ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  113.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ ๑: อุบัติเหตุแปลกประหลาด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     

บทที่

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

อุบัติเหตุแปลกประหลาด

                วันจันทร์ที่ ๒๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๘

                เช้า

                เด็กหญิงเกล้ามวยผมถึงกลางกระหม่อมประดับด้วยรัดเกล้าสีเงินฝังด้วยอัญมณีสีแดงสองเม็ดกับปิ่นปักผมรูปกนกไทยปล่อยผมที่เหลือซึ่งยาวถึงเอว นอนบนเตียงไม้ฟูกสีขาวพลางอ่านหนังสือที่เก่าแล้วขาดบางบางจุด สีออกเหลืองน้ำตาลเพราะมีอายุมากแล้ว ถึงตัวหนังสือจะขาดๆ หายๆ ทว่ายังสามารถพออ่านออกได้

                เรื่องนี้เรื่องเหรอ? ทำไมไม่เคยได้ยินเลยล่ะ? ในเมื่อมันเป็นตำนานนี่

                เธอถามในใจกับเนื้อหาของหนังสือที่กล่าวถึงหญิงสาวผู้ต่อกรกับยักษ์สองตน

                ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิงแต่มีวิชาต่อสู้กับไสยศาสตร์ สามารถกำราบยักษ์ได้นี่สุดยอดไปเลย

                เธอคิดคล้ายกับเด็กดูการ์ตูนผู้พิทักษ์โลก สำหรับเธอแล้วเรื่องแบบนี้ค่อนข้างน่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เด็กหญิงเกล้ามวยผมผู้มีนามว่า สังรศรี วีรสังฆะ (ศรี) หยิบนาฬิกาจากโต๊ะเล็กๆ ข้างเตียงมาดูก็พบว่าได้เวลาที่จะต้องไปโรงเรียนแล้ว เธอจึงจำต้องวางหนังสืออย่างเสียดาย

                ไม่เป็นไร ยังไงกลับมาก็ได้อ่านอยู่ดีแหละ

                ศรีคิดพลางยิ้มแป้นในขณะที่ตนเองนั้นหยิบผ้าขนหนูพร้อมกับชุดนักเรียนเข้าไปในห้องน้ำ เธอเดินมาที่หน้ากระจก ข้างใต้มีอ่างล้างหน้าซึ่งมียาสีฟันกับแปรงสีฟันที่ใส่ในที่เก็บ ศรีล้างแปรงสีฟันก่อนจะใส่ยาสีฟันลงไป พอเธอเลื่อนสายตามองกระจกเพื่อจะได้แปรงฟันอย่างสะดวกสักพักรอยยิ้มของเธอก็หายไป แทนที่ด้วยความความตกตะลึง แปลกใจ หวาดกลัว

                 …ในกระจกเงานั้นมีเงาของเธอซึ่งเงาของเธอมีเขี้ยวยักษ์โค้งออกมาพร้อมกับ ตรงมุมปากมีสัญลักษณ์ลายไทย ลักษณะดังกล่าวเป็นเช่นเดียวกับยักษ์ตามความเชื่อคนไทยไม่มีผิด ตอนแรกที่เธอรู้สึกตกตะลึงและหวาดกลัวก็เปลี่ยนความรู้สึกเป็นเศร้าแทน

                 ไม่ว่าใครเห็นแบบนี้ถ้าไม่สติแตกก็คงเป็นลมไม่ก็นิ่งค้าง แต่เธอไม่ได้เป็นเช่นนั้น …เพราะเธอรู้มาตลอดถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเอง และตัวตนที่แท้จริงของตนเองนี่แหละที่เคยทำร้ายและฆ่าคนมาแล้ว ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งก็ไม่ชินเสียที

                 ศรีหลับตาพอเวลาผ่านไปสักพักก็ค่อยๆ ลืมขึ้นก็พบว่าเงาของตนเองกลับมาเป็นเช่นเดิมแล้ว เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะแปรงฟันโดยที่ภาพนั้นยังคงขึ้นใจยากที่จะลืมเลือน…

                พออาบเสร็จแล้วเธอก็แต่งตัวก่อนจะออกจากห้องน้ำแล้วตากผ้าขนหนูไว้กับราวไม้และเดินลงไปข้างล่าง พอไปถึงเธอก็ได้กลิ่นหอมของอาหารที่พี่สาวเธอทำในห้องครัว กลิ่นหอมกระตุ้นความหิวจนลืมเรื่องในห้องน้ำเสียสนิท เธอยิ้มอย่างร่าเริงพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องครัว พบหญิงสาวผมลอนออกหยักศกยาวถึงสะโพกเกล้าผมทรงหางม้าสูงผูกด้วยริบบิ้นสีน้ำเงิน ซึ่งเธอก็คือพี่สาวของศรีนั่นเองเอง พอหันมาก็พบว่าน้องสาวนั่งรออยู่กับโต๊ะทานอาหารแล้ว เห็นเช่นนั้นผู้เป็นพี่สาวก็ยิ้มให้กับน้องของตนเอง เธอยกอาหารบนถาดมาวางไว้ก่อนจะนั่งลงตาม

              “พี่อสุรามาทำอาหารเร็วจังเลยค่ะ คราวหน้าบอกให้หนูไปช่วยบ้างก็ได้นะคะ หนูมัวแต่อ่านหนังสือเลยไม่รู้ว่าพี่ตื่นก่อนแล้ว” ศรีกล่าวขึ้นก่อน พี่สาวเจ้าของนามอสุรา วีรสังฆะ ยิ้มบางๆ พร้อมกับลูบศีรษะของศรีอย่างเอ็นดู

             “นอนไปนั่นแหละดีแล้ว เป็นเด็กต้องนอนให้ครบชั่วโมงถึงจะดี ตื่นเช้ามาช่วยพี่ทำอาหารอย่างเดียวมันก็ยังไงๆ อยู่นะ”

             “ครอบครัวอื่นเขาอยากให้คนในครอบครัวมาช่วยงานแต่พี่ไม่ให้ช่วยหนูก็รู้สึกไม่ดีนะคะ”

             “อย่ากังวลเลยจ้ะ มาๆ กินกันก่อนเถอะเดี๋ยวจะหายร้อนเสียก่อน” อสุรารีบตัดบทเพราะไม่อยากให้น้องสาวกังวลกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พออสุราทานเข้าไปคำแรกศรีจึงทานบ้าง มื้อเช้านี้เป็นขนมปังหน้าไข่ แม้เป็นรายการอาหารธรรมดาแต่ไม่ค่อยได้ทานนัก หากว่าวัตถุดิบไม่หมดและขนมปังไม่เหลือก็คงไม่ได้ทานหรอก

            “จะว่าไปแล้วพ่อกับแม่ยังไม่กลับมาอีกเหรอคะ ไหนตอนนั้นบอกว่าจะกลับมาภายในคืนเมื่อวานนี่คะ?” ศรีถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นพ่อกับแม่ของตนเองที่ยังไม่กลับมาจากที่ทำงาน อสุราหยุดชะงักไปกับคำถามนั้นเพราะคำตอบมันไม่ค่อยน่าฟังสำหรับทั้งสองนัก

            “ใช่จ้ะ แต่เผอิญมีงานเร่งด่วนเข้ามาอีกท่านทั้งสองเลยต้องอยู่ทำต่อ …เอาน่า อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิจ๊ะ หนูยังมีพี่อยู่ทั้งคนนี่” อสุราปลอบเมื่อเห็นว่าสีหน้าของน้องสางเศร้าหมองมากขึ้นเรื่อยๆ เธอลอบถอนหายใจด้วยความเห็นใจ ถึงเธอจะไม่ได้คิดถึงพ่อแม่เพราะไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับท่านทั้งสองนักแต่พอน้องสาวตนเองเป็นเช่นนี้เธอไม่สบายใจจริงๆ

             …ศรีจะรู้เปล่านะว่าพ่อแม่ของเราไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริง…

             .

             .

             .

          โรงเรียน

          หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วศรีกับอสุราก็นั่งรถจักรยานยนต์ไปโรงเรียน เมื่อมาถึงแล้วศรีก็ลงจากรถและยกมือไหว้สวัสดี อสุรารับไหว้พร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะหยิบกระอับใส่อาหารจากตะกร้ารถฯ มาให้น้องสาว เมื่อคุยกันต่อเสร็จแล้วอสุราก็ขี่รถจักรยานยนต์ออกไป ศรียืนนิ่งๆ ยิ้มส่งลาให้ พอลับสายตาแล้วเธอก็หันหลังและก้าวเดินมุ่งหน้าไปที่ห้องเรียน เดินไปไม่ทันไรก็เจอกับเฉาก๊วย เด็กชายตัดผมรองทรงซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของศรีมาตั้งแต่เด็กยิ้มอย่างสดใสพลางกล่าวทักทาย

          “สวัสดี”

          “สวัสดีจ้ะ”

           ศรียิ้ม เธอเดินต่อพร้อมกับเฉาก๊วยที่ชวนเธอคุยอย่างร่าเริง ใจจริงเธอก็ไม่ใช่คนคุยเก่งหรือมีเรื่องอะไรใหม่ๆ ให้คุยกันได้นัก ฉะนั้นแล้วตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นผู้ฟังมากกว่า กระนั้นเธอก็ไม่ได้รำคาญนักเพราะเฉาก๊วยจะชวนคุยเรื่องที่เขาคิดว่าเธอน่าจะพอได้อ่าน ฟังมาบ้าง อาทิ ข่าวเศรษฐกิจ (ที่น้อยเด็กคนนักจะคุยกัน) หนังสือที่ได้อ่านช่วงวันหยุด หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ด้วยความที่เป็นคบ (ในฐานะเพื่อน) มานานทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้จักใจคอดี …กระนั้นก็ไม่มีฝ่ายไหนรู้สึกเกินกว่าเพื่อน และศรีก็พอใจในความสัมพันธ์แบบนี้

          เฉาก๊วยรู้ดีว่าศรีไม่ค่อยติดตามข่าวสารเท่าไหร่ ยิ่งข่าววงการบันเทิงยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง บางครั้งเขาก็ต้องขุดคุ้ยเรื่องเนื้อหาเรียนที่เคยเรียนมาซึ่งดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะดีเสียด้วย เพราะเธอมองเขาด้วยความสนใจที่มากขึ้น ยิ่งวิชาภาษาไทยกับประวัติศาสตร์ศรีจะสนใจเป็นพิเศษ

 

          กลางวัน

          “อ้าว วันนี้ไม่กินข้าวกล่องเหรอ?” เฉาก๊วยถามเมื่อเห็นศรีลุกขึ้นจากโต๊ะจะไปซื้ออาหาร เธอเหลือบมองกระอับใส่อาหารแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มให้ “อ๋อ ฉันรู้สึกอยากทานมากๆ ยังไงก็ไม่รู้น่ะ”

          “งั้นไปดีมาดีล่ะ” เฉาก๊วยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กังวล ศรีเองก็ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงกล่าวเช่นนั้น …เพราะข่าวลือที่เธอเป็นอสูรซึ่งจะนำความพินาศทำให้คนส่วนใหญ่รังเกียจแล้วคอยหาเรื่องแทบจะตลอดและเกือบทุกวัน ศรีพยายามลืมเรื่องนั้นในขณะที่เดินมุ่งหน้าไปที่ร้านขายขนมปัง

          …แต่แล้วเรื่องที่เธอกังวลก็เกิดขึ้นเมื่อมาเด็กหญิงคนหนึ่งเดินอย่างรวดเร็วพร้อมกับชามใส่ก๋วยเตี๋ยวในมือ ชนเข้ากับศรีอย่างจงใจแล้วก๋วยเตี๋ยวก็หดราดใส่ร่างของศรีจนเลอะเทอะไปหมด

          “ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจแค่เจตนาน่ะ!”

          พอกล่าวจบนักเรียนส่วนใหญ่ที่เกลียดศรีก็พากันหัวเราะลั่นโรงอาหารรวมทั้งเด็กหญิงที่ชนศรีด้วย ความประหม่า อับอายและเคืองทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก ได้เพียงแต่ส่งสายตาเกรี้ยวกราดให้อีกฝ่าย แม้จะเหตุการณ์นี้จะเล็กน้อยแต่ทำให้คนที่กลัวศรีแต่ไม่กล้าแกล้งหัวเราะด้วยความสาแก่ใจ เพียงแค่นี้ก็ทำให้อาหารของบางคนที่จืดชืดมีรสชาติขึ้นมาทันที

          ชลจร เด็กชายตัดผมส่วนบริเวณใกล้หูออกสวมสร้อยสีเงินซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้องกับศรี …ไม่สิ เป็นเพื่อนที่แอบชอบศรี พยายามหาเธอว่าอยู่ตรงไหน เมื่อเจอแล้วในขณะที่เขาจะเดินเข้าไปตักเตือนเด็กหญิงคนนั้น จู่ๆ ก็มีเด็กหญิงผมสีเงินปลายสีดำมัดต่ำ มัดปอยผมด้านหน้าข้างหนึ่งเดินเข้ามาข้างหน้าศรี เธอประจันหน้ากับเด็กหญิงที่ชนศรีและกล่าวด้วยเสียงที่เยือกเย็น

          “ถ้าว่างมากนักแทนที่จะรีบกินข้าวแล้วไปทำงานกลุ่ม ยังอุตส่าห์มีเวลาเถลไถลอีกรึ?”

          “นี่ยันต์ คิดว่าเท่เหรอถึงมาปกป้องยายผีนั่น …โอ๊ะ จริงด้วยสินะ ฉันลืมไปเลยว่าแกสองคนมันก็เป็นภูตผีปีศาจเหมือนกันนี่นะ” อีกฝ่ายกล่าวเยาะเย้ยในขณะที่บางคนโห่ร้องให้ศรีกับเด็กหญิงคนผมสีเงิน ศรีมองรอบข้างด้วยแค้น ทว่าเธอไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาในขณะคนที่อยู่ข้างหน้ายืนนิ่งไม่กล่าวอะไรต่อ เด็กหญิงข้างหน้าหันหลังพร้อมกับจับมือศรีมุ่งหน้าไปที่อ่างล้างมือโดยที่เด็กหญิงฝ่ายตรงข้ามเข้ามากระชากไหล่

          “อย่าเมินนะยายบ้า!”

          พลั่ก!

          ด้วยอารมณ์ที่สั่งสมมานานส่งผลให้ศรีชกหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ออมมือ กระนั้นเธอก็เล็งๆ ไว้ไม่ให้เลือดออก ให้มีรอยฟกช้ำก็พอ เพราะหากเลือดออกมีหวังถูกโดนคุณครูลงโทษแน่ ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น ไม่ใช่เพราะศรีทำร้ายแต่เป็นเพราะการที่ผู้หญิงจะชกหน้าไม่ค่อยเห็นนัก ถ้าเกิดจะทำร้ายน่าจะตบหน้าเสียคงคุ้นชินกว่า ชลจรที่จะเข้ามาช่วยถึงกับชะงักไป …เขาเคยเห็นที่ส่วนใหญ่นางเอกที่ถูกรังเกียจจะไม่ทำร้ายใครแม้จะถูกรังแกเพียงใด อย่างว่าแหละนะ มันหมดยุคสมัยที่นางเอกเจ้าน้ำตาจะออกโรงแล้ว แม้สมัยนี้เรื่องราวต่างๆ ที่สร้างสรรค์ขึ้นนางเอกจะต่อต้านบ้าง… แต่ผู้หญิงชกหน้าเพื่อทะเลาะกันเขาไม่คุ้นชินเสียเลย

          …ถึงเวลาของนางร้ายบ้างล่ะ!

          “เป็นยังไงบ้างล่ะ? อร่อยไหมเลือดที่ซึมในปากน่ะ?” ระหว่างที่ศรีถามอย่างเยาะเย้ยด้วยความสาแก่ใจนั้น เด็กหญิงที่ชนศรีก็พยายามกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้นไม่ให้ออกมา ฉับพลันโรงอาหารก็ค่อยๆ เงียบก่อนที่จะมีนักเรียนหญิงมัธยมปลายพูดขึ้น

          “เฮ้ย! คิดว่าต่อยแล้วจะเท่เหรอวะ?!”

          “ว้าย! ร้องไห้แล้ว!---แกโดนแน่ยายศรี!”

          “ฮ่าๆๆ !!”

          คำพูดต่างๆ ก้องโรงอาหาร ทว่าตอนนี้ ศรี ยันต์ (เด็กหญิงผมสีเงิน) ชลจรและเฉาก๊วยที่เพิ่มเดินมาถึงต่างได้ยินเสียงทั้งหลายเป็นเพียงเสียงลมพัดเท่านั้น ชลจรกับเฉาก๊วยรู้สึกหวาดหวั่นกับริมฝีปากที่เหยียดยิ้มและบรรยากาศที่เยือกเย็นจากศรี …ทว่าไม่มีใครรู้สึกถึงสิ่งที่เธอกำลังเป็นจึงหัวเราะเยาะต่อไป แต่หลังจากที่เธอก้มหน้ามาตลอดนั้นก็เงยขึ้นหันมองไปรอบๆ …สีหน้าเกรี้ยวกราดกับดวงตาสีดำที่กลายเป็นสีแดงเฉกเช่นเลือดทำให้ทุกคนหุบปากแทบไม่ทัน ไอสังหารที่เยือกเย็นแผ่ปกคลุมจนบางคนก็รู้สึกหน้ามืด เฉาก๊วย ชลจรและเด็กหญิงที่ชนศรีก็เป็นหนึ่งในนั้น ใจเต้นไม่เป็นจังหวะแรงขึ้นเพราะความหวาดกลัว

          “ฉันทำได้มากกว่านี้ ถ้าอยากตายก็บอกมาได้นะฉันจะได้จัดให้!”

          “กรี๊ด!!” ทั้งโรงอาหารเต็มไปด้วยเสียงหวีดร้องและเสียงเอะอะโวยวาย บางคนที่อยู่บริเวณที่ศรียืนอยู่ถึงกับเป็นลมทั้งยืน บางคนก็วิ่งหนีรวมทั้งเด็กหญิงที่ชนศรีด้วย …ทุกคนต่างตระหนักถึงข่าวลือที่ว่าเธอเคยฆ่าคนมามากมายทำให้นักเรียนในโรงอาหารออกจากตรงนั้นเพราะกลัวตาย ตอนนี้ในโรงอาหารแทบไม่มีใครอยู่แล้วเว้นแต่คนที่ยังมีใจกล้าที่ยืนมองอย่างไม่ละสายตา จู่ๆ ดวงตาสีแดงก็กลับเป็นสีดำ

          แค่ตาเปลี่ยนสีนี่กลัวได้ขนาดนี้เลยเหรอ? จิตอ่อนจริงพวกนี้

          ยันต์คิดด้วยความเหนื่อยอ่อน ทว่าจู่ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างแปลกไปจึงหันไปมองศรีที่ยืนก้มหน้า

          เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เนตรยันต์มรณะใกล้จะตื่นเหรอ? จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อ

          “!!”

          ยันต์เบิกตาด้วยความตกตะลึงเมื่อมองเห็นว่าผู้มาใหม่คือเด็กชายสองพี่น้องฝาแฝดยืนอยู่ไม่ห่างนัก คนพี่ผมสีดำเหลือบสีทองแดง คนน้องผมสีดำเหลือบสีกรมท่า ซึ่งทั้งสองกำลังมองศรีด้วยความเป็นห่วง… ช่างขัดกับสีหน้าเรียบเฉยนัก

          และแล้วก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรหรือเข้ามาในโรงอาหารอีก จนกระทั่งศรีและเพื่อนๆ ที่อยู่ด้วยกันเดินออกจากโรงอาหาร  เหล่านักเรียนที่หนีไปจึงกลับมาทานอีกครั้ง

 

          “ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

          ยันต์กล่าวเมื่อมาถึงห้องที่ฝาแฝดอยู่ประจำชั้น ทั้งสองมองเธอด้วยความฉงน เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอก็กล่าวเปิดประเด็น

          “เนตรของศรีดูท่าว่าจะตื่นง่ายกว่าแต่ก่อน ฉันว่าทางที่ดีพวกนายกลับเข้าไปในนั้นจะดีกว่านะ”

          “คงไม่ได้หรอก ฉันเองก็ต้องคอยดูว่าจะมีใครมาชิงปิ่นปักผม รัดเกล้าและเนตรของนายท่านหรือไม่ พอถึงการณ์นั้นจะได้ต่อกร” คิมหันต์กล่าวแย้งด้วยความไม่สบายใจโดยมีเหมันต์พยักหน้าเห็นด้วย ยันต์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล่าว

          “แล้วจะปล่อยไปเช่นนี้เหรอ? ถ้าเกิดศรีอาละวาดขึ้นมาจะทำเช่นไรล่ะ? ศรีเองเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยทำสมาธิเพื่อควบคุมมันแล้วแถมร่างอสูรนับวันก็ยิ่งตื่นง่ายขึ้น เพียงแค่ได้เห็นเลือดมันก็กระตุ้นมากพอแล้ว หากนายสองคนที่มีจิตวิญญาณเชื่อมกับจิตวิญญาณศรีออกจากที่ผนึกแล้วมันจะยิ่งดึงพลังของศรีมากขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วพวกนายกลับเข้าไปเสียเถอะ เพื่อความปลอดภัยของศรีที่พวกนายเคารพ” เหตุผลที่ยันต์กล่าวนั้นไม่มีตรงไหนที่จะแย้งได้ ทว่าสองพี่น้องยังคงดื้อต่อไปจึงกล่าวปฏิเสธ

          “ไม่ พวกฉันจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด เพื่อนายท่านแล้วแม้หากพวกฉันตัดสินใจผิดก็พร้อมพลีกายปกป้องนายท่านจากอันตรายทั้งปวง”

          “พวกนายดื้อไปแล้วนะ” เสียงของยันต์ที่เย็นอยู่แล้วยิ่งเย็นเข้าไปใหญ่ แต่สองพี่น้องหาได้กลัวไม่ยังคงคัดค้านหัวชนฝา “ยังไงก็ไม่”

          “เช่นนั้นก็ตามใจ แต่หากศรีเป็นอะไรขึ้นมาฉันไม่ไว้ชีวิตพวกนายแน่” กล่าวจบยันต์ก็เดินออกจากห้องไป สองพี่น้องมองหน้ากันแทนคำตกลงว่าจะทำให้ได้อย่างที่พูดจริงๆ

 

          เย็น

          “ใกล้สอบแล้ว ขี้เกียจอ่านหนังสือจัง” เฉาก๊วยกล่าวในขณะที่เขากับศรีเดินกลับบ้าน ศรียิ้มกับท่าทางเบื่อหน่ายนั้นก่อนจะกล่าว

          “นั่นสินะ”

          “จริงด้วยสิ เรื่องเมื่อตอนกลางวันเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เฉาก๊วยถามและหันหน้ามามองด้วยความเป็นห่วง ศรียิ้มเศร้าๆ พลางตอบ “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ จะว่าไปเมื่อตอนกลางวันแค่ฉันขู่ว่าจะทำร้ายทำไมทุกคนถึงหนีล่ะ? ตัวฉันคงไม่มีอะไรแปลกไปใช่ไหม?” ได้ยินเช่นนั้นเฉาก๊วยก็ชะงักไป เขาเสมองไปทางอื่นก่อนจะตอบ

          “…ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เธอไม่เป็นอะไรแหละดีแล้วเพราะฉะนั้นอย่าใส่ใจเลย ---เอ้อ เดี๋ยวเราไปกินขนมปังปิ้งตรงนั้นดีไหม? ฉันเริ่มหิวแล้วล่ะ” เฉาก๊วยถามพลางปั้นยิ้มให้ดูเหมือนไม่มีอะไรซึ่งก็ได้ผลเพราะศรีเริ่มยิ้มสดใสโดยที่ไม่มีทีท่าจะสงสัยเขาสักนิดเดียว

          “อย่างนั้นก็ได้ ฉันเองก็หิวแล้วเหมือนกันน่ะ”

          เมื่อมาถึงศรีก็นั่งที่โต๊ะตรงข้างนอกร้านโดยที่เฉาก๊วยเดินไปซื้อขนม ศรีมองไปรอบๆ เพราะไม่มีอะไรทำแล้วสะดุดกับร่างหนึ่งที่นั่งโต๊ะถัดไปไม่ไกลนัก ดวงตาเบิกด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัว …อสุเรนทร์ คนที่เธอหวาดกลัวมากที่สุดเพราะเคยทำร้ายเมื่อครั้นยังเด็กอยู่กำลังมองมาที่เธอด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา แม้เธอจะเคยโดนหนักกว่าที่เขาเคยทำร้ายแต่ความกลัวตั้งแต่ตอนนั้นมันได้ฝังรากลึกจนยากจะขุดออกแล้ว

          ศรีทำเป็นมองไม่เห็น รู้สึกว่าร่างกายสั่นเทา เธอหันไปมองเฉาก๊วยที่ยังคงยืนรอด้วยความหวังที่ว่าเขาจะกลับมาเร็วๆ ไม่ใช่ให้เขาทำอะไรแต่เพราะอยากให้อยู่ด้วยกันจะได้อุ่นใจก็เท่านั้นเอง

          “นั่งด้วยนะ” อสุเรนทร์ลุกจากโต๊ะเดินมานั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ศรี เธอหวาดกลัวจนไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อน อยากหนีก็หนีไม่ได้เพราะความหวาดกลัวคืบคลานเข้ามา เธอพยักหน้าโดยที่ไม่ต้องคิด

          “เรื่องเมื่อตอนกลางวัน… มีแต่คนพูดถึงกัน …เธอเป็นยังไงบ้าง?”

          “…” ศรีเงียบ ไม่ตอบอสุเรนทร์ อีกฝ่ายถอนหายใจในขณะที่เหลือบเห็นว่าเฉาก๊วยรับขนมมาจากคนขายแล้วก็เป็นเชิงว่าเขาควรจะออกจากโต๊ะนี้ อสุเรนทร์ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไป ศรีมองตามด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก โล่งใจระคนเศร้าใจและสงสาร ถึงเขาจะเคยทำร้ายแต่พอเห็นเขาอยู่คนเดียวและแสดงสีหน้าเหงาๆ มันทำให้เธออยากเข้าไปอยู่ด้วยใกล้ๆ เป็นเพื่อน

          “ศรี เมื้อกี้อสุเรนทร์มาเหรอ?” เฉาก๊วยถามด้วยเสียงที่เย็นชาเจือด้วยความไม่พอใจในขณะที่ตายังคงมองอสุเรนทร์ที่เดินจนลับตาแล้ว ศรีพยักหน้าช้าๆ ความกังวลและความรู้สึกหลากหลายทำให้เธอไม่อยากเอ่ยอะไร

          “…”

          “ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้อยู่ห่างจากมันเข้าไว้ ฉันเองก็ไม่อยากตั้งแง่อคติหรอกนะ แต่อดเป็นห่วงไม่ได้นี่ถ้าเธอถูกทำร้ายอีก” ไม่บ่อยนักที่คนร่าเริง ยิ้มง่าย เป็นมิตรกับทุกคนจะมีท่าทางเคร่งขรึม ศรีเข้าใจเพราะเขาเคยเจอมากับตาว่าอสุเรนทร์ทำร้ายเช่นไร พอเฉาก๊วยกล่าวแบบนี้ก็ทำให้เธออุ่นใจเพราะอย่างน้อยก็วางใจได้ว่าอสุเรนทร์จะไม่กล้ามาทำร้ายอีก

          “อสุเรนทร์อยู่มาจนถึงประถมปลายแล้วนะอย่างน้อยเขาก็ต้องคิดและควบคุมสติได้บ้างแหละจ้ะ ฉันว่าเรากินขนมก่อนดีกว่านะ และฉันต้องก็กลับบ้านไม่ให้เย็นมากด้วยเดี๋ยวพี่อสุราเป็นห่วง” ศรีกล่าวพร้อมกับหยิบช้อนเพื่อทานขนม แม้เฉาก๊วยจะไม่วางใจนักแต่เขาก็จำต้องยอมเพราะไม่อยากให้ศรีกังวลอีก

          …อสุเรนทร์… นายเป็นคนยังไงกันแน่ นึกอยากจะทำร้ายก็ทำร้าย นึกอยากจะดูแลก็ดูแล มันใช่สิ่งที่ควรทำกับคนที่เรารักเหรอ? …

 

วันพุธที่๓๐กันยายนพุทธศักราช๒๕๕๘

                เช้า

                หลังจากเหตุการณ์คราวนั้นเฉาก๊วยก็ระมัดระวังมากขึ้น แต่ก็พยายามแสดงท่าทางไม่ให้ศรีจับได้

            “ศรีขอลอกการบ้านภาษาอังกฤษหน่อยสิ”เฉาก๊วยยืนเท้าโต๊ะพลางกล่าวไม่ไปด้วย ศรียิ้มบางๆ และยื่นสมุดวิชาภาษาอังกฤษให้ เฉาก๊วยยิ้มแฉ่งก่อนจะเดินจากไปโดยที่ไม่วายเหลือบๆ มองว่าอสุเรนทร์จะมาไหม

                ศรีเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ประสานมือกุมไว้บนตักพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอรู้สึกเหนื่อยจริงๆศรีเผลอหลับตาไปแต่ไม่หลับเธอรู้สึกเหมือนมีใครเดินมาหาเธอ

                “อย่าลืมนะศรีวันนี้เราต้องไปห้องสมุดตอนเที่ยงตรงนะ”

                เด็กหญิงคนหนึ่งเพื่อนร่วมชั้นเธอเดินมาเอ่ยประโยคอย่างเป็นกังวลเพราะด้วยความที่ศรีมักจะขี้ลืมอยู่เรื่อยเพื่อนที่เธอจะต้องร่วมงานด้วยจึงเดินมาเตือนเด็กหญิงเกล้ามวยผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยตอบรับ

“จ้ะไม่ลืมแน่”

                “โอเคมาให้ตรงเวลานะ”

                “จ้า…”

 

                กลางวัน

                เมื่อรับประทานอาหารเสร็จศรีเดินขึ้นไปบนอาคารเรียนที่ชั้นสองจะมีห้องสมุดที่เธอจะต้องไปศรีหยิบนาฬิกาที่มีฝาปิดออกมาจากกระเป๋าเสื้อนักเรียน …เธอมาเร็วก่อนกำหนด๕นาทีแต่นั่นก็ดีแล้วสำหรับเธอเพราะเธอจะได้มีเวลาเตรียมตัวมากขึ้น

                ศรีถอดรองเท้าไว้ที่หน้าห้องสมุดเดินเข้าไปไม่ถึงสามก้าวก็เจอกับโต๊ะขนาดเล็กที่ตั้งไว้บนโต๊ะมีเอกสารให้นักเรียนที่เข้าใช้ห้องสมุดเซ็นพร้อมกับลงว่ามาทำอะไรเธอหยิบปากกามาเขียนก่อนจะวางมันลงและเดินไปตรงชั้นวางหนังสือ

…๔ปีมาแล้วที่คนในชุมชนละแวกที่โรงเรียนตั้งอยู่ไม่ได้มาบริจาคหนังสือให้กับห้องสมุดที่นี่หนังสือที่นี่จึงมีแต่แบบเก่าๆและยับเยินจากการที่นักเรียนไม่ค่อยรักษาด้วยความที่มันเป็นของบริจาคจึงทำลายซ้ำเติมลงไปอีก

                มีแต่แบบเดิมๆแฮะ

                จะว่าไปเด็กหญิงเกล้ามวยผมก็มายืมหนังสือที่นี่บ่อยมากบัตรห้องสมุดไว้สำหรับยืมจึงต้องทำใหม่สามรอบเพราะเต็มยืมมาเยอะจนไม่รู้ว่าจะยืมอะไรดี

                ทำได้แค่ถอนหายใจก่อนจะเดินไปในซอกมุมแคบๆที่นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะชอบมากันเพราะเป็นมุมเก็บหนังสือบทสวดที่ทางโรงเรียนซื้อมาเก็บไว้ใช้ในพิธีกรรม …ไม่รู้จะอ่านอะไรดีศรีสุ่มหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งเปิดผ่านๆก่อนจะสะดุดกับหน้าหนึ่งที่ถูกฉีกไปครึ่งของหน้า

                รอบตัวบรรยากาศครึ้มเงียบ…เงียบมาก

                “ใครมันฉีกไปนะแย่จริงๆ ------อึก”

                ตัวหนังสือเรืองแสงศรีอ่านตามแล้วหนังสือก็ร่วงจากมือ …ร่างกายเริ่มเย็นเชียบก่อนที่ความรู้สึกราวกับถูกน้ำกรดกัดกร่อนอวัยวะภายในศรีขยับตัวไม่ได้มันเจ็บไปทั้งกายภายนอกและภายในกุมศีรษะอย่างปวดทรมานยิ่งเมื่อวานโดนกระแทกก็ไปกันใหญ่อีก …ร่างกายอ่อนล้าก่อนที่ร่างกายจะหยุดการเคลื่อนไหวไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา …มีแต่เสียงหัวใจของเธอเท่านั้นที่เต้นรัวเร็ว

 

                .

                .

                .

                “จ้างั้นฉันไปก่อนนะแกช่วยทำไปก่อนละกันนะ”

                “อื้ม”

                เด็กหญิงเพื่อนร่วมชั้นของศรีแวะไปช่วยงานกลุ่มที่ห้องประจำชั้นก่อนจะไปที่ห้องสมุดมาเร็ว๒นาทีเธอถือหนังสือมาด้วยเจอกับคุณครูประจำวิชาสังคมฯฝากหนังสือสวดมนต์ไว้สอนให้ช่วยมาเก็บเดินเข้าก่อนจะเซ็นชื่อและหันซ้ายหันขวาศรียังไม่มาหรอกเหรอ

                เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานยังไม่มาเธอจึงกระชับหนังสือ๗เล่มเดินเข้าไปในซอกชั้นวางหนังสือสวดมนต์ …ก่อนที่เธอจะตะลึงกับภาพตรงหน้าเมื่อเห็นร่างของเด็กหญิงเกล้ามวยผมนอนไม่ได้สติโดยมีหนังสือสวดมนต์วางอยู่ข้างกายเด็กหญิงเห็นดังนั้นรีบถลาตัวไปเขย่าตัวศรีให้ตื่นขึ้นมา

                ศรีเป็นอะไรน่ะ!

 

                ห้องพยาบาล

                “อือ…”ดวงตาลืมขึ้นภาพตรงหน้าเลือนรางเมื่อสายตาชัดเจนแล้วก็พบกับใบหน้าของเพื่อนเธอเพื่อนคนนั้นมองศรีอย่างเป็นห่วงพลางถาม “ศรีเป็นอะไรเปล่า?”

                “ฉะฉันไม่เป็นไรหรอกว่าแต่งานที่ครูจะให้ไปทำน่ะ?”

                “เรื่องนั้นครูยกให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นแล้วล่ะครูให้ฉันมาดูแลเธอว่าแต่เธอเป็นอะไรไปน่ะถึงสลบไป”

                “…เอ่อคือ……”

                ไม่กล้าบอกว่าเป็นเพราะหนังสือเล่มนั้น

                “สงสัยจะทานอาหารน้อยไปน่ะเลยเป็นลม”

                “งั้นเหรอเธอไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”เพื่อนคนนั้นบอกศรีพลางส่งยิ้มๆให้ศรีรู้สึกจุกในอกที่โกหกเพื่อนของตน

                ฉันขอโทษนะ

                ได้แต่ขอโทษในใจก่อนจะหลับตาลง หลังจากที่เพื่อนคนนั้นกำลังออกจากห้องก็สวนทางกับเฉาก๊วยที่มาพอดี พอเห็นศรีนอนอยู่บนเตียงเท่านั้นแหละเอกสารที่คุณครูฝากมาเก็บไว้ก็ถูกทิ้งทันที สิ่งสำคัญตอนนี้คือเพื่อนสนิทของตนเอง เฉาก๊วยอ้าปากจะถามแต่ก็หุบลงเพราะอยากให้ศรีพักผ่อนก่อน กลัวว่าเธอจะเครียดจนร่างกายไม่ดีกว่าเดิม

                เกิดอะไรขึ้นกันแน่

                เย็น

                หลังจากที่ออดเลิกเรียนดังแล้วศรีก็เดินกลับบ้านพร้อมกับเฉาก๊วยเธอยังงุนงงกับเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน

                หนังสือเล่มนั้นมันอะไรกันมันลงอาคมไว้เหรอ

                “เรื่องเมื่อตอนกลางวันเกิดอะไรขึ้นเหรอ? ช่วงนี้มีแต่เรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับเธอนะ?” เฉาก๊วยถาม ความกังวลที่มีอยู่แล้วยิ่งเพิ่มขึ้น ศรียิ้มๆ ให้ก่อนจะตอบ

                “ฉันอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เป็นบทสวด แต่ไม่รู้ว่ามันชื่ออะไรเพราะมันไม่มี พอฉันอ่านเท่านั้นแหละก็รู้สึกเจ็บมากๆ แล้วก็สลบไปน่ะจ้ะ” หากเป็นคนอื่นฟังคงจะหาว่าเธอเพ้อ แต่เฉาก๊วยไม่ใช่ เขารู้จักกับตระกูลของเธอเลยพอจะเข้าใจ

จะว่าไปเรื่องเหนือธรรมชาติก็ไม่แปลกอะไรสำหรับเธอมากนักตระกูลวีรสังฆะตระกูลของเธอซึ่งเป็นนามสกุลฝ่ายพ่อสืบวิถีการใช้อาคมมานับร้อยปีหรืออาจจะเป็นพันๆปีเลยก็ได้ใช้ไสยศาสตร์อาคมดำหรือขาวภายนอกเป็นตระกูลที่ธรรมะธรรมโมแต่ภายในใช้ไสยศาสตร์บางคนก็ใช้ในทางชั่งร้ายบางคนก็ใช้ในทางที่ดี

                ศรีทราบเรื่องนี้ดีแต่เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอเลยแม้เธอจะใช้ไสยศาสตร์จนชินกับเรื่องแบบนี้แต่นี่ครั้งแรกที่ทำให้เธออดแปลกใจไม่ได้

                “เจ้าคือยักษิณี

                ยักษิณีคำนั้นเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบามาจากที่ไหนสักแห่งเด็กหญิงเกล้ามวยผมรีบหันไปมองรอบด้าน ---แต่ก็ไม่พบใครสักคน…

                หรือเราจะคิดไปเอง?

                “หาอะไรเหรอ?” เฉาก๊วยถามเมื่อเห็นเพื่อนสนิทมองไปรอบๆ ศรีส่ายหน้าพลางยิ้ม

                …เสียงนั้นเป็นเสียงเดียวกับในความฝัน

                ย้ำเตือนตลอดมาว่าเธออาจจะไม่ใช่มนุษย์

                เหงื่อเริ่มไหลตามผิวหนัง …รู้สึกหวาดกลัว

               

                เมื่อกลับมาถึงบ้านเธอก็สวัสดีแม่ของเธอแม่ของศรีหันมายิ้มให้เธอก่อนจะเอ่ย

                “ศรีปิดเทอมนี้พ่อกับแม่จะไปทำธุระที่กรุงเทพฯหนูไปด้วยนะ”

                “ค่ะ”

                เธอตอบรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้งหลังจากสอบเสร็จแล้วปิดเทอมกลางภาคก็ย่อมมาเยือนช่วงวันหยุดที่ค่อนข้างยาวแบบนี้แน่นอนว่าบ้านของเธอก็ต้องไปทำธุระเป็นแบบนี้ทุกปีถ้าจะขออยู่บ้านพ่อกับแม่เธอไม่ยอมแน่เพราะเป็นห่วงเธอศรีรู้เรื่องนี้ดีจึงตอบรับอย่างเต็มใจ

                ศรีออกจากบ้างโดยมีความคิดที่ว่าจะไปซื้ออะไรมาทานพร้อมกับเดินเล่น

               

               

กลางคืน

                เด็กชายในชุดประถมผมผมสีส้มวิ่งตามทางถนนอย่างไม่กลัวว่ารถจะชนเข้าพร้อมๆกับที่เขาถือมีดรูปร่างแปลกประหลาดหลีกหนีความตายจากผู้ไล่ล่าข้างหลัง …วิญญาณมันกำลังจะฆ่าเขาเสียงโหยหวนหวีดร้องให้ใจหวาดกลัว

                ติ๊ดๆ…ติ๊ดๆ…!

                นิ้วกดปุ่มโทรศัพท์อย่างร้อนรนฝ่ามือทั้งสองข้างร้อนชุ่มไปด้วยเหงื่อหัวใจเต้นเร็วเด็กชายผมสีส้มหายใจแทบไม่ออกพยายามตั้งสติไม่ให้สลบไปเพราะความเหนื่อย

                ตื๊ด…. ตื๊ด…ตื๊ด…

                ในระหว่างวิ่งเด็กชายผมสีส้มมองหน้าจอโทรศัพท์สลับกับมองทางข้างหน้า ---ตื๊ดในที่สุดสายที่เขาต้องการจะติดต่อก็รับไม่รอช้าเขารีบแนบไว้กับหู

                “อ้ายเฉาก๊วยผีมันเต็มไปหมดเลยว่ะ”เอ่ยไปพลางหันไปมองเหล่าวิญญาณนับสิบกว่าดวงลอยตามมาบัดซบ! เอาไงดีเนี่ยเด็กชายผมสีส้มคิดอย่างเวียนศีรษะพยายามจะเร่งจังหวะในการวิ่งให้เร็วขึ้นก้าวขายาวๆ …พวกมันมีพลังในการเคลื่อนที่เร็วจริงๆ

                “[เฮ้ยได้ไงตอนที่ฉันไปดูมามันไม่เห็นมีเลยนี่]” ปลายสายเอ่ยอย่างุนงงจากประสบการณ์ที่เคยไปดูมามันไม่เห็นจะเป็นอย่างที่เขาบอกเลย

                “เออข้าเองก็ยังงงเลย …เอ๊ะหรือว่าเจ้าพวกนี้มันจะออกมาเฉพาะคนที่เข้ามากันน่ะ”จากข้อสันนิษฐานของเด็กชายทำให้ปลายสายพยายามนึกไปยังตอนที่เขามาดู …ความทรงจำมันปรากฏภาพตอนที่เขาเดินแค่ผ่านบ้านเรือนไทยไม่เหมือนกับเด็กชายผมสีส้มที่ลักลอบเดินเข้าไปในบ้าน –ชัดเลย

                “[ฮึเป็นจริงอย่างที่นายว่าเลยตอนที่ฉันมาดูฉันแค่เดินผ่านแต่นี่นายเล่นเดินเข้าไปในบ้านมันก็ไม่แปลกหรอกที่จะนึกว่านายเป็นคนร้าย]” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแฝงไปด้วยความขบขัน

                “เออนั่นแหละเจ้ามาช่วยข้าจัดการกับเจ้าพวกผีทีดิ”เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหายใจถี่ๆหอบจนตัวโยนมือเกร็งกำมีดแน่นกัดริมฝีปากอย่างอดทน …เมื่อไหร่พวกมันจะเลิกตามมาสักทีเนี่ย

                “[‘โทษทีนะฉันต้องเคลียร์งานค้างให้เสร็จน่ะดูแลตัวเองไปก่อนนะครับคุณเพื่อน]”

                “ข้ามินับคนที่ไม่ช่วยเพื่อนเป็นเพื่อนหรอก! ---โธ่เว้ย!” ปลายสายพูดจบด้วยประโยคฟังดูเห็นแก่ตัวเด็กชายผมสีส้มก็เอ่ยอย่างด่าสบถด้วยความเคืองกับเพื่อนที่แล้งน้ำใจก่อนจะตัดสายไปตั้งหน้าวิ่งอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเช่นเดียวกับเหล่าวิญญาณ

                ๑๕นาที

                เวลาผ่านไปอย่างช้าๆพร้อมกับที่เด็กชายผมสีส้มวิ่งไปพลางคิดไปจะหนีต่อไปหรือจะเผชิญหน้าเสี่ยงตายเขาต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง

                ตึก---

                ดูเหมือนเขาจะเลือกทางเลือกที่๒เด็กชายผมสีส้มชะงักฝีเท้าหันตัวไปด้านหลังเงยหน้าขึ้นมองเหล่าวิญญาณที่มีสีหน้าเกรี้ยวกราดชักมีดออกมาจากในกระเป๋าสะพายก่อนจะพนมมือสวดเพ่งจิตไปยังมีด …ไม่ช้าเปลวไฟสีส้มก็ลุกโชนจากมีดพร้อมๆกับที่ใบมีดยาวกว่าเดิมสองเท่า

                เมื่อเป็นดังนั้นเด็กชายวิ่งพุ่งไปยังเหล่าวิญญาณหลายดวงกวัดแกว่งมีดเล่มยาวฟาดเข้าใส่ร่างที่เปื้อนไปด้วยเลือดและเน่าไฟจากมีดลามไปเผาร่างผีที่โดนมีดฟาดใส่เด็กชายเห็นว่าใช้มีดช่วยอย่างเดียวคงไม่ได้จึงใช้กระบวนท่าของมวยไทยทำร้าย

                เหงื่อไหลตามลงมาบนผิวสีคล้ำของเด็กชายผมสีส้มอุณหภูมิร้อนขึ้นเด็กชายผมสีส้มรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า …เหนื่อยที่สู้มาด้วยตลอด๒ชั่วโมงเนี่ยไม่ได้มีความหมายอะไรเลยเพราะถึงจะสามารถกำจัดด้วยมีดอาคมได้แต่พวกผีนี่มันสามารถฟื้นฟูพลังได้ในระดับยอดเยี่ยมเลยทีเดียว

                เมื่อเห็นว่าใช้วิธีการโจมตีแบบค่อยๆจะไม่ได้ผลเขาจึงหาช่องโหว่ในการออกจากวงล้อมของเหล่าวิญญาณใช้มีดฟาดแทงอย่างหนักลากเป็นลำแสงยาว

โอกาสนี้แหละที่เขาต้องออกจากวงล้อมเพื่อไปตั้งหลักเด็กชายผมสีส้มลากปลายเท้าเป็นวงกลมรอบตัวให้ตนเองอยู่ข้างในลากต่อๆไปจนกลายเป็นอักขระวงเวทพนมมือสวดคาถาอย่างหนึ่งก่อนจะปักมีดลงเบื้องล่างตรงจุดกับลายกนกในวงเวทก่อนที่ลายอักขระและเส้นในวงเวทจะเรืองแสงเป็นสีส้ม …เส้นหลายๆเส้นค่อยๆเคลื่อนออกจากวงเวทก่อนจะกลายเป็นเพลิงแผดเผาเหล่าภูตผีวิญญาณให้มอดไหม้

                เสียงหวีดร้องอย่างเจ็บปวดโหยหวนเป็นเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกสะอิดสะเอียนร้องด้วยความเจ็บปวดเด็กชายผมสีส้มยืนหายใจหอบอย่างเหนื่อยมองภาพตรงหน้าด้วยนัยน์ตาที่เริ่มจะปิดลง

 …สำเร็จ…

                สักพักเปลวเพลิงที่ลุกโชนก็ค่อยๆดับหายไปทีละน้อยพร้อมกับที่เหล่าผีต่างกลายเป็นเถ้าสีดำปลิวลอยหายไป …เมื่อเด็กชายเห็นดังกล่าวจึงเดินลากเท้าไปด้วยความรู้สึกที่เมื่อยล้าไปทั้งตัว

                คราวหน้าเราต้องตรวจสอบให้ดีกว่านี้

 

                วันพฤหัสบดีที่ตุลาคมพุทธศักราช๒๕๕๘

                เช้า

                ปิดเทอมกลางภาค

                จากวันนั้นมาก็ไม่นานนักศรีเตรียมของที่จำเป็นอย่างโทรศัพท์เผื่อมีเรื่องฉุกเฉินกับหนังสือไปอ่านแก้เบื่อระหว่างทางไปกรุงเทพฯจากระยองถึงที่นั่นระยะเวลาไปนานเธอจึงต้องนำไปด้วย

                ขึ้นรถก่อนที่จะแล่นออกไป

                เมื่อมาถึงเธอเดินไปเรื่อยๆมีของหลายอย่างที่ต้องซื้อระหว่างเดินเธอรู้สึกปวดตาเพราะอ่านหนังสือนานไปเด็กหญิงเกล้ามวยผมจึงหลับตาและกุมหน้าไปด้วย จากตอนแรกที่ปวดตาก็รู้สึกเหมือนจะหน้ามืดเพราะสภาพอากาศที่ร้อนและแออัด เธอเดินอย่างระมัดระวัง             

                “ดีมาก…”

                เจ้าของเสียงเมื่อตอนนั้นกระซิบกับเธอศรีรีบลืมตาขึ้น ------เหมือนเดิมไม่เจอใครเลยที่มีท่าทีจะคุยกับเธอ

                “ค่ะใครกันน่ะ”

                ปี๊น!!

                ได้ยินเสียงบางอย่างมันดังมาจากรถศรีเบิกตากว้างตื่นกลัวเมื่อรถคันหนึ่งจะแล่นมาชนเธอในขณะที่เธอจะก้าววิ่งหนีเมื่อได้สติก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนมาฉุดข้อมือเธอแล้วลากเข้าไปยังฝั่ง

                “เป็น ‘ไงบ้าง”เจ้าของมือนั้นที่ฉุดข้อมือถามศรีเลื่อนสายตาจากข้อมือขึ้นไปมองใบหน้า

                เด็กชายอายุไล่เลี่ยกับเธอสวมเสื้อกล้ามสีเทากับกางเกงลายทหารดวงตาที่เย็นชาแต่ไม่แข็งกระด้างนั้นมองเธออยู่

                “ไม่เป็นไรขะขอบคุณนะ”

                “ช่างเถอะคราวหน้าก็อย่าเหม่อเวลาข้ามถนนล่ะ”เด็กชายคนนั้นเอ่ยกับเธออย่างเย็นชาศรีงุนงงก่อนจะนึกได้เธอจำได้ว่าเธอเดินแล้วหลับตาพอลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองอยู่กลางถนน

                เราไปอยู่กลางถนนได้ยังไงน่ะ?

                “ฉะฉันไม่ได้จะข้ามถนนนะ…คือจริงๆแล้วฉันเดินอยู่แล้วหลับตาพอตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองอยู่กลางถนน”ศรีอธิบายอย่างร้อนรนแต่ประโยคนั้นที่ฟังดูยังไงก็เหมือนกับเรื่องโกหกเด็กชายส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย

                “นี่ยายกุมารเธออย่ามาโกหกเลยเรื่องแบบนั้นมันจะเกิดขึ้นได้ยังไงคนอะไรเดินหลับตาพอลืมตาก็พบว่าตัวเองอยู่กลางถนนคนนั้นแบบนั้นมีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละ”

                “ฉันไม่ได้โกหกนะ!”

                “อย่าพูดเสียงดัง…”เด็กชายคนนั้นพูดเบาๆเมื่อรู้สึกถึงสายตาของผู้คนที่เฝ้าดูมาตั้งแต่เกิดเหตุที่ศรีเกือบจะถูกรถชนเด็กหญิงเกล้ามวยผมหันไปมองก่อนจะลดเสียงแล้วเอ่ย “ก็ได้ ---นายต้องเชื่อฉันนะ”

                “จะเชื่อก็ได้ ------เห็นแก่นะที่เธอบ้าน่ะ”

                “นี่นาย…”รู้สึกว่าอารมณ์เริ่มเดือดแต่ศรีพยายามทำใจให้สงบเพราะไม่อยากให้มีเรื่องหน้าอายเกิดขึ้นเด็กชายคนนั้นมองเธอสักครู่หนึ่งก่อนจะเดินจากเธอไป “จะจะไปไหนน่ะ”เธอรั้งไว้ส่งผลให้เด็กชายหยุดเดินเขาหันมามองเธอแล้วตอบ

                “ก็ไปทำธุระต่อไงเธอเองก็กลับไป”

                “แต่ฉัน ------หลงทางน่ะ”เธอเพิ่งสังเกตว่าทางมันแปลกจากทางที่เธอเคยมาเมื่อครั้งที่เธอเคยไปกับพ่อแม่เมื่อก่อน …รู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก

                เมื่อรู้ว่าตนเองหลงทาง

                “แล้ว ‘ไง”

                “ฉัน…”

                “อ้ออยากจะบอกว่าขอตามไปด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี ---อย่างนั้นน่ะเหรอ?”เด็กชายคนนั้นถามอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเดินไปหาเธอเพื่อที่จะได้คุยสะดวก

                “…ประมาณ …นั้นแหละ…”เสียงที่เอ่ยแผ่วเบาเขาพินิจเธอแล้วพูด

                “ฮึจะตามมาฉันก็ไม่ว่าหรอกนะแต่ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรห้ามขอร้องฉันพึ่งตัวเอง”น้ำเสียงนั้นเด็ดขาดศรีพยักหน้าเมื่อคุยเสร็จเด็กชายคนนั้นก็ออกเดินเด็กหญิงเกล้ามวยผมก้าวตามอย่างกล้าๆกลัวๆ

                ทั้งสองเดินมาถึงสะพานแห่งหนึ่งไม่มีวี่แววของผู้คน …เงียบราวกับป่าช้าท้องฟ้ายามกลางวันดูมืดหม่นอย่างน่าประหลาดทั้งๆที่ช่วงกลางวันท้องฟ้าต้องสว่างมากกว่านี้

                ศรีที่เดินอยู่ข้างหลังเด็กชายคิดในใจไปหลายๆเรื่องอย่างกังวล

                เราคิดถูกหรือเปล่าเนี่ยถึงเดินตามผู้ชายมามันดูน่าเกลียดแต่ถ้าเกิดเราเดินอยู่คนเดียวเราก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน ---เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะทำอะไรเราหรือเปล่า ---แต่เรายังมีวิชามวยที่เราเราเคยเรียนมาน่าจะพอป้องกันตัวได้แหละน่า

                กระนั้นแม้จะเคยเรียนมาบ้างแต่เธอก็ไม่มั่นใจเพราะระยะเวลาที่เรียน๒ปีนั้นช่างน้อยนิดนัก

                ศรีคิดอย่างวิตกพลางมองกระเป๋าที่ปักลายอย่างสวยงามข้างในมีพระขรรค์ที่เธอแอบเอามาแม้จะยังไม่รู้ว่าจะใช้ทำอะไรดีแต่ในตอนนั้นเธอเชื่อว่ามันจะมีประโยชน์แม้เพียงน้อยนิดก็ดี

                …จ๋อม…

                เสียงแผ่วเบาดังขึ้นมีบางสิ่งถูกโยนลงน้ำศรีหันไปมองอย่างฉงนแต่ก็ไม่พบต้นเหตุที่ทำให้เกิดเสียงเด็กชายคนนั้นหยุดเดินแล้วหันมาหาเธอแล้วถาม “เป็นอะไร?”

                “คือ…เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรตกลงไปในน้ำน่ะ”

                “หือ? แปลกตรงไหนกัน??”

                “ก็…นายลองมองไปรอบๆสิแทบจะไม่มีใครอยู่เลยนะแล้วอีกอย่างมันเงียบมากเลยล่ะแล้วเมื่อกี้มันมีเสียงก็เลยคิดว่ามันแปลกๆ …เอ่อยังไงน่ะฉันอธิบายไม่ถูกมัน……นายคิดดูสิในขณะที่ทุกสิ่งรอบๆเรามันเงียบน่ะแล้วอยู่ๆมันมีเสียงดังขึ้นฉันว่ามันแปลกนะ”เด็กหญิงเกล้ามวยผมพูดวกวนไปมาด้วยความรู้สึกกังวลที่ทวีเพิ่มขึ้นๆเด็กชายคนนั้นกลอกตาไปมองรอบๆก่อนจะเอ่ย

                 “อืม…จริงด้วยแฮะทำไมวันนี้คนถึงไม่ค่อยมากันนะ …แต่ที่เธอพูดเมื่อกี้ฉันว่ามันก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย”

                “…”

                “เธอเป็นคนขี้ตื่นเรอะ?ไปๆเดินต่อๆรู้ไหมว่าเธอทำฉันเสียเวลามากน่ะ”เด็กชายสวมเสื้อกล้ามสีเทาบอกเธออย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะก้าวเดินต่อศรีเพิ่งนึกได้ว่าทั้งสองยังไม่รู้จักชื่อกันเกรงว่าเวลาคุยจะต้องคุยแต่แบบใช้คำสรรพนามอย่างเดียวจึงเรียกเขาเพื่อถาม

                “นี่เดี๋ยวสินายน่ะชื่ออะไรเหรอ?”

                “ธันนะอรุณทิพย์เรียกฉันว่าธันนะก็แล้วกัน”ศรีรู้สึกแปลกใจที่เขาบอกเป็นชื่อจริงกับนามสกุลเพราะส่วนใหญ่เขาจะไม่บอกชื่อเล่นกับนามสกุลเธอรู้สึกยินดีแล้วบอกชื่อตนเองบ้าง

                “ฉันชื่อสังรศรีวีรสังฆะชื่อเล่นชื่อศรียินดีที่ได้รู้จักนะ”กล่าวพลางส่งยิ้มหวานให้เขาไม่ใช่เพราะต้องการอะไรในเชิงชู้สาวเพียงแต่เธอคิดว่ายิ้มแบบนี้น่าจะดีที่สุด

                “…อืม”

                แค่อืมเหรอ

                รู้สึกน้อยใจที่เขาตอบสั้นๆแต่นั่นก็ยังดีสำหรับเธอที่อย่างน้อยเขาก็ตอบรับทั้งสองก้าวเดินต่อก่อนจะชะงักหยุดเดินอีกครั้งเมื่อศรีเอ่ยรั้งไว้อีกครั้งเด็กชายรู้สึกหงุดหงิดที่จะเดินก็แทบจะไม่ได้เดิน

                มันจะเรียกทำไมนักหนาเนี่ยโว้ย! หงุดหงิด!!

                “อะไร”ถามด้วยเสียงเย็นชาจนศรีแอบขนลุกเธอตอบอย่างหวาดๆ “คือ…เมื่อกี้ฉันเห็นเงาอะไรบางอย่างน่ะ”

                “เงา? เงาปลาเปล่า”

                “ม่ะไม่ใช่นะมันเหมือนเป็นอะไรยาวๆ ---ใช่! มันเหมือนแขนคนน่ะ”

                “ท่อนไม้”

                “ไม่ใช่…”

                “น่ารำคาญ”กล่าวพร้อมกับหมุนตัวเดินอีกครั้ง “แต่…”

                “จะไปดีๆหรือจะไปด้วยน้ำตา”

                “ไปดีๆจ้ะ”

                “ก็แค่นั้น”ทั้งสองเดินต่อธันนะเดินไปด้วยใบหน้าที่เย็นชากว่าเดิมศรีเดินตามอย่างหงอยๆแต่ชะงักหยุดเดินเพราะประโยคหนึ่งของธันนะ

                “พวกผู้หญิงนี่น่ารำคาญเป็นบ้า”

                “เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ…”เธอเปลี่ยนสรรพนามน้ำเสียงที่จากตอนแรกดูหงอยๆแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบจนคราวนี้เด็กชายถึงกับต้องขนลุกบ้างคราวนี้หนักกว่าของเขาเพราะเขารู้สึกว่ามีไอสังหารแผ่มาด้วยก่อนจะพูดอย่างตะกุกตะกัก “กะก็พูดว่าพวกผู้หญิงน่ะน่ารำคาญ”

                “แกรู้ตัวไหมคนส่วนใหญ่ที่เขาตายเขาตายเพราะปากคนฮึแบบปลาหมอตายเพราะปากไงล่ะ”ศรีค่อยๆเดินก้าวไปหาธันนะเมื่อมาถึงเธอก็ลากขาไปด้านข้างก้มตัวเล็กน้อยเด็กชายรู้สึกมีลางสังหรณ์บางอย่างมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้

                “อะอะไร”

                แกตายซะเถอะ!!!

                พร้อมกับพูดขานั้นที่วาดเป็นวงโค้งก็เหวี่ยงฟาดเข้าไปตรงคอของเด็กชาย

                ผัวะ!!

                ร่างของเด็กชายกระแทกเข้ากับราวสะพานที่เป็นไม้เขาเหมือนได้ยินเสียงแตกหักก่อนจะเอ่ยอย่างหวาดๆปนโกรธเคือง “ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย!”

                “แกนั่นแหละ! ดูถูกผู้หญิงเรอะพูดอย่างกับว่าผู้ชายไม่น่ารำคาญตายล่ะ!!”

                “อะไรของเธอฉันก็แค่พูดยังไม่ได้ด่าเลยนะ!”

                “หุบปาก!”

                “…”

                ธันนะมองใบหน้าอันโกรธเคืองของเด็กหญิงแล้วคิด

ยายศรีเป็นผู้หญิงประเภทไม่ชอบให้ใครมาพูดเชิงดูถูกเพศแม่หรอกเหรอเนี่ย

                “ฮึ!”ศรีก้าวเดินแต่เพียงแค่ก้าวที่สองก็ได้ยินเสียงแตกหักจนต้องหยุดเดินก่อนจะหันไปมองด้านหลังที่ธันนะยืนอยู่ “ธันนะเมื่อกี้แกได้ยินเสียงอะไรไหม?”

                “ได้ยิน…เหมือนมีอะไร…บางอย่าง…หัก”ทันที่ที่เขาพูดจบทางเดินบนสะพานในบริเวณที่ธันนะยืนอยู่ก็เกิดปริเป็นรอยทั้งสองคนยืนอึ้งอย่างงุนงงและแล้วในที่สุดธันนะก็รู้จนได้ว่าทำไมมันถึงแตกหัก

                “ศรี! เธอรู้ตัวไหมเนี่ยฮะ! ว่าที่เธอฟาดฉันเมื่อกี้มันทำให้ตัวฉันไปกระแทกราวสะพานจนมันพังเนี่ย!”

                “อ๊ะขอโทษนะ”ศรีหายโกรธธันนะเนื่องจากตนเองมีความผิดมากกว่าเขาเธอค่อยๆก้าวเดินหนีอย่างช้าๆเด็กชายจึงก้าวตามอย่างใจเย็น

                แต่ไม่ทันถึงก้าวที่๖สะพานก็ทรุด…

                “เฮ้ย!!”

                ทั้งสองอุทานด้วยความตกใจพื้นไม้ของสะพานแตกหักส่งผลให้ร่างทั้งสองร่วงลงไปธันนะกับศรีต่างพยายามคว้าไม้ที่ยังยึดติดแต่สุดท้ายมันก็หลุดออกจนได้ร่างที่พยายามตะเกียกตะกายจึงร่วงลงสู่น้ำที่ขุ่นศรีที่ยังตื่นตกใจทำอะไรไม่ถูกแต่เมื่อได้สติจึงยื่นแขนและขาก็จะพยายามแหวกว่ายให้ศีรษะเหนือน้ำเมื่อโผล่พ้นขึ้นมาก็พบว่าธันนะขึ้นมาก่อนแล้ว

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา