Real Breaker

7.6

เขียนโดย คันศร

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.

  19 บท
  18 วิจารณ์
  21.83K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) คืนถิ่น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

           แสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างจนรู้สึกแยงตาได้สร้างความรำคาณจนศาสต้องลุกขึ้นมาจากเตียง เขายังคงรู้สึกทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน ซึ่งนั่นทำให้เขาหยุดกิจกรรมทุกอย่างลงและเอาแต่เก็บตัวอยู่ภายในห้องมาตลอด จนในที่สุดเขาก็ไม่อาจข่มตาหลับต่อไปได้ เขาค่อยๆ ควานหาสมาทโฟนที่วางไว้ที่หัวเตียงก่อนที่จะเปิดมัน

          “ของรุ่นก่านี่มันทนจริงๆ แฮะ...” ศาสแปลกใจเล็กน้อยที่มันยังสามารถทำงานได้ตามปกติแม้ว่ามันจะตกน้ำเป็นเวลานาน เมื่อระบบทุกอย่างเตรียมการเสร็จสิ้นก็พบว่ามีอีเมลเข้ามาหลายฉบับเลยทีเดียว

          “เฮ้อ...ต้องหางานใหม่อีกแล้วสินะ” ศาสพูดขึ้นมาด้วยท่าทีเซ็งๆ หลังจากที่เช็คจดหมายเหล่านั้น แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาทำใจเอาไว้แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจมากกว่าเมื่อพบว่ามีจำนวนสายเรียกเข้าเกือบสามสิบสายจากรีอา แต่เขายังคงรู้สึกผิดในสิ่งที่เกิดขึ้นจนได้แต่วางมันลงก่อนที่จะเอนตัวลงนอนอีกครั้ง

          ทันใดนั้นเสียงประตูเปิดก็ดังขึ้น ซึ่งปกติแล้วเขาไม่เคยให้กุญแจห้องไว้กับใครเลยแม้ว่าจะเป็นคนที่สนิทอย่างกริชก็ตาม ศาสรีบลุกขึ้นและย่องไปหลบอยู่หลังตู้อย่างเงียบที่สุด เพื่อรอดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

          “เอ๋...เข้ามาเองแบบนี้จะดีเหรอ” เสียงอันสดใสที่ศาสคุ้นเคยดังขึ้นทำให้เขาก้าวเท้าออกไปอย่างไม่รู้ตัว ทันทีที่ได้พบกับเธอความรู้สึกต่างๆ ก็เอ่อล้นออกมาจนแม้แต่คำพูดง่ายๆ เขาก็ยังไม่สามารถเอ่ยมันออกไปได้

          “เอ่อ...เป็นอะไรหรือเปล่าศาสดูสีหน้าไม่ได้เลย” หญิงสาวถามด้วยความเป็นห่วงที่ได้เห็นสีหน้าของเขา

          “นี่มัน...ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม...” ศาสพูดอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ตาเห็น ใช่แล้วเธอคือรินหญิงสาวที่ศาสไม่อาจช่วยเธอไว้ได้ แต่ตอนนี้เธอกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขา กว่าที่จะรู้ตัวมือของเขาก็สัมผัสอยู่บนใบหน้าของเธอแล้ว

          “หากไม่เชื่อให้ชั้นพิสูจน์ให้แล้วกัน” เสียงของรีอาดังขึ้นจากด้านหลัง เธอเดินเข้ามาพร้อมกับใช้สองมือจับที่แก้มของศาสก่อนที่จะหยิกแล้วบิดอย่างแรง จนศาสสะดุ้งสุดตัว

          “อ๋อย!!! ออมแอ้ว!! เอ็บ! เอ็บ!” ศาสร้องอยู่นาน กว่ารีอาจะยอมปล่อยแก้มของเขาก็กลายเป็นสีแดงไปแล้วทั้งสองข้าง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของรินและรีอา

           “เอ่อ...ว่าแต่ริน มาที่นี่ได้ยังไง” พอเริ่มตั้งตัวได้ศาสก็รีบถามด้วยความสงสัย

          “เอ่อ...เห็นรีอาบอกว่าศาสไม่สบาย รินก็เลยชวนมาเยี่ยมไข้น่ะ” เธอพูดด้วยท่าทีเขินอาย ศาสจึงมองไปหารีอาที่อยู่ด้านหลังแต่เธอก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

          “เมื่อวานซืนขอโทษนะ พอดีคุณหมอเขาอณุญาติให้กลับบ้านได้  แต่รินไม่มีเบอร์ของศาส เลยไม่ได้โทรบอก” คำพูดของรินทำให้ศาสถึงกับกลั่นหัวเราะออกมาไม่ได้ พร้อมกับใช้มือลูบหัวของเธออย่างเอ็นดู จนรินเองก็ได้แต่ยืนมองด้วยความแปลกใจ

          “อ่ะ...เอ่อ เข้ามาในห้องก่อนสิ” ศาสรีบเชิญพวกเธอหลังจากที่ยืนคุยกันอยู่นาน

เมื่อทั้งคู่เเข้ามาภายใน ศาสจึงเข้าไปกระซิบกับรีอาในจังหวะที่เธอเดินผ่าน

          “ว่าแต่เธอนึกยังไงถึงมาที่นี่เนี่ย”

          “ก็โทรไปตั้งกี่ครั้งก็ไม่ยอมรับ ชั้นเลยหงุดหงิดเลยมาหาซะเองไงล่ะ นึกขอบคุณไว้ด้วยล่ะ” รีอาตอบกลับด้วยอารมณ์บูด

          “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ...” ศาสตอบพร้อมกับยิ้มให้เธอ ส่วนรีอาเองเมื่อได้ยินดังนั้นเธอนิ่งไปพักหนึ่งพร้อมกับแก้มที่แดงขึ้นเล็กน้อย

          “ชั้นก็แค่อยากพารินมาเดินเล่น แค่นั้นล่ะ” รีอาพูดพร้อมกับเดินเข้าไปด้านใน

         เมื่อรินถามเกี่ยวกับอาการป่วยของศาส เขาจึงโกหกไปว่าเป็นแค่เพียงไม่สบายเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนที่ศาสจะรีบเปลี่ยนเรื่องคุย พวกเขาอยู่พูดคุยกันสักพักก่อนที่ทั้งคู่จะขอตัวกลับ แต่ก่อนที่รีอาจะไปเธอได้ยื่นเอกสารซองหนึ่งให้กับศาส

          “เซ็นชื่อตรงที่กากบาททั้งหมดซะ เข้าใจไหม” เธอพูดขึ้นส่วนศาสก็ได้แต่รับมันมาอย่างงงๆ

          “เอ่อ...ว่าแต่เธอเข้าห้องชั้นมาได้ไงเนี่ย” ศาสกระซิบถามรีอาในขณะที่เธอกำลังสวมรองเท้าอยู่หน้าประตู

          “ระบบรักษาความปลอดภัยแค่นี้ คิดจะเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้นล่ะ” คำพูดดังกล่าวทำเอาศาสถึงกับพูดไม่ออก

         หลังจากที่ทั้งคู่กลับไปแล้วศาสจึงเริ่มดูเอกสารที่ได้มา เมื่ออ่านได้สักพักรอยยิ้มก็เริ่มปรากฎบนใบหน้าของเขา เมื่อพบว่ามันคือเอกสารให้ทุนการศึกษาของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งหากได้เงินก้อนนี้มามันจะช่วยเขาได้มากเลยทีเดียว เมื่อเห็นดังนั้นศาสจึงรีบเซ็นตามที่รีอาบอกอย่างไม่ลังเล

         ในวันรุ่งขึ้นเขาจึงนัดเจอรีอาในหอสมุดเพื่อพูดคุยเรื่องเอกสารเมื่อวาน เมื่อศาสมาถึงสถานที่นัดหมายก็พบว่าเธอมารอเขาอยู่ก่อนแล้ว ศาสไม่รอช้ารีบยื่นซองเอกสารให้กับรีอาทันที เธอจึงเริ่มการตรวจสอบในขณะที่เธออ่านมัน ดูเหมือนเธอจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ จนมีรอยยิ้มปรากฎบนริมฝีปากของเธอ ซึ่งมันทำให้ศาสรู้สึกแปลกใจไม่น้อย เมื่อตรวจทานอย่างถี่ถ้วนแล้ว เธอจึงเซ็นชื่อลงในหน้าสุดท้าย ด้วยความสงสัยศาสจึงแอบมองก็พบความจริงที่น่าตกใจเมื่อเธอเซ็นชื่อลงในช่องรักษาการประธานบริษัท

           “อืม...สัญญาเสร็จสมบูรณ์ ยินดีด้วยนะศาส! ตั้งแต่บัดนนี้ไปนายเป็นทาสของชั้นแล้ว”  รีอาพูดพร้อมกับมองมายังศาสด้วยสายตาของผู้มีชัย

          “หา! อะไรนะ!!”

          “ก็สัญญานี่มันระบุไว้แบบนี้นี่และนายก็เซ็นมันด้วยตัวเองนะ” เมื่อศาสได้ฟังก็ถึงกับกุมขมับ มันเป็นความผิดของเขาเองที่ไม่ตรวจสอบเนื้อหาเอกสารให้ดีเสียก่อน

          “ชั้นล้อเล่นน่า แค่ให้นายมาช่วยงานชั้นนิดหน่อยเท่านั้นล่ะ” รีอาพูดอย่างอดหัวเราะไม่ได้ที่เห็นสีหน้าของศาสเมื่อครู่ ส่วนศาสเองก็ได้แต่ถอนหายใจ

          “เอ่อ...ศาสชั้นมีเรื่องจะถาม เมื่อสามวันก่อนมันเกิดอะไรขึ้นพอจะเล่าให้ชั้นฟังได้ไหม” ศาสจึงเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เขาติดตามเรือสีดำให้เธอฟัง เมื่อได้ฟังความกังวลก็ถูกสะท้อนออกมาจากแววตาของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้ 

          “อยากรู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกที่เราจัดการที่โรงพยาบาล” รีอาพูดขึ้นพร้อมกับมองมายังศาส เขาพยักหน้าตอบ เธอจึงเปิดรูปภาพบางส่วนในแล็ปท๊อปให้ศาสดู

          “เป็นอย่างที่นายคิด พวกนั้นเป็นคนธรรมดาที่ถูกสะกดจิตด้วยวิธีการบางอย่าง แต่จากการสอบสวนผลที่ได้กลับทำให้ทางตำรวจปวดหัว ดูเหมือนพวกนั้นเสียความทรงจำก่อนหน้าไปจนหมด จนไม่สามารถสาวถึงคนบงการได้ และเมื่อตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จก็แจ้งว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง”  คำพูดของรีอาทำให้ศาสเข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังกังวลอยู่

          “เธอจะบอกว่าเรากำลังยุ่งกับอะไรบางอย่างที่อันตรายมากเลยสินะ”

          “ใช่...ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจมีมือที่สามก็ได้” จากคำพูดดังกล่าวทำให้บรรยากาศการสนธนาตกอยู่ในความเครียด ทั้งคู่ได้แต่มองหน้ากันในครั้งนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีข้อมูลของสิ่งที่กำลังเผชิญหน้าอยู่เลย

          “เฮ้อ...เครียดไปก็เท่านั้นล่ะ ต่อให้อะไรเกิดขึ้นผมก็จะสู้ไปกับเธอนี่ล่ะ” ศาสพูดขึ้นพร้อมกับมองไปยังรีอาด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความมั่นใจ ซึ่งคำพูดดังกล่าวทำให้รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเธอ

          “นั่นสินะ ” รีอาตอบเพียงสั้นๆ แต่แววตาของเธอก็ฉายแววสดใสขึ้นราวกับท้องฟ้าที่ไร้ซึ่งเมฆหมอก จนศาสเผลอคิดถึงวันแรกที่พวกเขาพบกัน เธอก็มีแววตาที่แสดงถึงความมุ่งมั่นเช่นนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอต่างจากคนอื่น

          “เอาล่ะ มาเริ่มงานกันดีกว่า” รีอาเก็บของพร้อมกับพาศาสเข้ามายังส่วนลึกที่สุดภายในหอสมุด ศาสก็ได้แต่ตามเธอไปด้วยความสงสัย ก่อนที่พวกเขาจะมาหยุดยืนอยู่หน้าลิฟท์ตัวหนึ่ง 

          “เอ๋ ปุ่มกดมัน....” ศาสถามด้วยความสงสัย เมื่อพบว่าลิฟท์ตัวนี้ไม่มีแฝงควบคุมให้กดอะไรเลย มันมีเพียงจอเล็กๆ เขาจึงลองไปสำรวจมันดูแต่ก็ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ จนรีอาส่ายหน้าพร้อมกับนำบัตรประจำตัวของเธอแนบไปยังหน้าจอ ประตูลิฟท์ก็ถูกเปิดออกในทันทีพวกเขาจึงใช้มันพาขึ้นไปยังด้านบน เมื่อประตูลิฟท์เปิดออกศาสก็พบกับห้องกระจกขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นเข้าไปยังภายในได้ มันถูกแบ่งออกเป็นส่วนต่างๆ เป็นอย่างดี มีนักศึกษาหลายคนกำลังนั่งทำงานกันอย่างขะมักเขม้น

          “ยินดีต้อนรับสู่สภานักศึกษานะ”  ลีอาพูดพร้อมกับเดินนำเข้าไปยังภายใน มีนักศึกษาหลายคนเข้ามาทักเธอ ด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างเป็นทางการและดูเคร่งเครียดจนทำให้ศาสรู้สึกเกร็งไม่น้อย ยิ่งเขาเดินเข้ามากับเธอแล้วยิ่งรู้สึกว่าตนเองตกเป็นเป้าสายตา ในที่สุดรีอาก็พาศาสมาถึงห้องๆ หนึ่งเมื่อเปิดเข้าไปภายในก็พบกล่องลังวางเรียงรายอยู่ตามพื้นเต็มไปหมด

          “เอาล่ะนี่คืองานชิ้นแรก ทางคณะกรรมนักศึกษาจะจัดค่ายไปบริจาคสิ่งของให้กับโรงเรียนในชนบท นายก็ต้องไปด้วยนะศาส”

          “เอ่อ...แล้วกล่องลังพวกนี้คือ”

          “อ๋อ ก็แยกของตามประเภทลงในกล่องลังน่ะ เดี๋ยวจะมีคนมาอธิบายรายละเอียดให้ฟังนะ ฝากด้วยล่ะ” เมื่อรีอาพูดจบเธอจึงขอตัวออกไปเพราะยังมีงานอื่นรอเธออยู่ ศาสจึงนั่งรออยู่ในห้องเพียงลำพัง เขาจึงเริ่มสำรวจสิ่งของต่างๆ ที่อยู่ภายในก็พบว่าส่วนใหญ่คือเครื่องเขียนและของเล่นต่างๆ เขาจึงหยิบมาเล่นด้วยความสนใจเพราะในวัยเด็กของเขานั้นแทบจะไม่มีโอกาศได้สัมผัสกับของพวกนี้เลย ความทรงจำที่นึกออกส่วนใหญ่ก็มีแต่การฝึกวิชากับปู่เท่านั้น  ยิ่งเขาค้นดูก็ยิ่งพบว่ามีของเล่นหลายชิ้นที่ดูน่าสนใจจนอดที่จะเล่นมันไม่ได้

          ในขณะที่เขากำลังเล่นของเล่นอย่างสนุกสนาน ก็มีมือของใครบางคนมาสะกิดที่ด้านหลัง เมื่อเขาหันไปก็พบรินและกลุ่มผู้หญิงอีกสามคนยืนดูเขาอยู่ด้วยความสนใจ ดูเหมือนว่าพวกเธอจะอยู่ตรงนั้นมาสักพักหนึ่งแล้ว โดยที่ศาสไม่รู้สึกตัวเลย

          “มะ ไม่ใช่แบบนั้นนะ...ผมคิดว่าเรามาทำงานเพื่อเด็ก เราก็ควรจะเรียนรู้ความสนุกของเด็กเอาไว้บ้างเท่านั้น” ศาสพูดพร้อมกับขยับแว่นของเขา โดยที่อีกมือหนึ่งกำลังถือของเล่นที่แอบไว้ทางด้านหลัง จนสาวๆ กลุ่มนั้นแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ไม่เว้นแม้แต่รินเอง

          “ไม่ต้องอายหรอก น้องพี่โตแล้วก็ยังเล่นอะไรแบบนี้อยู่เลย” ผู้หญิงคนหนึ่งในกลุ่มกล่าวขึ้นดูเหมือนว่าเธอจะเป็นรุ่นพี่ของศาส

          “ชั้นว่าผู้ชายที่เล่นอะไรแบบนี้ก็น่ารักดีนะ” หญิงสาวในกลุ่มอีกคนก็รีบเสริมขึ้นทันทีจนทำให้ศาสอดเขินไม่ได้

          “เอาล่ะค่ะทุกคนมาช่วยกันทำงานเถอะ” คำพูดของรินดูเหมือนจะช่วยศาสเอาไว้ ทุกคนจึงหยุดการหยอกล้อและแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเองต่อ

          “เอาล่ะ เดี๋ยวรินจะสอนให้เองนะว่าต้องทำอะไรบ้าง”

          “ว่าแต่รินเป็นสมาชิกสภานักเรียนด้วยเหรอ”

          “อ๋อ เปล่าหรอกมันเป็นกิจกรรมออกค่ายอาสาน่ะรินเลยขอมาช่วยงานเฉยๆ”

          “โห...คุณริน คุณช่างเป็นคนดีเสียจริงๆ เลยนะครับ”

          “อย่ามาแซวรินนะ...ก็แค่อยู่คนเดียวแล้วเหงาน่ะเลยอยากหาอะไรทำแค่นั้นเอง” รินพูดด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ ก่อนที่เธอจะเริ่มอธิบายถึงสิ่งที่เขาต้องทำ  ทุกคนต่างช่วยกันทำอย่างขะมักเข้มนแต่ก็มีความสุขจนทำให้ศาสเองพลอยรู้สึกสนุกไปด้วย เมื่อเขาหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูอีกทีก็พบว่าเป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว ไม่นานนักรีอาก็เดินเข้ามาเพื่อแจ้งกำหนดการที่จะเข้าค่ายก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน  

          ในขณะที่ศาสกำลังเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวกลับ เขาก็สังเกตว่าถึงแม้ทุกคนจะทักทายและพูดคุยกับรีอาเหมือนปกติแต่บางทีก็ยังรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าเธอดูโดดเดี่ยวท่ามกลางผู้คนที่รายล้อมเธอ ศาสจึงตัดสินใจชวนรีอากลับบ้านด้วยกัน

          “รีอา กลับด้วยกันไหม”

          “ขอโทษนะ พอดีมีเอกสารบางอย่างต้องรีบจัดการให้เรียบร้อยน่ะ นายกลับไปก่อนก็ได้นะศาส”

          “ให้ผมช่วยแล้วกัน” ศาสจึงเดินไปนั่งข้างๆ เธอ พร้อมกับเริ่มอ่านเอกสารที่เธอส่งมาให้ แค่เปิดมาหน้าแรกเขาก็เหงื่อตกแล้วเพราะว่ามันถูกเขียนขึ้นด้วยภาษาอังกฤษซึ่งตัวเขานั้นไม่ถนัดเลยสักนิด ไม่นานนักคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน รีอาเห็นดังนั้นจึงอดขำไม่ได้

          “เอ้านี่..ทำนี่แล้วกันช่วยคำนวนพวกค่าใช้จ่ายที่จะใช้ในงานนี้ให้ทีนะ” รีอาพูดพร้อมกับยื่นเอกสารเล่มหนึ่งให้กับศาส

          “เอ่อ...เป็นตัวเลขค่อยยังชั่วหน่อยดูง่ายกว่าเยอะเลย” ศาสพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความมั่นใจ

          “แต่หากคำนวนพลาด ส่วนต่างนายต้องรับผิดชอบนะศาส” รีอายิ้มพร้อมกับมองมายังศาสจนทำให้เขาถึงกับเหงื่อตก เพราะเขายังจำสายตาและรอยยิ้มแบบนั้นได้ มันเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับตอนที่เธอกำลังคิดเรื่องเจ้าเลห์

          “อ้าวทั้งคู่ยัง ยังไม่กลับกันอีกเหรอ” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังมาจากหน้าห้องเมื่อพวกเขาหันไปก็พบว่าเป็นรินนั่นเอง

          “ยังทำงานกันอยู่อีกเหรอ คงจะหิวกันแล้วสิงั้นเดี๋ยวรินไปทำอะไรมาให้ทานนะ” ไม่นานนักรินก็กลับมาพร้อมกับรถเข็นเล็กๆคันหนึ่ง เมื่อเธอเปิดมันออกกลิ่นอาหารที่อยู่ภายในก็ลอยมาเตะจมูก จนรีอาสังเกตุเห็นปลายปากกาของศาสหยุดนิ่งตั้งแต่รินเข็นรถเข็นเข้ามา เธอจึงชวนศาสให้ไปช่วยรินเตรียมอาหาร

           “ถึงวัตถุดิบจะมีไม่มากแต่รินก็มั่นใจนะว่าต้องอร่อยแน่ๆ” รินพูดอย่างภาคภูมิใจในฝีมือการทำอาหารของเธอ หลังจากพักทานอาหารแล้วพวกเขาจึงรีบทำงานที่เหลืออยู่โดยรินก็เข้ามาร่วมด้วย กว่าที่จะเสร็จก็เป็นเวลาประมาณห้าทุ่มแล้ว รีอาจึงอาสาพารินไปส่งที่บ้านด้วย Sky Drive ส่วนศาสนั้นขอตัวออกมาเพราะหอพักของเขาอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก

 

          เช้าตรู่วันต่อมา กระเป๋าเป้ขนาดกะทัดรัดถูกสวมสะพายขึ้น แผงวงจรควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าถูกตั้งเป็นระบบเดินทาง ศาสมองไปรอบๆ ห้องเพื่อเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนที่สายตาของเขาจะหยุดอยู่กับมีดที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความลังเล จนในท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจนำมันใส่ลงในเป้ของเขาด้วย  ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปยังจุดนัดหมาย

          เมื่อมาถึงก็พบรถขนส่งคันใหญ่ของสถาบันภายในถูกบรรจุไปด้วยของที่รับบริจาคมา โดยมีรีอากำลังคุยอยู่กับคนขับรถ

          “อ๊ะอรุณสวัสดิ์  มาแต่เช้าเชียวนะ”  รีอาทักศาสด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่เธอกำลังยกกระเป๋าเดินทางขึ้นรถศาสจึงรีบเข้าไปช่วย

          “เธอจะเดินทางด้วยรถคันนี้เหรอ” ศาสแปลกใจเล็กน้อยทีเธอจะเดินทางไปกับรถขนส่งซึ่งไม่สะดวกสบายนักและหากเป็นคนอื่นที่อยู่ในฐานะระดับเดียวกับเธอก็คงเลือกที่จะเดินทางไปด้วยรถส่วนตัว

          ไม่นานนักสมาชิกที่เหลืออีกเก้าคนก็มาถึง พวกเขาจึงเริ่มออกเดินทาง หลังรถออกได้ไม่นานรินก็ชวนทุกคนเล่นเกมที่เธอเตรียมเอาไว้ การเดินทางในครั้งนี้จึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน กว่าพวกเขาจะรู้ตัวก็พบว่ารถขนส่งแวะพักที่จุดพักรถ ซึ่งนั่นหมายความว่าพวกเขากำลังออกนอกเขตตัวเมืองแล้ว ศาสจึงลงจากรถเพื่อยืดเส้นยืดสาย อากาศของที่นี่ให้ความรู้สึกสดชื่นกว่าในตัวเมืองมาก เพราะมาตรการของภาครัฐธรรมชาติที่เคยเสื่อมโทรมลงครั้งหนึ่งจึงถูกฟื้นฟูให้กลับมาจนเกือบสมบูรณ์อีกครั้ง ตลอดสองข้างทางจึงเต็มไปด้วยแมกไม้นานาสายพันธุ์  ส่วนรีอาเองก็กำลังเปิดแผนที่คุยกับคนขับรถอย่างเคร่งเครียดเพราะเส้นทางที่จะไปต่อนั้นค่อนข้างซับซ้อนหากไม่ใช่คนในพื้นที่ก็อาจหลงทางได้ง่ายๆ จนเวลาล่วงเลยไปกว่าสิบนาที ดูท่าว่าข้อถกเถียงระหว่างรีอาและคนขับรถคงไม่จบลงง่ายๆ ศาสจึงตัดสินใจอาสาเป็นคนบอกทางให้ จนในที่สุดพวกเขาก็ได้เริ่มเดินทางกันอีกครั้ง  ด้วยความชำนาญพื้นที่ทำให้สามารถเลี่ยงจุดที่รถเยอะและใช้เส้นทางลัดต่างๆ จนในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงที่หมายก่อนกำหนดการ

          สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเหล่าเด็กๆ ที่กำลังรอคอยการมาของพวกเขาพร้อมด้วยบรรดาพี่เลี้ยงที่ออกมาต้อนรับ หลังจากที่ทักทายกันพอเป็นพิธี พวกเขาก็เริ่มงานกันอย่างแข็งขัน ของถูกลำเลียงลงจากรถและส่งมอบให้กับทางสถานรับเลี้ยงเด็ก โดยมีพวกเด็กๆ ต่างมองดูด้วยความดีใจ ในช่วงบ่ายหลังจากทานอาหารร่วมกัน เสียงค้อนก็ดังขึ้นอย่างขันแข็งพวกผู้ชายเริ่มการบูรณะซ่อมแซมสิ่งของเครื่องใช้ที่ชำรุด และประกอบอุปกรณ์เครื่องใช้บางส่วนขึ้นมาใหม่ ส่วนบรรดาสาวๆต่างก็ทำกิจกรรมวาดภาพนิทานร่วมกับเด็กๆลงบนกำแพง

          ในช่วงบ่ายคล้อย รินและรีอารับอาสาเอาของว่างไปแจกให้กับทุกคน เมื่อพวกเธอเดินมาถึงฝั่งของพวกผู้ชายก็พบว่าทุกคนหายไปกันหมดมีเพียงศาสที่ยังคงนั่งซ่อมเก้าอี้อยู่บนพื้น

          “อ้าวศาส แล้วคนอื่นๆ ไปไหนกันหมดล่ะ” รินถามด้วยความสงสัยเมื่อศาสหันไปก็พบพวกเธอกำลังเดินเข้ามาพร้อมด้วยขนมและเครื่องดื่ม

          “อ่อเจ้าพวกนั้นมันไม่ไหวกัน...มันเลยขอไปพักกันก่อนน่ะ” ศาสตอบในขณะที่เขากำลังจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ

          “พักสักหน่อยซิ เอ้านี่! รินทำเองกับมือเลยนะ”

          ในขณะที่ศาสกำลังรับของที่พวกเธอเอามาให้เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกินขึ้น มีบางอย่างพุ่งมาทางด้านหลังของทั้งคู่กว่าที่ศาสจะสังเกตเห็นมันก็เข้ามาถึงตัวพวกเธอแล้ว ยังไม่ทันที่ศาสจะได้ร้องเตือน กระโปรงของทั้งคู่ก็ถูกเปิดขึ้นต่อหน้าศาสพร้อมด้วยเสียงร้องตกใจของทั้งคู่  ศาสแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเอง เขารีบใช้มือขยับแว่นอย่างใจเย็นเพื่อปรับโฟกัส ภาพที่เข้าไปยังสมองของเขาตอนนี้มีเพียงสีขาวลายลูกไม้และสีดำขาเว้าสูงแบบผูกเชือก เพียงพริบตาเดียวเขาก็รู้สึกถึงแรงที่กระแทกเข้ากับใบหน้าทั้งสองข้างกับจนเขาหงายลงไปกับพื้น

          เมื่อตั้งสติได้ศาสก็พบตัวการเป็นเด็กผู้ชายสองคนอายุราวหกถึงเจ็ดขวบกำลังแอบมองอยู่ด้านนอกพร้อมกับหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ไม่นานนักบรรดาเพื่อนๆของเขาก็วิ่งเข้ามา เมื่อเห็นศาสที่นอนหงายหลังอยู่บนพื้นยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกตกใจ

          “เกิดอะไรขึ้นวะศาส หน้าแดงเลยเป็นลมแดดหรือเปล่าวะ”

          “เมื่อกี้มีเสียงร้องของพวกผู้หญิงด้วยนี่ เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย!?”

          "แต่ทำไมมันหน้าแดงแปลกๆ วะยังกะรอยมือ..."

          พวกเพื่อนๆ ที่เข้าใจผิดต่างรีบหายาดมและเอาพัดมาพัดให้กับเขา  บางทีการปล่อยให้พวกนี้เข้าใจผิดต่อไปอาจจะดีกว่าการบอกความจริง เมื่อคิดได้แบบนั้นศาสจึงทำทีนอนนิ่งไม่ได้พูดอะไรออกไป

          กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็เป็นเวลาใกล้พรบค่ำแล้ว ศาสจึงขอให้ทุกคนเดินทางกลับที่พักซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณห้ากิโลเมตร ซึ่งหากเดินทางตอนกลางคืนจะค่อนข้างอันตราย เพราะภูมิประเทศที่มีลักษณะเป็นภูเขาจึงมีเหวและโค้งอยู่มากมาย มิหนำซ้ำสองข้างทางยังมีแต่ต้นไม้ขึ้นรกทึบปราศจากแสงไฟบอกทาง

        ทันทีที่เดินทางมาถึงที่พัก เมื่อศาสมองไปยังบ้านพักสิ่งที่เห็นก็ไม่ต่างจากที่เขาคิดเอาไว้มากนักเพราะเป็นบ้านที่ชาวบ้านแถวนั้นช่วยกันจัดหาให้ มันจึงมีสภาพแค่พออยู่อาศัยได้เท่านั้น จนทำให้เขาอดกังวลถึงพวกผู้หญิงไม่ได้เพราะมันไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างในเมือง และด้วยขนาดที่ค่อนข้างเล็กแค่พวกผู้หญิงนอนข้างบนก็รู้สึกว่าคับแคบแล้ว เขาจึงตัดสินใจนอนใต้ถุนบ้าน ส่วนนักศึกษาชายอีกสามคนและคนขับรถเลือกที่จะนอนกันบนรถ

        ตกดึกท่ามกลางความมืดเสียงจากเหล่าแมลงต่างร้องรับจนเกิดเป็นท่วงทำนองของธรรมชาติ ศาสที่กำลังเคลิ้มไปกับบทเพลงขับกล่อมนั้น กลับต้องสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจเมื่อมีเสียงใบไม้แห้งถูกเหยียบลงด้วยฝีเท้าของอะไรบางอย่าง เขารีบลุกขึ้นมาพร้อมหยิบไฟฉายส่องไป ก็พบเพียงเงาดำรูปร่างสัตว์บางชนิดกระโจนหายไปในพุ่มไม้ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นทำให้สัญชาติญาณของศาสถูกลับจนเฉียบคมขึ้น มากพอๆ กับความวิตกกังวลเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความมืด

          จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เขาไม่สามารถข่มตานอนต่อไปได้ เขาจึงตัดสินใจเดินสำรวจรอบๆ บริเวณบ้าน เมื่อเห็นว่าทุกอย่างปกติดี ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับแสงระยิบระยับในแอ่งน้ำเล็กๆ ที่สะท้อนภาพของผืนฟ้า เมื่อแหงนมองขึ้นไปยังท้องฟ้าด้านบนทำให้เขาหวนคิดถึงสิ่งที่ชอบทำอยู่เสมอ ศาสจึงเดินไปยังเนินหลังบ้านซึ่งเป็นจุดที่อยู่สูงที่สุด เมื่อมาถึงเสียงฝีเท้าหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังโดยที่เขาแทบไม่รู้สึกถึงเค้าลางมาก่อนเลย ศาสจึงรีบหันไฟฉายไป

          “อ่าว!? รีอา เธอมาทำอะไรที่นี่เหรอ....”

          “ปะ เปล่า ก็แค่มาเดินเล่นเท่านั้นล่ะไม่เกี่ยวอะไรกับนายหรอก” รีอาตอบด้วยท่าทีตกใจนิดหน่อย

          “อ๋า..แย่จังปวดฉี่จังเลย...” คำพูดของศาสทำเอาใบหน้าของเธอกลายเป็นสีแดงในทันที เธอพยายามเก็บอาการแต่แต่ดูเหมือนสีหน้าของเธอจะแสดงมันออกมาจนหมด  จนศาสกลั้นหัวเราะออกมาไม่ได้ จนเธอทำท่าเหมือนจะเดินกลับไป

          “ผมล้อเล่นน่ะ ลองมองขึ้นไปข้างบนสิ” เธอหยุดฟังและลองมองตามทิศที่ศาสชี้ไปก็พบกับกลุ่มดาวน้อยใหญ่รายล้อมอยู่เต็มไปหมด ด้วยท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งทำให้สามารถชื่นชมความงามของมันได้อย่างเต็มที่ แสงที่ระยิบระยับของมันราวกับอัญมณีที่ถูกประดับอยู่บนท้องฟ้า รีอาจ้องมองภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าจนดวงตาของเธอสะท้อนภาพของมันออกมา

          “เมื่อก่อนเวลาที่ผมไม่สบายใจก็ชอบมาดูดาวนี่ล่ะ แต่วันนี้ดีหน่อยตรงมีคนมาดูเป็นเพื่อนนี่ล่ะ” ศาสพูดพร้อมกับยิ้มให้รีอาดูเหมือนเธอจะหายโกรธกับเรื่องที่ถูกหยอกล้อเมื่อครู่แล้ว

          “ไม่สบายใจเรื่องที่กลับมายังบ้านเกิดของตัวเองเหรอ...” คำพูดของรีอาดูเหมือนจะแทงใจดำของศาสจนเขาเลี่ยงที่จะสบตากับเธอ

          “สมกับเป็นเธอจริงๆ...ใช่ ที่นี่เป็นบ้านเกิดของผมเอง ผมกำลังกังวลเรื่องที่จะกลับบ้านน่ะ” ศาสพูดด้วยสีหน้าที่ไม่สบายใจ

          “ถ้าอย่างนั้นขอชั้นไปด้วยได้ไหม ชั้นอยากรู้เรื่องของนายให้มากกว่านี้”  รีอาพูดด้วยสายตาที่มุ่งมั่นจนศาสไม่รู้จะปฎิเสธยังไง แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแปลกใจที่จะพาเธอไปรู้จักกับสิ่งที่เขาพยายามหลีกหนีมันมาตลอดชีวิต ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะรีอาเป็นคนแรกที่ยอมรับถึงตัวตนของเขา ศาสจึงรับปากเธอไป

 

          เหล่านกที่กำลังเย้าแหย่อยู่ตามยอดไม้ในยามเช้าตรู่ ต่างตกใจบินหนีจากเสียงน้ำมันที่กระเซ็นดังขึ้น เพียงชั่วครู่เสียงตะหลิวก็ถูกบรรเลงลงบนกระทะบ่งบอกถึงความชำนาญของผู้ทำ จนกลิ่นของเครื่องเคียงที่ผัดอยู่ภายในต่างลอยฟุ้งไปทั่ว พร้อมกับเสียงอัมเพลงที่ดังมาจากห้องครัวเล็กๆ โดยศาสลงมือเป็นพ่อครัวทำอาหารเช้าให้กับทุกคน

          หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้วพวกเขาก็เดินทางไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กเพราะมีภารกิจที่ต้องไปจัดการต่อให้เสร็จ  ในช่วงบ่ายหลังจากที่พวกเขาเสร็จสิ้นงานจากสถานรับเลี้ยงเด็กแล้ว ก็เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยเพราะเป็นเวลาอิสระ จากใบหน้าที่ดูเหน็ดเหนื่อยกลับมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งทุกคนกำลังจับกลุ่มพูดคุยกันถึงสถานที่ๆ พวกเขาอยากไปกันอย่างสนุกสนาน ศาสและรีอาจึงขอแยกตัวออกมาเพราะพวกเขามีสถานที่ๆ ต้องไปต่อ

          พื้นที่แถบนี้ไม่ค่อยมีรถประจำทางวิ่งผ่าน การเดินทางจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก พวกเขาหยุดยืนอยู่ริมถนนสักพักหนึ่งก็มีรถรูปร่างแปลกตามันดูเหมือนเครื่องยนต์เก่าๆ ที่ใส่ล้อมากกว่า ศาสจึงโบกมือให้กับคนขับรถ เขาจึงขับเข้ามาใกล้ๆ และจอดรถเพื่อพูดคุย ส่วน รีอาเธอมองรถคันนั้นอย่างสนใจ  ครู่หนึ่งศาสก็โบกมือให้เธอขึ้นไปนั่งยังท้ายรถ

          ด้วยความเร็วของมันที่เร่งได้ตามสภาพเครื่องยนต์ มันจึงไม่สามารถขับได้เร็วนักและเครื่องยนต์ที่ส่งเสียงดังจนศาสกลัวว่ารีอาจะรำคาณ แต่เมื่อเห็นเธอดูสนใจกับทิวทัศน์โดยรอบศาสจึงรู้สึกสบายใจ เมื่อเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงศาสก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านของเขา พวกเขาจึงขอลงจากรถเพื่อเดินเท้าเข้าไปด้านใน  ตลอดทางที่เดินผ่านมีผู้คนเข้ามากล่าวทักทายกับศาสอย่างอบอุ่น จากที่เดินตัวเปล่ากลับมีของกินและผลไม้ต่างๆ ที่ได้รับมาจากชาวบ้านจนศาสถือแทบไม่ไหว

          “พวกชาวบ้านเขาก็ให้เธอเหมือนกันนะทำไมผมต้องมาถืออยู่คนเดียวเนี่ย...” ศาสบ่นอุบอิบในขณะที่รีอากำลังแทะข้าวโพดปิ้งอย่างสบายอารมณ์ เมื่อได้ยินดังนั้นเธอจึงเดินเข้ามาค้นในถุงที่ศาสถืออยู่พร้อมกับหยิบข้าวโพดขึ้นมาหนึ่งฝัก

          “เอ้า อ้าปากสิแทนคำขอโทษจะป้อนให้แล้วกัน” รีอาพูดพร้อมกับยื่นมันมาใกล้ศาส จนเขาหน้าแดงเล็กน้อยก่อนที่จะทำตามเธอบอกอย่างง่ายดาย ทันทีที่กัดคำแรกทำเอาศาสก็รู้สึกถึงกลิ่นเหม็นเขียวและความแข็งของมันเขารู้ในทันทีว่าถูกเธอเอาข้าวโพดดิบให้กินซะแล้ว

          “อ๊า ยัยตัวแสบแกล้งกันได้นะ”  ศาสพูดอย่างฉุนนิดๆ ส่วนรีอาก็หัวเราะด้วยความสะใจ

          “เอาน่า ก็อันที่ปิ้งป้าเขาให้มาแค่ฝักเดียวนี่”

จนในที่สุดพวกเขาเดินมาถึงบ้านทรงไทยโบราณหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนที่รายล้อม ศาสหยุดยืนอยู่พักหนึ่งพร้อมกับถอนหายใจ  ทำให้รีอารู้ทันทีว่าที่นี่น่าจะเป็นบ้านของเขา

          “อ้าว! นายน้อยกลับมาแล้วเหรอครับ” ชายสูงอายุคนหนึ่งส่งเสียงเรียกพร้อมกับเดินเข้ามาหา ส่วนศาสก็ยกมือไหว้ทักทาย

          “สวัสดี ครับลุงแช่ม..เอ่อ....ปู่ ”

          “เอ่อ....นายน้อย...ท่านจากไปแล้วครับ” ลุงแช่มพูดด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ศาสยืนนิ่งพร้อมกับเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นมาเขาแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่เมื่อมองเข้าไปด้านในก็พบสวนทางเดินอยู่ในสภาพหญ้าขึ้นรก ต้นไม้ที่ขาดการตัดแต่งจนขึ้นรกครึ้ม ซึ่งปกติปู่ของเขาเป็นคนเจ้าระเบียบจะไม่ปล่อยให้เป็นแบบนี้แน่ๆ เขารีบวิ่งเข้าไปภายในโดยไม่ฟังเสียงของใคร รีอาเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปเมื่อเข้าไปด้านในก็พบศาสนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นราวกับคนหมดแรง

          “หากผมลดทิฐิลง...เราคงเข้าใจกันกันมากกว่านี้” ศาสพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา รีอาจึงเข้าไปปลอบไม่นานนักลุงแช่มก็เดินตามมา

          “เอ่อ นายน้อย คุณท่านแค่ออกเดินทางครับ ท่านไม่ได้เป็นอะไรนะครับ” คำพูดดังกล่าวทำให้ศาสล้มตัวนอนลงกับพื้น เมื่อรู้ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดความตรึงเคลียดจึงแปลงเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะด้วยความโล่งใจ

          “ว่าแต่นายน้อยนี่เหมือนคุณท่านสมัยหนุ่มๆเลยนะครับ ไปอยู่กรุงเทพไม่ทันไรก็พาสาวสวยมาบ้านแบบนี้” ลุงแช่มพูดแซวศาสแบบติดตลก ถึงแม้รีอาจะรู้แต่นั่นก็ทำให้เธออายจนหน้าแดงอยู่ดี

          “ว่าแต่ปู่เดินทางไปไหน ลุงพอจะทราบไหมครับ”

          “ท่านออกไปไม่กี่วันก่อนที่จะเกิดแผ่นเดินไหวบอกแค่ว่ามีธุระสำคัญมาก และฝากนี่เอาไว้ให้นายน้อยด้วย”

ลุงแช่มพูดในขณะที่ยื่นกุญแจเก่าๆ ดอกหนึ่งส่งให้กับศาส เขาหยิบมันขึ้นมาดูอยู่ครู่หนึ่งก็จำได้ว่ามันคือกุญแจของตู้โบราณในห้องของปู่นั่นเอง เขาจึงขอตัวขึ้นไปยังเรือนของปู่โดยมีรีอาตามไปด้วย

         เมื่อศาสขึ้นมาบนบ้านเขาก็เดินไปยังเรือนใหญ่ภายในมีรูปบรรพบุรุษถูกแขวนอยู่เรียงรายศาสยกมือไหว้ด้วยความเคารพแต่มีรูปอยู่คู่หนึ่งที่เขาหยุดยืนนิ่งอยู่นานราวกับกำลังอาลัยกับเจ้าของภาพ จนรีอาแปลกใจเธอจึงเดินเข้ามาดูใกล้ๆ

          “นี่คือรูปของพ่อกับแม่ของผมเอง พวกท่านเสียไปตั้งแต่ผมยังเล็กๆ” ศาสตอบด้วยสีหน้าที่ดูเศร้า

          “ชั้นก็ไม่รู้ว่าวิญญาณมีจริงไหม แต่อย่างน้อยชั้นก็มั่นใจว่าพวกท่านอยู่กับนายเสมอนะศาส ในกายเราที่มีเลือดของพวกท่านไหลเวียนอยู่”

           “ขอบคุณนะรีอา ว่าแต่นี่เธอพยายามจะปลอบชั้นเหรอ”  

            “ตาบ้า...” รีอามองค้อนมายังศาส เมื่อเขาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบชวนเธอไปยังเรืยนของปู่ ในขณะที่เขากำลังจะเข้าไปด้านในก็อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้เพราะเขาเองแทบไม่เคยเข้ามาในห้องนี้เลย ทันทีที่ประตูถูกเปิดออกพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอับจากกระดาษ  เมื่อมองเข้าไปภายในก็พบตำราจำนวนมากที่ถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดี และยังมีตำราหายากที่ทำจากใบลานซึ่งในปัจจุบัน หาไม่ได้อีกแล้ว เมื่อเขาสำรวจตำราเหล่านั้นก็พบว่าส่วนใหญ่ถูกเขียนขึ้นโดยอักษรโบราณ ศาสและรีอาจึงได้แต่เก็บมันคืนที่เดิม เมื่อเดินไปจนสุดห้องศาสก็พบกับตู้โบราณซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง เขาจึงลองใช้กุญแจกับมันดู เมื่อเปิดออกก็พบเพียงหนังสือหนึ่งเล่มอยู่ภายใน ปกของมันทำจากหนังสีน้ำตาล สภาพของมันบ่งบอกว่ามันถูกใช้งานมาอย่างยาวนานจนเนื้อกระดาษกลายเป็นสีเหลือง เขาจึงลองเปิดมันดู ก็พบว่ามันเป็นบันทึกที่ปู่ของเขาเขียนรวบรวมไว้ ทั้งพิธีกรรมและคาถาต่างๆ เมื่อพลิกไปดูหน้าอื่นกระดาษแผ่นหนึ่งที่สอดไว้ก็ตกลงมาจากสมุด เมื่อเขาก้มลงเก็บก็พบว่าเป็นจดหมายฉบับหนึ่งจ่าหน้าถึงศาสนั่นเอง เขาจึงรีบเปิดอ่านเนื้อความภายใน

          “หากเจ้ากลับมาที่นี่ก็แสดงว่าสิ่งที่ปู่กังวลมาตลอดได้เกิดขึ้นแล้ว และเจ้าเองก็คงผ่านเหตุการณ์ที่ยากลำบากมาไม่น้อย นี่เป็นสาเหตุที่ปู่เคี่ยวเข็นเจ้ามาตลอดไม่ใช่เพราะใครอื่นแต่เพื่อตัวของเจ้าเอง สายเลือดของเรามันต้องคำสาปให้ไปข้องเกี่ยวกับสิ่งกาลกิณิทั้งหลาย เรื่องที่จะเกิดต่อจากนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่ตัวของปู่เองก็ไม่สามารถทำนายได้ แต่ปู่เชื่อว่าเจ้าจะต้องก้าวผ่านมันไปได้ ดังนั้นสมุดเล่มนี้ขอมอบให้แก่เจ้า วิชาต่างๆ ที่ได้สืบทอดกันมาล้วนถูกจดบันทึกลงในสมุดเล่มนี้ หวังว่ามันคงจะเป็นประโยชน์แก่เจ้า”

          “หมายความว่าปู่ของนายรู้ล่วงหน้าว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเหรอ”

          “อืม...น่าจะเป็นอย่างนั้นเพราะท่านเองก็มีฌาณอยู่ในระดับสูง” หลังจากนั้นพวกเขาจึงสำรวจสิ่งต่างๆภายในห้องก็ได้อุปกรณ์สำหรับใช้ประกอบพิธีมาบางส่วนแต่ก็ไร้วี่แววถึงคำตอบที่พวกเขากำลังค้นหา

         เมื่อรีอาหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูก็พบว่าใกล้ได้เวลานัดรวมแล้วพวกเขาจึงตัดสินใจเดินทางกลับโดยมีลุงแช่มอาสาขับรถไปส่ง  เมื่อถึงที่หมายก็พบว่ารถขนส่งกำลังรอพวกเขาอยู่ศาสจึงรีบขนของไปที่รถ ในขณะที่รีอากำลังลงจากรถลุงแช่มก็กวักมือเรียกเธอ

          “ขอบคุณคุณหนูมากนะครับ ผมไม่ได้เห็นนายน้อยดูมีชีวิตชีวาแบบนี้มานานแล้ว จากนี้ไปลุงขอฝากเขาด้วยนะครับ”

          “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ กลับกันหนูต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกเขาช่วยเอาไว้”  รีอาพูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มก่อนที่เธอจะลงจากรถไป

          “คุยอะไรกันเหรอ..” ศาสถามเมื่อเห็นเธอเดินยิ้มมาแต่ไกล

          “ความลับ” รีอาตอบพร้อมกับเดินขึ้นรถ ปล่อยให้ศาสสงสัยต่อไป 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา