โอปปาติกะ อสูรสังหาร

-

เขียนโดย CL666

วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 18.16 น.

  2 ตอน
  4 วิจารณ์
  5,416 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557 15.41 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ผุดเกิดหลังความตาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                    วิกาลคล้อยดึก ถนนทุกสายยามนี้  ไร้ซึ่งผู้คนสัญจรไปมา แตกต่างจากช่วงหัวค่ำยิ่งนัก เมฆฝนยามราตรีคล้อยกับจะก่อตัวแล้ว เสียงฟ้าร้องดังมาแต่ไกล ลมเย็นพัดผ่าน มาแต่ไกล บรรยากาศในช่วงเวลาแบบนี้ ยิ่งทำให้ ผู้คนที่สัญจรไปมายิ่งอยากกลับ นิวาสสถานของตน โดยเร็วเพื่อจะหลีกลี้การเผชิญ กับฝนกลุ่มใหญ่ที่จะเทลงมาเวลาไม่ช้านี้

 

                     ในตรอกร้างข้างตึกหลังเก่าที่ถูกปล่อยร้างมาช้านาน  พลันมีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นอย่างราบเรียบเป็นเสียงสนทนาของผู้คนสองคนฟังจากน้ำเสียงทั้งสองก็ พอจะแยกแยะ ตัวบุคคลได้อยู่หลายส่วน จากถ้อยคำน้ำเสียงที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่ามีหนึ่งชายหนุ่มและอีกหนึ่ง ชายชรา สนทนาในมุมมืดข้างตึกหาได้ เป็นที่สะดุดตาของผู้คนไม่

 

                    “ ท่านติดตามเรามาเนิ่นนานเท่าใดแล้ว ” เสียงชายหนุ่มกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

                    “ ช่างเป็นช่วงเวลาเนินนาน สมกับที่เจ้ากล่าวมาจริง ๆ นานเสียจนข้าเองกแทบจะลืมเลือนช่วงเวลานั้นไปสิ้น  ”

เสียงชองชายชรากล่าวด้วย น้ำเสียงราบเรียบเช่นกันพร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำรามมาแต่ไกล

 

                     “ ท่านตามเรามาเพียงเพื่อจุดประสงค์นั้นจริง ๆ ”

 

                     “ เป็นเช่นนั้นจริง ” ชายชรากล่าวสวนคำ

 

                     “ ท่านก็รู้ว่าเรามิอาจมีวันนั้นได้ ”

 

                     “ ข้ารู้และข้าเห็น ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ทว่าวันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อเจ้า แต่ข้ามิอาจมิตามเจ้าไปเช่นนี้ เพราะว่า… ”

 

                    เสียงของชายชราพลันเงียบหายไป พร้อมกับเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นทำลายความเงียบสงัดไปเสียงของวัตถุบางอย่างล่วงหล่นลงบนพื้นดังโครมใหญ่ เป็นลังไม้ใบหนึ่ง

 

                     “ ผู้ใด ” เสียงของชายหนุ่มตวาด ออกไป พร้อมกับหันหน้ามาทางต้นเสียงนั้นทันที

 

                     ภาพที่ปรากฏเป็นเด็กหนุ่ม รุ่นกระทงคนหนึ่ง ยืนตัวสั่น เทิ้มด้วยความตกใจ กลัว กล่าววาจาด้วยท่าทางตกใจกลัวอย่างสุดขีด พร้อมกับกล่าวขอโทษ ยกมือทั้งสองขึ้นไหว้ ก้มหน้า หลับตา นั่งกับพื้น กล่าวคำขอโทษยกใหญ่

 

                     “ ขอ ๆ โทษด้วยครับผมไม่มีเจตนาแอบฟัง ผมแค่เขามาปลดเบาเท่านั้น มิมีเจตนาจริง ๆ อย่าทำอะไรผมเลย ” เสียงหนุ่มน้อยกล่าวด้วยท่าที ติดขัดด้วยความกลัวสุดขีด

 

                     “ เจ้ามาเพื่อจุดประสงค์ใด ที่นี้ไม่มีกิจของเจ้าไสหัวไป  ” ชายหนุ่มตวาดออกไป

 

                     “ ครับ ๆ ผมจะรีบไปเดี่ยวนี้ครับ  ๆ  ” เด็กหนุ่มรนรานลุกขึ้นหมายจากไป

 

                    ในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังหันกายจากไปอย่างรวดเร็วทำให้ เด็กหนุ่มคนนั้นชนกับอะไรบ้างอย่าง ร่างหงายหลังลงกองกับพื้นอีกครั้ง จากแรงประทะทำให้ศีรษะของเขารู้สึกมึนงง อย่างบอกไม่ถูกเหมือนกับเขาวิ่งชนกำแพงก็มิปาน  ในขณะที่เขากำลังขยับกายหมายลุกขึ้นอีกครั้ง ร่างของเขาก็ถูกฉุดขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อมีมือข้างหนึ่ง บีบคอของเขาไว้ ชูขึ้นไปบนอากาศ ยกร่างของเขาลอยขึ้นไป  มือข้างนั้นบีบลำคอของเด็กหนุ่มไว้แน่น ทำให้เด็กหนุ่มหายใจไม่ออกส่งเสียง ในลำคอตลอดเวลา

 

                    เด็กหนุ่มใช้สายตามองผ่านความมืดของแสงสลัวของไปด้านข้างตึงทำให้พอสังเกตได้ว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังเค้นลำคอเขาอยู่พร้อมกับมี ชายสองคนยืนอยู่ด้านข้าง ยืนนิ่งมิกล่าววาจา ในขณะนี้ความรู้สึกของเขารู้สึกกลัวอย่างจับใจและการหายใจของเข้ารู้สึกลำบากยิ่ง หายใจแทบไม่ออกจากนั้นได้ยินเสียงคนที่เค้นลำคอเขาอยู่กล่าวว่า

 

                    “ จะรีบไปไหนเจ้าหนุ่ม เมื่อเห็นพวกข้าแล้วก็ไปไม่ได้เด็ดขาด ”

 

                     พอกล่าวจบชายผู้นั้นถึงกับใช้อาวุธคมวาวในมืออีกข้างแทงหน้าอกของเด็กหนุ่มคนนั้นทะลุออกกลางหลัง โลหิต แตกกระจายดั่งห่าฝนโลหิตไหลนองไปทั่วบริเวณเด็กหนุ่มผู้นั้นถึงกลับเสียชีวิต ไปในลักษณะนี้ แม้แต่ตัวของเขาเองยังมิอาจเชื่อว่าเขาจะมีจุดจบที่น่าสลดเช่นนี้ในตาของเด็กหนุ่มเหม่อลอย ออกไปช้า ๆ ล่องลอย คลายหมอกเบาบางสายหนึ่ง พร่ามัวลงช้า ๆ จน มืดสนิทไป

 

                    จากนั้นมันสะบัดร่างของเด็กหนุ่มผู้นั้น ลงกับพื้นเสียงดัง ทึบ ใหญ่ หันมากล่าววาจากับ ชายหนุ่มเบื้องหน้า

 

                    “ ท่านเองหรือผู้เป็นตำนาน แห่ง ชาวโอปะ ” กล่าวจบร่างของมันพลันหายวับไปต่อหน้าเหลือไว้เพียงสหายร่วมทางของมันทั้งสองยืนหยัดนิ่งมิกล่าววาจา ด้านข้างคล้ายกับหุ่น ศิลาตั้งไว้มิปาน

 

                    ร่างของมันพอกล่าวจบ หายวับไปกับตาพร้อมกับเบื้องหน้าของชายหนุ่มพลันปรากฏร่างของมันอีกครั้ง แต่คราวนี้ในมือของมันพลันเพิ่มอาวุธสีเงินวาว คล้ายมีดเล่มหนึ่ง ตวัดขึ้นอย่างหนักหน่วงรุนแรง

 

                    เสียง คมมีด กรีดผ่าน ทรวงอกของชายหนุ่ม เป็นแผลยาวใหญ่ เลือดสาดกระจาย พร้อมกับร่างของชายหนุ่มเซ ถลา ด้วยแรงประทะหมุนคว้าง กระแทกกล่องไม้ด้านหลังเสียงดังสนั่น หวั่นไหว

 

                    เงาร่างสูงใหญ่ร่างนั้นของมันยังยืนหยัดกับที่ ในมือถือมีดสั้นเงาวาว ชี้เฉียงลงพื้นปล่อยให้โลหิตหยดลงสู่พื้น เสียงดัง ติง ๆ

 

                    “ นี้หรือ ตำนาน  ที่ท่านศดิสกล่าวถึง คนที่เหล่าสัมภเวสีปะติกะ หวั่นเกรงที่สุด ตายในดาบเดียว เช่นนี้คำกล่าวอ้างออกจะเกินจริงๆ ไปหน่อย แล้ว    ”

 

                    “ ตูม “

                    เสียงกึกก้องกัมปนาทปานฟ้าร้อง เศษกองไม้ปลิวว่อน ฝุ่นฟุ้งกระจายโดยรอบเงาร่างสีดำ ค่อย ๆ ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ โลหิตไหลหลั่งท่วมกาย ทะลักออกทางบาดแผลดั่ง ทำนบแตก แต่ร่างของคนผู้นั้นกลับไม่สะทกสะท้านอันใดถึงกับไม่มีทีท่าตกใจ แม้แต่น้อยราวกับว่าบาดแผลฉกรรจ์นั้นไม่ได้เกิดกับตัวเองก็มิปาน  ยังคงยืนหยัดมั่น สาดประกายสายตาอำมหิตมายัง ชายเบื้องหน้าผู้ยืนถือมีด ฉงนต่อภาพเหตุการณ์เบื้องหน้านั้นเอง

 

                    “ ฝีมือ ใช้ได้ ความสามารถของเจ้าคือ ผ่านอากาศธาตุในชั่วพริบตา ถือว่าน่าสนใจยิ่ง นานมาแล้วสิที่ข้าไม่เคยเจอสัมภเวสีตนใดที่มีความสามารถเช่นเจ้า ”

 

                    ชายหนุ่มกล่าววาจาด้วยท่าทีปลอดโปร่ง พร้อมกับสืบเท้าก้าวเข้าหาชายเบื้องหน้าอย่างช้า ๆ  พร้อมบาดแผลคมมีดที่แทบจะทำให้ร่างของเขาขาดเป็นสองท่อนค่อย ๆ สมานตัวเองกลับคืนสู่สภาพเดิมช้า ๆ

 

                    “  เจ้าเป็นอมตะ ” ชายผู้ถือมีด กล่าววาจาพร้อมกับสำเร็จ ขึ้นลงไปมาบนร่างของชายหนุ่มที่กำลังเดินมาเที่ยวหนึ่งจากนั้นกล่าววาจาสืบต่อว่า

 

                    “ แบบนี้แสดงว่าอาวุธชนิดใดคงไม่สามารถฆ่าเจ้าได้ ตำนานที่กล่าวไว้มิแปลกปลอมเลยจริง ๆ  ”

 

                    “ มีคนกล่าวเช่นนั้นจริง ในอดีตกาลนานมาแล้วแต่พวกที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่ไปผุดเกิดในนรกภูมิทั้งสิ้น   ”

 

                    “ เป็นเช่นนั้นจริง ”

 

                    “ มิเคยแปลกปลอมมาก่อน ”

 

                    ทั้งคู่กล่าวคำสนทนากันอย่างปลอดโปร่ง ราวกับสหายพึงกล่าววาจาต่อกัน เมื่อพบหน้า มิมีท่าทีว่าจะเข่นฆ่ากันให้เห็นเมื่อครั้งตอนแรก ที่ผ่านมา ทันใดนั้นเอง ชายผู้ถือมีด พลันลงมือด้วยความรวดเร็ว พุ่งกายหายวับไปเบื้องหน้า

 

                    ในยามวิกาลเช่นนี้ แสงส่องจากถนนพอให้เห็นพื้นที่ทั่วบริเวณ ร่ำไร มิชัดตา การลงมืออย่างรวดเร็วของมันย่อมเกิดผลเสียต่อชายหนุ่ม เนื่องจากเป็นพื้นที่อับแสง แต่ร่างของเขายังคงยืนหยัดนิ่งมิเคลื่อนไหว มิแต่สายตาของเขาเท่านั้นที่กรอกกลิ้งไปมาซ้ายขวา

 

                    ทันใดนั้นเขาเอี่ยวตัวไปด้านขวา เงาร่างสีดำ ก็ปรากฏเบื้องหลังของเขาในช่วงวินาทีเป็นตาย คมวาวของมีดสั้นพุ่งผ่านร่างของเขาไปเบื้องหน้าอย่างฉิวเฉียด

 

                    จากนั้นเขาสอดมือไปในว่างเอวล่วงเอาของสิ่งหนึ่งกำไว้ในมือแนบแน่น พุ่งสวนขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว

 

                    เสียงดัง ฉึก ห่าโลหิต สาดกระจายดั่งสายฝน เมื่อวัตถุแหล่มคมในมือของเขาแท่งถลุงคอหอยของคู่ต่อสู้ทะลุท้ายทอย ลงไปนอนดิ้นพรานกับพื้น ปวดแสบปวดร้อน  แต่ที่น่าแปลกคือ บาดแผลที่ลำคอหามีโลหิตไหลหลั่งออกมาไม่มีแต่กลุ่มควันสีดำพวยพุ่งออกมาราว ควันไฟสีดำ

 

                    ร่างของมันนอนเกือกกลิ้งกับพื้น บนใบหน้าแสดงท่าทางปั้นยาก บูดเบี้ยวเสียรูป  ค่อย ๆ กายเป็นกลุ่มควันสลายไปอย่าง ช้า ๆ ส่งเสียงกล่าววาจาว่า

 

                    “ ลูกศรปาติโมกข์  ที่แท้อยู่ในกำมือเจ้านี้เอง อาวุธ ที่ฆ่าพวกเราเหล่าสัมภเวสีปาติกะ เจ้า ๆ ๆ … ”

 

                    มิทันกล่าวจบร่างของมัน ก็สลายเป้นกลุ่มควันสีดำล่องลอยขึ้นฟ้าหายลับไปเหลือไว้เพียงมีดสั้นเล่มนั้นที่สะท้อนแสงแวววาวในที่มืดเล่มนั้นเอง

 

                    จากนั้น ผู้ร่วมทางของมันทั้งสอง พอเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างมิรู้สึกสะทกสะท้อนต่อเหตุการณ์เบื้องหน้ายังคงยืนแนวนิ่งเช่นเดิม มิกล่าววาจาอันใด ต่อการจากไปของเพื่อนร่วมทางของของพวกมัน

 

                    ชายหนุ่มเก็บลูกศรปาติโมกข์   จากนั้นเดินไปยังร่างของเด็กหนุ่มที่นอนตายกับพื้น ในแววตาของเขามิทราบว่าสะท้อนความรู้สึกใดต่อร่างที่จมโลหิตเบื้องหน้า หรือว่าเขาตอนนี้ได้คิดว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาอันยาวนานไม่ทราบว่าเขาเองได้เผชิญกับการสูญเสีย มากมายพบเจอ โลหิตมากน้อยเพียงใด ความรู้สึกของเขาตอนนี้ยากที่จะบ่งบอกบรรยายได้

 

                    ทันใดนั้นเองร่างของเด็กหนุ่มคลายกับขยับคร่าหนึ่ง ร่างสะท้อน สั่นกายเบา ๆ หากมิเพ่งพิจารณาอย่างดียากที่จะสังเกตได้

 

                    ชายหนุ่มประคองร่างของเด็กหนุ่มนั้นไว้ ตบใบหน้าเด็กหนุ่มเบา ๆ เพื่อเรียกสติ ของเขาคืนมา

 

                    ทันใดนั้นเอง เด็กหนุ่มค่อย ๆ ลืมตาขึ้น คลายตื่น คลายสลบไป ปากเพ้อกล่าววาจา เบา ๆ ว่า

 

                “ ข้าไม่ได้ตั้งใจแอบฟังท่านทั้งสองสนทนากัน ค่าเพียงแค่ มาปลดทุกข์เบาเท่านั้นเอง ”

 

                    จากนั้น กระอักโลหิตออกมาคำใหญ่ คอพับไปด้านข้าง สิ้นลมหายใจไป

 

                ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มพลันลงมือด้วยความรวดเร็ว ล้วง ลูกศรปาติโมกข์  ออกมาแทงไปยังหัวใจของเด็กหนุ่มผู้นั้น พร้อมกับเสียงตะโกนฝ่าความมืดออกมาพร้อมกับเงาร่างสีดำ ใต้ผ้าคลุมสีแดง โผล่ออกมา อย่างรวดเร็ว

 

                “ โฆสน เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้ ดวงวิญญาณของมันจะมิได้ผุดเกิด ”

 

                ชายหนุ่มผู้นี้แท้จริงมีนามว่า โฆสน จากคำเรียกขานของผู้มาจากเงามืด มิทันสิ้นเสียงเยือกเย็นนั้นเขาก็ถอนลูกศรปาติโมกข์  ออกจากร่างของเด็กหนุ่มผู้นั้น แสงสว่างจ้าพลันผุดขึ้นมา แล้วร่างของเด็กหนุ่มผู้นั้นก่อมอดไหม้ด้วยแสงแห่งเพลิงที่ลุกขึ้นมา

 

                แสงจากเปลวไฟนั้นเกิดขึ้นมาชั่วประเดี๋ยวก็ดับไป ร่าง ๆ หนึ่งก็ ผลุง บังเกิดขึ้นมาแท่นอย่างรวดเร็ว

 

                ร่าง ๆ นั้น ค่อย ๆ ยืนหยัดทรงกายขึ้น ร่างกายล้วนปราศจากอาภรณ์ใด ๆ ค่อย ๆ ขยับกายสำรวจตัวเองไปมาหลายรอบจากนั้นค่อย ๆ หันกายมายัง โฆสน ที่ยืนห่างออกไปจ้องมองการแปรเปลี่ยนที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าตลอดเวลา

 

                ร่างนั้นก้าวออกมาจากมุมมืด ค่อย ๆ ชัดตาขึ้นปรากฏเป็นร่างของเด็กหนุ่มเมื่อครู่ด้วยความฉงนสงสัยมันจึงกล่าวกับชายเบื้องหน้ามัน ว่า

 

                  “ นี้มันเกิดอะไรขึ้นกับข้า ท่าน ๆ ทำอะไรกับข้า ”

 

                โฆสน ยังคงจ้องมองดูร่างของเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วกล่าววาจาว่า

 

                “  ที่นี้ไม่มีเรื่องของท่านแล้ว ท่านยมทูต จงนำวิญญาณของทั้งสองที่ เจ้าสัมภเวสีปาติกะตนนั้นได้ ฆ่าพวกเขานำกลับไปเถิด เด็กหนุ่มผู้นี้ หลุดพ้นจากอำนาจของท่านที่จะ ควบคุมได้แล้ว ”

 

                “  โฆสน เจ้าใช้ลูกศรปาติโมกข์  สร้างโอปปาติกะตนใหม่ขึ้น เจ้าทำให้ความสมดุล แปรผัน สร้างปัญหาใหญ่ในภายหน้าเจ้าก็รู้ดี มิใช่หรือ”เสียงของชายผ้าคลุมสีแดง พร้อมกับเชือกคล้อง ดวงวิญญาณทั้งสองดวง อยู่ด้านหลังกล่าววาจาเป็นเชิงเตือนสติต่อการกระทำของโฆสน 

 

                แท้จริงแล้วดวงวิญญาณที่ติดตามชายผู้ใช้มีดสั้นเล่มนั้นคือดวงวิญญาณของผู้ที่ถูกมันฆ่าตาย ก่อนหน้าหากมนุษย์คนใดถูกฆ่าโดยพวกสัมภเวสีปาติกะ วิญญาณจะถูกผูกกับสัมภเวสีตนนั้นมิไปผุดเกิด และจะถูกสัมภเวสีตนนั้นกลืนกินเป็นพลังงานต่อไปเมื่อสิ้นใจครบ  13 โมง

 

                “ ข้าเชื่อว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ มีความสามารถพิเศษไม่ธรรมดา ”

 

                “ เจ้ารู้ได้อย่างไร บาปและกรรมของมันถูกเจ้าทำลายสิ้น เจ้าทำให้มันแม้แต่ขึ้นสวรรค์ลงนรก ก็มิได้ มีเพียงหนทางดับสูญเท่านั้นที่รอมันเบื้องหน้าหรือเจ้ามิกลัว ผลที่จะตามมา ”

 

                เด็กหนุ่มพอฟัง ยิ่งรู้สึกสงสัยใจยิ่งนักต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตน กล่าววาจาสอบถามไปว่า

 

                “ นี้ข้า เป็นตัวอะไรกันแน่ ทำไมข้าถึงยังไม่ตาย แล้ว ๆ ข้าจะต้องทำยังไง ”

 

                โฆสน หันกายมายังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากล่าววาจา ราบเรียบ ในดวงตาแฝงแววมุ่งมันอย่างเปี่ยมล้นว่า

 

                “ เจ้าเชื่อเรื่องในภพหน้าหรือไม่ ”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

               

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา