพลางซึมซับความรู้สึกที่เธอสื่อผ่านตักอักษรที่บรรจงเขียนสวยงาม ระหว่างนั้นพงสณะก็นึกถึงตอนที่ศรีเขียนแบบอาลักษณ์ให้ดู ชื่นชมในใจที่เธอมีความสามารถหลายด้าน ทั้งการคัดลายมือ ขับร้องบทร้อยกรองและเสภา การเล่นเครื่องดนตรีไทยและดนตรีสากล ทำงานฝีมือ ร้อยพวงมาลัย แกะสลักผลไม้ ฯลฯ ถ้าเปรียบกับประชากรส่วนใหญ่ในมิติผกายแล้วคงธรรมดา เพราะที่นั่นจะให้การศึกษาเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง แต่ถ้าให้เปรียบกับคนอื่นๆ ในมิติสามัญ ก็นับได้ว่าศรีเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์หลายด้านทีเดียว แถมทำได้ดีมากเป็นส่วนใหญ่ด้วย ทั้งๆ ที่สมัยนี้จะให้ทำอะไรแบบกุลสตรีไทยหรือสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครทำนั้นก็น้อยมาก
ที่กล่าวมานี้เป็นเหตุผลที่พงสณะชอบศรี สมัยนี้จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่มีความสามารถในเรื่องแบบนี้ล่ะ แถมเธอไม่ใช่พวกที่ตามกระแสและห่วงเนื้อห่วงตัว แต่งกายสุภาพไม่ใส่กางเกงหรือกระโปรงสั้นเลยเข่า และยังมีอุปนิสัยที่กล่าวได้ว่าดีอีกด้วย
แต่นั่นก็เป็นเหตุผลรอง เพราะแท้จริงแล้วเขาชอบที่เป็นตัวตนของศรีมากกว่า เขาอธิบายความรู้สึกช่วงแรกๆ ที่รู้จักเธอได้ไม่นานในช่วงชั้น ป.๔ ไม่ค่อยถูกนัก
…หากจะให้อธิบายเลยก็คงไม่ชัดเจน ต้องย้อนกลับไปในวันแรกที่พบกันเสียแล้วล่ะ…
วันเสาร์ที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
‘คู่หมั้น? คืออะไรเหรอครับ?’
พงสณะในตอนนั้นยังเรียนอยู่ชั้น ป.๔ ถามระหว่างนั่งรถยนต์แล่นไปตามถนนที่รายล้อมด้วยต้นไม้หลากพันธุ์ วันนี้เขาจะได้พบและทักทายคู่หมั้นที่ประแสร์ในอำเภอแกลง ดวงตาที่กลมโตกว่าปัจจุบันนั้นมองผู้เป็นพ่ออย่างใสซื่อจนเจ้าตัวอมยิ้มด้วยความเอ็นดูพลางตอบ
‘ก็… ยังไงนะ ประมาณว่าเป็นคู่ที่ถูกกำหนดให้ในอนาคตแต่งงานกันน่ะ’
‘แต่งงาน? แบบพ่อกับแม่ใช่ไหมครับ” พงสณะถามพร้อมกับมองไปที่แม่สลับกับพ่อ ผู้เป็นแม่หันมาก่อนจะตอบ “ใช่จ้ะ …พงสณะตื่นเต้นไหมจ๊ะที่จะได้พบคู่หมั้น?’
‘ก็…’ พงสณะเว้นไว้เพราะไม่แน่ใจว่ารู้สึกเช่นไร แม่ของเขาหันกลับไปพลางอมยิ้มไปด้วยเช่นเดียวกับสามีของเธอ โดยปล่อยให้ลูกสับสนความรู้สึกของตนเองเงียบๆ
เมื่อมาถึงแล้วก็ลงจากรถพร้อมกับของฝากที่ให้พ่อแม่ของศรี พงสณะมองไปรอบๆ อย่างสนใจ เรือนไทยนั้นล้อมรอบด้วยต้นไม้ดอกไม้หลากพันธุ์จนร่มรื่น กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยอบอวลไม่มากจนรู้สึกผ่อนคลาย บ่อน้ำที่ล้อมด้วยหินน้อยหินใหญ่นั้นมีดอกบัวบานหลายสี เบื้องล่างมีปลาว่ายไปมาอย่างพลิ้วไหวแหวกผ่านน้ำใสชวนดูเพลิดเพลิน
พงสณะมองพักหนึ่งก่อนจะละความสนใจก่อนจะเดินตามพ่อแม่ที่ขึ้นไปบนเรือนแล้ว พอมาแล้วเขาก็ต้องมนตร์สะกดอีกครั้งกับความงดงามในเรือนนี้ ไม้แกะสลักที่บานประตู หน้าต่าง เสาอื่นๆ นั้นล้วนเป็นแบบไทยวิจิตรอันอ่อนช้อย การจัดวางเครื่องเรือนนั้นเป็นแบบสมัยก่อนไม่ผิดแผกจากตัวบ้านที่เป็นเรือนไทย เขารู้สึกแปลกหูแปลกตาเพราะที่บ้านตนเองนั้นจัดตกแต่งแบบปัจจุบันจนออกจะทันสมัยด้วยซ้ำ พอมาเห็นอะไรที่ย้อนสมัยเขาก็รู้สึกว่ามันมีมนตร์ขลังอย่างน่าประหลาด
‘เอ้า พงสณะจ๊ะ ไหว้กล่าวทักทายลุงเอวัณกับป้าปาราวีสิจ๊ะ’ พงสณะออกจากห้วงภวังค์ก่อนจะยกมือไหว้พร้อมกล่าวทักทาย พ่อแม่ของศรีรับไหว้พลางยิ้มไปด้วยก่อนจะกล่าว ‘โตขึ้นเร็วจังนะครับ’
‘ฮ่ะๆ ดีแล้วนี่ครับ’ พ่อของพสณะกล่าวอย่างขบขันก่อนจะถามเมื่อนึกอะไรได้ “แล้วหนูอสุราหับหนูศรีอยู่ไหนเหรอครับ?”
‘อสุราไปเรียนพิเศษน่ะครับ ส่วนศรีคงจะไปเล่นข้างนอก เดี๋ยวคงต้องขอตัวไปตามก่อนนะครับ’ เอวัณ พ่อของศรีกล่าวพลางยิ้มแห้งๆ อีกฝ่ายโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรก่อนจะกล่าว ‘ให้พงสณะไปตามดีกว่าครับ ให้ลองคุยกันตามลำพังก่อนจะได้ปรับตัวเข้าด้วยกัน ขืนให้มาคุยต่อหน้าเราแกคงจะทำตัวไม่ถูก’ ปาราวี แม่ของศรีพยักหน้าก่อนจะกล่าวเอวัณ
‘อย่างนั้นก็ดีเหมือนกันนะคะคุณ’ ได้ฟังเสียงส่วนใหญ่ดังนั้นเอวัณก็ไม่มีเหตุต้องแย้ง ระหว่างนั้นแม่ของพงสณะก็บอกให้เจ้าตัวไปตามหาศรี เขาพยักหน้ารับอย่างงงๆ ก่อนจะเดินลงจากเรือนไป
…กลับไปถามดีไหมว่าหน้าตาเป็นยังไง แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเจอเด็กผู้หญิงคนไหนค่อยถามละกันว่าชื่ออะไร …เอ ถ้าจำไม่ผิดได้ยินตอนที่คุยกันคงจะชื่อศรีกระมัง
คิดไปพลางเดินไปหาศรี เขาเดินมาดูแถวๆ หลังบ้านเผื่อจะเจอ เพราะคิดว่าบริเวณพื้นที่ดินนั้นค่อนข้างกว้าง การที่จะมาเล่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ ระหว่างนั้นพงสณะเห็นว่าวจุฬาลอยมาตกตรงหน้าตนเอง เขาก้มลงเก็บมันขึ้นมาแล้วมองด้วยความแปลกใจ เพราะไม่บ่อยนักที่จะเห็นว่าวเพราะเดี๋ยวนี้มีอะไรใหม่ๆ ให้เล่นมากแล้ว
คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นสถานการณ์แบบนี้นะ …อ้อ เรื่องแก้วหน้าม้านี่เองแต่บทสลับกันแฮะ
ในเรื่องแก้วหน้าม้าเป็นฝ่ายเก็บว่าวได้ส่วนพระปิ่นตามมาขอว่าวคืน ถ้าให้เปรียบพงสณะก็เป็นแก้วหน้าม้านั่นแหละ
พอดึงความคิดให้กลับมาเข้าเรื่องที่ต้องทำเขาก็มองไปรอบๆ เพื่อหาผู้ที่น่าจะเป็นเจ้าของ ไม่นานนักก็พบเด็กหญิงผมยาวเลยบ่ามาสี่นิ้ว ผมดำขลับยิ่งกว่ารัตติกาลถูกรวบบางส่วนเป็นมวย ประดับด้วยรัดเกล้าสีเงินฝังอัญมณีสีแดงสามเม็ดกับปิ่นปักผมทรงกนกสีเงินสองอัน ดวงตากลมโตนั้นเป็นสีดำสดใส ขนตานั้นงอนยาวกว่าปัจจุบันนัก ผิวขาวผุดผ่องยองใยดุจดอกมะลิ สวมเสื้อคอกระเช้าสีอ่อนกับผ้าถึงลายไทย
พงสณะเผลอกลั้นหายใจครู่หนึ่ง ดวงตาสีดำมองไม่วางตาราวกับต้องมนตร์กับความงามของเด็กหญิงที่กำลังวิ่งมาอย่างร้อนรน เธอเดินมาหยุดตรงหน้าพงสณะเมื่อเห็นว่าเขาถือว่าวไว้ ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่งเพราะไม่รู้จะกล่าวอะไรก่อนที่ศรีจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
‘นั่นว่าวของฉันเอง ช่วยคืนได้ไหมจ๊ะ?’ พงสณะมองศรีสลับกับว่าวอย่างลังเลซึ่งตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม พอละสายตาจากว่าวมามองเธอก็พบว่ามีรอยยิ้มอ่อนโยนให้ความรู้สึกละมุนแย้มอยู่ ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจ ใบหน้าร้อนและขึ้นสีแดงระเรื่อ เขายื่นว่าวออกไปโดยไม่สบตาเธอแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะทำตัวไม่ถูก
‘เธอ… เธอชื่อว่าอะไรเหรอ? ใช่ศรีหรือเปล่า?’ ถามโดยไม่หันมามอง ศรียิ้มอย่าง ขบขันพลางตอบก่อนจะรับว่าวมา ‘ใช่จ้ะ ว่าแต่รู้จักชื่อฉันได้ยังไงจ๊ะ?’ เสียงใสนั้นยิ่งทำให้ใจเต้นแรงกว่าเดิม …ใช่ว่าพงสณะจะเป็นคนขี้อายกับผู้หญิงนะแต่ในกรณีของศรีให้ความรู้สึกประหลาดจนบอกไม่ถูก เขาค่อยๆ หันมามองอีกฝ่ายก่อนจะตอบเสียงเบา
‘ได้ยินมาตอนที่พ่อแม่เราคุยกันน่ะ’
‘…อย่างนี้ก็ดีสิ เรามาเป็นเพื่อนกันนะ’ ศรีแย้มริมฝีปากกว้างกว่าเดิม พงสณะเห็นดังนั้นจึงหันหน้าหนีโดยที่อีกฝ่ายมองตามด้วยความฉงน ‘ฉันทำให้ไม่พอใจหรือเปล่า บอกมาได้นะฉันไม่ว่าหรอกจ้ะ’
‘เปล่า ฉันแค่ทำตัวไม่ถูกก็เท่านั้นเอง” พงสณะตอบพลางฝืนตนเองให้หันกลับไปหาศรี เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้งก่อนจะกล่าว “เพราะไม่คุ้นเคยเหรอ… ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวทำความรู้จักไปเรื่อยๆ ก็คุ้นเองจ้ะ’
พงสณะพยักหน้า เมื่อเป็นดังนั้นศรีจึงจูงมือเขาไปเล่นด้วยกัน ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่ทันได้ตกลงจะไปด้วยแต่ก็ไม่ขัดขืนอะไร กลับกันเขาเล่นกับเธออย่างสนุกสนานโดยลืมไปแล้วว่าตนเองมาทำการใด
ตอนนี้ทั้งสองมานั่งเล่นอีตักใต้ถุนเรือนบนโต๊ะตัวยาวที่กว้างพอจะเล่นอะไรได้ ตอนแรกพงสณะก็ฉงนว่ามันคืออะไรเพราะที่ผ่านมาตนเองเล่นแต่เกมกดและใช้สื่ออินเทอร์เน็ตมาตลอด จากความสงสัยกลายเป็นความแปลกใจและตื่นเต้น รู้สึกว่าการเล่นอะไรแบบนี้สนุกกว่าการเล่นเกม
ในขณะที่ผลัดกันตักอยู่นั้นเขาก็มองศรีด้วยความหลงใหล ความงดงามที่ไม่ได้เป็นแบบผู้ใหญ่นั้นดึงดูดได้มาก กลิ่นหอมอ่อนๆ แบบธรรมชาติหรือสมุนไพรทำให้เขานึกรังเกียจกลิ่นหอมเคมีของเด็กผู้หญิงที่เขารู้จัก ผิวขาวดุจดอกมะลิทำให้พาลนึกถึงภาพลามกที่เห็นตามหลังปกข้างในหนังสือ หรือแผ่นพับเล็กๆ ที่โฆษณาในร้านโทรศัพท์ นึกได้ดังนั้นก็เกิดอารมณ์บางอย่างขึ้นมา เขาค่อยๆ เขยิบเข้าไปหาศรีเพราะอยากทราบว่าเธอมีรูปร่างแบบนั้นหรือเปล่า ก่อนจะกระซิบข้างหูพลางขยุกขยิกมือบริเวณขอบเสื้อกระเช้า ศรีที่เห็นพงสณะมีท่าทีแปลกไปก็มองอย่างฉงนแต่ก็ยังยิ้มให้พลางฟังไปด้วย
‘ศรี ฉันขอดูตรงนั้นได้ไหม?’
‘ตรงไหนเหรอจ๊ะ?’ รอยยิ้มของศรีเริ่มจางลงเมื่อได้ฟังดังนั้น กังวลบางอย่างขึ้นมาเมื่อนึกถึงคำสอนที่ยายมักจะบอกไว้เสมอ ว่าให้ระวังเพื่อนผู้ชายไว้ด้วย ไม่รู้ว่าพวกเขาอาจจะลวนลามเมื่อไหร่ถึงจะยังเด็กอยู่ก็ตาม ให้เธอสงวนตัวไว้… ส่วนเรื่องจับมือคงไม่นับกระมัง นึกถึงเรื่องนี้แล้วเธอก็ค่อยๆ ถอยห่างก่อนจะถามด้วยความกังวล
‘นายคงไม่ได้หมายถึงตรงนั้นใช่ไหม’
‘แค่ตรงนั้น ฉันอยากเห็น ก่อนหน้านี้เห็นของเพื่อนผู้หญิงไม่นูนเหมือนแม่ เลยสงสัยว่าเธอจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า’ พงสณะเขยิบตาม นิ้วชี้ไปยังหน้าอกของศรีที่แบนราบเพราะยังไม่เจริญวัย เธอส่ายหน้าก่อนจะกล่าวเสียงดัง
‘ได้ที่ไหนกันล่ะ นี่เป็นจุดสงวนนะ!’ ความเกรงใจหายไปผิดจากทีแรกที่ยังอ่อนน้อม ศรีลงจากโต๊ะแล้วก้าวถอยหลังเตรียมหนีขึ้นเรือนไปหาพ่อแม่ ‘ภาพที่ปกหลังการ์ตูนยังให้เห็นได้เลย ของเธอก็ต้องได้สิ’
‘บ้า! นั่นมันก็พวกแก้ผ้าให้ได้เงินเพราะสิ้นคิดต่างหาก แยกแยะหน่อยสิ!’
‘เล่นตัวจัง …ขอฉันดูหน่อยเถอะ นะๆ !’
พงสณะยังคงไล่ตามมา คราวนี้ศรีวิ่งหนีไปจริงๆ ทว่าไม่ทันเมื่อเขาเร่งฝีเท้าตามจนจับข้อมือศรีรั้งไว้ได้ เธอพยายามสะบัดให้ออกแต่เขาไม่ยอม จนกระทั่งหมดความอดทนจึงตัดสินถีบท้องอีกฝ่ายสุดแรงส่งผลให้พงสณะล้มลงนอนกับพื้น เขากุมท้องด้วยความปวดจุก พอเห็นว่าได้ผลเธอก็ไม่รอช้า รีบวิ่งออกจากใต้ถุนแล้วขึ้นเรือนไป
ร่ะ โรคจิต! ผู้ชายไว้ใจไม่ได้จริงๆ ด้วย
‘พ่อคะ แม่คะ! คนที่อ้างว่าพ่อแม่รู้จักกับพ่อแม่เขาจะขอดูส่วนลับของหนูน่ะค่ะ!’ ศรีกล่าวเสียงดังอย่างแตกตื่นระหว่างที่ผู้ปกครองสนทนากัน ทั้งสองฝ่ายหันมามองด้วยความแปลกใจว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
พงสณะ… พงสณะเขาทำอะไรเหรอลูก?’ เอวัณถามก่อนจะเดินเข้ามาหา อีกสามคนก็ตามมาด้วย ในขณะนั้นพงสณะก็วิ่งขึ้นเรือนเข้ามาพอดี ศรีเห็นดังนั้นจึงไปหลบอยู่ข้างหลังผู้เป็นพ่อด้วยความหวาดระแวงก่อนจะตอบ
‘เขาชื่อพงสณะเหรอคะ? หมอนั่นจะขอดูหน้าอกหนูน่ะค่ะ จริงๆ นะคะ!’ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายต่างมองหน้ากันด้วยความฉงนและลำบากใจ พงสณะเห็นเธอกล่าวดังนั้นจึงแย้ง
‘ก็แค่ดูเอง ไม่ได้จับเสียหน่อย!’
‘โรคจิต! แค่ดูก็ผิดมากแล้วนะ!’ ทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกันพักหนึ่งก่อนที่ปาราวีถอนหายใจก่อนจะกล่าวเสียงดัง ‘หยุดเถอะจ้ะทั้งสองคน! มาคุยกันก่อนซิว่าเรื่องเป็นยังไง’ ได้ฟังดังนั้นทุกคนก็เดินไปนั่งก่อนที่ปาราวีจะถามเปิดประเด็น
‘เรื่องเป็นมายังไง พงสณะหนูเล่ามาสิจ๊ะ’
‘ครับ… ผมสงสัยว่าทำไมคนที่อยู่วัยเดียวกับผมหน้าอกถึงไม่นูนเหมือนกับพวกผู้ใหญ่ เห็นภาพที่มีตามหลังปกหนังสือมีเลยคิดว่าคงไม่เป็นไร เลยจะขอดูหน่อยน่ะครับ’ พ่อแม่ของพงสณะเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าลูกของตนจะมีความคิดเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเขาสงสัยจริงๆ หรือซื่อกันแน่ ไม่ใช่ว่าเป็นทั้งสองอย่างหรอกนะ สิรดา แม่ของเขาถอนหายใจก่อนจะกล่าวอย่างใจเย็น
‘ลูกจ๊ะ ทำแบบนั้นไม่ได้นะ นั่นเขาถ่ายภาพเพื่อให้ได้เงิน ไม่ใช่ว่าโดยทั่วไปแล้วจะทำแบบนั้นได้ ฉะนั้นแล้วต้องขอโทษหนูศรีเลยนะ’
พอฟังจบพงสณะก็มองศรีอย่างลังเล เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสาเด็ก ทั้งๆ ที่คิดว่าตนเองคิดไม่ผิดแล้วแต่ก็ยังโดนเตือน ศรีเองก็มองพงสณะอย่างไม่ไว้ใจ ไม่รู้ว่าคราหน้าจะมีอีกหรือเปล่า แต่ก็พยายามทำความเข้าใจว่าคนเราย่อมเคยทำเรื่องผิดพลาด ภายหน้าปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้ คิดได้ดังนั้นความโกรธและไม่ไว้ใจก็พลันหายไป เหลือเพียงการให้อภัย
‘ฉัน… ขอโทษนะ’
ศรีและผู้ปกครองยิ้มเมื่อได้ฟังดังนั้น คิดในใจว่าพงสณะคงไม่ทำอีกแล้ว …โดยหารู้ไม่ว่าอีกไม่นานเขาก็จะทำเช่นนี้อีก
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
ครั้งแรกที่พงสณะและศรีรู้จักกัน
พอกลับมาเพื่อนๆ ก็ถามพงสณะว่าไปทำอะไรมา เขาตอบว่าไปสนทนากันเล่นๆ ตามประสาเพื่อนที่นานๆ ทีจะได้พบ พวกเขาไม่เอะใจอะไร ทานต่อไปพลางสนทนาอย่างสนุกสนานโดยที่พงสณะมีสีหน้ากังวล เพราะไม่สบายใจกับเรื่องของศรีและตนเอง เขายกน้ำมาดื่มโดยไม่ทานอะไรต่อจนเพื่อนบางคนคีบหมูด้วยตะเกียบที่ย่างจนสุกแล้วมาให้ แล้วชวนให้มาสนทนากับเพื่อนคนอื่น พงสณะฝืนยิ้มด้วยความที่ไม่อยากทำลายบรรยากาศ ทานอาหารต่อไปพลางฟังเรื่องที่เพื่อนๆ เล่าโดยพยายามลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไป
หลังจากที่ทุกคนทานกันอิ่มแล้วก็สนทนาอะไรเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกลับบ้าน โดยที่เพื่อนๆ ส่งเขากลับไปที่บ้านก่อน เมื่อมาถึงเขาก็ขึ้นไปบนห้องตนเองโดยไม่พูดไม่จากับพ่อแม่ ทั้งสองคนมองตามอย่างเป็นห่วง แม้จะอยากถามว่าเป็นอะไรแต่ก็ต้องห้ามใจไว้เพราะไม่อยากให้ลูกคิดมากไปกว่านี้ เลยปล่อยให้อยู่เงียบๆ เผื่อจะดีขึ้นบ้าง
พงสณะหลับตาไปพักหนึ่ง เรียบเรียงความคิดและพยายามสงบจิตสงบใจไม่ให้ฟุ้งซ่านกว่านี้ เรื่องที่คาตานะบอกทำให้เขาพาลนึกถึงอนาคต มีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องใหญ่เกี่ยวกับศรี เขาหยิบโทรศัพท์มาเล่นเกมเพื่อให้ลืม ระหว่างนั้นก็มีข้อความส่งถึง พงสณะกดเข้าไปดูเพื่อจะลบทิ้งด้วยความเคยชิน เพราะปรกติไม่ค่อยมีใครส่งมาถ้าจะมีก็คงเป็นประเภทโฆษณาเสียส่วนใหญ่ ทว่าคราวนี้ไม่ใช่มันเป็นข้อความจากคาตานะ พงสณะมองอยู่พักหนึ่งด้วยความแปลกใจระคนสงสัย เขาตัดสินใจเปิดดูจะได้หายคาใจ
จาก คาตานะ วิกสิตนิโลบล
มีภารกิจจากทางโรงเรียนตั้งแต่ระดับชั้น ป.๖ จนถึง ม.๓ ให้สืบหาสตรีหิมะที่อาจเป็นต้นเหตุทำให้หิมะตกในประเทศไทยที่มิติผกาย เริ่มภารกิจตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป
“หวังว่าคราวนี้จะได้ทำจริงๆ จังๆ ล่ะ ภารกิจผู้ลักมีดอรัญญิกที่แล้วก็ไม่ได้ทำ นายิกาจัดการกันเอง แต่ได้ข่าวว่าผู้ลักเคยเป็นรองนายิกามาก่อนเลยสืบหาต้นตอง่าย หวังว่าคราวนี้จะไม่ใช่อย่างนั้นละกันนะ” พงสณะบ่นเบาๆ อย่างเบื่อหน่าย ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็ต้องทำใจร่วมภารกิจนี้อยู่ดี
ป.๖ ถึง ม.๓ …เพียงนายิกาไม่กี่คนก็ทำได้ แต่ก็ดีจะได้มีอะไรทำหน่อย
พงสณะนอนมองเพดานเพราะไม่มีอะไรทำ ด้วยความเบื่อหน่ายเขาจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบจดหมายที่ศรีส่งมาให้เมื่อไม่กี่วัน อ่านไปพลางซึมซับความรู้สึกที่เธอสื่อผ่านตักอักษรที่บรรจงเขียนสวยงาม ระหว่างนั้นพงสณะก็นึกถึงตอนที่ศรีเขียนแบบอาลักษณ์ให้ดู ชื่นชมในใจที่เธอมีความสามารถหลายด้าน ทั้งการคัดลายมือ ขับร้องบทร้อยกรองและเสภา การเล่นเครื่องดนตรีไทยและดนตรีสากล ทำงานฝีมือ ร้อยพวงมาลัย แกะสลักผลไม้ ฯลฯ ถ้าเปรียบกับประชากรส่วนใหญ่ในมิติผกายแล้วคงธรรมดา เพราะที่นั่นจะให้การศึกษาเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง แต่ถ้าให้เปรียบกับคนอื่นๆ ในมิติสามัญ ก็นับได้ว่าศรีเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์หลายด้านทีเดียว แถมทำได้ดีมากเป็นส่วนใหญ่ด้วย ทั้งๆ ที่สมัยนี้จะให้ทำอะไรแบบกุลสตรีไทยหรือสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครทำนั้นก็น้อยมาก
ที่กล่าวมานี้เป็นเหตุผลที่พงสณะชอบศรี สมัยนี้จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่มีความสามารถในเรื่องแบบนี้ล่ะ แถมเธอไม่ใช่พวกที่ตามกระแสและห่วงเนื้อห่วงตัว แต่งกายสุภาพไม่ใส่กางเกงหรือกระโปรงสั้นเลยเข่า และยังมีอุปนิสัยที่กล่าวได้ว่าดีอีกด้วย
แต่นั่นก็เป็นเหตุผลรอง เพราะแท้จริงแล้วเขาชอบที่เป็นตัวตนของศรีมากกว่า เขาอธิบายความรู้สึกช่วงแรกๆ ที่รู้จักเธอได้ไม่นานในช่วงชั้น ป.๔ ไม่ค่อยถูกนัก
…หากจะให้อธิบายเลยก็คงไม่ชัดเจน ต้องย้อนกลับไปในวันแรกที่พบกันเสียแล้วล่ะ…
วันเสาร์ที่ ๕ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
‘คู่หมั้น? คืออะไรเหรอครับ?’
พงสณะในตอนนั้นยังเรียนอยู่ชั้น ป.๔ ถามระหว่างนั่งรถยนต์แล่นไปตามถนนที่รายล้อมด้วยต้นไม้หลากพันธุ์ วันนี้เขาจะได้พบและทักทายคู่หมั้นที่ประแสร์ในอำเภอแกลง ดวงตาที่กลมโตกว่าปัจจุบันนั้นมองผู้เป็นพ่ออย่างใสซื่อจนเจ้าตัวอมยิ้มด้วยความเอ็นดูพลางตอบ
‘ก็… ยังไงนะ ประมาณว่าเป็นคู่ที่ถูกกำหนดให้ในอนาคตแต่งงานกันน่ะ’
‘แต่งงาน? แบบพ่อกับแม่ใช่ไหมครับ” พงสณะถามพร้อมกับมองไปที่แม่สลับกับพ่อ ผู้เป็นแม่หันมาก่อนจะตอบ “ใช่จ้ะ …พงสณะตื่นเต้นไหมจ๊ะที่จะได้พบคู่หมั้น?’
‘ก็…’ พงสณะเว้นไว้เพราะไม่แน่ใจว่ารู้สึกเช่นไร แม่ของเขาหันกลับไปพลางอมยิ้มไปด้วยเช่นเดียวกับสามีของเธอ โดยปล่อยให้ลูกสับสนความรู้สึกของตนเองเงียบๆ
เมื่อมาถึงแล้วก็ลงจากรถพร้อมกับของฝากที่ให้พ่อแม่ของศรี พงสณะมองไปรอบๆ อย่างสนใจ เรือนไทยนั้นล้อมรอบด้วยต้นไม้ดอกไม้หลากพันธุ์จนร่มรื่น กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยอบอวลไม่มากจนรู้สึกผ่อนคลาย บ่อน้ำที่ล้อมด้วยหินน้อยหินใหญ่นั้นมีดอกบัวบานหลายสี เบื้องล่างมีปลาว่ายไปมาอย่างพลิ้วไหวแหวกผ่านน้ำใสชวนดูเพลิดเพลิน
พงสณะมองพักหนึ่งก่อนจะละความสนใจก่อนจะเดินตามพ่อแม่ที่ขึ้นไปบนเรือนแล้ว พอมาแล้วเขาก็ต้องมนตร์สะกดอีกครั้งกับความงดงามในเรือนนี้ ไม้แกะสลักที่บานประตู หน้าต่าง เสาอื่นๆ นั้นล้วนเป็นแบบไทยวิจิตรอันอ่อนช้อย การจัดวางเครื่องเรือนนั้นเป็นแบบสมัยก่อนไม่ผิดแผกจากตัวบ้านที่เป็นเรือนไทย เขารู้สึกแปลกหูแปลกตาเพราะที่บ้านตนเองนั้นจัดตกแต่งแบบปัจจุบันจนออกจะทันสมัยด้วยซ้ำ พอมาเห็นอะไรที่ย้อนสมัยเขาก็รู้สึกว่ามันมีมนตร์ขลังอย่างน่าประหลาด
‘เอ้า พงสณะจ๊ะ ไหว้กล่าวทักทายลุงเอวัณกับป้าปาราวีสิจ๊ะ’ พงสณะออกจากห้วงภวังค์ก่อนจะยกมือไหว้พร้อมกล่าวทักทาย พ่อแม่ของศรีรับไหว้พลางยิ้มไปด้วยก่อนจะกล่าว ‘โตขึ้นเร็วจังนะครับ’
‘ฮ่ะๆ ดีแล้วนี่ครับ’ พ่อของพสณะกล่าวอย่างขบขันก่อนจะถามเมื่อนึกอะไรได้ “แล้วหนูอสุราหับหนูศรีอยู่ไหนเหรอครับ?”
‘อสุราไปเรียนพิเศษน่ะครับ ส่วนศรีคงจะไปเล่นข้างนอก เดี๋ยวคงต้องขอตัวไปตามก่อนนะครับ’ เอวัณ พ่อของศรีกล่าวพลางยิ้มแห้งๆ อีกฝ่ายโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรก่อนจะกล่าว ‘ให้พงสณะไปตามดีกว่าครับ ให้ลองคุยกันตามลำพังก่อนจะได้ปรับตัวเข้าด้วยกัน ขืนให้มาคุยต่อหน้าเราแกคงจะทำตัวไม่ถูก’ ปาราวี แม่ของศรีพยักหน้าก่อนจะกล่าวเอวัณ
‘อย่างนั้นก็ดีเหมือนกันนะคะคุณ’ ได้ฟังเสียงส่วนใหญ่ดังนั้นเอวัณก็ไม่มีเหตุต้องแย้ง ระหว่างนั้นแม่ของพงสณะก็บอกให้เจ้าตัวไปตามหาศรี เขาพยักหน้ารับอย่างงงๆ ก่อนจะเดินลงจากเรือนไป
…กลับไปถามดีไหมว่าหน้าตาเป็นยังไง แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเจอเด็กผู้หญิงคนไหนค่อยถามละกันว่าชื่ออะไร …เอ ถ้าจำไม่ผิดได้ยินตอนที่คุยกันคงจะชื่อศรีกระมัง
คิดไปพลางเดินไปหาศรี เขาเดินมาดูแถวๆ หลังบ้านเผื่อจะเจอ เพราะคิดว่าบริเวณพื้นที่ดินนั้นค่อนข้างกว้าง การที่จะมาเล่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ ระหว่างนั้นพงสณะเห็นว่าวจุฬาลอยมาตกตรงหน้าตนเอง เขาก้มลงเก็บมันขึ้นมาแล้วมองด้วยความแปลกใจ เพราะไม่บ่อยนักที่จะเห็นว่าวเพราะเดี๋ยวนี้มีอะไรใหม่ๆ ให้เล่นมากแล้ว
คุ้นๆ เหมือนเคยเห็นสถานการณ์แบบนี้นะ …อ้อ เรื่องแก้วหน้าม้านี่เองแต่บทสลับกันแฮะ
ในเรื่องแก้วหน้าม้าเป็นฝ่ายเก็บว่าวได้ส่วนพระปิ่นตามมาขอว่าวคืน ถ้าให้เปรียบพงสณะก็เป็นแก้วหน้าม้านั่นแหละ
พอดึงความคิดให้กลับมาเข้าเรื่องที่ต้องทำเขาก็มองไปรอบๆ เพื่อหาผู้ที่น่าจะเป็นเจ้าของ ไม่นานนักก็พบเด็กหญิงผมยาวเลยบ่ามาสี่นิ้ว ผมดำขลับยิ่งกว่ารัตติกาลถูกรวบบางส่วนเป็นมวย ประดับด้วยรัดเกล้าสีเงินฝังอัญมณีสีแดงสามเม็ดกับปิ่นปักผมทรงกนกสีเงินสองอัน ดวงตากลมโตนั้นเป็นสีดำสดใส ขนตานั้นงอนยาวกว่าปัจจุบันนัก ผิวขาวผุดผ่องยองใยดุจดอกมะลิ สวมเสื้อคอกระเช้าสีอ่อนกับผ้าถึงลายไทย
พงสณะเผลอกลั้นหายใจครู่หนึ่ง ดวงตาสีดำมองไม่วางตาราวกับต้องมนตร์กับความงามของเด็กหญิงที่กำลังวิ่งมาอย่างร้อนรน เธอเดินมาหยุดตรงหน้าพงสณะเมื่อเห็นว่าเขาถือว่าวไว้ ทั้งสองเงียบไปพักหนึ่งเพราะไม่รู้จะกล่าวอะไรก่อนที่ศรีจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
‘นั่นว่าวของฉันเอง ช่วยคืนได้ไหมจ๊ะ?’ พงสณะมองศรีสลับกับว่าวอย่างลังเลซึ่งตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม พอละสายตาจากว่าวมามองเธอก็พบว่ามีรอยยิ้มอ่อนโยนให้ความรู้สึกละมุนแย้มอยู่ ใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าแปลกใจ ใบหน้าร้อนและขึ้นสีแดงระเรื่อ เขายื่นว่าวออกไปโดยไม่สบตาเธอแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นเพราะทำตัวไม่ถูก
‘เธอ… เธอชื่อว่าอะไรเหรอ? ใช่ศรีหรือเปล่า?’ ถามโดยไม่หันมามอง ศรียิ้มอย่าง ขบขันพลางตอบก่อนจะรับว่าวมา ‘ใช่จ้ะ ว่าแต่รู้จักชื่อฉันได้ยังไงจ๊ะ?’ เสียงใสนั้นยิ่งทำให้ใจเต้นแรงกว่าเดิม …ใช่ว่าพงสณะจะเป็นคนขี้อายกับผู้หญิงนะแต่ในกรณีของศรีให้ความรู้สึกประหลาดจนบอกไม่ถูก เขาค่อยๆ หันมามองอีกฝ่ายก่อนจะตอบเสียงเบา
‘ได้ยินมาตอนที่พ่อแม่เราคุยกันน่ะ’
‘…อย่างนี้ก็ดีสิ เรามาเป็นเพื่อนกันนะ’ ศรีแย้มริมฝีปากกว้างกว่าเดิม พงสณะเห็นดังนั้นจึงหันหน้าหนีโดยที่อีกฝ่ายมองตามด้วยความฉงน ‘ฉันทำให้ไม่พอใจหรือเปล่า บอกมาได้นะฉันไม่ว่าหรอกจ้ะ’
‘เปล่า ฉันแค่ทำตัวไม่ถูกก็เท่านั้นเอง” พงสณะตอบพลางฝืนตนเองให้หันกลับไปหาศรี เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้งก่อนจะกล่าว “เพราะไม่คุ้นเคยเหรอ… ไม่เป็นไรนะเดี๋ยวทำความรู้จักไปเรื่อยๆ ก็คุ้นเองจ้ะ’
พงสณะพยักหน้า เมื่อเป็นดังนั้นศรีจึงจูงมือเขาไปเล่นด้วยกัน ทั้งๆ ที่เจ้าตัวไม่ทันได้ตกลงจะไปด้วยแต่ก็ไม่ขัดขืนอะไร กลับกันเขาเล่นกับเธออย่างสนุกสนานโดยลืมไปแล้วว่าตนเองมาทำการใด
ตอนนี้ทั้งสองมานั่งเล่นอีตักใต้ถุนเรือนบนโต๊ะตัวยาวที่กว้างพอจะเล่นอะไรได้ ตอนแรกพงสณะก็ฉงนว่ามันคืออะไรเพราะที่ผ่านมาตนเองเล่นแต่เกมกดและใช้สื่ออินเทอร์เน็ตมาตลอด จากความสงสัยกลายเป็นความแปลกใจและตื่นเต้น รู้สึกว่าการเล่นอะไรแบบนี้สนุกกว่าการเล่นเกม
ในขณะที่ผลัดกันตักอยู่นั้นเขาก็มองศรีด้วยความหลงใหล ความงดงามที่ไม่ได้เป็นแบบผู้ใหญ่นั้นดึงดูดได้มาก กลิ่นหอมอ่อนๆ แบบธรรมชาติหรือสมุนไพรทำให้เขานึกรังเกียจกลิ่นหอมเคมีของเด็กผู้หญิงที่เขารู้จัก ผิวขาวดุจดอกมะลิทำให้พาลนึกถึงภาพลามกที่เห็นตามหลังปกข้างในหนังสือ หรือแผ่นพับเล็กๆ ที่โฆษณาในร้านโทรศัพท์ นึกได้ดังนั้นก็เกิดอารมณ์บางอย่างขึ้นมา เขาค่อยๆ เขยิบเข้าไปหาศรีเพราะอยากทราบว่าเธอมีรูปร่างแบบนั้นหรือเปล่า ก่อนจะกระซิบข้างหูพลางขยุกขยิกมือบริเวณขอบเสื้อกระเช้า ศรีที่เห็นพงสณะมีท่าทีแปลกไปก็มองอย่างฉงนแต่ก็ยังยิ้มให้พลางฟังไปด้วย
‘ศรี ฉันขอดูตรงนั้นได้ไหม?’
‘ตรงไหนเหรอจ๊ะ?’ รอยยิ้มของศรีเริ่มจางลงเมื่อได้ฟังดังนั้น กังวลบางอย่างขึ้นมาเมื่อนึกถึงคำสอนที่ยายมักจะบอกไว้เสมอ ว่าให้ระวังเพื่อนผู้ชายไว้ด้วย ไม่รู้ว่าพวกเขาอาจจะลวนลามเมื่อไหร่ถึงจะยังเด็กอยู่ก็ตาม ให้เธอสงวนตัวไว้… ส่วนเรื่องจับมือคงไม่นับกระมัง นึกถึงเรื่องนี้แล้วเธอก็ค่อยๆ ถอยห่างก่อนจะถามด้วยความกังวล
‘นายคงไม่ได้หมายถึงตรงนั้นใช่ไหม’
‘แค่ตรงนั้น ฉันอยากเห็น ก่อนหน้านี้เห็นของเพื่อนผู้หญิงไม่นูนเหมือนแม่ เลยสงสัยว่าเธอจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า’ พงสณะเขยิบตาม นิ้วชี้ไปยังหน้าอกของศรีที่แบนราบเพราะยังไม่เจริญวัย เธอส่ายหน้าก่อนจะกล่าวเสียงดัง
‘ได้ที่ไหนกันล่ะ นี่เป็นจุดสงวนนะ!’ ความเกรงใจหายไปผิดจากทีแรกที่ยังอ่อนน้อม ศรีลงจากโต๊ะแล้วก้าวถอยหลังเตรียมหนีขึ้นเรือนไปหาพ่อแม่ ‘ภาพที่ปกหลังการ์ตูนยังให้เห็นได้เลย ของเธอก็ต้องได้สิ’
‘บ้า! นั่นมันก็พวกแก้ผ้าให้ได้เงินเพราะสิ้นคิดต่างหาก แยกแยะหน่อยสิ!’
‘เล่นตัวจัง …ขอฉันดูหน่อยเถอะ นะๆ !’
พงสณะยังคงไล่ตามมา คราวนี้ศรีวิ่งหนีไปจริงๆ ทว่าไม่ทันเมื่อเขาเร่งฝีเท้าตามจนจับข้อมือศรีรั้งไว้ได้ เธอพยายามสะบัดให้ออกแต่เขาไม่ยอม จนกระทั่งหมดความอดทนจึงตัดสินถีบท้องอีกฝ่ายสุดแรงส่งผลให้พงสณะล้มลงนอนกับพื้น เขากุมท้องด้วยความปวดจุก พอเห็นว่าได้ผลเธอก็ไม่รอช้า รีบวิ่งออกจากใต้ถุนแล้วขึ้นเรือนไป
ร่ะ โรคจิต! ผู้ชายไว้ใจไม่ได้จริงๆ ด้วย
‘พ่อคะ แม่คะ! คนที่อ้างว่าพ่อแม่รู้จักกับพ่อแม่เขาจะขอดูส่วนลับของหนูน่ะค่ะ!’ ศรีกล่าวเสียงดังอย่างแตกตื่นระหว่างที่ผู้ปกครองสนทนากัน ทั้งสองฝ่ายหันมามองด้วยความแปลกใจว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
พงสณะ… พงสณะเขาทำอะไรเหรอลูก?’ เอวัณถามก่อนจะเดินเข้ามาหา อีกสามคนก็ตามมาด้วย ในขณะนั้นพงสณะก็วิ่งขึ้นเรือนเข้ามาพอดี ศรีเห็นดังนั้นจึงไปหลบอยู่ข้างหลังผู้เป็นพ่อด้วยความหวาดระแวงก่อนจะตอบ
‘เขาชื่อพงสณะเหรอคะ? หมอนั่นจะขอดูหน้าอกหนูน่ะค่ะ จริงๆ นะคะ!’ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายต่างมองหน้ากันด้วยความฉงนและลำบากใจ พงสณะเห็นเธอกล่าวดังนั้นจึงแย้ง
‘ก็แค่ดูเอง ไม่ได้จับเสียหน่อย!’
‘โรคจิต! แค่ดูก็ผิดมากแล้วนะ!’ ทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกันพักหนึ่งก่อนที่ปาราวีถอนหายใจก่อนจะกล่าวเสียงดัง ‘หยุดเถอะจ้ะทั้งสองคน! มาคุยกันก่อนซิว่าเรื่องเป็นยังไง’ ได้ฟังดังนั้นทุกคนก็เดินไปนั่งก่อนที่ปาราวีจะถามเปิดประเด็น
‘เรื่องเป็นมายังไง พงสณะหนูเล่ามาสิจ๊ะ’
‘ครับ… ผมสงสัยว่าทำไมคนที่อยู่วัยเดียวกับผมหน้าอกถึงไม่นูนเหมือนกับพวกผู้ใหญ่ เห็นภาพที่มีตามหลังปกหนังสือมีเลยคิดว่าคงไม่เป็นไร เลยจะขอดูหน่อยน่ะครับ’ พ่อแม่ของพงสณะเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าลูกของตนจะมีความคิดเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเขาสงสัยจริงๆ หรือซื่อกันแน่ ไม่ใช่ว่าเป็นทั้งสองอย่างหรอกนะ สิรดา แม่ของเขาถอนหายใจก่อนจะกล่าวอย่างใจเย็น
‘ลูกจ๊ะ ทำแบบนั้นไม่ได้นะ นั่นเขาถ่ายภาพเพื่อให้ได้เงิน ไม่ใช่ว่าโดยทั่วไปแล้วจะทำแบบนั้นได้ ฉะนั้นแล้วต้องขอโทษหนูศรีเลยนะ’
พอฟังจบพงสณะก็มองศรีอย่างลังเล เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสาเด็ก ทั้งๆ ที่คิดว่าตนเองคิดไม่ผิดแล้วแต่ก็ยังโดนเตือน ศรีเองก็มองพงสณะอย่างไม่ไว้ใจ ไม่รู้ว่าคราหน้าจะมีอีกหรือเปล่า แต่ก็พยายามทำความเข้าใจว่าคนเราย่อมเคยทำเรื่องผิดพลาด ภายหน้าปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้ คิดได้ดังนั้นความโกรธและไม่ไว้ใจก็พลันหายไป เหลือเพียงการให้อภัย
‘ฉัน… ขอโทษนะ’
ศรีและผู้ปกครองยิ้มเมื่อได้ฟังดังนั้น คิดในใจว่าพงสณะคงไม่ทำอีกแล้ว …โดยหารู้ไม่ว่าอีกไม่นานเขาก็จะทำเช่นนี้อีก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ