Real Breaker
เขียนโดย คันศร
วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.
แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ร่างที่หายไป
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสียงพูดคุยที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาลอดผ่านประตูออกมายังด้านนอก จนศาสรู้สึกเกร็งที่จะเดินเข้าไปภายใน เขาจึงเดินค่อยๆก้าวออกมาก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้าเพื่อรับลมและฆ่าเวลาไปในตัว แสงแดดอ่อนๆที่ลอดผ่านกลุ่มเมฆครึ้มและสายลมที่พัดผ่านจนผ้าสีขาวที่ถูกตากไว้อย่างเป็นระเบียบต่างปลิวไสว ถึงแม้ว่าอากาศที่นี่จะไม่สะอาดเมื่อเทียบกับแถบชนบทแต่ก็ยังให้ความรู้สึกดีกว่ากลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อภายในตัวอาคาร
“อ้ะ อยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย” เสียงจากหญิงสาวดังขึ้นมาด้านหลัง
“นี่! เป็นคนไข้แท้ๆ มาเดินอะไรแถวนี้ครับคุณริน”
“เค้าไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย ว่าแต่ศาสเถอะทำไมไม่เข้ามาในห้องล่ะ” ศาสได้แต่ยิ้มพร้อมกับยักไหล่ ซึ่งเธอเองก็เข้าใจดีว่าจริงๆ แล้วศาสค่อนข้างจะขี้อายพอสมควร สายลมที่เริ่มพัดแรงขึ้นซึ่งคงไม่ดีนักสำหรับผู้ป่วยศาสจึงพารินกลับห้อง พร้อมกับจัดแจงให้เธอนอนพักอยู่บนเตียงอย่างเรียบร้อย ทั้งคู่จึงพากันพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรั้ววิทยาลัย กว่าที่พวกเขาจะรู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็ถูกดวงตะวันย้อมจนก็กลายเป็นสีแดงแล้ว พร้อมกับเสียงคำรามเล็กๆ ที่ดังออกมาจากท้องของศาส จนทำให้รินถึงกับกลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่ ส่วนศาสเองก็ได้แต่ใช้มือขึ้นมายีผมเพื่อแก้เขิน
“ขอโทษทีนะชวนคุยยาวเลย เดี๋ยวจะหาอะไรรองท้องให้นะ” รินยกตัวขึ้นเพื่อที่จะไปเอื้อมมือไปหยิบของในตะกล้าเยี่ยมไข้ เมื่อศาสเห็นดังนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้นเพื่อเอื้อมมือไปหยิบเองด้วยความรีบร้อนเขาจึงสะดุดเข้ากับเป้ที่วางไว้ด้านข้าง จนเสียหลักลงไปคร่อมอยู่บนร่างของริน
“ว้าย!!” รินอุทานด้วยความตกใจ ส่วนศาสเองก็ตกใจไม่แพ้กัน เป็นครั้งแรกที่เขาเคยใกล้ชิดกับผู้หญิงขนาดนี้ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย จนเขาเผลอจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับใบหน้าของทั้งคู่ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อรู้สึกตัวศาสจึงรีบลุกขึ้นอย่างลนลาน
“ไอ้โรคจิต!!!” ในขณะนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากประตู เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนศาสไม่ทันได้ตั้งตัวบรรยากาศรอบตัวเขาก็หมุนเคว้งพร้อมกับตัวของเขาที่ลงไปกองอยู่บนพื้น
“อ๊า!! ดะ เดี่ยวก่อนค่ะ ไม่ใช่แบบนั้นนะ!!” รินรีบร้องห้าม บุคคลดังกล่าวจึงหยุดมือไว้ เมื่อศาสแหงนหน้าขึ้นมาก็พบว่าคนที่เข้ามาจู่โจมเขาคือรีอานั่นเอง
“อ้าว!! นายโรคจิตขนาดทำคนป่วยเลยเหรอศาส”
“ไม่ได้โรคจิตเฟ้ย! มันแค่อุบัติเหตุเข้าใจไหม” ทั้งคู่จึงอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้น เมื่อรีอาได้ฟังเธอก็รีบขอโทษศาสแต่โดยดี ส่วนศาสเองถึงแม้จะหายโกรธแต่ก็ยังแอบบ่นไม่ได้
“ขนาดมีดยังฟันไม่เข้า แต่ทำไมหมัดของยัยนี่ทำเอาเจ็บขนาดนี้เนี่ย...” จนคำพูดของศาสหลุดไปถึงหูของรีอา เธอจึงมองค้อนมายังศาส เขาได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆพร้อมก้มหน้า
“ขอบคุณนะทั้งคู่ที่มาเยี่ยมริน ดีใจจริงๆ” รินพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างไร้เดียงสาจนทั้งคู่รู้สึกเขิน ในขณะที่บรรยากาศการสนธนากำลังเป็นไปด้วยความสนุกสนานไม่นานนัก นางพยาบาลก็เข้ามาแจ้งว่าหมดเวลาเยี่ยมไข้แล้ว ศาสกับรีอาจึงขอตัวกลับก่อน
“ว่าแต่ รีอารู้จักกับรินเหรอ” ศาสถามด้วยความสงสัยในขณะที่พวกเขากำลังรอลิฟท์
“ก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอก แต่ด้วยหน้าที่และอะไรหลายๆ อย่างเลยคิดว่ามาเองน่าจะดีที่สุดน่ะ”
“เฮ้อ เธอนี่น้าพูดจายังกะหุ่นยนต์” ศาสบ่นพร้อมกับถอนหายใจส่วนรีอาเองก็ไม่ค่อยพอใจกับคำพูดเมื่อครู่สักเท่าไหร่ ในขณะที่ทั้งคู่กำลังเดินมาถึงทางออกของโรงพยาบาลก็มีเสียงโหวกแหวกดังมาจากล็อบบี้ทั้งคู่จึงหยุดดูอยู่ครู่หนึ่งก็พบหญิงวัยกลางคนกำลังโวยวายอยู่ด้านหน้าของเคาเตอร์จนพวกบุรุษพยาบาลและยามต้องมาช่วยกันห้ามและกันตัวออกไป
“แกคงยังทำใจไม่ได้น่ะ”
“ก็อย่างว่าล่ะเมื่อวานยังเห็นลูกแกอยู่ดีๆ แต่มาวันนี้กลับตายอ่ะนะ....” เสียงจากไทยมุงที่อยู่รอบๆทำให้พวกศาสพอจะเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ศาสรู้สึกไม่สบายใจกว่าคือความรู้สึกที่ถูกสายตาจับจ้องและดูเหมือนมันจะไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่
“มีอะไรหรือเปล่าศาส ไปกันเถอะชั้นหิวแล้วล่ะ” ถึงแม้รีอาจะพูดแบบนั้นแต่เธอก็เดินลิ่วไปโดยไม่สนใจเขา
"คิดไปเอง...ล่ะมั้ง" ศาสจึงไม่มีทางเลือกนอกจากตามเธอไปโดยทิ้งความไม่สบายใจไว้เบื้องหลัง
เช้าวันต่อมา ในขณะที่ศาสกำลังนั่งเล่นอยู่บริเวณสนามกีฬาเพื่อรอเวลาเข้าเรียน ทันใดนั้นเขาก็ถูกล็อคตัวจากด้านหลัง โดยชายสองคน เมื่อศาสหันไปก็พบว่าคือกลุ่มเพื่อนในคณะนั่นเอง
“ไงวะศาส วันนี้พวกเราไปกินข้าวฝั่งนักเรียนแพทย์กันดีกว่า เห็นเขาว่าแจ่มๆ ทั้งนั้นเลยนะเว้ย”
“เอ่อ...พวกแกชวนดีๆ ก็ได้” ศาสตอบรับคำชวนของพวกเพื่อนๆ เพราะเขาเองก็ยังไม่มีโอกาศได้เดินดูมหาวิทยาลัยมากนักจึงใช้โอกาศนี้เดินชมส่วนต่างๆ ของมหาวิทยาลัย เมื่อมาถึงโรงอาหาร สายตาของพวกเขาก็เป็นประกายไม่ใช่เพราะความหรูหราของสถานที่หรือความน่ากินของอาหาร แต่เป็น เพราะสิ่งที่พวกเขาได้พบไม่ได้ต่างไปจากคำร่ำลือ เพราะส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาหญิงและหลายคนที่จัดว่าหน้าตาดี จนศาสเองต้องรีบสะกิดพวกเพื่อนๆ ที่ออกอาการจนเกินหน้าเกินตา เมื่ออาหารที่สั่งเริ่มทยอยกันมาพวกเขาจึงลงมือทานกันอย่างเอร็ดอร่อย
“นี่ๆ ได้ข่าวหรือเปล่า ช่วงนี้ศพที่โรงพยาบาลที่จะเอามาทำเป็นอาจารย์ใหญ่หายไปละ”
“เอ๋...เดี๋ยวนี้ยังมีการขโมยศพอยู่อีกเหรอ แล้วเราจะได้ผ่าอาจารย์ใหญ่ไหมอ่ะ”
“แต่หุ่นจำลองที่ใช้ผ่าก็ไม่ต่างกับของจริงมากนะดูรูปนี่สิ” บทสนธนาจากโต๊ะข้างๆ ทำเอาพวกเขาถึงกับรู้สึกพะอืดพะอม ยิ่งภาพที่หญิงสาวหนึ่งในนั้นเอามาโชบนโต๊ะยิ่งทำให้เพื่อนของศาสบางคนถึงกับกินข้าวไม่ลง
“เอ่อ...คราวหน้ากินที่คณะเราดีกว่าเนอะ” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนพูดขึ้นซึ่งทุกคนก็มองหน้ากันเป็นนัยว่าเห็นด้วยกับความคิดนั้น
เมื่อจัดการกับอาหารมื้อใหญ่เรียบร้อยแล้วทุกคนจึงเดินกลับคณะ แต่ศาสยังคงรู้สึกติดใจกับเรื่องศพที่หายไปที่หญิงสาวพูด
ในช่วงพักกลางวันเขาจึงโทรหารีอา และนัดเจอเธอในหอสมุด เนื่องจากเป็นสถานที่ ที่คนไม่พลุกพล่านและภายในยังประกอบไปด้วยห้องมากมายสำหรับใช้ในการอ่านหนังสือหรือการสัมนา จึงเหมาะแก่การคุยยธุระของพวกเขา ไม่นานนักเธอก็มาถึง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอศาส ถึงได้เรียกชั้นมาที่นี่น่ะ”
“จริงๆ ผมก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนะ แต่อยากให้เธอช่วยตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ที” ศาสพูดพร้อมกับยื่นเอกสารฉบับหนึ่งให้กับรีอา เมื่อเธอเปิดดูข้อมูลอย่างคร่าวๆ ไม่นานนักเธอก็สามารถจับประเด็นได้
“ขบวนการค้าศพข้ามชาติเหรอ นี่มันข่าวเก่ามากเลยนะ”
“ช่วงนี้ชั้นได้ข่าวลือมาว่ามีการขโมยศพเกิดขึ้นในโรงพยาบาลหลายแห่ง แต่ไม่มีข่าวไหนออกสื่อเลย เลยคืดว่าเธอน่าจะช่วยได้น่ะ”
“อืมหากเป็นจริงก็คงมีการปิดข่าวล่ะ แต่แค่อำนาจของโรงพยาบาลมันสามารถทำได้เหรอ” รีอาขบคิดอยู่พักหนึ่ง พร้อมกับใช้นิ้วมาม้วนผมของเธอเล่น
“ก็ได้เดี๋ยวชั้นจะลองเช็คดู” รีอาพูดพร้อมกับหยิบแล็ปท็อปของเธอออกมามาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอบคุณนะรีอาเดี๋ยวผมมีเรื่องต้องไปทำก่อน ฝากด้วยนะ” ศาสลุกขึ้นพร้อมกับวางอมยิ้มไว้บนแล็ปท๊อป เธอจึงมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ
“เห็นเธอชอบทำหน้าเครียดตลอด เลยคิดว่าหากเธอยิ้มบ้างคงจะน่ารักดีนะ” ลีอานิ่งไปครู่หนึ่ง อยู่ดีๆ เธอก็รู้สึกไม่กล้ามองหน้าเขาตรงๆ จนต้องหันไปทางอื่น ก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันไป
ณ ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมือง ถึงแม้ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อที่ขายของไม่ต่างกับร้านทั่วไป แต่ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ย่านชุมชนลูกค้าในแต่ละวันจึงเยอะเป็นพิเศษไม่เว้นกระทั่งกลางดึกเช่นนี้ ซึ่งหมายถึงภาระที่มากขึ้นสำหรับลูกจ้าง ศาสเริ่มงานที่นี่เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ซึ่งความเป็นจริงงานบริการแบบนี้ไม่ใช่งานที่เขาถนัดนัก แต่ด้วยสภาวะทางการเงินที่บีบบังคับและงานพิเศษที่หาได้ยากขึ้นเนื่องจากหุ่นยนต์ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทกับกิจการส่วนใหญ่ เขาจึงจำเป็นต้องทำงานนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่เขากำลังมือเป็นระวิงกับการจัดของตามออเดอร์ของลูกค้า เสียงเรียกเข้าจากสมาทโฟนของเขาก็ดังขึ้น เขาลังเลที่จะรับมันอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นสายที่โทรเข้าเป็นของรีอาเขาจึงรีบรับมันทันที
“ศาสเรื่องศพน่ะเกิดขึ้นจริงๆ ชั้นเลยลองตรวจสอบเพิ่มเติมเจอเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลมากเลย อยู่ดีๆ สถิติการตายของผู้ป่วยก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ”
“เธอจะบอกว่าทางโรงพยาบาลแกล้งทำให้คนไข้ตายเพื่อเอาศพอย่างนั้นเหรอ” ศาสพูดแม้แต่สิ่งที่เขาเองก็ยังไม่อยากเชื่อออกไปแต่จากข้อมูลที่เชื่อมโยงกันทำให้เขานึกได้แต่สมมุติฐานนี้เท่านั้น
“แล้วรินล่ะ...โรงพยาบาลที่รินอยู่”
“ชั้นลองติดต่อไปแล้ว แต่ติดต่อไม่ได้เลย ตอนนี้กำลังเดินทางไปตรวจสอบอยู่”
“รอชั้นอยู่ข้างนอกนะรีอา กำลังจะไปเดี๋ยวนี้” หลังจบบทสนธานาศาสรีบถอดชุดคลุมออกก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินออกไป
ใช้เวลาไม่นานนักศาสก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาลซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่รีอากำลังก้าวลงจาก Sky Drive พอดี
ทันทีที่เข้ามาภายในพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างที่ต่างไปจากปกติ พวกเขาจึงรีบตรงเข้าไปสอบถามกับทางพยาบาลที่ประจำอยู่หน้าเคาเตอร์ก็พบว่าเธอไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง มิหนำซ้ำดวงตาของเธอยังดูเลื่อนลอยราวกับต้องมนต์สะกดบางอย่าง เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์พวกเขาจึงรีบมุ้งหน้าไปยังห้องของริน แต่เมื่อเปิดประตูพวกเขาก็พบเพียงห้องที่ว่างเปล่า
“บ้าจริง!! เรามาช้าเกินไป” ศาสพูดอย่างหัวเสียก่อนที่จะง้างหมัดใส่กำแพงด้วยความโกรธ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำกำปั้นของรีอาก็มาประเคนเข้าที่ท้องของเขาจนรู้สึกจุกไปหมด
“เจ้าบ้านี่! ใจเย็นๆ ก่อนสิทำร้ายตัวเองแล้วมันทำให้อะไรดีขึ้นหรือไง” หลังจากที่ได้ฟังรีอาก็ทำให้ศาสนิ่งไปพักหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นเพราะคำพูดของเธอแต่เป็นเพราะหมัดเมื่อครู่ แต่มันก็ได้ผลจริงๆศาสรู้สึกมีสติอีกครั้งหนึ่ง
ทันใดนั้นเสียงจากจักรกลก็ดังขึ้นทั้งคู่จึงรีบวิ่งไปที่หน้าต่างก็พบเรือสีดำทะมึนขนาดกลาง กำลังเทียบท่า ที่ท่าน้ำด้านหลังของโรงพยาบาล พร้อมกับกลุ่มชายชุดดำที่สวมเครื่องแต่งกายอย่างรัดกุมปิดบังใบหน้าจดมิดชิด จำนวนหนึ่งกำลังลงจากเรือ พวกเขาไม่รอช้ารีบมุ่งหน้าไปยังท่าน้ำ เมื่อมาถึงหน้าห้องดับจิตที่ใกล้กับท่าเรือก็พบหนึ่งในพวกมันกำลังขนห่อพลาสติกสีดำออกไป ซึ่งดูจากขนาดของมันพวกเขาก็รู้โดยทันทีว่าสิ่งที่อยู่ภายในคือศพของมนุษย์นั่นเอง ทันทีที่มันพบพวกเขามันก็วิ่งเข้าใส่ราวกับสัตว์ป่า ศาสที่อยู่ด้านหน้าจึงออกหมัดสวนใส่ปลายคางของมันเข้าอย่างจังจนมันกระเด็นล้มลงไป
จึงแม้อยากจะจัดการกับมันให้เด็ดขาด แต่เมื่อเห็นชั้นใส่ศพที่ว่างเปล่าภายในห้องดับจิตก็หมายความว่าพวกมันได้ทำหน้าที่ลุล่วงแล้ว พวกเขาจึงรีบมุ่งหน้าไปยังท่าเรือก่อนที่มันจะออกจากท่าไป
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณว่าพวกเขาใกล้จะถึงเป้าหมายแล้ว เมื่อผ่านประตูหลังไปพวกเขาก็พบพวกมันที่เหลืออีกราวแปดคนกำลังยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าของเรือ ศาสและรีอาไม่มีทางเลือกนอกจากฝ่าพวกมันเข้าไปเท่านั้น เมื่อมันเห็นพวกเขาจากท่าทีที่สงบก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงราวกับสัตว์ป่าที่กระหายเลือด พวกมันวิ่งใส่พวกเขาอย่างบ้าคลั่ง
รีอาไม่รอช้าเธอรีบร่ายเวทย์หมายจะจัดการพวกมันทั้งหมดในครั้งเดียว จนเกิดเปลวไฟขนาดใหญ่ขึ้นพันรอบแขนของเธอ
“ทำอะไรของนายน่ะศาส!!” รีอาตกใจเมื่อเห็นศาสยื่นมือมากันไว้ทำให้เธอไม่สามารถโจมตีได้
“ไม่ได้นะ! ไอ้พวกนี้ เป็นแค่คนธรรมดา” คำพูดของศาสทำให้รีอาเอะใจบางอย่างเธอจึงหยุดเวทย์ของเธอลงจนเปลวไฟมอดหายไป พร้อมกับพวกมันที่บุกเข้ามาถึงตัวพวกเขา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าตื่นตระหนกนักเพราะพวกเขาเองก็เป็นผู้ฝึกศิลปการต่อสู้ ศาสใช้แม้ไม้มวยไทยของเขาประเคนหมัดใส่พวกที่บุกเข้ามาแต่ดูเหมือนว่าการโจมตีธรรมดาจะไม่สามารถหยุดพวกมันเอาไว้ได้ มันยังคงลุกขึ้นมาได้อีกราวกับไร้ความรู้สึก
“คงต้องทำให้น็อคในครั้งเดียวสินะ” ถึงแม้จะรู้วิธีในการจัดการกับพวกมัน แต่ด้วยความเสียเปรียบด้านจำนวนคน แค่ป้องกันก็ทำได้ยากแล้ว ยิ่งต้องหาช่องว่างเพื่อโจมตีสวนกลับยิ่งยากเข้าไปใหญ่
“ศาสเรือมัน!!” เสียงร้องจากรีอาเมื่อเขาหันไปก็พบว่ามันกำลังเคลื่อนออกจากท่า หากมันออกไปแล้วก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในการตามมันไป
“รีบไปเร็วศาสไม่มีเวลาแล้วนะ! เดี๋ยวทางนี้ชั้นจัดการเอง”
“จะบ้าเหรอ จะให้ทิ้งเธอได้ยังไง”
“ชั้นเชื่อใจนายนะ นายก็ต้องเชื่อชั้นเหมือนกัน” ถึงแม้เขาไม่อยากทิ้งให้รีอาต่อสู้เพียงลำพัง แต่สิ่งที่เธอพูดก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องหากพลาดโอกาสในตอนนี้ไปเขาคงไม่มีทางช่วยรินได้อีกแล้ว และนี่คือโอกาสสุดท้ายของเขา ศาสตัดสินใจฉากหลบออกมาโดยมีรีอาคอยกันพวกศัตรูเอาไว้ เขาเร่งฝีเท้าอย่างไม่คิดชีวิตก่อนที่จะกระโดดไปยังเรือ แต่ด้วยระยะห่างที่มากเกินไป ตัวของเขาจึงไปกระแทกเข้ากับตัวเรือก่อนที่จะร่วงลงสู่แม่น้ำไป ถึงรีอาจะเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแต่เธอก็ไม่สามารถเข้าไปช่วยได้
“ชั้นคงเล่นกับพวกแกไม่ได้แล้วล่ะ อย่าถือสากันเลยนะ” รีอาพูดอย่างมีอารมณ์จนนัยตาของเธอคมกริบขึ้นพร้อมกับชักกระบองคู่ของเธอออกมา
ตอนนี้เรือแล่นด้วยความเร็วจนแทบไม่เห็นโรงพยาบาลแล้ว ก่อนที่มันจะแล่นลัดเลาะไปตามแนวป่าชายเลนตัดผ่านคลองเล็กคลองน้อย ที่เต็มไปด้วยแนวป่าโกงกาง ที่ขึ้นหนาเป็นกำแพงตามธรรมชาติ ซึ่งหากไม่ใช่ผู้ชำนาญพื้นที่แล้วคงยากที่จะรู้เส้นทางอันซับซ้อนนี้ ดูเหมือนว่าพวกมันยังไม่รู้ว่ามีผู้โดยสารที่ไม่ได้รับเชิญติดมาด้วย ในตอนที่ศาสตกลงไปยังแม่น้ำโชคดีที่เขาสามารถคว้าเชือกเส้นจากเรือไว้ได้ เขาเกาะมันไว้แน่นจนมาถึงที่นี่ ในที่สุดเรือก็แล่นช้าลงซึ่งนั่นแปลว่าน่าจะใกล้ถึงแหล่งกบดานของพวกมันแล้ว เมื่อเขามองไปด้านหน้าก็พบโกดังสินค้าที่ถูกทิ้งร้างจนทรุดโทรม ก่อนที่เรือจะค่อยๆแล่นเทียบท่า
เมื่อเรือเข้าเทียบท่าก็ปรากฏชายในชุดดำสามคน ออกมาจากห้องคนขับพวกมันมุ่งหน้าไปยังโกดัง ศาสได้โอกาสเขาจึงรีบปีนเชือกขึ้นมาบนเรือก่อนที่จะค่อยๆลอบไปยังห้องคนขับก็เห็นเงาดำภายในดูเหมือนว่ายังมีหนึ่งในพวกมันเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ เขาจึงแอบเข้าทางประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้พร้อมกับจัดการมันโดยไม่ให้รู้ตัวด้วยการโจมตีไปยังก้านคอเพียงครั้งเดียวมันก็ลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดาย ศาสรีบเข้าไปสำรวจแผงควบคุมเรือ แต่ดูเหมือนมันจะซับซ้อนกว่าที่เขาคิดไว้ ในระหว่างที่ศาสกำลังทำความเข้าใจเพื่อที่จะบังคับมัน ทันใดนั้นเสียงสัญญาณเตือนก็ดังขึ้นเมื่อเขาหันไปก็พบสวิทต์อยู่บนมือของชายที่สลบอยู่ มันคงใช้แรงเฮือกสุดท้ายกดสัญญาณเตือนเพื่อบอกพวกพ้องของมัน
เพียงชั่วครู่หนึ่งชายทั้งสามก็วิ่งมาถึงท่าเรือ พวกมันไม่รอช้ารีบสำรวจภายในเรือทันที เมื่อมันเข้าไปยังห้องคนขับก็พบเพียงร่างของพวกมันที่หมดสติอยู่เท่านั้นพวกมันจึงรีบค้นหาผู้บุกรุกในส่วนอื่นต่อ ทันทีที่พวกมันเดินออกมาจากห้องคนขับศาสใช้จังหวะนี้เข้าจู่โจมลงมาจากด้านบน ทันใดนั้นสิ่งที่ศาสไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งในพวกนั้นไหวตัวทัน มันกระแทกใส่ชายที่ตกเป็นเป้าหมายจนทำให้การโจมตีของเขาพลาดไป
ถึงแม้ว่าศาสจะเสียเปรียบด้านจำนวนคน แต่เขาก็คำนวนมาแล้วการสู้กันบริเวณทางเดินข้างห้องคนขับซึ่งเป็นจุดที่มีพื้นที่ไม่มากนักทำให้พวกมันไม่สามารถบุกเข้ามาพร้อมกันได้จึงช่วยลดเรื่องความเสียเปรียบลงได้ ในระหว่างที่ต่อสู้กันศาสก็สัมผัสได้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาในคราวนี้ต่างจากพวกที่อยู่ในโรงพยาบาลอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ว่าพวกมันจะไม่มีทักษะในการต่อสู้มากนัก แต่มันก็รู้จักป้องกันส่วนสำคัญของร่างกายเป็นอย่างดีจนยากแก่การโจมตี นั่นแสดงว่าพวกมันมีสติปัญญา แต่แรงกายที่ราวกับไม่ใช่มนุษย์และร่ายกายไร้ซึ่งความรู้สึกของพวกมัน ยิ่งเวลาผ่านไปศาสก็ยิ่งเสียเปรียบ จนในที่สุดหนึ่งในพวกนั้นก็อ้อมมาทางด้านหลังของเขา
ถึงจะเข้าใจว่าเป็นสถานการณ์ที่อันตรายถึงชีวิตแต่ศาสก็ลังเลที่จะชักอาวุธออกมาอยู่ดีจนเขาถูกพวกมันล้อมไว้ ในขณะที่มันกำลังจู่โจมศาส ทันใดนั้นเสียงของวัตถุที่แหวกผ่านอากาศก็ดังขึ้น พร้อมกับมือของมันที่มีเลือดพุ่งออกมา ทันใดนั้นมันกลับแสดงท่าทีที่เจ็บปวดออกมา ศาสใช้จังหวะนี้รีบต่อยสวนกลับไป หมัดของเขาเข้าปลายคางของมันจนล้มทั้งยืน พริบตาหนึ่งเขาก็สังเกตุเห็นรอยสักที่น่าจะเป็นวงเวทย์บนฝ่ามือของมัน
“จุดอ่อนของมันอยู่ที่วงเวทย์บนฝ่ามืองั้นเหรอ” ถึงแม้จะไม่มั่นใจแต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดออก ศาสจึงชักมีดออกมาอย่างไม่ลังเล ทันทีที่มันจู่โจมเข้ามาศาสล็อคมือของมันไว้พร้อมกับใช้มีดแทงลงไปยังฝ่ามือ ซึ่งก็เป็นไปตามคาดราวกับว่าพลังของมันหายไปและกลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา เมื่อเห็นพรรคพวกถูกเล่นงานจนหมดชายชุดดำคนสุดท้ายมันจึงตัดสินใจกระโดดหนีลงแม่น้ำเพียงพริบตาเดียว ศาสก็ได้ยินเสียงอากาศถูกแหวกขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างของชายชุดดำที่ลอยขึ้นมาพร้อมกับสีของน้ำโดยรอบที่ถูกย้อมจนเป็นสีแดง แต่เขาไม่มีเวลาสนใจมันอีกต่อไปแล้วเขารีบมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บของด้านหลังเพื่อหาตัวริน ถุงแล้วถุงเล่าที่เขาเปิดออกมาเขาก็ยิ่งพบกับความผิดหวังเขาไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตภายในห้องนี้เลย
“แกเข้ามายุ่งมากเกินไปแล้วไอ้หนู” เสียงจากชายคนหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลังของศาสโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลย กว่าที่ศาสจะรู้ตัวเขาก็พลาดท่าถูกมันใช้ไฟฟ้าช็อตอย่างแรงจนเขาล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมกับสติที่ค่อยๆ เลือนลาง
“เห...ใจดีจังนะชั้นนึกว่านายจะฆ่าเขาซะอีก”
“การมีอยู่ของมัน ไม่มีผลอะไรกับฉันอยู่แล้ว....” คำพูดระหว่างชายหญิงคู่หนึ่งแว่วเข้ามาในหูของเขาก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลงไป
สายลมแรงที่พัดเข้ากระทบใบหน้าที่เจือด้วยละอองน้ำที่สาดกระเซ็นช่วยให้ศาสได้สติขึ้นมาด้วยนัยตาที่พร่ามัวและหูที่ยังอื้ออึง เขาพยายามที่จะตั้งสติเพื่อที่จะเรียกประสาทสัมผัสคืนมา จนตาของเขาเริ่มจับภาพได้ก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเรือ และข้างๆ ตัวเขามีรีอาคอยดูอาการอยู่ด้วยความเป็นห่วง เมื่อเธอเห็นศาสได้สติขึ้นมา ความกังวลที่ปรากฎอยู่บนสีหน้าของเธอก็ดูจางลง
“ขอโทษ....รีอาผม..ทำพลาดไป” ศาสพยายามพูดแต่ดูเหมือนว่าร่างกายของเขายังคงอ่อนแรง
“ขอโทษนะศาส เป็นความผิดของชั้นเอง ที่ประเมินพวกมันต่ำไป”
“แล้ว..รินล่ะ...หาเจอไหม” รีอาได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อเขาเดินทางตามมาก็พบเพียงศาสที่นอนสลบบนท่าน้ำพร้อมกับโกดังที่ถูกไฟไหม้อยู่ด้านหลัง ไม่มีร่องรอยของศพและเรือสีดำอยู่เลย เมื่อศาสได้ฟังก็ได้แต่นิ่งเงียบเขากัดฟันแน่นพร้อมกับเอามือข้างหนึ่งมาปิดหน้าของเขาไว้ ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงโรงพยาบาลและทีมแพทย์ได้นำตัวศาสไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ