ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)
8.9
เขียนโดย snowred
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.
123 บท
32 วิจารณ์
113.32K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย
102) บทที่ ๑๐๑ : อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๖
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๑๐๑
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๖
เมื่อทำอาหารเสร็จแล้วก็ทานอย่างเอร็ดอร่อย ระหว่างนั้นอนงค์ก็ทานไปคิดไปด้วย บ่อยครั้งที่นางจะใช้จิตสัมผัสพลังวิญญาณของผู้อื่น เพื่อให้ทราบว่ามีพลังวิญญาณแบบไหน ของกุมภิลอนงค์จับได้ว่ามีพลังวิญญาณจระเข้ ที่อยู่ในร่างมนุษย์นี้เพราะจำแลงมา กระนั้นนางก็ไม่ร้อนรนหรือกังวลแต่อย่างใด แต่ใช่ว่าจะไม่ระวังตัว ช่วงนี้ก็มีข่าวที่ชาวบ้านหายตัวไปติดต่อกันแล้ว แม้จะไม่มากแต่ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น นางเลยคิดว่าคนที่หายตัวคงจะเป็นเพราะถูกพวกจระเข้จับไปทานกระมัง เนื่องจากได้ฟังมาบ้างว่าไม่มีร่อยรองของการ นอกเหนือจากเลือดแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีก
อนงค์เหลือบมองพาฬที่ไม่มีท่าทีระแวงอีกฝ่าย คงจะเป็นเพราะกุมภิลช่วยไว้เลยคิดว่าไว้ใจได้ ที่อนงค์เป็นมิตรด้วยก็เห็นแก่เรื่องนั้น แต่ถ้ากุมภิลคิดร้ายนางก็จะไม่อ่อนข้อให้
พาฬจะเอะใจไหมนะ?
“แม่มิสบายฤๅจ๊ะ?” อนงค์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะมองพาฬพลางยิ้มบางๆ “แม่เหม่อน่ะจ้ะ” กล่าวจบก็ทานอาหารต่อ พาฬมองอย่างฉงนแต่ก็ไม่ได้ถามต่อ เพราะแม่ตนเองก็เป็นมาไม่นานนี้เอง งานอาจจะเข้ามาเลยมีอะไรให้คิดอนงค์เลยเหม่อ พาฬทานอาหารต่อโดยไม่ค่อยใส่ใจแล้ว แม่อยากบอกก็คงบอกเองแหละ
จะว่าไปท่านกุสุมามีอาคมฤๅ ถึงทำให้จระเข้กลับไป ฤๅว่าจะมีอาคมเช่นเดียวกับที่แม่มีนะ?
พาฬเพิ่งนึกได้ ไม่เอะใจว่ากุมภิลอาจจะเป็นจระเข้ที่จำแลง ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นดีหรือไม่ดีที่นางคิดไปทางแง่บวก
“ท่านกุสุมา ครานั้นที่ช่วยข้าไว้ท่านทำได้อย่างไรกัน? ฤๅว่าจะมีอาคมเช่นเดียวกับแม่ข้า?” พาฬถาม กุมภิลใจหายวาบ นางคิดหาเหตุผลอย่างร้อนรน ใบหน้างามเริ่มมีเหยื่อไหลจนชื้นเล็กน้อย อนงค์สังเกตถึงสีหน้านั้นก็เข้าใจว่ากุมภิลเป็นอันใดไปแต่ก็ไม่กล่าว เพราะยังไม่อยากให้มีเรื่อง
“ข้า… ใช่ ข้ามีอาคม”
“สายควบคุมสินะ?” พาฬถามพร้อมกับยิ้ม กุมภิลพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่” กล่าวจบก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก อนงค์ยิ้มบางๆ ก่อนจะทานอาหารต่อเงียบๆ ปล่อยให้คนสองคนสนทนากันต่อไป
กลางวัน
ดูเหมือนว่าพาฬกับกุมภิลจะสนิทกันมากขึ้น ทั้งสองพอใจในตัวอีกฝ่าย กุมภิลอยู่กับพาฬแล้วสนุกมาก รู้สึกได้ถึงความจริงใจและความอบอุ่นที่อีกฝ่ายมีให้ พอนึกเปรียบเทียบระหว่างที่นี่กับถ้ำที่เปรียบได้กับพระราชวังบนบกแล้ว ก็รู้สึกว่าที่นั่นมีแต่ความเย็นชา ถึงจะไม่ได้ขนาดนั้นแต่ก็ไม่รู้สึกถึงความสดใสเลย สายตาเย็นชาที่มองกันราวกับจะทานเสียให้ได้ กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งนั้นช่างเย้ายวนนัก เนื้อสัตว์ทั้งเดรัจฉานและประเสริฐนั้นต่างกองไว้รวมกัน จระเข้ต่างแย่งเนื้อน่าสนุก แทะทานอย่างเอร็ดอร่อย …สภาพนั้นสำหรับนางก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่คงน่าหลงใหล
แต่พอมาเจอกับความบริสุทธิ์ที่แทบจะไม่มีคาวเลือด ไม่มีการแย่งเหมือนพวกผีหิวโหย ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนมีรอยยิ้มแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าตนเองอยู่กับมันได้อย่างไรตลอดตั้งแต่เยาว์จนเจริญวัยเป็นสาว
“ว่าแต่บ้านของไทยอยู่ไหนฤ?” สนทนากันมาเรื่อยๆ ก็วกกลับเข้าเรื่องที่เคยถามก่อนหน้า กุมภิลแทบจะกุมขมับกับความสงสัยของอีกฝ่าย สงสัยอย่างอื่นนี่ไม่ค่อยสนแต่เรื่องของนางนี่สนจังนะ
“ก็… เอ่อ”
ถ้าเกิดโกรธขึ้นมาจริงๆ คงคืนร่างเดิมแล้วล่ะ พาฬจ้องกุมภิลโดยไม่มีความเล่ห์เหลี่ยมแฝงอยู่ รู้สึกได้ถึงแววตานั้นเล่นเอานางสะอึกเลยทีเดียว รู้สึกบาปขึ้นมาถ้าให้สังหารคนบริสุทธิ์เช่นพาฬ บาปคงติดตัวไปตลอดชาติถึงภพหน้าเลยกระมัง ในขณะนั้นเองก็มีใครบางคนตะโกนขึ้นมา เสียงนั้นทำให้คนอื่นๆ พากันออกจากเรือนมาดูอย่างสนใจและไม่สบายใจ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ พาฬเองก็เป็นหนึ่งในนั้น นางลุกขึ้นก่อนจะเดินไปยังที่เกิดเหตุโดยไม่หันมาชวนกุมภิลเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเดินตามไปโดยไม่คิดอะไรมาก แต่พอมาถึงภาพที่เห็นแทบจะทำให้หัวใจนางเต้นแรงจนออกจากอกเสียให้ได้
…แขนข้างหนึ่งที่ไร้ร่างอยู่ในหนองเลือดริมคลอง มองไปรอบๆ ก็ไม่มีวี่แววของผู้ร้าย คนอื่นพากันสนทนากันอย่างออกรส บางคนก็ไม่ได้เป็นห่วง บางคนก็มองด้วยความหวาดกลัว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง กุมภิลทราบดีว่าใครเป็นผู้ทำ …ก็จระเข้ภายใต้การปกคลองของพี่ชายตนเองนี่แหละ นึกมาถึงตรงนี้แล้วก็หายใจไม่ทั่วท้อง เสียงที่จะเอ่ยนั้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทางฝ่ายพาฬนั้นก็หาร่องรอยเผื่อจะเจออาวุธที่ใช้ทำร้าย ทว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่พบเสียที
ทำไมถึงเหลือแต่แขน?
กลางคืน
“ท่านกุสุมา ขอคุยด้วยประเดี๋ยวหนึ่งได้ไหมเจ้าคะ?” อนงค์ถามเมื่อเห็นว่ากุมภิลอยู่คนเดียว ตอนนี้พาฬกำลังไปจับปลาที่ข้างนอกกุมภิลเลยไม่มีเพื่อนสนทนาจนต้องออกมารับลมเย็นๆ นางได้ยินคำถามนั้นก็รู้สึกหวาดหวั่นว่าเรื่องที่จะสนทนานั้นต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับตนเองแน่ กระนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าได้ก่อนจะกล่าว
“ว่ามาสิ” น้ำเสียงเรียบนั้นช่างขัดกับจิตใจที่หวาดหวั่น ไม่อยากให้มีพิรุธเลยพยายามทำสีหน้าให้เรียบเฉย อนงค์เริ่มสีหน้าจริงจังขึ้นมา สร้างความกดดันให้อีกฝ่ายได้พอควร
“ท่านเป็นจระเข้สินะเจ้าคะ?” เหมือนกับใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เผลอกลั้นหายใจชั่วขณะ กุมภิลยิ้มบางๆ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าหน้าตนเองซีดเพียงใด ร่างกายบางส่วนสั่นเล็กน้อย ริมฝีปากเองก็เช่นกัน
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” กุมภิลยอมรับด้วยคำถามนั้น เพราะทราบดีว่าต่อให้กล่าวเท็จก็คงโดนจับได้ในสักวัน อนงค์ผ่อนคลายสีหน้า นางกล่าวเบาๆ “ข้าใช้จิตสัมผัสเจ้าค่ะ บางคนวิญญาณกับร่างเนื้อก็มิใช่เช่นเดียวกัน แต่ของท่านข้าสัมผัสได้ถึงสัตว์เดรัจฉาน กลิ่นคาวเลือดที่จางมากจนมีเพียงผู้ใช้อาคมเท่านั้นที่จะกลิ่น กับลักษณะภายในร่างกายที่ยังคงมีเค้าของจระเข้ทำให้ข้าทราบน่ะเจ้าค่ะ”
“หึ… เห็นเค้าเดิมนี่มิธรรมดาเลยนะ เป็นนายิกาล่ะสิ?”
“ทราบข่าวดีนะเจ้าคะ ดูท่าว่าท่านเองก็ทราบอะไรมิน้อยเลย”
“ตำแหน่งนายิกากับรองนายิกาใครๆ ก็รู้กันทั่ว ตำแหน่งอันสูงศักดิ์ที่ไว้เพียงสตรีที่มีคุณสมบัติหลายด้าน …แน่นอนว่าต้องมีมิน้อยที่ใช้อาคมเป็น มิใช่สิ ใช้เป็นกันทุกคน ข้าเลยคิดว่าเจ้าจะต้องเป็นนายิกา”
“รองนายิกาก็มีเช่นกัน ท่านลืมไปฤๅเจ้าคะ?” อนงค์ถามเสียงเรียบ กุมภิลที่เริ่มทำใจให้สงบได้แล้วก็ตอบ “ข้าว่าเจ้าน่าจะเป็นนายิกามากกว่านะ”
“คำตอบนี้คงเดาผิดๆ ถูกๆ สินะเจ้าคะ?” อนงค์ถามอย่างรู้ทัน กุมภิลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบ “ใช่”
“กลับเข้าเรื่องต่อนะเจ้าคะ ท่านคิดจะทำการใดกับพาฬฤๅ ถึงช่วยนางไว้ทั้งๆ ที่ท่านก็สามารถกินได้?” บรรยากาศเริ่มตึงเครียด กุมภิลเผลอกัดริมฝีปากด้วยความคิดมาก ความรู้สึกมันปนเปจนไม่อาจแยกออกมาได้ว่าเป็นเช่นไร
“ข้ามิรู้…” นั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับนาง แต่สำหรับอนงค์แล้วนั่นเป็นคำตอบที่ไม่ดีที่สุด “ข้าหวังว่าท่านจะคิดคำตอบได้ดีกว่านี้นะเจ้าคะ”
“ให้เวลาข้าเถิด” อนงค์หรี่ตาอย่างพินิจกุมภิลที่เหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีดำพลางกล่าวเบาๆ “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ แต่ข้ามีเรื่องจะขอร้อง”
“?” กุมภิลละสายตาจากท้องฟ้ามามองอนงค์อย่างฉงน อีกฝ่ายสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะถอนออกมาแล้วกล่าว “หากข้าเห็นว่าเหล่าจระเข้กินชาวบ้านอีกเมื่อใด รวมทั้งพาฬเองก็ด้วย ครานั้นข้าจะสังหารท่านรวมทั้งจระเข้ให้ถึงถอนรากถอนโคน มิให้มีเผ่าพันธุ์จระเข้ถือกำเนิดขึ้นอีก” แม้จะไม่ได้กล่าวเสียงดัง แต่ทุกคำที่นางกล่าวเน้นจนสร้างความกดดัน น้ำเสียงนั้นไม่ได้แสดงความโกรธแต่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นจนขนลุก กุมภิลมองไปทางอื่นก่อนจะกล่าว
“โอหังนัก คิดฤๅว่าเป็นเดรัจฉานแล้วจะชนะได้?” ถึงจะกล่าวเช่นนั้นแต่ก็กังวลในใจ เพราะด้วยความที่ทราบดีว่านายิกานั้นมีความสามารถและมีพลังที่เหลือล้น การจะทำเช่นนั้นได้สำเร็จก็คงมิเกินมือ
“ข้ามิได้เห็นเช่นนั้น …ข้าหมดกิจแล้วขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” กล่าวจบอนงค์ก็เดินกลับเข้าตัวเรือนไป กุมภิลมองตามในขณะที่หัวใจตนเองนั้นเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่น
ถึงรากถึงโคน… ระดับนายิกาถ้าจะทำได้ก็มิแปลก ต้องรีบกลับไปบอกเสียแล้ว
.
.
.
เมื่อพาฬกลับมาแล้วก็เข้านอน โดยวันนี้นางไปนอนกับกุมภิลกันสองคน ซึ่งอนงค์ก็ไม่ว่าอะไรถึงในใจจะมีระแวงบ้างก็ตาม ภายในห้องไม้ที่กลิ่นอับนั้นพาฬก็จุดตะเกียงไว้ข้างที่นอน สนทนาสัพเพเหระกับกุมภิลที่ทำท่าทีฟังแต่ใจนึกถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น มองพาฬที่กำลังยิ้มอย่างร่าเริงผิดกับตนเองที่หม่นหมอง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกผิด เจ็บแปลบๆ บอกไม่ถูก นึกถึงร่างของอีกฝ่ายที่เปื้อนเลือด อวัยวะบางส่วนหายไปก็ใจหายขึ้นมา นางไล่ภาพนั้นออกก่อนจะพยายามตั้งใจสิ่งที่พาฬกล่าวเพื่อลืมเรื่องเหล่านั้น
“จะว่าไปท่านมีครอบครัวไหม? ออกมาจะเต็มวันแล้วคงจะเป็นห่วงแย่”
“ก็มี แต่คงมิคิดมากดอก อย่าใส่ใจเลย” คำตอบนั้นทำให้พาฬมัวหมอง คิดว่าครอบครัวของกุมภิลไม่อบอุ่น “มิคิดมากฤ? …ข้ารู้สึกมิดีเลย” กุมภิลมองพาฬอย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีสีหน้าเช่นนั้น
“มิอบอุ่น… เจ้าหมายถึงอันใด?”
“ก็ครอบครัวน่ะ ถ้าจะดีก็ต้องมีความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย ถามทุกข์สุกดิบ การที่ครอบครัวของท่านมิใส่ใจบ่งบอกว่ามิได้เป็นห่วงท่านเลยเลย” คำวกวนนั้นฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ อาจเพราะว่ากุมภิลไม่เคยได้รับความห่วงใยนั้นเลยไม่เข้าใจ
“ข้ามิเข้าใจ” นางกล่าวด้วยสีหน้าที่ฉงนกว่าเดิม พาฬหัวเราะเบาๆ กับสีหน้าที่เหมือนเด็กไม่รู้ประสา ก่อนจะกล่าวอย่างขบขัน
“มิเป็นไร ท่านคงจะเข้าใจด้วยตนเอง แต่ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้อยู่เป็นเพื่อนด้วย …จะว่าไปนี่ก็ค่ำมากแล้ว นอนเสียดีกว่าค่อยคุยกันอีกทีพรุ่งนี้” กุมภิลพยักหน้ารับก่อนจะหลับตาพร้อมกับพาฬ แต่ไม่ทันไรก็ถูกพาฬถามขึ้น
“ข้าขอกอดท่านได้ไหม?” กุมภิลมองหน้าพาฬด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเข้าใจอะไรยากมาตลอด แต่พอขึ้นมาบนบกจนพบกับพาฬ นางก็รู้สึกว่าสิ่งที่พาฬกล่าวและกระทำนั้นค่อนข้างแปลก หรืออาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยเป็นเลยรู้สึกเช่นนั้น นางพยักหน้าเล็กน้อย เห็นดังนั้นแล้วพาฬก็เข้าไปกอดพร้อมกับซุกหน้าลงไปเหมือนเด็กหาความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ กุมภิลเผลอยิ้มด้วยความเอ็นดู เอื้อมมือไปโอบกอดพาฬ
“ราตรีสวัสดิ์” ทั้งสองกล่าวออกมาพร้อมกันก่อนจะค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา ระหว่างนั้นหัวใจสองดวงก็ถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่น โดยเฉพาะกุมภิลที่ไม่เคยได้รับความรู้สึกนี้มาก่อน
วิกาลนี้คงจะฝันดี …ความรู้สึกนี้เรียกว่าอันใดกันนะ?
เช้า
พอจะลืมตากุมภิลก็คิดว่าพาฬคงจะนอนกอดตนเอง ทว่าพอตื่นเต็มๆ ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่อยู่เสียแล้ว ทำให้เสียความรู้สึกอย่างบอกไม่ถูก นางเผลอบกมือมาทาบไว้กับอก หายใจเข้าออกอย่างช้าๆ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจขึ้นมา ด้วยความสงสัยว่ามีเรื่องอะไรนางจึงออกจากห้องไปแล้วลงจากเรือน ก่อนจะพบว่ามีชาวบ้านยืนสนทนากันหลายคน จนแทบไม่เห็นทางเบื้องหน้า นางพยายามเดินแทรกเข้าไประหว่างผู้คนเพื่อไปดูต้นเหตุที่ทำให้ชาวบ้านมาดูกันเช่นนี้
เมื่อพ้นออกมาก็พบกับต้นเหตุ เลือดที่ลอยปนกับน้ำคลองมากมายกับเลือดบริเวณฝั่ง กุมภิลมองไปรอบๆ ก็ไม่พบศพก่อนจะเห็นว่าพาฬกับอนงค์อยู่ไม่ห่างจากตนเองนัก นางเดินเข้าไปใกล้ๆ ทั้งสองคนก่อนจะถาม
“ข้ามิน่าเมตตาเลย …ท่านกุมภิล”
อนงค์กระซิบ ถึงจะเบาแต่ก็สร้างความหวาดหวั่นได้มาก น้ำเสียงที่เยือกเย็นยิ่งกว่าสายลมยามวิกาลนั้นทำให้กุมภิลนึกภาพตอนที่ตนเองตายด้วยน้ำมือนายิกาผู้นี้ นางเผลอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ดวงตาสีดำอมเลือดเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะสบกับดวงตาสีดำที่มืดมิดยิ่งกว่ารัตติกาลยากจะหยั่งถึง ความอ่อนโยนที่มักจะฉายก่อนหน้านี้เสมือนภาพลวงตา นางเบือนหน้าไปอีกทางเพราะทนไม่ไหว เป็นจังหวะเดียวกับที่พาฬหันมาเห็นพอดี
“อรุณสวัสดิ์ ท่านหิวฤๅยัง?” กุมภิลค่อยๆ หันมามองพาฬที่ยิ้มบางๆ นางเผลอยิ้มตามไปด้วย ความอึดอัดเมื่อครู่หายไปอย่างน่าแปลกใจ
“อืม” ได้ฟังดังนั้นพาฬก็ชวนให้กุมภิลกับอนงค์กลับเรือนไป ถึงจะยังข้องใจกับเลือดพวกนั้นว่ามีความเป็นมาอย่างไร ใครตาย? แล้วใครเป็นผู้สังหาร นางพยายามไม่คิดมากพลางยิ้มกลบเกลื่อนด้วย ซึ่งกุมภิลไม่เอะใจถึงสีหน้าที่ฝืนมีเพียงอนงค์ที่ทราบว่าลูกตนเองเป็นเช่นไร
ระหว่างที่เดินนั้น อนงค์ก็มองร่างจระเข้จำแลงด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา…
[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]
อดีต มิตรภาพ ความรัก องก์ที่ ๖
เมื่อทำอาหารเสร็จแล้วก็ทานอย่างเอร็ดอร่อย ระหว่างนั้นอนงค์ก็ทานไปคิดไปด้วย บ่อยครั้งที่นางจะใช้จิตสัมผัสพลังวิญญาณของผู้อื่น เพื่อให้ทราบว่ามีพลังวิญญาณแบบไหน ของกุมภิลอนงค์จับได้ว่ามีพลังวิญญาณจระเข้ ที่อยู่ในร่างมนุษย์นี้เพราะจำแลงมา กระนั้นนางก็ไม่ร้อนรนหรือกังวลแต่อย่างใด แต่ใช่ว่าจะไม่ระวังตัว ช่วงนี้ก็มีข่าวที่ชาวบ้านหายตัวไปติดต่อกันแล้ว แม้จะไม่มากแต่ก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น นางเลยคิดว่าคนที่หายตัวคงจะเป็นเพราะถูกพวกจระเข้จับไปทานกระมัง เนื่องจากได้ฟังมาบ้างว่าไม่มีร่อยรองของการ นอกเหนือจากเลือดแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีก
อนงค์เหลือบมองพาฬที่ไม่มีท่าทีระแวงอีกฝ่าย คงจะเป็นเพราะกุมภิลช่วยไว้เลยคิดว่าไว้ใจได้ ที่อนงค์เป็นมิตรด้วยก็เห็นแก่เรื่องนั้น แต่ถ้ากุมภิลคิดร้ายนางก็จะไม่อ่อนข้อให้
พาฬจะเอะใจไหมนะ?
“แม่มิสบายฤๅจ๊ะ?” อนงค์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะมองพาฬพลางยิ้มบางๆ “แม่เหม่อน่ะจ้ะ” กล่าวจบก็ทานอาหารต่อ พาฬมองอย่างฉงนแต่ก็ไม่ได้ถามต่อ เพราะแม่ตนเองก็เป็นมาไม่นานนี้เอง งานอาจจะเข้ามาเลยมีอะไรให้คิดอนงค์เลยเหม่อ พาฬทานอาหารต่อโดยไม่ค่อยใส่ใจแล้ว แม่อยากบอกก็คงบอกเองแหละ
จะว่าไปท่านกุสุมามีอาคมฤๅ ถึงทำให้จระเข้กลับไป ฤๅว่าจะมีอาคมเช่นเดียวกับที่แม่มีนะ?
พาฬเพิ่งนึกได้ ไม่เอะใจว่ากุมภิลอาจจะเป็นจระเข้ที่จำแลง ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นดีหรือไม่ดีที่นางคิดไปทางแง่บวก
“ท่านกุสุมา ครานั้นที่ช่วยข้าไว้ท่านทำได้อย่างไรกัน? ฤๅว่าจะมีอาคมเช่นเดียวกับแม่ข้า?” พาฬถาม กุมภิลใจหายวาบ นางคิดหาเหตุผลอย่างร้อนรน ใบหน้างามเริ่มมีเหยื่อไหลจนชื้นเล็กน้อย อนงค์สังเกตถึงสีหน้านั้นก็เข้าใจว่ากุมภิลเป็นอันใดไปแต่ก็ไม่กล่าว เพราะยังไม่อยากให้มีเรื่อง
“ข้า… ใช่ ข้ามีอาคม”
“สายควบคุมสินะ?” พาฬถามพร้อมกับยิ้ม กุมภิลพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่” กล่าวจบก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก อนงค์ยิ้มบางๆ ก่อนจะทานอาหารต่อเงียบๆ ปล่อยให้คนสองคนสนทนากันต่อไป
กลางวัน
ดูเหมือนว่าพาฬกับกุมภิลจะสนิทกันมากขึ้น ทั้งสองพอใจในตัวอีกฝ่าย กุมภิลอยู่กับพาฬแล้วสนุกมาก รู้สึกได้ถึงความจริงใจและความอบอุ่นที่อีกฝ่ายมีให้ พอนึกเปรียบเทียบระหว่างที่นี่กับถ้ำที่เปรียบได้กับพระราชวังบนบกแล้ว ก็รู้สึกว่าที่นั่นมีแต่ความเย็นชา ถึงจะไม่ได้ขนาดนั้นแต่ก็ไม่รู้สึกถึงความสดใสเลย สายตาเย็นชาที่มองกันราวกับจะทานเสียให้ได้ กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งนั้นช่างเย้ายวนนัก เนื้อสัตว์ทั้งเดรัจฉานและประเสริฐนั้นต่างกองไว้รวมกัน จระเข้ต่างแย่งเนื้อน่าสนุก แทะทานอย่างเอร็ดอร่อย …สภาพนั้นสำหรับนางก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่คงน่าหลงใหล
แต่พอมาเจอกับความบริสุทธิ์ที่แทบจะไม่มีคาวเลือด ไม่มีการแย่งเหมือนพวกผีหิวโหย ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนมีรอยยิ้มแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าตนเองอยู่กับมันได้อย่างไรตลอดตั้งแต่เยาว์จนเจริญวัยเป็นสาว
“ว่าแต่บ้านของไทยอยู่ไหนฤ?” สนทนากันมาเรื่อยๆ ก็วกกลับเข้าเรื่องที่เคยถามก่อนหน้า กุมภิลแทบจะกุมขมับกับความสงสัยของอีกฝ่าย สงสัยอย่างอื่นนี่ไม่ค่อยสนแต่เรื่องของนางนี่สนจังนะ
“ก็… เอ่อ”
ถ้าเกิดโกรธขึ้นมาจริงๆ คงคืนร่างเดิมแล้วล่ะ พาฬจ้องกุมภิลโดยไม่มีความเล่ห์เหลี่ยมแฝงอยู่ รู้สึกได้ถึงแววตานั้นเล่นเอานางสะอึกเลยทีเดียว รู้สึกบาปขึ้นมาถ้าให้สังหารคนบริสุทธิ์เช่นพาฬ บาปคงติดตัวไปตลอดชาติถึงภพหน้าเลยกระมัง ในขณะนั้นเองก็มีใครบางคนตะโกนขึ้นมา เสียงนั้นทำให้คนอื่นๆ พากันออกจากเรือนมาดูอย่างสนใจและไม่สบายใจ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ พาฬเองก็เป็นหนึ่งในนั้น นางลุกขึ้นก่อนจะเดินไปยังที่เกิดเหตุโดยไม่หันมาชวนกุมภิลเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเดินตามไปโดยไม่คิดอะไรมาก แต่พอมาถึงภาพที่เห็นแทบจะทำให้หัวใจนางเต้นแรงจนออกจากอกเสียให้ได้
…แขนข้างหนึ่งที่ไร้ร่างอยู่ในหนองเลือดริมคลอง มองไปรอบๆ ก็ไม่มีวี่แววของผู้ร้าย คนอื่นพากันสนทนากันอย่างออกรส บางคนก็ไม่ได้เป็นห่วง บางคนก็มองด้วยความหวาดกลัว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลัง กุมภิลทราบดีว่าใครเป็นผู้ทำ …ก็จระเข้ภายใต้การปกคลองของพี่ชายตนเองนี่แหละ นึกมาถึงตรงนี้แล้วก็หายใจไม่ทั่วท้อง เสียงที่จะเอ่ยนั้นเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทางฝ่ายพาฬนั้นก็หาร่องรอยเผื่อจะเจออาวุธที่ใช้ทำร้าย ทว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่พบเสียที
ทำไมถึงเหลือแต่แขน?
กลางคืน
“ท่านกุสุมา ขอคุยด้วยประเดี๋ยวหนึ่งได้ไหมเจ้าคะ?” อนงค์ถามเมื่อเห็นว่ากุมภิลอยู่คนเดียว ตอนนี้พาฬกำลังไปจับปลาที่ข้างนอกกุมภิลเลยไม่มีเพื่อนสนทนาจนต้องออกมารับลมเย็นๆ นางได้ยินคำถามนั้นก็รู้สึกหวาดหวั่นว่าเรื่องที่จะสนทนานั้นต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับตนเองแน่ กระนั้นก็พยักหน้าเป็นเชิงว่าได้ก่อนจะกล่าว
“ว่ามาสิ” น้ำเสียงเรียบนั้นช่างขัดกับจิตใจที่หวาดหวั่น ไม่อยากให้มีพิรุธเลยพยายามทำสีหน้าให้เรียบเฉย อนงค์เริ่มสีหน้าจริงจังขึ้นมา สร้างความกดดันให้อีกฝ่ายได้พอควร
“ท่านเป็นจระเข้สินะเจ้าคะ?” เหมือนกับใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เผลอกลั้นหายใจชั่วขณะ กุมภิลยิ้มบางๆ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าหน้าตนเองซีดเพียงใด ร่างกายบางส่วนสั่นเล็กน้อย ริมฝีปากเองก็เช่นกัน
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” กุมภิลยอมรับด้วยคำถามนั้น เพราะทราบดีว่าต่อให้กล่าวเท็จก็คงโดนจับได้ในสักวัน อนงค์ผ่อนคลายสีหน้า นางกล่าวเบาๆ “ข้าใช้จิตสัมผัสเจ้าค่ะ บางคนวิญญาณกับร่างเนื้อก็มิใช่เช่นเดียวกัน แต่ของท่านข้าสัมผัสได้ถึงสัตว์เดรัจฉาน กลิ่นคาวเลือดที่จางมากจนมีเพียงผู้ใช้อาคมเท่านั้นที่จะกลิ่น กับลักษณะภายในร่างกายที่ยังคงมีเค้าของจระเข้ทำให้ข้าทราบน่ะเจ้าค่ะ”
“หึ… เห็นเค้าเดิมนี่มิธรรมดาเลยนะ เป็นนายิกาล่ะสิ?”
“ทราบข่าวดีนะเจ้าคะ ดูท่าว่าท่านเองก็ทราบอะไรมิน้อยเลย”
“ตำแหน่งนายิกากับรองนายิกาใครๆ ก็รู้กันทั่ว ตำแหน่งอันสูงศักดิ์ที่ไว้เพียงสตรีที่มีคุณสมบัติหลายด้าน …แน่นอนว่าต้องมีมิน้อยที่ใช้อาคมเป็น มิใช่สิ ใช้เป็นกันทุกคน ข้าเลยคิดว่าเจ้าจะต้องเป็นนายิกา”
“รองนายิกาก็มีเช่นกัน ท่านลืมไปฤๅเจ้าคะ?” อนงค์ถามเสียงเรียบ กุมภิลที่เริ่มทำใจให้สงบได้แล้วก็ตอบ “ข้าว่าเจ้าน่าจะเป็นนายิกามากกว่านะ”
“คำตอบนี้คงเดาผิดๆ ถูกๆ สินะเจ้าคะ?” อนงค์ถามอย่างรู้ทัน กุมภิลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบ “ใช่”
“กลับเข้าเรื่องต่อนะเจ้าคะ ท่านคิดจะทำการใดกับพาฬฤๅ ถึงช่วยนางไว้ทั้งๆ ที่ท่านก็สามารถกินได้?” บรรยากาศเริ่มตึงเครียด กุมภิลเผลอกัดริมฝีปากด้วยความคิดมาก ความรู้สึกมันปนเปจนไม่อาจแยกออกมาได้ว่าเป็นเช่นไร
“ข้ามิรู้…” นั่นเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับนาง แต่สำหรับอนงค์แล้วนั่นเป็นคำตอบที่ไม่ดีที่สุด “ข้าหวังว่าท่านจะคิดคำตอบได้ดีกว่านี้นะเจ้าคะ”
“ให้เวลาข้าเถิด” อนงค์หรี่ตาอย่างพินิจกุมภิลที่เหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีดำพลางกล่าวเบาๆ “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ แต่ข้ามีเรื่องจะขอร้อง”
“?” กุมภิลละสายตาจากท้องฟ้ามามองอนงค์อย่างฉงน อีกฝ่ายสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะถอนออกมาแล้วกล่าว “หากข้าเห็นว่าเหล่าจระเข้กินชาวบ้านอีกเมื่อใด รวมทั้งพาฬเองก็ด้วย ครานั้นข้าจะสังหารท่านรวมทั้งจระเข้ให้ถึงถอนรากถอนโคน มิให้มีเผ่าพันธุ์จระเข้ถือกำเนิดขึ้นอีก” แม้จะไม่ได้กล่าวเสียงดัง แต่ทุกคำที่นางกล่าวเน้นจนสร้างความกดดัน น้ำเสียงนั้นไม่ได้แสดงความโกรธแต่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นจนขนลุก กุมภิลมองไปทางอื่นก่อนจะกล่าว
“โอหังนัก คิดฤๅว่าเป็นเดรัจฉานแล้วจะชนะได้?” ถึงจะกล่าวเช่นนั้นแต่ก็กังวลในใจ เพราะด้วยความที่ทราบดีว่านายิกานั้นมีความสามารถและมีพลังที่เหลือล้น การจะทำเช่นนั้นได้สำเร็จก็คงมิเกินมือ
“ข้ามิได้เห็นเช่นนั้น …ข้าหมดกิจแล้วขอตัวก่อนนะเจ้าคะ” กล่าวจบอนงค์ก็เดินกลับเข้าตัวเรือนไป กุมภิลมองตามในขณะที่หัวใจตนเองนั้นเต้นรัวด้วยความหวาดหวั่น
ถึงรากถึงโคน… ระดับนายิกาถ้าจะทำได้ก็มิแปลก ต้องรีบกลับไปบอกเสียแล้ว
.
.
.
เมื่อพาฬกลับมาแล้วก็เข้านอน โดยวันนี้นางไปนอนกับกุมภิลกันสองคน ซึ่งอนงค์ก็ไม่ว่าอะไรถึงในใจจะมีระแวงบ้างก็ตาม ภายในห้องไม้ที่กลิ่นอับนั้นพาฬก็จุดตะเกียงไว้ข้างที่นอน สนทนาสัพเพเหระกับกุมภิลที่ทำท่าทีฟังแต่ใจนึกถึงเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น มองพาฬที่กำลังยิ้มอย่างร่าเริงผิดกับตนเองที่หม่นหมอง ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกผิด เจ็บแปลบๆ บอกไม่ถูก นึกถึงร่างของอีกฝ่ายที่เปื้อนเลือด อวัยวะบางส่วนหายไปก็ใจหายขึ้นมา นางไล่ภาพนั้นออกก่อนจะพยายามตั้งใจสิ่งที่พาฬกล่าวเพื่อลืมเรื่องเหล่านั้น
“จะว่าไปท่านมีครอบครัวไหม? ออกมาจะเต็มวันแล้วคงจะเป็นห่วงแย่”
“ก็มี แต่คงมิคิดมากดอก อย่าใส่ใจเลย” คำตอบนั้นทำให้พาฬมัวหมอง คิดว่าครอบครัวของกุมภิลไม่อบอุ่น “มิคิดมากฤ? …ข้ารู้สึกมิดีเลย” กุมภิลมองพาฬอย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีสีหน้าเช่นนั้น
“มิอบอุ่น… เจ้าหมายถึงอันใด?”
“ก็ครอบครัวน่ะ ถ้าจะดีก็ต้องมีความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใย ถามทุกข์สุกดิบ การที่ครอบครัวของท่านมิใส่ใจบ่งบอกว่ามิได้เป็นห่วงท่านเลยเลย” คำวกวนนั้นฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ อาจเพราะว่ากุมภิลไม่เคยได้รับความห่วงใยนั้นเลยไม่เข้าใจ
“ข้ามิเข้าใจ” นางกล่าวด้วยสีหน้าที่ฉงนกว่าเดิม พาฬหัวเราะเบาๆ กับสีหน้าที่เหมือนเด็กไม่รู้ประสา ก่อนจะกล่าวอย่างขบขัน
“มิเป็นไร ท่านคงจะเข้าใจด้วยตนเอง แต่ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้อยู่เป็นเพื่อนด้วย …จะว่าไปนี่ก็ค่ำมากแล้ว นอนเสียดีกว่าค่อยคุยกันอีกทีพรุ่งนี้” กุมภิลพยักหน้ารับก่อนจะหลับตาพร้อมกับพาฬ แต่ไม่ทันไรก็ถูกพาฬถามขึ้น
“ข้าขอกอดท่านได้ไหม?” กุมภิลมองหน้าพาฬด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเข้าใจอะไรยากมาตลอด แต่พอขึ้นมาบนบกจนพบกับพาฬ นางก็รู้สึกว่าสิ่งที่พาฬกล่าวและกระทำนั้นค่อนข้างแปลก หรืออาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยเป็นเลยรู้สึกเช่นนั้น นางพยักหน้าเล็กน้อย เห็นดังนั้นแล้วพาฬก็เข้าไปกอดพร้อมกับซุกหน้าลงไปเหมือนเด็กหาความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่ กุมภิลเผลอยิ้มด้วยความเอ็นดู เอื้อมมือไปโอบกอดพาฬ
“ราตรีสวัสดิ์” ทั้งสองกล่าวออกมาพร้อมกันก่อนจะค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา ระหว่างนั้นหัวใจสองดวงก็ถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่น โดยเฉพาะกุมภิลที่ไม่เคยได้รับความรู้สึกนี้มาก่อน
วิกาลนี้คงจะฝันดี …ความรู้สึกนี้เรียกว่าอันใดกันนะ?
เช้า
พอจะลืมตากุมภิลก็คิดว่าพาฬคงจะนอนกอดตนเอง ทว่าพอตื่นเต็มๆ ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่อยู่เสียแล้ว ทำให้เสียความรู้สึกอย่างบอกไม่ถูก นางเผลอบกมือมาทาบไว้กับอก หายใจเข้าออกอย่างช้าๆ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจขึ้นมา ด้วยความสงสัยว่ามีเรื่องอะไรนางจึงออกจากห้องไปแล้วลงจากเรือน ก่อนจะพบว่ามีชาวบ้านยืนสนทนากันหลายคน จนแทบไม่เห็นทางเบื้องหน้า นางพยายามเดินแทรกเข้าไประหว่างผู้คนเพื่อไปดูต้นเหตุที่ทำให้ชาวบ้านมาดูกันเช่นนี้
เมื่อพ้นออกมาก็พบกับต้นเหตุ เลือดที่ลอยปนกับน้ำคลองมากมายกับเลือดบริเวณฝั่ง กุมภิลมองไปรอบๆ ก็ไม่พบศพก่อนจะเห็นว่าพาฬกับอนงค์อยู่ไม่ห่างจากตนเองนัก นางเดินเข้าไปใกล้ๆ ทั้งสองคนก่อนจะถาม
“ข้ามิน่าเมตตาเลย …ท่านกุมภิล”
อนงค์กระซิบ ถึงจะเบาแต่ก็สร้างความหวาดหวั่นได้มาก น้ำเสียงที่เยือกเย็นยิ่งกว่าสายลมยามวิกาลนั้นทำให้กุมภิลนึกภาพตอนที่ตนเองตายด้วยน้ำมือนายิกาผู้นี้ นางเผลอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ดวงตาสีดำอมเลือดเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะสบกับดวงตาสีดำที่มืดมิดยิ่งกว่ารัตติกาลยากจะหยั่งถึง ความอ่อนโยนที่มักจะฉายก่อนหน้านี้เสมือนภาพลวงตา นางเบือนหน้าไปอีกทางเพราะทนไม่ไหว เป็นจังหวะเดียวกับที่พาฬหันมาเห็นพอดี
“อรุณสวัสดิ์ ท่านหิวฤๅยัง?” กุมภิลค่อยๆ หันมามองพาฬที่ยิ้มบางๆ นางเผลอยิ้มตามไปด้วย ความอึดอัดเมื่อครู่หายไปอย่างน่าแปลกใจ
“อืม” ได้ฟังดังนั้นพาฬก็ชวนให้กุมภิลกับอนงค์กลับเรือนไป ถึงจะยังข้องใจกับเลือดพวกนั้นว่ามีความเป็นมาอย่างไร ใครตาย? แล้วใครเป็นผู้สังหาร นางพยายามไม่คิดมากพลางยิ้มกลบเกลื่อนด้วย ซึ่งกุมภิลไม่เอะใจถึงสีหน้าที่ฝืนมีเพียงอนงค์ที่ทราบว่าลูกตนเองเป็นเช่นไร
ระหว่างที่เดินนั้น อนงค์ก็มองร่างจระเข้จำแลงด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ