Real Breaker

7.6

เขียนโดย คันศร

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.

  19 บท
  18 วิจารณ์
  21.82K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) จมดิ่ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          แสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านช่องหน้าต่างพร้อมกับสายลมที่พัดผ่านเบาๆ ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย ท่ามกลางเสียงของนกนานาสายพันธุ์ที่ร้องรับกันในยามเช้า ก่อนที่บรรยากาศอันแสนสบายเหล่านั้นจะถูกทำลายลงด้วยเสียงนาฬิกาปลุก ไม่นานนักมืออันยาวเรียวก็ค่อยๆ เอื้อมไปควานหามันอยู่ครู่หนึ่งกว่าที่เสียงกริ่งจะถูกปิดลง

          “อือ...ที่รักคะ…” รินที่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความงัวเงียก็พบเพียงเตียงที่ว่างเปล่า เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนที่เสียงบางอย่างจะแว่วขึ้นมาจากในครัวเธอจึงรู้ทันทีว่าสามีของเธอกำลังทำอะไรอยู่

          “โธ่ ที่รักคุณไม่ต้องลุกขึ้นมาทำก็ได้ น่าจะนอนพักให้สบายก่อนนะคะ..ทำงานหนักมาทั้งวันแล้ว” รินพูดขึ้นด้วยเสียงงัวเงียก่อนที่จะเดินเข้าไปซบแผ่นหลังของศาสอย่างสบายใจ

          “แค่นี้เองสบายมาก คุณไปปลุกเจ้าตัวเล็กก่อนเถอะจะได้กินข้าวเช้าด้วยกัน” ศาสหันมาลูบหัวรินด้วยใบหน้าที่ยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนที่เขาจะหันกลับมาปรุงรสเมนูที่ทำค้างไว้อีกครั้ง

ไม่นานนักเด็กหญิงตัวน้อยๆ อายุราวห้าขวบก็ลงมาจากบันใดในชุดนักเรียนสีน้ำเงิน

          “ป่าป๊ะๆ” เธอหยุดยืนตรงขั้นบันใดก่อนจะร้องเรียกศาสที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าว เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปอุ้มเด็กสาวขึ้นมา

          “ว่ายังงายยย ตัวเล็กของพ่อ เรานี่ขี้อ้อนเหมือนแม่ไม่มีผิดเลยน๊า”

          “คุณนี่ก็อย่ามัวแต่เล่นกับลูกสิคะ เดี๋ยวก็ไปสายหรอก เรย์ก็ด้วยรีบมาทานข้าวได้แล้ว” เมื่อพวกเขาได้ยินดังนั้นจึงรีบมานั่งที่อย่างเรียบร้อย ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มทานอาหารเช้าพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่นานนักเสียงแตรรถก็ดังขึ้นจากถนนหน้าบ้าน เมื่อศาสได้ยินเขาจึงรีบดื่มน้ำและลุกขึ้นหยิบกระเป๋าเอกสารที่วางอยู่ข้างๆ

          “...เอ่อ..ระวังตัวนะคะ” รินพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล ในขณะที่เธอช่วยจัดแจงเสื้อผ้าของผู้เป็นสามี

          “ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกที่รัก ทุกคนจะต้องเข้าใจถึงสิ่งที่ผมทำอยู่แน่ๆ ไว้เรามาเลี้ยงฉลองตอนเย็นกันนะ” ศาสยิ้มให้รินอย่างมั่นใจก่อนที่เขาจะหันไปหอมแก้มลูกสาวพร้อมกับเดินออกจากบ้านไปยังรถที่จอดรอรับอยู่หน้าบ้าน

          “วันนี้แล้วสินะ พร้อมไหมครับท่านประธานศาสสสส” เสียงจากคนขับรถที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

          “พี่กริซนี่เราก็แก่กันขนาดนี้แล้วยังจะแซวผมอีกนะครับ...ไม่ต้องห่วงหรอกพี่การหารือกับชาวบ้านต้องเป็นไปได้สวยแน่ๆ”

          “คิดแล้วมันก็น่าตกใจนะ เมื่อก่อนชั้นยังเห็นนายเป็นแค่เด็กน้อยแต่มาวันนี้กลับขึ้นมาเป็นหัวหน้าโปรเจคยักษ์ที่อาจเปลี่ยนโลกได้” กริซพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับมองมายังศาสอย่างภาคภูมิใจ แต่แล้วเสียงหัวเรอะของทั้งคู่ก็หยุดลงเมื่อพวกเขาขับผ่านป้ายที่มีข้อความต่อต้านขนาดใหญ่ “เราไม่ใช่หนูลองยาของรัฐบาล ไสหัวออกไปซะ”

          “เฮ้อ...เห็นแบบนี้แล้วอดห่วงไม่ได้จริงๆ ว่ะศาส จริงๆ ก็ไม่อยากพูดให้นายเสียกำลังใจหรอกนะ แต่ชั้นเองก็ได้ข่าวมาว่ามีคนบางกลุ่มกำลังสร้างข่าวปลุกปั่นพวกชาวบ้าน การเจรจาครั้งนี้อาจจะไม่เป็นไปอย่างที่คิดก็ได้”

          “จริงๆ ผมก็เข้าใจชาวบ้านนะเพราะในช่วงที่ไทยเผชิญกับวิกฤษทางพลังงานครั้งใหญ่พวกเขาเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ถูกทอดทิ้ง มันคงไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้สึกโกรธแค้น...ดังนั้นผมต้องทำให้พวกเขาเข้าใจให้ได้ว่าโครงการนี้มันจะช่วยปฏิรูปพลังงานของโลกและสามารถช่วยพวกเขาได้...” ศาสพูดด้วยนัยตาที่เต็มไปด้วยความหวังเมื่อเห็นดังนั้นกริซก็รู้สึกโล่งใจ

 

          ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงยังจุดหมายมันเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมในครั้งนี้ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอันเข้มงวด โดยมีหน่วยคุ้มกันนำทางพวกเขาไปยังสถานที่จัดประชุม เมื่อพวกเขาเข้าไปด้านในก็พบกับห้องประชุมขนาดใหญ่หลายร้อยที่นั่งและมีผู้เข้าร่วมการประชุมบางส่วนได้นั่งรอพวกเขาอยู่แล้ว

          “คุณคือศจ.ศาสตราใช่ไหมครับ” ชายวัยกลางคน คนหนึ่งเดินเข้ามาทักศาส

          “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณคือ..”

          “ผมชื่อสมิทธเป็นนักวิชาการที่รัฐบาลเชิญมาเข้าร่วมในการประชุมครับ ผมได้อ่านรายงานของโครงการแล้วหากสำเร็จล่ะก็มันจะต้องเปลี่ยนโฉมหน้าพลังงานโลกได้แน่นอนครับ” เมื่อคนอื่นๆเห็นดังนั้นหลายคนจึงเริ่มเข้ามาพูดคุยแสดงความยินดีกับศาส

          หลายนาทีผ่านไปจนล่วงเลยเวลานัดแต่ก็ยังคงไร้วี่แววจากตัวแทนชาวบ้านที่จะเข้าร่วมการประชุม หลายๆคนเริ่มพูดคุยกันถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น จนแม้แต่ศาสเองยังรู้สึกกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก

          ทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงระเบิดดั่งสนั่นขึ้นพร้อมด้วยเสียงโห่ร้องจากผู้คนจำนวนมาก จนผู้เข้าร่วมการประชุมหลายคนอยู่ในสภาพตื่นตระหนก

          “ทุกท่านของให้อยู่ในความสงบ!! ทางเรากำลังควบคุมสถานการณ์อยู่ครับ!!” เสียงจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาในสภาพเหนื่อยหอบ

          “นั่นมันพวกชาวบ้านนี่! มันเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้!!” เสียงจากผู้ร่วมประชุมคนหนึ่งดังขึ้นทุกคนจึงเดินไปดูที่หน้าต่างก็พบกลุ่มชาวบ้านกำลังปะทะกับชุดกองกำลังที่รักษาความปลอดภัย

          “ไม่ได้นะครั---” ยังไม่ทันสิ้นเสียงจากเจ้าหน้าที่ เสียงปืนก็ดังขึ้นเป็นชุดพร้อมกับกระจกที่แตกออกก่อนที่ร่างของผู้ร่วมประชุมบางส่วนจะล้มลงไปกองกับพื้นในสภาพเลือดท่วมตัว ความโกลาหลจึงได้ปะทุขึ้นมาทันที ผู้คนในที่ประชุมต่างแตกตื่นลุกฮือกันวิ่งออกไปจนเจ้าหน้าที่ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ไว้ได้อีกต่อไป

          แต่ศาสสังเกตได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้น รอยแผลบนตัวของผู้เสียชีวิตเกือบทุกศพล้วนต่างถูกยิงในจุดสำคัญซึ่งชาวบ้านธรรมดาไม่น่าที่จะทำการยิงอย่างแม่นยำในระยะนี้ได้ ต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน ทันใดนั้นเสียงมือถือของศาสก็ดังขึ้นเมื่อเขารีบหยิบมันขึ้นมาก็พบว่าเป็นสายของรินนั่นเอง

          “ที่รักคุณรีบพาลูกออกจากเมืองเดี๋ยวนี้เล.....” ศาสนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมกับสีหน้าที่ตื่นตกใจเมื่อปลายสายมันกลับไม่ใช่เสียงของรินผู้เป็นภรรยาของเขาแต่มันกลับเป็นเสียงแหบแห้งจากชายคนหนึ่ง

          “ตอนนี้เมียและลูกสาวของแกอยู่ในความดูแลของพวกข้าแล้ว หากแกไม่รีบกลับบ้านภายในหนึ่งชั่วโมงล่ะก็คงไม่ต้องให้ข้าพูดหรอกนะว่าเมียแสนสวยและลูกสาวที่น่ารักจะเป็นยังไง...และหากแกปากสว่างไปบอกพวกตำรวจล่ะก็คงรู้กันนะ...” นี่คือเสียงสุดท้ายก่อนที่ปลายสายจะถูกตัดไป

          “ไอ้บัดซบเอ็ย!!!” ศาสตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด

          “เกิดเรื่องกับรินอย่างนั้นเหรอ...” แค่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกริซก็พอจะเดาได้ ศาสตร์พยักหน้าตอบ

          “แล้วนายจะทำยังไง”

          “ผมต้องไปหาพวกมันภายในหนึ่งชั่วโมง ไม่อย่างนั้นล่ะก็...”

          “เข้าใจแล้วงั้นเราไปกันเถอะ...”

          “พี่กริซมันอันตรายนะ เรื่องในครั้งนี้คงเป็นฝีมือของพวกมันแน่ๆ อีกไม่นานพวกตำรวจในพื้นที่คงกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่คงไม่มีใครสามารถช่วยเราได้อีกแล้ว พี่เอาแค่กุญแจรถมาก็พอแล้ว”

          “ไอ้บ้า!! ขับรถยังไม่เป็นแล้วแกจะไปยังไง เลิกเถียงแล้วรีบไปกันได้แล้ว”

          ในที่สุดทั้งคู่ก็หาทางไปยังชั้นจอดรถได้ อีกเพียงแค่ไม่กี่เมตรพวกเขาก็จะขับพ้นตัวอาคารทันใดนั้นเองก็มีกลุ่มคนติดอาวุธกระโดดออกมาขวางพร้อมกับกราดยิงมายังรถของพวกเขา

          “ไอ้พวกเวรเอ็ย ตายซะเถอะ!!” กริซตัดสินใจหักหลบก่อนที่จะพุ่งเข้าชนหนึ่งในนั้นเข้าอย่างจังจนมันกระเด็นออกไป ในที่สุดพวกเขาก็สามารถหนีออกมาได้อย่างหวุดหวิด

 

          ในระหว่างทางเป็นไปตามที่ศาสได้คาดการณ์ไว้ พวกเขาวิ่งสวนกับรถตำรวจหลายคันที่กำลังมุ่งไปยังสถานที่เกิดเหตุจนไม่มีใครสนใจร่องรอยการชนบนรถของพวกเขาเลย ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงบริเวณบ้านของศาส ศาสจึงขอให้กริซจอดรถเลยออกไปเพื่อไม่ให้พวกมันรู้ว่ามีคนมากับเขา

          “พี่กริซรออยู่นี่นะ ผมจะเข้าไปคนเดียว...หากมีอะไรเกิดขึ้นกับผมขอฝากที่เหลือด้วยนะ..พี่” ศาสลงรถพร้อมกับเดินไปพูดกับกริซที่ฝั่งประตูคนขับ แต่สิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าทำให้เขานิ่งไปพักหนึ่งเมื่อพบใบหน้าที่ซีดผาดของกริซและรอยเลือดที่เต็มไปทั้งเบาะศาสรีบเข้าไปดูอาการก็พบว่าเขาถูกยิงเข้าที่สีข้างหลายนัด คงเป็นตอนที่เขาหักรถเพื่อใช้ด้านของเขารับกระสุนแทนศาสนั่นเอง ในขณะที่ศาสกำลังจะถอดเสื้อของเขาเพื่อห้ามเลือดนั้นเอง กริซได้ยื่นมือมาจับที่บ่าของศาสไว้แน่น

          “ไป..ไอ้น้องชาย...ชั้นรู้ตัวดี..แก...รีบไปช่วยครอบครัว...ของแกเถอ.ะ...” เมื่อสิ้นเสียงพูดมือของกริซก็ร่วงลงพร้อมกับลมหายใจที่ขาดห้วงไป ศาสจึงได้แต่เก็บความเศร้าเอาไว้พร้อมกับเดินเข้าบ้านของเขาไป

          “งายที่รักกลับมาแล้วเหรอค๊ะ” เสียงจากชายคนหนึ่งร้องทักขึ้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มเยาะจากมุมมืดมันพยัคหน้าเป็นสัญญาณให้ศาสเดินตามเข้าไปยังภายใน

          “ริน!! เรย์!!” ภาพที่เขาเห็นเมื่อเดินเข้ามาทำเอาเขาแทบกลั้นความโกรธเอาไว้ไม่อยู่เมื่อพบรินถูกจับมัดนอนอยู่กับพื้นตามร่างกายของเธอมีร่องรอยการถูกทำร้ายหลายแห่ง โดยมีเรย์นอนสลบอยู่ข้างๆ แต่เขาไม่อาจทำอะไรได้เลยเพราะโดยรอบต่างมีพวกมันที่กำลังเล็งปืนมาที่เขาอยู่ทันใดนั้นเองชายคนนั้นก็มายืนต่อหน้าเขา

          “พวกแกต้องการอะไร!!” ศาสถามขึ้นพร้อมกับมองไปยังชายผู้นั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

          “ง่ายๆ นะศจ.เราต้องการให้แกเข้ารหัสข้อมูลให้นิดหน่อย” มันพูดพร้อมกับกวักมือเรียกลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ไม่นานนักมันก็เดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเอกสารใบใหญ่ เมื่อมันถูกเปิดออกก็พบว่าเป็นคอมพิวเตอร์แบบพกพาสำหรับการทหารนั่นเอง ทันทีที่มันถูกรันขึ้นก็ปรากฎภาพพิมพ์เขียวของสิ่งประดิษฐ์ในโครงการที่เขาคิดค้นขึ้นนั่นเอง

          “แกได้มันมาได้ยังไง...” ศาสถามขึ้น

          “ขอแค่มีเงินของแค่นี้ก็ไม่ยากหรอกคุณศจ. ใครๆ ก็ต้องการเงินเรื่องแค่นี้คุณไม่เข้าใจหรือไง” คำพูดของชายคนนี้ทำให้ศาสเข้าใจได้ทันทีคงมีบางคนในทีมของเขาที่แอบขายข้อมูลนี้ไป

          “เอาล่ะเวลาเรามีไม่มากแกจะลงมือทำได้หรือยัง หรือว่าต้องให้เมียแกได้แผลเพิ่มอีกสักแผลสองแผลล่ะ...” ทันใดนั้นเองมันหยิบปืนสั้นขึ้นพร้อมกับหันปากกระบอกไปทางริน ทันทีที่ศาสได้เห็นสายตาของมันเขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันพร้อมที่จะปลิดชีวิตของเธอ

          “ดะ! เดี๋ยว!! เข้าใจแล้ว!” สถาการณ์ที่อยู่ตรงหน้าทำให้ศาสไม่อาจฎิเสธได้เลย เขารู้ตัวดีว่าข้อมูลนี้มีมูลค่าที่ไม่อาจประเมินได้และหากต้องเสียมันให้กับชาติอื่นจะเกิดผลเสียหายต่อประเทศมากแค่ไหน ไม่นานนักการเข้ารหัสก็เสร็จสิ้นก่อนที่ชายคนนั้นจะให้ลูกน้องมารับของไป

          “ทำได้ดีมากคุณศจ. เดี๋ยวพวกผมคงต้องขอตัวก่อนนะ ดูเหมือนว่าลูกค้าของเราเองก็ใจร้อนอยากจะเห็นมันแล้วล่ะ” เมื่อมันยกมือเป็นสัญญาณลูกน้องของมันที่อยู่โดยรอบต่างก็เดินออกจากห้องไป ศาสไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปหารินและเรย์ ดูเหมือนว่าเรย์จะแค่หมดสติไปเท่านั้น ศาสจึงรีบเข้าไปประคองรินขึ้นมาเพื่อดูอาการก็พบว่าเธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวทันทีที่พบว่าเป็นศาสเธอก็เข้ามากอดเขาด้วยร่างกายที่สั่นเทาพร้อมกับร้องไห้โฮออกมา

          “ศาส รินขอโทษๆ” เธอพูดเพียงประโยคนี้ซ้ำไปมานับสิบๆ รอบ

          “ไม่เป็นไรนะที่รักมันจบแล้วล่ะ...ผมจะพาคุณไปจากที่นี่..ไปจากฝันร้ายนี่เดี๋ยวนี้” ศาสพูดพร้อมกับโอบกอดเธอเอาไว้ ทันใดนั้นเองชายคนนั้นก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับยื่นปากกระบอกปืนมาจ่ออยู่ที่หัวของเขา

          “มันยังไม่จบหรอกนะคุณศจ. เพราะแกยังมีชีวิตอยู่ไงล่ะ ฮ่าๆๆ”

          “...เข้าใจแล้วแกจะเอาชีวิตของชั้นไปก็ได้ แต่ชั้นขอร้อง..ช่วยปล่อยลูกกับเมียชั้นไปได้ไหม”

          “ลูกกับเมียเรอะ ก็น่าจะได้นะเพราะเธอก็เป็นเมียของข้าแล้วเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ” มันหัวเราะออกมาอย่างสะใจศาสได้แต่จ้องมองมันอย่างเคียดแค้นเขากัดฟันแน่นจนเลือดซึมออกมา รวมถึงความเศร้าเสียใจที่เขาไม่อาจปกป้องคนรักเอาไว้ได้ ตัวศาสในตอนนี้ได้ถูกความรู้สึกต่างๆ ที่ล้นทะลักออกมาเข้าผสมปนเป ราวกับว่าจิตสำนึกของเขากำลังถูกมันกลืนไปจนหมดสิ้น

          ในวินาทีระหว่างความเป็นความตายนั้นเอง ก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นพร้อมกับบานประตูที่ถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยท่ามกลางฝุ่นควันนั้นมีร่างของตำรวจในชุดจู่โจมวิ่งออกมาพร้อมกับเปิดฉากยิงจนไม่มีใครได้ทันตั้งตัว ในขณะที่ชายคนนั้นกำลังเล็งปืนไปยังเจ้าหน้าที่ แสงสีแดงหลายจุด(Reddot) ก็ได้ปรากฎอยู่บนร่างของเขาแล้ว แต่ภาพสุดท้ายที่ติดตาของศาสก็คือจุดเรดดอทที่ตกกระทบลงบนระเบิดแสวงเครื่องที่แขวนอยู่บนสายสะพายของชายคนนั้นก่อนที่ภาพทุกอย่างจะกลายเป็นสีดำ

                ***Reddot : คือเลเซอร์นำวิถีมันจะช่วยบอกตำแหน่งเข้าปะทะของกระสุนทำให้การยิงเป็นไปอย่างแม่นยำ***

          ศาสค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นพร้อมความเจ็บปวดที่วิ่งไปทั่วทั้งร่าง เขาได้แต่นอนแผ่อยู่กับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง นัยตาที่พร่ามัวจนรับรู้เพียงแสงไฟรางๆ จากเพดาน ทั้งๆ ที่ภายนอกน่าจะเต็มไปด้วยเสียงของการต่อสู้แต่ทุกอย่างกลับเงียบสงัดมีเพียงความเจ็บปวดบาดลึงลงในแก้วหูของเขาเท่านั้น อากาศที่ใช้หายใจและน้ำลายที่กลืนในลำคอล้วนคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

          “ริน...เรย์...” ในตอนนั้นมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ทำให้ศาสยังคงสติเอาไว้ได้ เขารวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อลุกขึ้น แต่ก็ทำได้เพียงได้แค่ยกคอขึ้นมาเท่านั้น เมื่อดวงตาเริ่มจับภาพได้สิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าคือร่างของรินที่ทับอยู่บนตัวของเขา แผ่นหลังของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์จนร่างอาบไปด้วยเลือด เพียงแค่เห็นศาสก็รู้ได้ทันทีว่าเธอได้จากเขาไปแล้ว เขาทำได้เพียงแค่กอดศพของเธอเอาไว้

          ในตอนนี้ศาสรู้ดีว่าไม่มีเวลามาเศร้าเสียใจให้กับการตายของเธออีกแล้ว เขารีบมองไปรอบๆเพื่อหาตัวลูกสาวถึงแม้ว่าความหวังจะริบหรี่ก็ตาม เขาพยายามเรียกชื่อของเธอถึงแม้ว่าเสียงที่ออกมาจะเป็นเพียงเสียงลมที่ผ่านลำคอออกมาเท่านั้น ในตอนนั้นเองสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นแขนน้อยๆ ที่ปรากฎขึ้นที่หางตา ศาสรีบหันไปด้วยความหวังแต่แล้วสิ่งที่พบกลับมีเพียงแขนที่ขาดของเรย์เท่านั้น เขารีบกวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยสายตาที่พร่ามัวจากน้ำตาที่เริ่มรินไหลออกมา จนไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งอยู่บนพื้นจนดูไม่ออกว่าเป็นอะไร แต่ศาสกลับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งนั้นคือร่างของลูกสาวของเขานั่นเอง ศาสพยายามยื่นมือที่เต็มไปด้วยบาดแผลออกไปยังร่างนั้นพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง

          “ฆ่ามัน!!! ฆ่ามัน!!! ฆ่ามัน!!! ฆ่ามัน!!! ฆ่าให้หมด!!!!!” ตอนนี้ในหัวของเขาอัดแน่นไปด้วยความเคียดแค้นจนในที่สุดสติของเขาก็จมหายไปกับมัน ลึกลงไปยังจิตใต้สำนึก คำที่เขาเคยลืมไปแล้วครั้งหนึ่งกลับดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง

          “ฟ้าฟื้น!!!”

 

ปล.อิอิอิปวดตับกันไหมเอ่ย //โดนผู้อ่านกระทืบ

มีคำแนะนำติชมอะไรก็คอมเม้นท์ได้เต็มที่นะจ๊ะ  (ได้โปรดคอมเม้นท์ทีเถอะพรีสสส >.<")

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา