Real Breaker

7.6

เขียนโดย คันศร

วันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 17.46 น.

  19 บท
  18 วิจารณ์
  21.81K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558 19.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) จุดสิ้นสุด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ในโลกที่สุดแสนน่าเบื่อหน่าย ที่ผู้คนราวกับใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ ผมก็เป็นหนึ่งในพวกเขาเหล่านั้น คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตไปตามหน้าที่ของตัวเองโดยไม่เคยตั้งคำถาม ถึงแม้ว่าคนรอบตัวจะคอยเตือนให้ผมเริ่มคิดถึงเส้นทางในอนาคต แต่ตัวผมก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวเหลือเกิน ถึงแม้ว่าผมจะขึ้นมหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อกับชีวิตที่เป็นอยู่สักเท่าไหร่หรอก ถ้าให้พูดล่ะก็มันดีกว่าตอนเรียนชั้นมัธยมมากๆ เลยด้วยซ้ำ ผมได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวของตัวเอง แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่เป็นเหมือนเงาตามตัวที่ผมไม่สามารถหนีจากมันไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นมาของตระกลู ใช่ครับอาชีพที่ถ่ายทอดกันมาในตระกลูของผมก็คือ "ผู้รักษาจิตวิญญาณ" หรือเรียกง่ายๆก็หมอผีนั่นล่ะครับ ผมพยายามปิดบังไม่ให้คนรอบตัวผมรู้ เพราะในยุคที่หุ่นยนต์แทบจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน เรื่องพรรณนี้จึงเป็นได้แค่เรื่องหลอกเด็ก มีแต่จะถูกมองว่าเป็นพวกมิจฉาชีพหรือไม่ก็คนบ้าเท่านั้น....

          "เฮ้ย!! ไอ้สาดดดดดดป่านนี้แล้วแกยังไม่ไปเรียนอีกเรอะ " เสียงเรียกจากหน้าประตูห้องทำเอาชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งเขารีบเก็บไดอารี่ที่กำลังเขียนอยู่อีกมือหนึ่งก็ควานหาเป้อย่างลนลานก่อนที่จะสะพายมันและเดินออกไป

          "เอ่อ...พี่กริชเรียกชื่อเต็มผมเหอะ เรียกแบบนี้มันเหมือนโดนด่าไงไม่รู้..." ชายหนุ่มพูดระหว่างที่เขาเปิดประตูพร้อมกับใช้นิ้วจัดส้นรองเท้าให้เข้ารูปในขณะที่ยืนอยู่

          "เอ้าแกยังไม่ชินอีกเหรอวะครับ คุณศาสตรา" กริชตอบอย่างยียวน ส่วนศาสก็ได้แต่ถอนหายใจราวกับว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในขณะที่ทั้งสองกำลังเดินออกจากห้องก็มีเสียงมาจากมอนิเตอร์บนประตูห้อง  

          "ต้องการใช้บริการอาหารตามสั่งไหมคะ หากต้องการเราจะส่งข้อมูลไปยังมือถือของท่าน"

          "ไม่ล่ะ..." ศาสตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆพร้อมกับทำคิ้วขมวด

          "ไม่ลองใช้บริการดูเหรอวะโค ตะระ สะดวกเลยนะ แค่เลือกเมนูกับเวลาที่มาส่งเอง ส่วนเรื่องตังมันก็ไปหักจากยอดในแบงค์ให้เลย"

          "ไม่ล่ะพี่ ดูมือถือของผมสิมันเชื่อมต่อพวกนี้ได้ซะที่ไหน" ศาสพูดพร้อมกับล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง

          "โห...นี่มัน l-Phone XVS นี่หว่าโครตโบราณเลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า" 

          "...ผมว่าเรารีบไปกันเถอะพี่ผมจะสายแล้วนะ"

          ตามทางเดินที่เต็มไปด้วยผู้คน ไม่ต่างอะไรกับบนท้องถนนที่การจราจรก็คับคั่งไม่แพ้กัน บางจังหวะรถก็ติดจนแทบไม่ขยับเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงเลือกที่จะเดิน ทั้งคู่ต่างเร่งฝีเท้าเพื่อรีบไปยังจุดหมาย

          "เฮ้อ...พวกคนรวยนี่ดีจังน้า ใช้ SKY DRIVE นี่แทบไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาเลย" กริชพูดลอยขึ้นมาพร้อมกับแหงนหน้ามองไปด้านบนซึ่งมียานยนต์ที่รูปร่างคล้ายกับรถปกติเพียงแต่ว่ามันไม่มีล้อ กำลังบินอยู่เหนือหัวของพวกเขาไปด้วยความเร็ว ในที่สุดทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงสถานีรถไฟฟ้าก่อนที่จะแยกจากกันกริชทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่เขาจะตัดสินใจพูดกับศาส

          "ศาส...แกไม่คิดจะกลับไปที่บ้านเราบ้างเหรอวะนี่มันก็หลายเดือนแล้วนะเว้ย"

          เมื่อได้ยินศาสก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เขาไม่พูดอะไรก่อนที่เขาจะเดินขึ้นรถไฟไป ภายในขบวนรถศาสพบคนที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบเดียวกันซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจอย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมทางอยู่บ้าง  แต่พอเขาคิดจะเข้าไปทำความรู้จักก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะทุกคนไม่มีทีท่าสนใจในสิ่งรอบข้าง พวกเขาต่างอยู่ในโลกส่วนตัวด้วยอุปกรณ์มือถือของพวกเขา ใช้เวลาไม่นานนักขบวนรถไฟก็เดินทางมาถึงจุดหมาย ทันทีที่ก้าวออกมาจากขบวนรถสิ่งแรกที่ศาสได้เห็นคือ อาคารเรียนขนาดใหญ่ตั้งตะหง่านท่ามกลางธรรมชาติสีเขียวขจีที่โอบล้อม ชวนให้รู้สึกขัดตากับสิ่งปลูกสร้างสีเทาที่อยู่รายล้อม

          ระหว่างทางเดินต่างเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน อาจเป็นเพราะเป็นวันเปิดภาคเรียนบรรยากาศจึงดูครึกครื้นเป็นพิเศษ มันช่างเป็นความรู้สึกที่ชวนให้ตื่นเต้นเสียจริงสำหรับชายหนุ่มผู้มาจากเมืองเล็กๆ ชนบทเช่นเขา

          “ใหญ่ขนาดนี้แล้วจะหาหอประชุมเจอไหมเนี่ย....ใกล้ได้เวลาปฐมนิเทศแล้วด้วยสิ” ศาสคิดในใจพร้อมกับก้มหน้าก้มตาดูแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือด้วยความรีบร้อน กว่าศาสจะรู้ตัวก็พบว่าตัวของเขากระแทกเข้ากับอะไรบางอย่าง จนล้มลงไปกับพื้น

          “เฮ้ย!! แกทำอะไรของแกวะ หากรถชั้นเป็นรอยมาแกจะว่าไง!”

          “...ขอโทษครับผมไม่ทันมองจริงๆ” เมื่อศาสเงยหน้ามาก็พบกับ Sky Drive และชายหนุ่มคนหนึ่งในเครื่องแบบเดียวกันกำลังเดินตรงเข้ามาหาเขาด้วยความฉุนเฉียว

          “อ๊าา... ขอโทษค่ะ” เสียงหญิงสาวดังมาจากทางด้านหลังทำให้ชายคนดังกล่าวชะงักไปครู่หนึ่ง จนทั้งคู่ต่างหันไปหาเสียงนั้นแต่ก็ต้องชะงักอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพบหญิงสาวหน้าตาน่ารัก เธอมีรูปร่างสมส่วนผิวขาวผมยาวสีน้ำตาลยืนอยู่หลังพวกเขา ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามาด้านหน้าชายหนุ่มพร้อมกับก้มหัวขอโทษ

           “ขอโทษด้วยค่ะพี่คือเพื่อนหนูเขาไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ”

คำพูดดังกล่าวทำเอาทั้งคู่ถึงกับงงไปสักพักก่อนที่เธอจะรีบคว้ามือของศาสและพาเดินออกไป

          “นี่ระวังหน่อยสิ...คนสมัยนี้ยิ่งใจร้ายอยู่” เธอหันมาพูดกับศาสในขณะที่เดินออกมาได้พักหนึ่ง

          “เอ่อ..... ขอบใจนะ......” ศาสรู้สึกแปลกๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การถูกผู้หญิงช่วยไว้แบบนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน

          “ว่าแต่เธอ...เป็นเด็กใหม่เหมือนกันใช่ไหม”หญิงสาวถามขึ้น จนศาสรู้สึกแปลกใจแต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกไปเธอก็ยิ้มและชี้มายังแผนที่ ที่เขาถืออยู่ และดูเหมือนว่าเธอก็กำลังหาทางไปหอประชุมเช่นกันทั้งคู่จึงเดินไปด้วยกัน  ด้วยความที่เป็นคนช่างพูดและอัธยาศัยดีของเธอจึงไม่ใช่เรื่องยากในการถามทางจากคนแถวนั้นไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงหน้าหอประชุม

          “เดี๋ยวคงต้องไปแล้วล่ะ เราชื่อริน แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ”

          “ผมชื่อศาสครับ ขอบคุณนะรินได้เธอช่วยไว้เยอะเลย” หญิงสาวกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง แม้คนที่ไม่เก่งในการเข้าหาผู้หญิงอย่างเขายังรู้สึกพูดคุยกับเธอได้อย่างสบายใจ ขณะที่ทั้งคู่กำลังสนธนากันอยู่ เสียงเพลงในพิธีก็ดังขึ้นทั้งคู่จึงรีบเข้าไปภายในอาคาร

          “เฮ้อ....” ศาสถอนหายใจพร้อมกับเช็ดเหงื่อหลังจากที่หาที่นั่งในคณะของเขาเจอ เมื่อจัดแจงตนเองเรียบร้อยแล้วเขาก็เริ่มมองสำรวจไปรอบๆ นักศึกษาหลายๆ คนในต่างให้ความสนใจกับพิธีการ แต่ก็มีบางส่วนที่เริ่มคุ้นเคยกันจนจับกลุ่มคุยกันสนุกสนาน 

          จนเวลาล่วงเลยไปสักพักหนึ่งดูเหมือนคณะบดียังคงติดลมอยู่กับการกล่าวสุนทรพจน์จนทำให้เหล่าบรรดาผู้ฟังต่างเริ่มหมดสมาธิ แม้แต่ตัวของศาสเองยังแอบเอาสมาร์ทโฟนออกมาเล่น

         ขณะนั้นเองเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้นในพิธีการ แค่ได้ยินน้ำเสียงก็ทำให้ศาสอยากเห็นหน้าเจ้าของเสียง จนสายตาของเขาจับจ้องไปยังเวทีก็พบหญิงสาวชาวต่างชาติรูปร่างเพรียวบางผิวสีขาวอมชมพูที่เต็มไปด้วยน้ำนวล   เธอสะบัดผมยาวสลวยสีน้ำตาลทองเล็กน้อยเพื่อจัดทรง ดวงตาสีน้ำตาลทองของเธอที่กระทบกับแสงไฟช่างดูเจิดจ้าและมีชีวิตชีวา จนศาสเผลอจ้องเธออย่างไม่วางตากว่าที่เขาจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่เธอกล่าวสุนทรพจน์เสร็จและกำลังลงจากเวทีไป

          ในช่วงสุดท้ายในขณะที่ทุกคนกำลังเดินออกจากหอประชุมเพื่อเตรียมตัวแยกย้ายกันไปตามแต่ละคณะ ศาสก็สังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า ทั้งที่เป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสแทบไร้ซึ่งเมฆแท้ๆ แต่กลับมีรอยแยกสีดำปรากฎขึ้นกลางท้องฟ้า พร้อมกับสายฟ้าที่ิปรากฎขึ้นรอบรอยแยก ทันใดนั้นมันก็กรีดร้องดังกึกก้อง เสียงของมันราวกับสอดประสานกับพื้นดินที่เริ่มคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว ก่อนที่จะเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นจนสามารถรู้สึกได้ พร้อมกับสายลมที่ก่อตัวขึ้นพัดกรรโชกอย่างรุนแรง เสียงจากสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่ถูกสั่นสะเทือนจนโครงสร้างเริ่มบิดเบี้ยว ผู้คนต่างแตกตื่นพากันวิ่งกรูเข้าไปในตัวอาคารอย่างคลุ้มคลั่ง  เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วจนแม้แต่ตัวเขาเองก็แทบคุมสติเอาไว้ไม่อยู่ ในขณะที่ศาสกำลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อเข้าไปยังอาคารสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งล้มฟุบอยู่ด้านหลัง

          “ริน!!!” มันเป็นเรื่องที่บ้าสิ้นดีแม้แต่ตัวเขาเองยังคิดแบบนั้น ศาสวิ่งย้อนออกมาเขาพยายามประคองร่างของเธอเข้าไปยังตัวอาคาร ทันใดนั้นก็ปรากฎเงาดำบนจุดที่เขายืนอยู่ ศาสเงยหน้าขึ้นไปก็พบแผ่นกระจกขนาดใหญ่กำลังหลุดร่วงมายังเขา ศาสไม่รอช้าเขารีบผลักตัวของหญิงสาวเข้าไปในอาคาร

          “โครม!!” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่ศาสได้ยิน

          เมื่อลืมตาขึ้นมาศาสพบว่าตัวเขากำลังยืนอยู่เพียงลำพังท่ามกลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่  เขาพยายามเดินสำรวจรอบๆแต่ก็ไม่พบกับอะไรเลย ณเส้นขอบฟ้ายังคงเป็นเพียงทุ้งหญ้าว่างเปล่า สักพักหนึ่งเขาได้ยินเสียงแตกร้าวมันดังเสียจนเสียดเข้าไปถึงในสมอง จนเขาทรุดลงไปด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้จะพยายามใช้มือปิดแต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้  เมื่อเงยหน้าขึ้นสิ่งที่เขาพบคือแผ่นฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ที่เต็มไปด้วยรอยร้าวราวกับกระจก มีอะไรบางอย่างด้านหลังท้องฟ้าพยายามจะพังมันออกมา มันส่งเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่พื้นดินเบื้องล่างจะพังทลายลง พริบตาเดียวตัวเขาตกลงไปยังทะเลสีดำทมิฬเบื้องล่าง

          “อ๊าคคคคคคคคค!!!” ศาสสะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจ ภาพที่เขาเห็นคือฝ้าเพดานสีขาวในห้องๆหนึ่ง แค่ได้กลิ่นแอลกอฮอล์เขาก็พอจะรู้แล้วว่าอยู่ที่ไหน เขาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งก่อนที่จะเริ่มสำรวจร่างกายของตนเอง

          “อ้าวเธออย่าพึ่งลุกขึ้นแบบนั้นสิ” เมื่อศาสหันไปก็พบหญิงสาวในชุดกราวสีขาว

          “เด็กผู้หญิงคนนั้น.....ริน.เป็นยังไงบ้าง” เขาพูดสิ่งสุดท้ายที่เขาพอจะจำได้

          “ต้องขอบใจเธอจริงๆนะ ตอนนี้เด็กคนนั้นอาการปลอดภัยแล้วล่ะกำลังพักพื้นอยู่ในโรงพยาบาลน่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับเดินเข้ามาหาเพื่อตรวจอาการของเขาอีกครั้ง

          “ว่าแต่ตัวเธอเองก็เถอะได้ข่าวมาว่าถูกกระจกทั้งบานตกใส่แต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บเลย ปาฏิหาริย์จริงๆ” เธอพูดพร้อมกับใช้เครื่องสแกนขนาดเล็กประมาณกระดาษเอ4 วางทาบบนส่วนต่างๆ ของเขาเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง

          เมื่อเธอตรวจเสร็จก็ยิ้มอย่างพอใจพร้อมกับตบเข้าที่หลังของศาส จนเขาถึงกับสะดุ้ง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยศาสจึงขอตัวออกมา เมื่อหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาก็พบว่าใกล้จะ5โมงเย็นแล้ว เขาเดินไปพร้อมกับมองไปรอบๆก็พบว่าสถานการณ์ดูดีกว่าที่เขาคิดไว้ตัวอาคารต่างๆ ไม่ได้รับความเสียหายมากนัก

วันนี้สิ่งที่เกิดในเมืองทำให้เขานึกถึงหนังที่เคยดู ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสีดำจากควันไฟ ทั้งเมืองเต็มไปด้วยเสียงหวอจากรถตำรวจและรถพยาบาล เศษซากของความเสียหายปรากฎเกลื่อนกราดบนท้องถนนจนการสัญจรปกติบนถนนแทบไม่สามารถใช้การได้ ไม่เว้นแม้แต่ Sky drive ที่ไม่มีวิ่งอยู่เลย

          เมื่อมาถึงสถานีรถไฟฟ้าก็พบว่ามีคนยืนรอรถไฟอย่างเนืองแน่นเมื่อรถไฟมาถึงชานชาลา ผู้คนต่างกรูกันเข้าไปจนตัวเขาไหลไปตามฝูงชน ไม่นานนักรถไฟก็ออกจากชานชาลา ตัวเขาที่ยังไม่ทันตั้งหลักจึงเอนไปตามแรงของมัน  เขารีบยกแขนขึ้นเพื่อทรงตัว จนรู้สึกว่าศอกของเขาสัมผัสกับอะไรบางอย่าง เมื่อหันไปก็พบว่าแขนของเขากำลังเบียดกับหน้าอกของผู้หญิงคนหนึ่งด้วยความตกใจศาสรีบหันมายกมือขอโทษ ทันใดนั้นทั้งขบวนรถก็มืดลงพร้อมกับรถไฟที่เกิดหยุดวิ่งกระทันหันจนทำให้ผู้โดยสารต่างตื่นตกใจ

          เมื่อไฟฟ้ากลับมาทำงานอีกครั้งเขาก็พบว่ามือที่กำลังจะยกมือไหว้กลับมาจับเข้าที่หน้าอกของหญิงสาวคนนั้นเข้าอย่างจัง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีท่าทีอะไรแต่ชั่วพริบตาหนึ่งที่สบตากัน ก็ทำเอาศาสเสียวสันหลังวาปขึ้นมาแววตาของเธอแผงไปด้วยความโกรธ ศาสได้แต่ก้มหน้าทำอะไรไม่ถูก จนไม่รู้แม้กระทั่งเธอลงจากรถไปตอนไหนด้วยซ้ำ เมื่อมาถึงห้องพักเขาก็ล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรง จนเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว

          เช้าวันรุ่งขึ้นเสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นแต่เช้าตรู่ ได้ทำลายความสุขเล็กๆของศาส ในขณะที่เขากำลังหลับสนิท  กว่าที่ศาสจะฝืนลุกขึ้นมาได้ก็ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง เขายังคงรู้สึกปวดตามตัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เมื่อเขาเดินมาเปิดประตูก็พบว่าเป็นกริชนี่เอง

          “เป็นไงบ้างวะศาส เมื่อวานชั้นเป็นห่วงแกมากเลย ตอนมืดชั้นมาหาแก กดออดตั้งนานแกก็ไม่เปิด”

          “สงสัยคงหลับสนิท ว่าแต่ทำไมพี่ไม่โทรเข้ามือถือผมล่ะไม่เห็นต้องมาหาเลย”

          “เมื่อวานเครือข่ายมันล่มหมดคงเพราะสนามแม่เหล็กโลกมันแปรปรวนล่ะมั้ง...แกไม่ได้รู้เรื่องเลยสินะ”

          “โทษทีนะพี่เมื่อวานผมก็ว่าจะโทรหาอยู่พอมาถึงห้องแล้วเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้”

          “เอาเถอะแกไม่เป็นไรก็ดีละ ว่าแต่ชั้นหิวแล้วว่ะ หาไรให้กินหน่อยสิ”

          “คร้าบๆ” ศาสลากสังขารที่ยังตื่นไม่เต็มที่เข้าไปยังส่วนครัวเล็กๆ ภายในห้อง ส่วนกริช ที่รู้สึกติดใจเหตุการที่เกิดขึ้นเมื่อวานเขาจึงหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวีเครื่องเล็กๆที่วางอยู่บนชั้น

          “ชาวบ้านแจ้งพบสัตว์ประหลาด ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สัญนิฐานว่าอาจเป็นสัตว์ที่หลุดจากสวนสัตว์เมื่อวั-----”

          “เจ้าหน้าที่หนึ่งกองร้อยหายตัวลึกลับหลังขึ้นไปฝึกภาคสนามในภูเ-----”

          “พบศพชายไม่ทราบชื่อ เสียชีวิตปริศนา ผู้ตายอยู่ในอาการกลัวสุดขี-----”

          “เฮ้ยพี่ ! เปลี่ยนอยู่ได้ดูสักช่องเถอะ” ศาสพูดพร้อมกับยกอาหารมาให้กริช

          “ก็มันไม่มีข่าวแผ่นดินไหวเมื่อวานนี่หว่า เห็นเขาว่าเกิดขึ้นทั่วโลกเลยนะเว้ย แกไม่อยากรู้มั่งเหรอวะศาส”

          “แค่เรื่องเรียนกับทำงานพิเศษผมก็ไม่อยากรู้เรื่องอื่นแล้วล่ะ.....”  เมื่อได้ยินดังนั้นกริชจึงได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไรเพราะเขาเองก็เข้าใจอารมณ์ของคนที่ต้องเลี้ยงดูตัวเองเช่นเดียวกัน

          วันนี้ระบบต่างๆเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง ท้องฟ้าที่มี Sky Drive วิ่งผ่าน เหล่าผู้คนที่ใช้โทรศัพท์ติดต่อกับผู้คนที่ห่างไกลช่างเป็นภาพที่ดูแปลกตาทั้งๆ ที่เสียงคุยกันระงมไปหมด แต่คนที่พูดด้วยกับไม่ได้อยู่ ณ ตรงนั้น แม้แต่ตัวศาสเองเขาก็เผลอหยิบมือถือออกจากกระเป๋ากางเกงหลายครั้ง  

          “ปู่....คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” เขาพูดขึ้นมาก่อนที่จะเก็บมันลงไปในกระเป๋าตามเดิม

          เมื่อเขาเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยก็พบว่าการซ่อมแซมคืบหน้าไปมากจนหลายอย่างแทบกลับคืนสู่สภาพเดิม  เมื่อเขาเดินผ่านยังลานจอด Sky Drive ก็อดคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้ ก่อนที่จะมี Sky Drive คันหนึ่งมาจอดใกล้ๆ เขามองมันอย่างหวั่นใจว่าจะเป็นคู่อริคนเก่า แต่เมื่อประตูเปิดออกก็ปรากฎปลายเท้าอันเรียวเล็กค่อยๆ สัมผัสลงกับพื้น เธอลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ศาสเผลอจ้องอย่างไม่ตั้งใจ จนในที่สุดเขาก็จำเธอได้เธอคือหญิงสาวที่กล่าวสุนทรพจน์เมื่อวานนั่นเอง ก่อนที่เธอจะเดินผ่านเขาไป

          “โรคจิต....” คำพูดของหญิงสาวทำเอาศาสถึงกับสะดุ้ง  เขารีบหันไปมองเธออย่างไม่เชื่อสายตาเมื่อดวงตาของทั้งคู่ประสานกันเขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาป ใช่แล้วความรู้สึกนี้เขายังจำมันได้ดี เธอคือหญิงสาวที่เขาเจอบนรถไฟฟ้าเมื่อวานนั่นเอง

          “ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” ศาสเดินเข้าไปหาเธอเขาตั้งใจจะอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้น เธอหันกลับมาเหมือนจะรับฟัง เธอยิ้มให้กับศาสพร้อมกับร้องออกมา

          ”คนโรคจิต!!!”

          “หา!!?” ปฎิกริยาจากหญิงสาวที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทำเอาศาสงงจนทำอะไรไม่ถูก เพียงแค่พริบตาเดียวเขาก็ตกเป็นเป้าหมายจากบรรดานักศึกษาที่กำลังเล่นกีฬากันอยู่ พวกเขาต่างหยุดนิ่งพร้อมกับมองหน้ากันเมื่อมีหนึ่งในนั้นวิ่งเข้ามาหาเขา พวกที่เหลือต่างวิ่งกรูมายังศาส  ด้วยสัญชาตญาณเขาวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต หลายคนพยายามจับตัวเขาไว้แต่ศาสก็สามารถหลบหลีกได้จนแทบไม่มีใครสามารถเข้าถึงตัวเขาได้เลย แม้ว่าในกลุ่มคนที่ไล่ตามนั้นจะมีพวกนักวิ่งรวมอยู่ด้วยก็ตาม ถึงแม้จะมีบางครั้งที่ศาสเพลี้ยงพล้ำแต่เขาก็สามารถปัดป้องคนเหล่านั้นออกไปได้ เมื่อเวลาผ่านไปยิ่งเห็นได้ชัดว่าไม่มีใครมีฝีเท้าสู้ศาสได้ เขาสามารถทิ้งห่างจนหนีไปได้ โดยที่มีหญิงสาวผู้สร้างเรื่องคอยสังเกตการณ์อยู่บนตัวอาคารด้วยท่าทางพึงพอใจ

          “โอย...นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย คนเมืองมันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเรอะ.....” ศาสพูดขึ้นมาลอยๆ ในขณะที่กำลังล้างตัวในห้องน้ำ เรื่องเมื่อครู่ทำเอาเสื้อของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ เมื่อเขาเหลือบดูนาฬิกาก็พบว่าใกล้ได้เวลาเรียนแล้วเขาจึงรีบจัดแจงเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย เมื่อเขามาถึงห้องเรียนก็พบว่านักศึกษาคนอื่นๆ มานั่งรอจนเกือบเต็มห้องแล้ว   

          ในระหว่างนั้นเขาก็รู้สึกถึงสายตาจากทุกคนที่ล้วนจับจ้องมายังเขา ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกเกร็งไม่น้อย เขาต้องทนกับสภาพนี้จนกระทั่งจบชั้นเรียน ในขณะที่ศาสกำลังเก็บของเพื่อย้ายห้องเรียนสำหรับวิชาถัดไป ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาดึงชายเสื้อของเขาไว้จากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมอง ในที่สุดศาสก็เข้าใจเหตุการณ์ทุกอย่าง ทุกคนไม่ได้มองมาที่เขาแต่เป็นเธอต่างหาก หญิงสาวผู้มีเรื่องกับเขาในตอนเช้านั่นเอง

          “นายชื่อศาสตรา สินะช่วงนี้มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับนายบ้างไหม” หญิงสาวถามเขาด้วยท่าทางปกติ

          “ทุกอย่างมันก็ปกติดีหมดจนมาเจอเธอนี่ล่ะ” ศาสพูดพร้อมกับถอนหายใจ

          “นายนี่คิดเล็กคิดน้อยจังนะ โดนแค่นี้หากเทียบกับได้จับหน้าอกสาวสวยก็ถือว่าคุ้มมากแล้วนะ” คำพูดจากหญิงสาวทำเอาศาสถึงกับพูดไม่ออก จนเขาเผลอนึกถึงสัมผัสตอนที่อยู่บนรถไฟจนใบหูของเขากลายเป็นสีแดง

          “อ๊ะ...ชั้นต้องไปแล้วล่ะ หากมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นให้รีบบอกชั้นนะ” เธอเดินจากไปด้วยท่าทางสบายๆ ปล่อยให้ศาสยืนตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น

 

          ตกดึกในร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่ ภายในกองชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่วางกองอยู่บนโต๊ะจนแทบจะท่วมหัว ยังมีชายคนหนึ่งที่ยังทำงานอย่างขยันขันแข็ง เมื่อศาสหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเวลาเกือบหน้าทุ่มแล้วแต่เมื่อเห็นงานที่กองสุมอยู่ตรงหน้าทำเอาเขาหมดอารมณ์ที่จะพัก ศาสทำงานพิเศษอยู่ในร้านเล็กๆ แห่งนี้ซึ่งมีพนักงานเพียงไม่กี่คน  ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวขึ้นดูเหมือนว่าสนามแม่เหล็กโลกจะแปรปรวนจึงมีลูกค้าส่งซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคที่เสียหายจำนวนมาก ซึ่งสำหรับเขาแล้วมันคือบ่อเงินบ่อทองดีๆ นี่เอง

          “พอก่อนไหมศาส พรุ้งนี้เอ็งมีเรียนไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอานะ” เสียงจากชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัดเดินเข้ามาพูดคุยกับศาสอย่างเป็นกันเอง

          “ครับพี่ชัย เดี๋ยวเสร็จชิ้นนี้ผมก็คงจะพอก่อนล่ะครับ” ศาสหันไปตอบสักพักเขาก็เริ่มเก็บอุปกรณ์บนโต๊ะทำงาน

          “เอ้านี่ ได้ข่าวว่าเอ็งเดือดร้อนเรื่องเงินนี่ พี่จัดให้พิเศษเลย หากมีปัญหาอะไรก็มาปรึกษาได้นะ”

          “ขอบคุณครับพี่ ได้พี่ช่วยไว้ทุกทีเลย”  ในขณะที่ทั้งคู่กำลังช่วยกันปิดร้าน ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังมาจากข้างนอก

          “ศาสเอ็งรออยู่นี่ เดี๋ยวพี่ไปดูเอง” ชัยรีบวิ่งออกไปพร้อมกับท่อเหล็กแท่งหนึ่ง เมื่อเขาเปิดประตูออกก็พบหญิงสาวคนหนึ่งในสภาพโซซัดโซเซ เธอมีรอยเขียวช้ำตามตัวและเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง ชัยรีบเข้าไปประคองเธอไว้ แต่พริบตาหนึ่งที่ศาสมองเธอเขาก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง หัวใจของเขามันเต้นระรัวราวกับจะระเบิดออกมาจนสามารถสัมผัสถึงจะหวะของเลือดที่ถูกสูบฉีดได้ สัญชาติญาณของเขาร้องเตือนถึงอันตรายจากผู้หญิงคนนั้น

          “พี่ชัยระวังรีบออกจากมันเร็ว!!!” ศาสร้องตะโกนสุดเสียง โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจการกระทำของตนเอง

          “ซวบ!!!” เสียงเนื้อถูกแทงทะลุด้วยมืออันบอบบาง จนเล็บของมันทะลุออกมาจากหน้าท้องพร้อมกับเลือดที่พุ่งกระเซ็นออกมา ก่อนที่ชัยจะล้มทั้งยืน ตอนนี้เธอคนนั้นจากคนที่น่าจะเป็นเหยื่อกลับกลายเป็นผู้ล่า

          เพียงพริบตาเดียวจากใบหน้าของสาวสวยเริ่มปรากฎรอยเหี่ยวย่น ผิวหนังที่ซูบลงอย่างรวดเร็วราวกับคนตาย มันหัวเราะออกมาด้วยเสียงแหบแห้งพร้อมกับเลียเลือดที่ชโลมอยู่บนมือของมันอย่างตะกละตะกลาม

          ศาสที่ตกอยู่ในความสับสน สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันขัดกับความเชื่อทั้งหมดในชีวิตของเขา  ความหวาดกลัว ความสิ้นหวังต่างรุมประดังเข้ามา แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใดในตอนนี้คือความเกรี้ยวกราด  เลือดในกายที่เดือดพล่าน สัญชาติญาณของเขาสั่งให้สังหารสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ศาสพุ่งตัวเข้าหามันพร้อมกับหยิบท่อเหล็กที่ตกอยู่ตรงหน้า กว่าที่มันจะรู้ตัว ท่อเหล็กก็ฟาดเข้าที่หน้าของมันอย่างจังจนคอของมันสะบัดไปตามแรง เขาไม่ปล่อยให้มันตั้งตัว ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขากระหน่ำฟาดอย่างบ้าคลั่ง จนเลือดของมันสาดกระเซ็นย้อมเสื้อของเขาจนกลายเป็นสีแดง 

          ทันใดนั้นมันก็จับแท่งเหล็กที่กำลังจะฟาดลงมาบนตัวของมันได้ ศาสพยายามใช้เท้าถีบมันออกไปแต่ก็ไร้ผล มันจับตัวเขาทุ่มจนกระเด็นไปติดกำแพง จนสติของศาสแทบวูบไป

          เมื่อเขารู้สึกตัว ตาของเขาพล่ามัวไปหมดจนไม่สามารถจับภาพที่อยู่เบื้องหน้าได้ แรงที่จะใช้ประคองตัวขึ้นยังแทบไม่มี  เขาพยายามมองหาสิ่งของที่จะใช้เป็นอาวุธ ทันใดนั้นมันตรงเข้ามาบีบคอของศาสพร้อมกับยกตัวของเขาขึ้นอย่างง่ายดาย ศาสพยายามดิ้นรนแต่ก็ไร้ผล จนลมหายใจของเขาเริ่มติดขัดพร้อมกับสติของเขาที่ค่อยๆ เลือนลาง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงวลีดังก้องในห้วงของความทรงจำ ก่อนที่เขาจะหมดสติไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา