โอปปาติกะ อสูรสังหาร

-

เขียนโดย CL666

วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 18.16 น.

  2 ตอน
  4 วิจารณ์
  5,329 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557 15.41 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ความหลังอันแสนโศก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                    นานมาแล้วยังมีเหล่าอมนุษย์พิเศษกลุ่มหนึ่งที่อาศัยปะปนกับมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ดำรงคงอยู่แฝงเร้นในมุมมืดของอดีตกาล ใช้ชีวิตร่วมกับพวกเรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายมาเป็นเวลาช้านานพวกเขาอยู่รอบกายเราทุกหนทุกแห่งเพียงแต่การมีอยู่ของพวกเขาเหล่านั้นยากที่จะยืนยันได้ ตำนานเกี่ยวกับพวกเขาหาได้มีบันทึกเรื่องราวใดให้เป็นข้อมูลไม่ มีเพียงแต่การเล่าขานสืบต่อกันมาแทบจะเป็นนิยายตำนานความเชื่อ จากรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น กาลเวลาล่วงเลยผ่านนับวันยิ่งมายิ่งเลือนรางลงทุกที ตำนานเล่าขานเหล่านั้นถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา แต่ทว่า วันนั้นสำคัญก็ได้มาถึง วันที่พวกเขาเหล่านั้นหมดพันธ์สัญญาแห่งการถูกจองจำและได้เผยตัวตนซ่อนเร้นอีกครั้ง ในช่วงเวลายาวนาน แห่งการรอคอยช่วงเวลากาลฟื้นตื่น ช่วงเวลาแห่งกึ่งพุทธกาล

 

                    ถนนสายบันเทิงยามวิกาลหนึ่งย่านผู้คน คับขัง  รถราสัญจรไปมาอย่างไม่ขาดสาย ร้านรวงสองข้างทางเปิดกิจการยามราตีผู้คนเนื่องแน่นไม่ขาดสายใน เมืองใหญ่เช่นนี้เป็นภาพที่ชินตาเสียเหลือเกิน สำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ ผู้คนต่างแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกัน ความสับสนวุ่นวายก่อตัวเป็นภัยต่อความรู้สึกของผู้คนที่ใช้ชีวิตตกอยู่ในวังวนแห่งการดิ้นรนต่อสู้แบบนี้เป็นเวลาช้านาน  เนิ่นนานมาแล้ว

 

                    ภายในตรอกร้างข้างตึกเก่าที่ยังสร้างไม่เสร็จปล่อยเป็นที่รกร้างนานปี บัดนี้พลันเกิดเรื่องราว อันน่าพิศวงขึ้นเรื่องราวที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กหนุ่มผู้หนึ่งไปตลอดกาลนาน

 

                    “ เจ้าเชื่อเรื่องราวในภพหน้าหรือไม่ ”

 

                    “ ภพหน้า ” เด็กหนุ่มสวนคำขึ้นอดนึกสงสัยใจมิได้ แล        ใคร่รู้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเองว่ามันเกิดอะไรกันแน่

 

                    ชายหนุ่มนาม โฆสน ยืนหันหลังให้เด็กหนุ่มหันกลายไปกล่าววาจากับชายชุดคลุมแดงเบื้องหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

 

                    “ ท่านยมทูตหรือว่าท่านใคร่รับฟังตำนานเรื่องนี้อีกครั้ง นับ เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วท่านจำได้หรือไม่ ”

 

                   ชายชุดคลุมแดงสะบัดหน้าหมายจากไปกล่าวว่า

 

                    “ ตำนานของเจ้าข้ารับฟังมาหลายร้อยหลายพันครั้ง หน้าที่ของข้าหมดลงแล้ว แต่อนาคตต่อไป นรกคงเต็มไปด้วยวิญญาณอันน่าสมเพชของพวกมนุษย์ ที่ต้องมารับเคราะห์กรรมจากน้ำมือพวกเจ้าเป็นแน่ ข้าหวังว่าเจ้าคงไม่ลืมผลที่ตามมาและ ข้าจะรอรับดวงจิตของพวกเจ้าทุกตน จงจำไว้ ”

 

                    สิ้นเสียงก้องในห้วงสัมผัสรับรู้ทางจิต โฆสน เหม่อมองเงาร่างนั้นหายลับไปกับตา พร้อมกับดวงวิญญาณทั้งสอง ในใจอดที่จะหวนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตว่า เขาและยมทูตตนนี้เคยเผชิญหน้าต่อกันมากี่ครั้งกี่หนกันแน่ เมื่อหวนนึกไปเรื่องราวเก่า ๆ ประดังเข้ามาคล้ายกับความฝันตื่นหนึ่ง ฝันร้ายที่คอยตามหลอกหลอนชีวิตเขามาจนถึงบัดนี้

 

                    “ ท่าน เป็นอะไรไปแล้ว ภพหน้าอันใด ข้าไม่เข้าใจ ช่วยชี้แจงให้ข้าเข้าใจหน่อยได้ไหม ”

 

                    เสียงของเด็กหนุ่มทำลายภวังค์ความคิดของเขาไป จากนั้นเขาหันกายมากล่าวว่าจาต่อเด็กหนุ่มว่า

 

                    “ ภพหน้า ภพที่เจ้า แม้เชื้อว่ามันมีอยู่จริง แต่เจ้าก็มิอาจไปสู่ภพแห่งนั้นได้ ด้วยประการทั้งปวง ”

 

                    “ เพราะเหตุใด ”

 

                    “ ก็เพราะว่า หากมนุษย์คนใดถูกศรปาติโมกข์ แทงแล้วถูกปลุกพลังพิเศษในกายออกมาหลังฟื้นจากการตายแบบมนุษย์ ผุดเกิดเป็นโอปปาติกะ แล้ว แม้แต่สวรรค์หรือ นรก ก็มิอาจไปได้ เมื่อตายไปจะกลับคืนสู่ความว่างเปล่า   ”

 

                    “ แล้วท่าน คือใคร เหตุใด ชายผู้นั้นถึงหมายเอาชีวิตท่าน เรื่องราวเหล่านี้เป็นเช่นไร ท่านบอกให้ข้าเข้าใจได้หรือไม่ ข้าสับสนไปหมดแล้ว ”

 

                    “ ราตรีนี้ใกล้สว่างแล้วเจ้าตามข้ามา แล้วเจ้าจะได้รู้เรื่องราวทั้งหมด ”

 

                    “ ไปไหน ข้าต้องไปกับท่านที่ใด ”

 

                    “ ตามข้ามาก็แล้วกันหากเจ้าไม่อยากให้พวกนั้นตามเจ้าเจอแล้ว ชิงเอาร่างของเจ้าไปสิงสู่ ”

 

                    กล่าวจบโฆสน หันกายจากไปเดินฝ่าเงามืดออกไปพร้อมกับร่างอันเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มซึ่งมิอาจจะรู้ได้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะส่งผลดีร้ายกับตัวของเขาเองเช่นไร แต่ตอนนี้ในความคิดของเขาเพียงอยากรู้ว่า เรื่องราวซับซ้อน ปริศนาทั้งหมดที่เขาได้พบได้เจอกับตัวเองในคืนนี้เป็นเช่นไร เข้าจึงตัดสินใจเดินตามเงาหลังของชายปริศนานาม โฆสนผู้นี้กับความมืดมิดยามราตรี แห่งราตรีวิปโยคไป หายลับไปอย่างรวดเร็ว

 

 

                    บรรพกาลนานมา เล่าโอปาปาติกะ ใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์มาเป็นเวลาช้านาน ในครั้งนั้นมนุษย์นับถือบูชาเหล่าโอปปาติกะ เปรียบดั่งเทพเจ้า ด้วยความสามารถที่เหนือธรรมชาติของพวกเขา มนุษย์จึงยอมศิโรราบ  และย่อมรับนับถือ มาตั้งแต่บัดนั้น

 

                    เหล่าโอปปาติกะผุดเกิดขึ้นตามสถานที่ต่าง ๆ  บางก็ผุดขึ้นในน้ำ บางก็ผุดเกิดกลางอากาศ บางผุดออกจากหลุมดิน มีบางที่ผุดเกิดออกมาจากกองไฟ ทำให้มนุษย์ที่พบเห็นด้วยตา ชื่นชมบูชาราวพวกเขาราวกับเป็นผู้วิเศษก็มิปาน

 

                    เหล่าโอปปาติกะ ในกสาลสมัยนั้น มีเพียงสิบสองตนต่อมาพวกมนุษย์จึงจัดพวกเขาเขาร่วมเป็น สิบสองราศีนักษัตรและถือเอาตัวแทนสัตว์ต่าง ๆ ในแต่ละราศีเป็นตัวแทนของเหล่าผู้วิเศษ แห่งโอปปาติกะเหล่านั้น

 

 

                    จวบจนวันหนึ่งวันแห่งการสิ้นสูญของเหล่าโอปปาติกะ มาถึง เมื่อหนึ่งในเหล่าโอปปาติกะตนหนึ่ง ได้มีความรักหญิงสาวชาวมนุษย์ผู้หนึ่ง แต่การกระทำของพวกเขาทั้งสองนำมาซึ่งหายนะใหญ่หลวงก่อเกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ขึ้น

 

                    การกระทำอันผิดประเพณี จารีตแต่ดั่งเดิม หญิงสาวผู้นั้นจึงถูกลงทัณฑ์ ด้วยการบูชายัน จับร่างสุมไฟเผ่าทั้งเป็น ในคืนจันทรคราส

 

                    ในขณะนั้นเองเหล่าโอปปาติกะทั้ง สิบตนต่างมาชุมนุมเพื่อยุติการกระทำนั้น แต่ทว่า การยับยั้งก่อให้เกิดการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงตามมา เมื่อเหล่าโอปาติกะทั้งสิบตน พลั้งมือ เข่นฆ่าพวกมนุษย์หลังจากยับยั้งมิให้กระทำการบูชายันหญิงสาวผู้นั้น

 

                    พวกมนุษย์พากันสาปแช่งเหล่าโอปปาติกะที่พวกเขาเคยบูชาเป็นเทพเจ้าผู้วิเศษ เมื่อคนหมู่มากก่อการล่มความศรัทธาที่มีต่อโอปปาติกะ เทพเจ้าของพวกเขา จึงมีการแสวงหา ผู้มีอำนาจ ของวิเศษในการกำจัดเหล่าโอปปาติกะให้สูญสิ้น โดยมิคำนึงเลยว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเองที่เป็นคนอุปโลกน์ สรรเสริญโอปปาติกะ ให้เป็นที่นับถือและด้วยความศรัทธา

 

                    แต่การยับยั้งในคืนนั้นก็มิอาจเป็นผลดี ต่อเหล่าโอปปาติกะ เมื่อคืนจันทรคราสมาเยือน เต็มดวง จะเป็นโชคชะตาหรือฟ้าลิขิตก็มิอาจทราบได้ ในคืนนั้นพลังของเหล่าโอปปาติกะ ก็มิอาจใช้ออกได้ตามความสามารถ เหล่ามนุษย์จึงกลุ่มรุมทำลาย สังหารเหล่าโอปปาติกะ เข่นฆ่าโดยไม่ละเว้น โดยมีผู้เฒ่าหัวหน้าเหล่ามนุษย์อันเชิญ คันธนูและศรศรปาติโมกข์อันศักดิ์สิทธิ์ สังหารสิ้นทุกตัวตน และเป็นการประกาศ สงครามกับเหล่าโอปปาติกะ ณ บัดนั้นสืบมา

 

                    เมื่อเหล่าโอปปาติกะ ในคืนนั้นทั้งสิบสองตนถูกสังหารสิ้น ยังคงหลงเหลือ อีกสองตนที่กำลังรุดมาเพื่อยับยั้งเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือ โอปปาติกะคู่รักของหญิงสาวคนนั้น  ทุกชีวิตของโอปปาติกะ ที่สูญสิ้นไป พวกโอปปาติกะจะรับรู้ได้ทันที แต่พวกเขาทั้งสองเมื่อมาถึงเหตุการณ์ก็สายเกินไปเสียแล้ว

 

                    ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า สะท้อนแสงไฟลุกโชติช่วง ราวกับกลางวันก็มิปาน ร่างของเหล่าโอปปาติกะ ที่ค่อย ๆ สลายไปในความสว่างไสวของเปลวไฟที่กำลังเผ่าผลาญร่างของหญิงสาวให้ม้อดไหม้ต่อหน้า

 

                    โอปปาติกะ ตนนั้นถึงกับคำรามก้องสะท้านสะเทือนไปทั่วฟ้า สองตา แดงฉานปาด จะลุกไหม้ ถาโถมเข้าโรมรัน เข่นฆ่าเหล่ามนุษย์เบื้องหน้า ล้มตายเป็นจำนวนมาก มิมีมนุษย์ตนไหนที่จะต่อต้านในพลังความแค้นของเขาได้ ความสามารถของเขาแม้จะถูกคืนแห่งจันทรคราสกลืนกินไปแต่มิอาจ ยับยั้งความแค้นแน่นอกที่สูญเสียคนรักของเขาได้ มนุษย์ล้มตายยิ่งมายิ่งมากขึ้นจนในที่สุด คันศรปาติโมกข์ก็ได้ยิงออกไปอีกครั้ง ในขณะที่โอปปาติกะตนนั้น ร่อแร่คับขันพลาดท่าเสียที่ต่อพวกมนุษย์

 

                    ทันใดนั้นเองโอปปาติกะตนสุดท้ายแทรกกายเข้ามาบดบังร่างรับศรปาติโมกข์ไว้ และทั้งสองได้ผ่าวงล้อมพากันออกมาจากการต่อสู้ในครั้งนั้นด้วยความยากลำบาก แต่ในครั้งนั้น โอปปาติกะคนรักของหญิงสาวยังได้นำส่วนที่ยังไม่ถูกเปลวไฟม้อดไหม้ของหญิงคนรักนำติดตัวไปออกไปด้วย

 

                    เรื่องราวเหล่านั้นล้วนถูกกล่าวขาน เป็นตำนานสืบทอดกันต่อมา ยาวนาน จนมิอาจรู้ว่าจริงแท้แค่ไหน มิมีผู้ใดทราบได้ เกี่ยวกับตำนานบทนี้ โอปปาติกะสูญสิ้นจริงหรือไม่ ศรปาติโมกข์ มีจริงไหม แต่ที่ยืนยันเรื่องราวทั้งหมดได้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นในคำคืนนี้ เด็กหนุ่มที่ผุดเกิดหลังความตายด้วย การถูกศรปาติโมกข์ทำให้ฟื้นชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

 

                    เด็กหนุ่มผู้ใช้ชีวิตแสนธรรมดา ในสายตาผู้คนรอบข้าง มนุษย์ผู้หนึ่งที่มีพลังแฝงในการมาแต่กำเนิด ทำให้ชีวิตเขาในคืนนี้ถูกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

 

                    “  เจ้ามีนามใด ” 

 

                    โฆสน แอนกายบนเก้าอี้ตัวเดิมที่ตั้งอยู่กลางห้องโถงใหญ่ หลุบตาลงคลาย หลับใหลไป

 

                    “ ข้าชื่อ วิรุฒ เรียกว่า รุฒก็ได้ ครับ ”

 

                     เด็กหนุ่มจัดแจงสวมเสื้อผ้าตัวใหม่ เขาเองไม่คุ้นเคยกับการแต่งตัวเช่นนี้เลย แต่ในตอนนี้นอกจากเสื้อผ้า ทรงโบราณแบบนี้แล้ว เขาเองก็ไม่รู้จะไปหาได้จากที่ไหน ยังไงก็ดีกว่าไม่มีอะไรสวมใส่ปล่อยให้ร่างกายเปลือยเปล่าล่อนจ้อนมากมายนัก

 

                    “ เมื่อคืนเจ้า ไม่มีจุดประสงค์ที่แอบฟังเราสนทนากัน  ”

 

                    “  ไม่เลย ข้าเพียงแต่ คิดไปปลดทุกข์เบาในตรอกร้างก็แค่นั้น ข้าเองมิมีเจตนาแอบแฝงอย่างไรเลย พอข้าเสร็จธุระข้าก็หันกายหมายจะจากไปเพราะคิดว่ามีคนคุยกันในมุมมืดด้านนั้น ข้าเองยังหลงคิดไปว่าพวกท่านคุยกันเรื่องผิดกฎหมายจึงรีบเดินออกไป ไม่ทันระวังเดินชนลังไม้ล้มลง  ”

 

                    “  แต่เจ้าก็ยังได้ยินคำสนทนาของเรา ”

 

                    “  ถึงข้าได้ยินแต่ยังไม่เข้าใจ ว่าเหตุใดชายผ้าคลุมแดงผู้นั้นถึงตามตัวท่านตลอด  ”

 

                    โฆสนลืมตา จ้องมอง วิรุฒ ลุกจากเก้าอี้เดินไปหยุดยืนที่หน้าต่างแหง่นมองขึ้นไปบนท้องฟ้ามืดครึ้มปลายฟ้าคลายกับมีแสงอรุณยามเช้าทอดผ่านเป็นสีทองไกลตา เอามือไพล่หลัง กล่าวว่า

 

                    “ หากแม้นในตอนนั้น เจ้ามิบอกต่อเราว่าเจ้ามิไม่ได้ตั้งใจแอบฟังการสนทนาของเรา เรามิอาจรู้ได้ว่าเจ้าสามารถฟังคำสนทนาของเรากับยมทูตตนนั้นได้เราจึงรู้ว่า วิรุฒเจ้าคือคนที่มี สัมผัสพิเศษความสามารถคล้ายคลึงกับเข้าผู้นั้น  ”

 

                    “ ผู้ใด ที่ท่านกล่าวมา ”

 

                    วิรุฒขยับการเดินเข้าไปเพื่อรับฟังอย่างตั้งใจ

 

                    “  ชายผู้เป็นโอปปาติกะเช่นเดียวกับเรา  ”

 

                    โฆสนกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงแววอัดอั้นรันทดภายในจิตใจ

 

                    “ นามของเขาคือ ศดิส ผู้เป็นน้องชายของเราเอง ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา