Paracetamol Season I
1.0
เขียนโดย POPENGL
วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.35 น.
7 chapter
0 วิจารณ์
9,616 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2563 17.42 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) Episode 5 – ออดิชั่น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หลังผ่านพ้นจากช่วง “มิถุนาทมิฬ” มาได้ มิว โบ๊ท ต้น บอย เริ่มปรับตัวให้ชินกับชีวิตที่เปลี่ยนไปในรั้วมหาวิทยาลัยได้มากขึ้น แต่พวกเขายังคงรวมตัวกันเล่นดนตรีด้วยกันที่ร้าน Sweat Rock ทุกคืนวันเสาร์ ขณะที่ห้าสาวแองเจิ้ลฟอร์ซ หลังจากเดบิวท์อัลบั้มมาได้หนึ่งปีเต็ม และซิงเกิลที่ถูกตัดออกมาพุ่งทะยานขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งเกือบทุกหน้าปัดวิทยุ ทำให้ทั้งห้าสาวต้องปรับตัวมากขึ้น และในช่วงนี้เริ่มมีออกไปทัวร์ตามต่างจังหวัด ทำให้สาวๆ ต้องห่างกับคนรักมากขึ้นไปด้วย
วันหนึ่ง ณ ร้านกาแฟหลังย่อมๆ หน้าบ้านของมิว
“เฮ้ย พวกมึงจะว่าไงวะ ถ้าจะไปออร้านอื่นบ้าง”
มิวเอ่ยปากถามเพื่อนๆ ในวงที่ในตอนนี้ต่างคนต่างอิริยาบถในบริเวณมุมหนึ่งของร้าน
“ก็ดีว่ะมึง ปาร์คกิ้งทอยก็โดนเด้งไปทีแล้ว มีที่สเว็ตร็อกที่เดียว ก็ไม่รู้จะไปออไหนแล้วว่ะ”
บอยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดเล็กๆ หลังจากที่ทั้งวงโดนเด้งจากร้านปาร์คกิ้งทอยตั้งแต่เปิดเทอม
“แล้วจะไปออที่ไหนวะ” โบ๊ทเอ่ยถามขึ้นมา ใบหน้าหล่อเข้มเริ่มปั้นสีหน้าสงสัย
“เออน่า มันต้องมีร้านสิ ก็ออแถวๆ บ้านนี่แหละว่ะ”
“เฮ้ย แบบนี้ก็ดีนะเว้ยเล่นแถวบ้าน กลับมาไม่ต้องไปไหนไกล สบายออก”
เสียงอมแหลมกวนๆ ของต้นเริ่มมีบทมากขึ้นหลังจากนั่งฟังอยู่นาน พร้อมๆ กับจิบกาแฟไปอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาตี่ๆ ทอดมองเพื่อนทั้งสามอย่างครุ่นคิดพินิจพิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้
“งั้นไปออร้านสกายบาร์กันไหมล่ะมึง เนี่ยๆ เลยบ้านกูไปสองซอยเอง น่าจะได้อยู่แล้วล่ะพวกเรา”
“เดี๋ยวๆ ไอ้มิว แล้วร้านที่มึงจะชวนพวกกูไปออ มันเล่นแนวไหนวะ” โบ๊ทถามแย้งขึ้นมา
“ก็เล่นเพลงตลาดนี่แหละเว้ย พวกเราก็มีเพลงเก็บเยอะ กูว่าไม่ยากหรอกว่ะ”
บอยลุกขึ้นเหยียดตัวโยกไปมาก่อนจะกลับมาหย่อนตัวนั่งลงเหมือนเดิมขณะที่โบ๊ทลุกขึ้นเดินไปเดินมา คิ้วดกเข้มขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ส่วนต้นยังคงนั่งกระดิกเท้าผ่อนคลายสบายอารมณ์อยู่กับเก้าอี้ตัวเดิม
“กูว่า ไปออเลยดีกว่าว่ะ โอกาสมาแล้ว ต้องรีบคว้าแล้วเว้ย”
เป็นอันตกลงกัน ทั้งสี่หนุ่มต่างยกแก้วกาแฟในมือขึ้นมาชนกันก่อนจะบรรจงกระดกจนหมดแก้ว
“เฮ้ย จะปล่อยเวลาให้ว่างทำไมล่ะ งั้นไปซ้อมกันสิวะ คืนนี้ไปออเลย ฮ่าๆ”
ทั้งสี่หนุ่มต่างเห็นดีเห็นงามกับข้อเสนอของมิว ก่อนจะพากันลุกเดินเข้าไปเอาเครื่องดนตรีส่วนตัวในบ้าน และพากันออกไปยังห้องซ้อมในเวลาต่อมา
รถยนต์ฟอร์จูนเนอร์สีดำของมิวเคลื่อนตัวมาถึงที่หมายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้น สี่หนุ่มพาราเซตามอลพากันเดินลงมาพร้อมกับเครื่องมือส่วนตัวและพากันเดินเข้าไปข้างในห้อง ซ้อมที่จะใช้ซ้อมในวันนี้
“สองชั่วโมงครับพี่”
“ทั้งหมด 320 บาทครับ”
“เฮ้ยๆ พวกมึง คนละ 80 เว้ย”
โบ๊ท ต้น บอยต่างควักเงินออกมารวมๆ กันและส่งให้มิว หลังจากจ่ายเงินค่าห้องซ้อมเสร็จ ก็เป็นเวลาที่ทั้งสี่จะได้ซ้อมดนตรีด้วยกันอย่างจริงๆ จังๆ เสียที หลังจากนั้นทั้งสี่พากันเดินเข้าไปในตัวห้องซ้อมดนตรี ที่ตอนนี้เครื่องดนตรีต่างๆ ถูกเซตอัพรอให้บริการไว้เรียบร้อยแล้ว
มือเบสหนุ่มหน้าตี๋ไม่รอช้าที่จะเดินตรงไปยังตู้เบส Ampeg ของห้องซ้อม ก่อนจะหันไปหยิบกีตาร์เบส Fender Precision ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเบสตัวหลักไปแล้ว ขณะที่บอยกำลังง่วนอยู่กับการใส่กระเดื่องของตัวเองเข้ากับกลองชุด Tama ของห้องซ้อมอย่างขะมักเขม้น อีกด้านหนึ่ง มือกีตาร์ทั้งสองต่างง่วนกับการต่อบอร์ดเอฟเฟกต์จนกระทั่งทุกคนเข้าประจำที่หมดเรียบร้อยแล้ว
{{มาเว้ย พร้อมแล้ว ลุยเลย}}
บอยเคาะไฮแฮทนับเข้าเพลงประจำวงอันเป็นเพลงวอร์มเครื่องในครั้งนี้ ริฟฟ์กีตาร์ฝีมือมิวขึ้นมาเดี่ยวๆ ก่อนจะตามด้วยไลน์เบสที่วิ่งคู่มากับไลน์กลอง ก่อนส่งเข้าสู่ท่อนโซโล่อินโทรในรอบแรก และถัดจากนั้น เสียงร้องอันทุ้มอบอุ่นของมิวก็เริ่มเล่าเรื่องราวของบทเพลง ขณะที่โบ๊ทเล่นริฟฟ์รองรับคลอไปกับไลน์เบสและกลองที่วิ่งควบตะบึงอยู่ตลอด
หลังจากจบเพลงประจำวงแล้ว อินโทรเพลงใหม่ก็วิ่งสวนขึ้นมาด้วยจังหวะกลองในสไตล์ดิสโก้เดี่ยวๆ คลอไปกับเสียงประกาศตลกๆ จากคนที่กำลังตีกลองอยู่ ก่อนส่งให้ไลน์เบสที่ชวนให้นึกถึงเพลง Billy Jean จากฝีมือต้นเริ่มเฉิดฉายขึ้นมา เสริมด้วยเสียงสตรัมคอร์ดสไตล์ดิสโก้ฟังก์ของโบ๊ท ก่อนโยนเข้าสู่เรื่องราวของเพลงๆ นี้
{{ท่องไปในดวงดาว ก้าวลงบนดวงจันทร์ เมื่อเราได้พบกัน… ด้วยยานของเวลา….}}
…………………………………………………………..
{{จอดยานบนดวงดาว สร้างข่าวจากดาวเทียมว่าโลกเรากำลังเตรียม… พาคนขึ้นตามมา… มาซิ… มาพบกับฉันบนดวงจันทร์… สร้างฝัน… ของเธอกับฉันบนดวงดาว…}}
บนเวทีขนาดย่อมๆ ภายในผับที่มีนามว่าสกายบาร์ แสงไฟในผับค่อนข้างมืด มีเพียงแต่แสงไฟสปอตไลท์สาดส่องเป็นเอฟเฟกต์วิบวับๆ เท่านั้น ผู้คนที่เข้ามาเที่ยวในร้านต่างคนต่างอิริยาบถกันไป บ้างก็นั่งดื่มเฉยๆ บ้างก็ลุกขึ้นมาเต้นบ้าง สุดมุมร้านด้านหนึ่งบริเวณเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม หญิงสาววัยยี่สิบกลางๆ ในชุดเดรสสีฉูดฉาด กำลังนั่งดูวงดนตรีหน้าใหม่ที่มาออดิชั่นในคืนนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ นิ้วมือเล็กๆ เคาะตามจังหวะกลองไปกับรองเท้าบูทปลายแหลมภายใต้กางเกงยีนขาม้าที่เจ้าตัวสวมอยู่ก็เคาะไปด้วยกัน พร้อมๆ กับใบหูเล็กขาวสะอาดที่กำลังซึมซับเสียงเพลงที่บรรเลงอยู่
อีกด้านหนึ่งบนเวที สี่หนุ่มพาราเซตามอลยังคงบรรเลงเพลงออดิชั่นอย่างต่อเนื่อง กับลีลาท่าทางอันชวนให้ทุกคนต่างมีอารมณ์ร่วมไปด้วยตลอดทั้งเพลงเร็วและเพลงช้า จนมาถึงเพลงสุดท้ายของชุดออดิชั่นในค่ำคืนนี้ กับบทเพลงที่ทุกคนคุ้นเคย ไลน์กลองในจังหวะมีเดียมดิสโก้ กับไลน์เบสอันคุ้นเคยจากฝีมือของต้น ที่ขับออกมาจาก Pedulla Rapture RB5 เดินเกาะไปด้วยกัน ท่ามกลางเสียงเฮจากแขกที่มาเที่ยวในค่ำคืนนี้
{{หยุด หยุด ชีวิต หยุดกับคนนี้ แม้ว่าใครจะดีสักแค่ไหน… หยุด หยุด ความรัก ทั้งหัวใจ จะหยุดอยู่กับเธอ…คนเดียว…}}
มิวร้องไปชวนให้แขกโบกไม้โบกมือตามไปตลอดเพลง พร้อมกับส่งสายตาให้กับแขกที่มาเที่ยวเป็นระยะๆ ส่วนเพื่อนนักดนตรีอีกสามต่างออกลีลาเอนเตอร์เทนผู้ชมไปตามสไตล์ของตัวเอง โดยเฉพาะต้น กับลีลาท่าทางอันยียวนตลอดเวลาที่กระตุกเบส กับลูกสแลปชวนตื่นเต้นเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้พอสมควร แต่คนที่เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ได้มากที่สุดเป็นใครไม่ได้นอกจากบอย มือกลองหนุ่มหล่อจอมลีลาประจำวง กับท่วงท่าเวลาตีกลองที่เรียกเสียงกรี๊ดได้ตลอดเวลา
{{ช่วยกันร้องหน่อยนะครับ วู้!}}
[[หยุด หยุด ชีวิต หยุดกับคนนี้ แม้ว่าใครจะดีสักแค่ไหน… หยุด หยุด ความรัก ทั้งหัวใจ จะหยุดอยู่กับเธอ…คนเดียว…]]
เมื่อสิ้นเสียงฟาดแฉของบอย เสียงปรบมือ เป่าปาก โห่ฮาจากผู้ชมก็ดังกระหึ่มขึ้นมา ทำเอาทั้งสี่หนุ่มต่างออกอาการปลื้มเป็นพิเศษ ก่อนหันกลับไปเก็บเครื่องดนตรีส่วนตัวและพากันเดินลงจากเวทีไป ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดีเจ.ในร้านเปิดขึ้นมา
“น้องๆ คะ เดี๋ยวพี่มิ้งค์ขอคุยด้วยหน่อยค่ะ”
เสียงใสๆ ของหญิงสาววัยยี่สิบกลางๆ ผู้เป็นเจ้าของร้านร้องเรียกทั้งสี่ พลางกวักมือชวนให้ไปยังบริเวณหลังร้าน ทั้งสี่หนุ่มเห็นดังนั้นจึงไม่รอช้าที่จะเดินตามหญิงสาวเข้าไปยังห้องๆ หนึ่งบริเวณหลังร้าน ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของทั้งสี่หนุ่มจะค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเขื่อง ก่อนที่เจ้าของร้านจะเริ่มคอมเมนต์ในเวลาต่อมา
“คือเท่าที่พี่ดูๆ แล้วนะคะ เอิ่ม… น้องๆ เอาคนดูอยู่ทุกเพลงเลยค่ะ แหะๆ”
“พี่มิ้งค์พูดเล่นรึเปล่าครับเนี่ย ฮ่าๆ” มิวได้ทีหยอกเย้าผู้เป็นรุ่นพี่กลับไปด้วยความสนิทสนม
หญิงสาวยิ้มขึ้นมาพร้อมกับส่งสายตาขี้เล่นส่งมายังคนที่เพิ่งแหย่ไปเมื่อสักครู่ ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ทอดมองไปยังอีกสามหนุ่มที่เหลือ
“นี่ น้องมิว พี่มิ้งค์พูดจริงนะคะ” ว่าเสียงเขียวใส่คนที่เพิ่งเบรกไป ก่อนหันไปพูดกับอีกสามหนุ่มที่เหลือ “เท่าที่พี่ดูมา พวกน้องเอาคนดูได้อยู่มากเลย แต่ล่ะเพลงก็เล่นกันไม่น่าเบื่อ พี่ว่าน้องๆ น่าจะเรียกแขกได้เลยล่ะ”
“จริงเหรอครับพี่” บอยถามสวนขึ้นมาด้วยท่าทางตื่นเต้น ขณะที่ดวงตาคู่สวยปรายตามองมือกลองหนุ่มเล็กน้อย
“จริงสิจ๊ะ โดยเฉพาะน้อง… เอ่อ… น้อง…”
“เอ่อ…อา… อื๊อ… อ๊า…” บอยได้ทีแกล้งทำเสียงล้อเลียนอาการติดอ่างของหญิงสาวเจ้าของร้าน ทำเอาอีกสามคนที่เหลือพร้อมใจกันหัวเราะขึ้นมา ขณะที่คนถูกล้อหน้าแดงด้วยความเขินอายหลังจากโดนล้อเลียนเรื่องติดอ่างเข้า
“พี่มิ้งค์ ไอ้นี่มันชื่อไอ้บอยครับ ฮ่าๆ” มิวอาสาบอกชื่อแทนเสียเลย
“เออ รู้แล้วย่ะ” ว่าแล้วทำตาดุใส่คนที่เพิ่งบอกชื่อไปเมื่อกี้ ก่อนจะหันไปพูดกับบอยต่อ “น้องบอยคะ พี่ว่าน้องบอยน่ะเรียกแขกได้เยอะเลยนะคะโดยเฉพาะสาวๆ น่ะ ฮิๆ”
“โด่ พี่มิ้งค์ แล้วผมล่ะครับพี่ ฮ่าๆ” มิวยังคงกวนประสาทรุ่นพี่ไม่หยุด จนสาวเจ้าต้องหันมาส่งค้อนวงใหญ่ให้เป็นระยะๆ
“น้องมิวที่จริงหล่อนะ แต่ปากเสียไปหน่อยนึง คริๆ”
“เอ พี่มิ้งค์ครับ แล้วตกลงพี่มิ้งค์จะรับพวกผมเล่นที่นี่เลยไหมครับ” เสียงแหลมๆ ของต้นตัดบทขึ้นมาทันที
“อืม… งั้นพี่รับเลยละกันจ้ะ”
[[เฮ]] ทั้งสี่หนุ่มต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นกอดคอกันด้วยท่าทางดีใจเต็มที่เมื่อรู้ว่าจะได้เล่นร้านนี้
“โอเค.จ้ะๆ น้องๆ นั่งลงก่อนนะเดี๋ยวพี่จะคุยอะไรหน่อยค่ะ”
เมื่อทั้งสี่หนุ่มสงบลงแล้ว มิ้งค์จึงเริ่มพูดคุยเรื่องเวลาเล่นและค่าจ้างขึ้นมาทันที
“อืม งั้นน้องๆ มาเล่นวันไหนได้บ้างคะ”
ทั้งสี่หนุ่มต่างหันไปปรึกษากันอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะโยนให้โบ๊ทรับหน้าที่เป็นผู้ตอบคำถาม
“ก็ คืนวันศุกร์ครับพี่”
“อืม งั้นพี่ขอสองคืนจ้ะ”
“โธ่พี่ ก็ไม่บอกให้หมด” โบ๊ทโวยขึ้นมาพลางตบที่ขาตัวเองดังเปรี้ยง “งั้นพฤหัสกับศุกร์ครับพี่ ตามนี้เลย พวกผมไม่มีเรียนวันศุกร์พอดีด้วย”
“โอเค.จ้า แล้วค่าตัวนี่ น้องๆ จะว่าไงถ้าพี่ให้คนละเจ็ดร้อย กับค่าน้ำมันต่างหาก”
มิว โบ๊ท ต้น บอย ต่างหันมาพูดคุยปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง “เฮ้ย เจ็ดร้อยกับค่าน้ำมันต่างหากมันก็คุ้มนะเว้ย ปกติสแตนดาร์ดมันห้าร้อย แต่นี่พวกเราได้เยอะกว่าปกติแล้วนะเว้ย”
“เออนั่นสิวะ กูคนนึงที่เอาล่ะ” โบ๊ทกล่าวสรุปแบบไม่ลังเล ขณะที่อีกสองหนุ่มที่เหลือต่างลงความเห็นตรงกัน เป็นอันยุติเรื่องค่าตัวและเวลาเล่นได้
“เคจ้ะ งั้น พฤหัสหน้ามาเล่นที่นี่ได้เลยนะคะ ไหนๆ วันนี้น้องก็มาออกันแล้ว พี่ให้ค่าตัวซะเลยล่ะกัน คนละเจ็ดร้อยจ้ะ ค่าน้ำมันค่อยเอาพฤหัสหน้านะจ๊ะ”
พูดจบ แบงก์ห้าร้อยกับแบงก์ร้อยจำนวนหนึ่งถูกหยิบออกจากกระเป๋าและจ่ายเป็นค่าตัวให้ทั้งสี่หนุ่ม หลังจากที่จ่ายค่าตัวเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างล่ำลาเจ้าของร้านก่อนจะเดินทางกลับ แต่ว่า…
“น้องๆ จะนั่งต่อก็ได้นะ คืนนี้พี่เลี้ยงเหล้าจ้า”
ทั้งสี่ต่างหยุดชะงักและหันกลับมา ก่อนจะพากันไปยึดพื้นที่มุมหนึ่งในร้าน และแล้ว เหล้าชุดใหญ่ถูกนำมาเสิร์ฟยังโต๊ะที่สี่หนุ่มกับอีกหนึ่งสาวนั่ง และแล้ว ก็เป็นเวลาแห่งการสังสรรค์ระหว่างวงดนตรีวงใหม่กับเจ้าของร้านและระหว่างพี่กับน้องไปด้วยในตัว
เหล้า Black Label ถูกรินลงในแก้วด้วยฝีมือพนักงานเสิร์ฟสาว ก่อนแก้วเหล้าทั้งห้าจะถูกเสิร์ฟไปยังผู้ที่นั่งโต๊ะอยู่ ระหว่างนั้นมิวถือโอกาสชวนเพื่อนรุ่นพี่ร่วมคณะคุยไปด้วย
“ว่าไป โลกมันก็กลมนะพี่ ไม่คิดเลยว่าร้านที่พวกผมมาออ จะเป็นร้านของพี่เองเนี่ย”
ใบหน้าสวยพริ้งของหญิงสาวเผยรอยยิ้มขึ้นมา พลางยกแก้วเหล้าขึ้นจิบเล็กน้อย “หึๆ งงล่ะสิ อ่ะ ร้านนี้พี่กับแฟนพี่หุ้นกันทำน่ะ เพิ่งเปิดมาไม่ถึงปีเอง แต่แขกเข้าเยอะนะ คริๆ”
“เอ้อ ว่าแต่พี่มิ้งค์รู้จักกับไอ้มิวได้ไงล่ะครับเนี่ย” ต้นถือโอกาสถามขึ้นมา
“อ๋อ คืองี้ ตอนที่มีรับน้องน่ะ พี่ก็เข้าไปด้วยในฐานะรุ่นพี่ที่จบไปแล้วน่ะ แล้วบังเอิญ เจอน้องมิวนี่แหละ แล้วทีนี้พี่รู้สึกถูกชะตากับมิวเค้า พี่ก็เลยแกล้งเขาหนักเลย พอแกล้งกันไปแกล้งกันมา มันก็สนิทกันอย่างที่น้องต้นเห็นนี่แหละจ้ะ”
“ไอ้ต้น ไอ้โบ๊ท ไอ้บอย วันไหนที่พี่มิ้งค์ไปคณะนะเว้ย วันนั้นน่ะ กูซวยทั้งวันเลยล่ะ”
[[ฮ่าๆ]] เสียงหัวเราะดังกระหึ่มลั่นโต๊ะ พร้อมๆ กับแก้วเหล้าทั้งห้าใบถูกชูขึ้นและชนกัน [[กริ๊ก]] ก่อนต่างคนต่างดื่มเหล้าจนหมดแก้วในเวลาต่อมา
“เอ้อพี่มิ้งค์รู้ยัง ไอ้มิวมันเป็นแฟนกับนักร้องนำวงแองเจิ้ลฟอร์ซนะพี่ ฮ่าๆ” โบ๊ทเริ่มจุดประเด็นขึ้นมา ท่ามกลางเสียงเฮของเพื่อนอีกสองคนที่เหลือยกเว้นคนที่ถูกเอ่ยชื่อคนเดียว ขณะที่รุ่นพี่สาวเริ่มมีท่าทีสนอกสนใจขึ้นมา
“หา! จริงสิ ไม่เคยบอกกันเลย…”
ไม่พูดเปล่า มือเล็กๆ ยังหนีบเนื้อแขนกำยำของรุ่นน้องตัวดีอย่างหมั่นไส้ จนคนถูกหนีบถึงกับเจ็บร้อนวูบวาบไปหมด
“เฮ้ย ไอ้ต้น ไอ้ปากเสีย เดี๋ยวเหอะมึง”
ขณะที่เหล้าพร่องลงไปเรื่อยๆ สวนทางกับบรรดาเรื่องราวต่างๆ ที่ทั้งสี่หนุ่มต่างงัดมาเผาใส่กันและกันต่อหน้าเจ้าของร้านสาวสวย ยิ่งทำให้สาวเจ้ามั่นใจกับวงดนตรีวงใหม่ที่จะมาเล่นประจำที่ร้านนี้มากขึ้นเมื่อได้เห็นความสนิทสนมของบรรดารุ่นน้องกลุ่มนี้ กับยามราตรีที่ไม่มีทีท่าว่าจะหลับใหลลงไปง่ายๆ และยิ่งพวกเขาเมาเท่าไหร่ สารพัดเรื่องราวต่างๆ ยิ่งพรั่งพรูออกมามากขึ้นเท่านั้น…
……………………………………………………………………
ณ ผับแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่
{{สวัสดีชาวเจียงใหม่ทุกคนเจ้า…}}
เสียงหวานๆ ของนักร้องสาวร่างเล็กเอ่ยทักทายแฟนเพลงที่เข้ามาชมจนแน่นจนสถานที่แสดงดูแคบลงไปถนัดตา บรรดาน้ำทองแดง น้ำทองเหลืองถูกทยอยเสิร์ฟให้กับแขกที่มาชมแบบไม่อั้น ขณะที่บนเวทีขนาดย่อมๆ อัดแน่นไปด้วยบรรดาตู้แอมป์ต่างๆ และกลองชุดอีกหนึ่งชุด จนทั้งสี่สาวแถวหน้าแทบจะไม่มีที่ยืน ลูกตาลต้องระเห็จไปยืนเล่นเบสอยู่ข้างๆ แอมป์ ปล่อยให้แก้มและอิ๋วยืนประจันหน้ากับคนดูกับโบแทน
{{นี่เป็นครั้งแรกนะคะที่พวกเราแองเจิ้ลฟอร์ซได้มาเยือนเมืองเจียงใหม่ ตอนแรกพวกเราตื่นเต้นมากเลยนะคะ และยิ่งตื่นเต้นมาอีกเมื่อได้เห็นพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนรอต้อนรับพวกเรามากขนาดนี้ พวกเราดีใจมากเลยค่า}}
[[เฮ]]
{{แก้ม จะพูดอะไรหน่อยไหม}} โบสบโอกาสโยนให้เพื่อนสาวได้ทักทายแฟนเพลงบ้าง
{{คริๆ ก็ ไม่รู้จะพูดอะไรอ่ะค่ะ คือแก้มแค่อยากจะบอกว่า แก้มดีใจนะคะที่ทุกๆ คนให้การต้อนรับและติดตามผลงานพวกเราเป็นอย่างดี ขอบคุณจริงๆ ค่า}}
เสียงเล็กๆ ใสๆ ของมือกีตาร์สาวร่างบอบบางทำเอาผู้ชมยิ้มไปตามๆ กัน พร้อมกับเสียงเฮจนดังกระหึ่มไปหมด หลังจากนั้น น้ำฝนเริ่มเคาะไม้กลองเข้าอินโทรเพลงแรก และเริ่มด้วยเสียงซินธ์ต่างๆ จากบรรดา Gadget ของทั้งห้าสาวที่สอดประสานเป็นทำนองดนตรีน่ารักๆ โอบอุ้มเสียงร้องหวานๆ ของโบกับเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ของวัยรุ่นในบทเพลง “จักรวาลวิทยา II” ซิงเกิลแรกที่ทางวงปล่อยออกมา ก่อนที่ทุกอย่างจะพลิกผันอย่างรวดเร็วเมื่อดนตรีป๊อปใสๆ ถูกแทนที่ด้วยดนตรีฮาร์ดร็อกหนักๆ กำแพงเสียงกีตาร์ขนาดมหึมาควบตะบึงไปกับไลน์เบสที่วิ่งจนแทบจะเป็นเส้นตรงไปกับไลน์กลองที่ถูกเร่งให้กระฉับกระเฉงมากขึ้น และไลน์โซโล่อันพลิ้วไหวรวดเร็วก็เริ่มคำรามขึ้น ขณะที่โบเริ่มตะเบ็งเสียงแข่งกับกีตาร์อย่างดุเดือดเมามันจนจบเพลงในที่สุด…
[[เฮ…]]
{{ขอบคุณมากค่า}}
เสียงหวานเอ่ยขอบคุณ พร้อมกับส่งสายตาและรอยยิ้มอันละมุนละไมให้กับแฟนเพลงที่เข้ามาชมการแสดงในตอนนี้ และไม่ปล่อยให้เสียเวลา เพลงต่อไปกับดนตรีป๊อปร็อกใสๆ ในอัลบั้มไม่ว่าจะเป็นเพลงช้าหรือเพลงเร็วถูกนำออกมาเสิร์ฟแฟนเพลงชาวเชียงใหม่ทันที สลับกับการเอ็นเตอร์เทนคนดูของโบเป็นระยะๆ ตลอดเวลาการแสดง โบส่งสายตาให้กับผู้ชมทุกคนอยู่ตลอด เท่านั้นยังไม่พอ บรรดาเพลงของศิลปินคนอื่นๆ ที่ทั้งห้าสาวเอามาคัฟเวอร์ยังเรียกเสียงเฮจากผู้ชมได้เรื่อยๆ
[[เฮ…]]
{{เป็นไงบ้างคะเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคน สนุกกันไหมเอ่ย...}}
[[เฮ…]]
{{ถ้าเพื่อนๆ สนุกพวกเราก็ดีใจแล้วค่า มาถึงช่วงสุดท้ายแล้วนะคะ ว้า เสียดายจังเลย เวลาไม่น่าหมดเร็วเลย}}
โบพูดกับคนดูพลางส่งสายตาไปยังอิ๋ว มือกีตาร์สาวแว่นที่ยืนอยู่ข้างๆ
{{นั่นสิ ให้เวลาน้อยจังเลยอ่ะ เล่นไปไม่กี่เพลงเอง}}
{{เอาน่า ไม่เป็นไรนะคะ}} เสียงใสๆ ของแก้มแว่วขึ้นมา {{ยังไงเพลงสุดท้ายแล้ว ช่วยกันร้องด้วยกันนะค้า}}
ริฟฟ์กีตาร์อันคุ้นหูดังแว่วขึ้น อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ กับซิงเกิลที่สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเธอมากที่สุด “ดาวหาง”
{{โดดกันให้เต็มที่เลยนะค้า…}} เสียงโทนห้าวของอิ๋ว ที่ปกติจะไม่ค่อยพูดกับผู้ชมมากนักกล่าวเชิญชวนให้ผู้ชมกระโดดด้วยกันกับบทเพลงสนุกๆ เพลงนี้ ขณะที่โบฮัมทำนองท่อนคอรัสไปกระโดดไปอย่างเต็มที่ ทางด้านแก้มโยกตัวสับคอร์ดไปพร้อมๆ กับลูกตาล แม้แต่น้ำฝนที่นั่งอยู่หลังกลองยังออกลีลาท่าทางเต็มที่ กีตาร์ เบส กลองยังคงควบตะบึงให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยกันสมกับชื่อเพลง จนกระทั่ง…
{{ขอบคุณมากค่า}}
นักร้องสาวร่างเล็กกล่าวขอบคุณก่อนชวนเพื่อนสาวอีกสี่พร้อมใจกันถอนสายบัวขอบคุณผู้ชม ระหว่างนั้นแบ็กสเตจเดินขึ้นมาเก็บเครื่องดนตรีส่วนตัวของทั้งสี่สาว ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินลงจากเวทีไปในที่สุด ท่ามกลางเสียงกรี๊ดจากบรรดาสาวๆ ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณร้าน และเวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาที รถตู้ของห้าสาวแองเจิ้ลฟอร์ซ ก็เคลื่อนตัวออกจากสถานที่แสดงในที่สุด…
…………………………………………………………………………
ร้านสกายบาร์
“เฮ้ย… ไอ้มิว มึงขับรถไหวรึเปล่าวะ” โบ๊ทเอ่ยปากถามขึ้นเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนที่ตกอยู่ในสภาวะเมาจนคอพับไปแล้ว
“เอิ๊กซ์… ไหวสิวะ มึงดูตัวเองก่อนเถอะไอ้โบ๊ท มึงก็เมาไม่ต่างจากกูแหละเว้ย”
ทั้งสี่หนุ่มกับอีกหนึ่งสาวต่างตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่าเมาหนัก ร่างสูงใหญ่ของทั้งสี่หนุ่มต่างฟุบลงบนโต๊ะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นได้ ขณะที่แขกในร้านต่างทยอยออกไปจนหมดพร้อมๆ กับปิดร้าน แต่เจ้าของร้านกับวงดนตรีหน้าใหม่ยังคงนั่งกินเหล้าด้วยกันด้วยอาการติดลมต่อเนื่อง
“เฮ้ยๆ งั้นวันนี้ก็นั่งยันเช้าเลยดิวะ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับก็ได้ พรุ่งนี้วันเสาร์นะเว้ย” เสียงอมแหลมแว่วมาอย่างแผ่วเบา ขณะที่ตัวคนพูดแทบจะไม่มีแรงยกแก้วเหล้าเสียแล้ว…
“ดีเหมือนกันว่ะมึง ไปตอนนี้ มึงก็ขับรถไม่ได้หรอกไอ้มิว กูไม่อยากไปอยู่กับคุณทวดกูว่ะ” บอยบ่นพึมพำเบาๆ เปลือกตายังคงปิดสนิทลืมไม่ขึ้น มือหนายังจับแก้วเหล้าไว้แน่น
ทางด้านเจ้าของร้านในตอนนี้ฟุบหลับคาโต๊ะอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น ประจวบเหมาะกับวันนี้แฟนหนุ่มซึ่งเป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบันเกิดติดไซต์งานที่ต่างจังหวัด ทำให้เจ้าตัวต้องอยู่ดูร้านเพียงคนเดียว
“เมาๆๆๆ แป้ด… เมาๆๆๆ แป้ด…”
…………………………………………………………………………..
ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง
ทั้งห้าสาวต่างเข้ามารวมตัวกันในห้องของโบกับอิ๋วหลังจากเดินทางกลับมาถึงไม่นานนัก สภาพของแต่ละคนในตอนนี้ล้วนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ยังอยากจะมารวมตัวกันเม้าท์มากกว่า ขณะที่ผู้จัดการวงสาวสวยเลือกที่จะปลีกตัวเข้าไปนอนพักผ่อนเลย…
“เสียงเค้าแห้งหมดเลยอ่า” คนตัวเล็กบ่นเสียงแหบแห้งพลางค่อยๆ หย่อนตัวลงบนเตียงนุ่มๆ
“หูย แค่นี้ทำเป็นบ่น เค้าไม่เหนื่อยกว่าเหรอ ใช้ทั้งแขนทั้งขาเลยน้า เนี่ยกล้ามแขนเค้าจะขึ้นแล้วเนี่ย” น้ำฝนเปรยๆ ขึ้นมาพลางลูบๆ ไปตามท่อนแขนผอมๆ ที่ตอนนี้เริ่มมีกล้ามเนื้อมากขึ้นหลังจากใช้แรงตีกลองมาตลอด
“โหย บ่นจังเลยน้าสองคนนี้ เค้าเล่นเบสแทบแย่ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ชิ” ลูกตาลได้ทีแกล้งพูดเสียงสะบัดใส่เพื่อนทั้งสองบ้าง “ยัยโบยะ ยิ่งโตยิ่งขี้บ่นนะเนี่ย หรือว่า… กำลังแอบคิดถึงใครอยู่เปล่า คริๆ” ว่าแล้วก็แกล้งพูดจี้จุดต่อ และก็ได้ผลเมื่อคนที่ถูกจี้จุดถึงกับหน้าแดงขึ้นมา
“นี่ยัยลูกตาล ติดนิสัยขี้แกล้งมาจากนายต้นหรือไงเนี่ยห๊า” ว่าเสียงขุ่นใส่เพื่อนสาวพลางส่งค้อนวงใหญ่ให้อีกหนึ่งที่
“แบร่…” ลูกตาลแลบลิ้นหลอกใส่โบอย่างขี้เล่น หน้าทะเล้นๆ ของหญิงสาวยิ่งทำให้คนถูกล้อยิ่งขุ่นเคืองไปกันใหญ่ แต่ก็เหมือนมีระฆังช่วยชีวิต เมื่อ…
“นี่ๆ พอกันเลยย่ะ ทั้งคู่อ่ะ ยัยลูกตาลก็ชอบแกล้งเพื่อนจังเลยนะ เมื่อก่อนไม่เคยเป็นเลย เดี๋ยวนี้ติดนิสัยนายต้นมาแล้วสิ คริๆ”
แก้มลุกขึ้นปรามหลังจากเห็นสองคนนี้เริ่มมีทีท่าจะทะเลาะกัน ขณะที่อิ๋วไม่พูดอะไรนอกจากนั่งยิ้มอย่างเดียว ส่วนอีกสองคนที่เพิ่งโดนต่อว่าต่างออกอาการเซ็งให้เห็นไปตามๆ กัน
“ว่าไปก็อิจฉาพวกแกเหมือนกันนะ มีคนให้คิดถึงด้วย เค้านี่สิ ไม่มีเลย” น้ำฝนเปรยขึ้นมา พลางทอดสายตามองไปยังเพื่อนสาวทั้งสี่ด้วยความรู้สึกอิจฉาเล็กๆ
“ก็แกเลือกมากนี่นา คนโน้นก็ไม่เอา คนนี้ก็ไม่เอา แล้วเมื่อใหร่แกจะมีแฟนล่ะหืม”
อิ๋วเริ่มมีบทพูดขึ้นมาบ้างหลังจากนั้นเงียบอยู่นาน
“ก็ไม่รู้สิ ฉันว่าถ้ามันไม่ใช่ ฉันก็ไม่คบให้เสียเวลาหรอก” คนโดนบ่นยังคงวางฟอร์ม ทั้งที่ในใจลึกๆ แอบโหยหาอยู่ตลอด
ประเด็นเรื่องความโสดของน้ำฝนกลายเป็นประเด็นสนทนาหลักขึ้นมาทันที แม้แต่โบกับลูกตาลที่แทบจะกัดกันยังต้องพักรบชั่วคราว และหันมาให้ความสนใจกับเรื่องของน้ำฝนแทน
“แกนี่จริงๆ เลยนะ เลือกมากอย่างนี้ ระวังขึ้นคานนะจ๊ะ” เสียงหวานแกล้งพูดแหย่เพื่อนสาวขึ้นมา ดวงตาคู่สวยทอดมองไปยังใบหน้าจิ้มลิ้มของเพื่อนสาวอย่างขี้เล่น
“ฉันไม่แคร์หรอกย่ะ” น้ำฝนว่าเสียงสะบัดใส่พร้อมกับเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่แคร์สื่อ “ถ้ามันไม่ใช่ ฉันจะคบให้เสียเวลาทำไมล่ะยะ” ว่าเสียงขึ้นจมูกย้อนถามเพื่อนสาวทั้งสี่คนกลับไป
“ก็แล้วแต่แกละกัน เจ้าประคู้ณ ถ้ายัยน้ำฝนมีแฟนเมื่อไหร่นะ ฉันจะวิ่งแก้บนรอบตึกเพชรหนึ่งรอบเลยคอยดูสิ” ลูกตาลพนมมือท่วมหัวพร้อมกับสาบานอย่างทีเล่นทีจริง แต่ว่า…
“นี่ จะบ้าเหรอยัยลูกตาล ไปบนอะไรบ้าๆ แบบนั้น เดี๋ยวก็ซวยแย่หรอก” แก้มร้องดุขึ้น ดวงตากลมโตเบิกโพลงขึ้นมองดุใส่ลูกตาลที่กำลังยกมือพนมอยู่ แต่จู่ๆ มือเรียวเล็กของอิ๋วเอื้อมไปกดมือของลูกตาลลงพลางทอดมองลอดแว่นอย่างดุๆ ใส่อีกคนหนึ่ง
“นี่ยัยลูกตาล อย่าสาบานอะไรโง่ๆ แบบนี้สิ รู้ทั้งรู้อยู่ ยัยน้ำฝนมันขี้อายจะตาย คริๆ”
<<ชิ้ง…>>
น้ำเสียงอันอ่อนโยนเนิบนาบไม่เข้ากับแววตาอันดุดันของอิ๋วที่กำลังปรามลูกตาลแม้แต่น้อย แต่แอบกระทบชิ่งไปยังน้ำฝน ที่ตอนนี้เกิดอาการหน้าชาดิกขึ้นมากะทันหัน หัวใจเต้นแรงถี่ขึ้นเรื่อยๆ จะพูดก็พูดไม่ออก ได้แต่ส่งสายตาเท่านั้น
“คริๆ ยัยน้ำฝนหน้าเสียเลยล่ะตัวเธอ”
“นั่นสิ ลืมไปได้ไงน้า ยัยน้ำฝนขี้อายไม่ใช่เหรอ คริๆ” แก้มได้ทีหัวเราะผสมโรงเข้าไปใหญ่ และนั่น ยิ่งทำให้น้ำฝนหน้าแดงเข้าไปใหญ่เมื่อถูกจี้จุดมากขึ้นเรื่อยๆ
“นี่ พอได้แล้วไอ้เพื่อนบ้า แหม พอรู้จุดหน่อยนี่ล้อใหญ่เลยน้า” น้ำฝนแหวใส่เพื่อนๆ ที่กำลังหัวเราะ แววตาคู่สวยทอดมองเพื่อนๆ อย่างคาดโทษ ยิ่งในใจลึกๆ อยากจะโหยหาใครสักคนที่มาอยู่เคียงข้างแต่ถูกปิดกั้นไว้ด้วยความขี้อายของตัวเอง
“น้ำฝนจ๊ะ ถ้าแกไม่ขี้อาย เค้าว่าแกมีแฟนไปนานแล้วล่ะย่ะ” อิ๋วได้ทีพูดเชิงเยาะเย้ยใส่
“นี่ ยัยเทวีสี่ตา แกเงียบก็ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้หรอกย่ะ เชอะ” ไม่พูดเปล่า ยังมองตาจิกใส่เพื่อนสาวอย่างขุ่นเคืองเล็กๆ แต่อิ๋วยังคงแสดงท่าทางล้อเลียนอย่างสนุกสนาน จนกระทั่ง
<ปุ้ก>
“พอได้แล้วย่ะ”
ไม่พูดเปล่า ยังปาหมอนใส่คนที่เพิ่งพูดจี้จุดไปอีก และเป้าหมายกลับหลบไม่ทันจึงโดนเข้าเต็มๆ จนกลายเป็นสงครามหมอนขนาดย่อมๆ ในที่สุด เมื่ออีกสามสาวที่เหลือต่างหยิบหมอนมาคนละใบและปาใส่กัน บ้างก็เข้าไปฟาดหมอนกันอย่างสนุกสนาน ย้อนให้นึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยอยู่ด้วยกันสมัย ม.ต้น กับความผูกพันที่มีมาอย่างยาวนาน จนน้ำฝนต้องปลีกตัวออกจากกลุ่มในตอน ม.ปลายเนื่องจากต้องย้ายโรงเรียนตามครอบครัวไป แต่ความเป็นเพื่อน ยังคงแนบแนนตราตรึงอยู่ในความทรงจำอยู่ตลอด จนมาถึงวันนี้ วันที่น้ำฝนได้กลับเข้ามารวมตัวกับเพื่อนกลุ่มเดิมอีกครั้ง ถึงแม้จะมาเป็นแค่มือกลองคั่นเวลาระหว่างตัวจริงไปเรียนต่อที่อเมริกาก็ตาม…
“นี่ๆ พวกแก นอนเหอะ จะตีหนึ่งแล้วน้า พรุ่งนี้มีไปเล่นที่ประตูท่าแพอีกอ่า”
โบหันมาปรามเพื่อนๆ พลางหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู และก็ได้ผลเมื่อสงครามหมอนหยุดชะงักลง แต่ค่ำคืนนี้ ทั้งห้าสาวเลือกที่จะนอนรวมอยู่ห้องเดียวกัน จึงทำให้ค่ำคืนนี้ต้องนอนเบียดเสียดกันบนเตียงเดี่ยวสองเตียงที่ถูกต่อให้ติดกัน…
วันหนึ่ง ณ ร้านกาแฟหลังย่อมๆ หน้าบ้านของมิว
“เฮ้ย พวกมึงจะว่าไงวะ ถ้าจะไปออร้านอื่นบ้าง”
มิวเอ่ยปากถามเพื่อนๆ ในวงที่ในตอนนี้ต่างคนต่างอิริยาบถในบริเวณมุมหนึ่งของร้าน
“ก็ดีว่ะมึง ปาร์คกิ้งทอยก็โดนเด้งไปทีแล้ว มีที่สเว็ตร็อกที่เดียว ก็ไม่รู้จะไปออไหนแล้วว่ะ”
บอยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกึ่งประชดเล็กๆ หลังจากที่ทั้งวงโดนเด้งจากร้านปาร์คกิ้งทอยตั้งแต่เปิดเทอม
“แล้วจะไปออที่ไหนวะ” โบ๊ทเอ่ยถามขึ้นมา ใบหน้าหล่อเข้มเริ่มปั้นสีหน้าสงสัย
“เออน่า มันต้องมีร้านสิ ก็ออแถวๆ บ้านนี่แหละว่ะ”
“เฮ้ย แบบนี้ก็ดีนะเว้ยเล่นแถวบ้าน กลับมาไม่ต้องไปไหนไกล สบายออก”
เสียงอมแหลมกวนๆ ของต้นเริ่มมีบทมากขึ้นหลังจากนั่งฟังอยู่นาน พร้อมๆ กับจิบกาแฟไปอย่างสบายอารมณ์ ดวงตาตี่ๆ ทอดมองเพื่อนทั้งสามอย่างครุ่นคิดพินิจพิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้
“งั้นไปออร้านสกายบาร์กันไหมล่ะมึง เนี่ยๆ เลยบ้านกูไปสองซอยเอง น่าจะได้อยู่แล้วล่ะพวกเรา”
“เดี๋ยวๆ ไอ้มิว แล้วร้านที่มึงจะชวนพวกกูไปออ มันเล่นแนวไหนวะ” โบ๊ทถามแย้งขึ้นมา
“ก็เล่นเพลงตลาดนี่แหละเว้ย พวกเราก็มีเพลงเก็บเยอะ กูว่าไม่ยากหรอกว่ะ”
บอยลุกขึ้นเหยียดตัวโยกไปมาก่อนจะกลับมาหย่อนตัวนั่งลงเหมือนเดิมขณะที่โบ๊ทลุกขึ้นเดินไปเดินมา คิ้วดกเข้มขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด ส่วนต้นยังคงนั่งกระดิกเท้าผ่อนคลายสบายอารมณ์อยู่กับเก้าอี้ตัวเดิม
“กูว่า ไปออเลยดีกว่าว่ะ โอกาสมาแล้ว ต้องรีบคว้าแล้วเว้ย”
เป็นอันตกลงกัน ทั้งสี่หนุ่มต่างยกแก้วกาแฟในมือขึ้นมาชนกันก่อนจะบรรจงกระดกจนหมดแก้ว
“เฮ้ย จะปล่อยเวลาให้ว่างทำไมล่ะ งั้นไปซ้อมกันสิวะ คืนนี้ไปออเลย ฮ่าๆ”
ทั้งสี่หนุ่มต่างเห็นดีเห็นงามกับข้อเสนอของมิว ก่อนจะพากันลุกเดินเข้าไปเอาเครื่องดนตรีส่วนตัวในบ้าน และพากันออกไปยังห้องซ้อมในเวลาต่อมา
รถยนต์ฟอร์จูนเนอร์สีดำของมิวเคลื่อนตัวมาถึงที่หมายในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้น สี่หนุ่มพาราเซตามอลพากันเดินลงมาพร้อมกับเครื่องมือส่วนตัวและพากันเดินเข้าไปข้างในห้อง ซ้อมที่จะใช้ซ้อมในวันนี้
“สองชั่วโมงครับพี่”
“ทั้งหมด 320 บาทครับ”
“เฮ้ยๆ พวกมึง คนละ 80 เว้ย”
โบ๊ท ต้น บอยต่างควักเงินออกมารวมๆ กันและส่งให้มิว หลังจากจ่ายเงินค่าห้องซ้อมเสร็จ ก็เป็นเวลาที่ทั้งสี่จะได้ซ้อมดนตรีด้วยกันอย่างจริงๆ จังๆ เสียที หลังจากนั้นทั้งสี่พากันเดินเข้าไปในตัวห้องซ้อมดนตรี ที่ตอนนี้เครื่องดนตรีต่างๆ ถูกเซตอัพรอให้บริการไว้เรียบร้อยแล้ว
มือเบสหนุ่มหน้าตี๋ไม่รอช้าที่จะเดินตรงไปยังตู้เบส Ampeg ของห้องซ้อม ก่อนจะหันไปหยิบกีตาร์เบส Fender Precision ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเบสตัวหลักไปแล้ว ขณะที่บอยกำลังง่วนอยู่กับการใส่กระเดื่องของตัวเองเข้ากับกลองชุด Tama ของห้องซ้อมอย่างขะมักเขม้น อีกด้านหนึ่ง มือกีตาร์ทั้งสองต่างง่วนกับการต่อบอร์ดเอฟเฟกต์จนกระทั่งทุกคนเข้าประจำที่หมดเรียบร้อยแล้ว
{{มาเว้ย พร้อมแล้ว ลุยเลย}}
บอยเคาะไฮแฮทนับเข้าเพลงประจำวงอันเป็นเพลงวอร์มเครื่องในครั้งนี้ ริฟฟ์กีตาร์ฝีมือมิวขึ้นมาเดี่ยวๆ ก่อนจะตามด้วยไลน์เบสที่วิ่งคู่มากับไลน์กลอง ก่อนส่งเข้าสู่ท่อนโซโล่อินโทรในรอบแรก และถัดจากนั้น เสียงร้องอันทุ้มอบอุ่นของมิวก็เริ่มเล่าเรื่องราวของบทเพลง ขณะที่โบ๊ทเล่นริฟฟ์รองรับคลอไปกับไลน์เบสและกลองที่วิ่งควบตะบึงอยู่ตลอด
หลังจากจบเพลงประจำวงแล้ว อินโทรเพลงใหม่ก็วิ่งสวนขึ้นมาด้วยจังหวะกลองในสไตล์ดิสโก้เดี่ยวๆ คลอไปกับเสียงประกาศตลกๆ จากคนที่กำลังตีกลองอยู่ ก่อนส่งให้ไลน์เบสที่ชวนให้นึกถึงเพลง Billy Jean จากฝีมือต้นเริ่มเฉิดฉายขึ้นมา เสริมด้วยเสียงสตรัมคอร์ดสไตล์ดิสโก้ฟังก์ของโบ๊ท ก่อนโยนเข้าสู่เรื่องราวของเพลงๆ นี้
{{ท่องไปในดวงดาว ก้าวลงบนดวงจันทร์ เมื่อเราได้พบกัน… ด้วยยานของเวลา….}}
…………………………………………………………..
{{จอดยานบนดวงดาว สร้างข่าวจากดาวเทียมว่าโลกเรากำลังเตรียม… พาคนขึ้นตามมา… มาซิ… มาพบกับฉันบนดวงจันทร์… สร้างฝัน… ของเธอกับฉันบนดวงดาว…}}
บนเวทีขนาดย่อมๆ ภายในผับที่มีนามว่าสกายบาร์ แสงไฟในผับค่อนข้างมืด มีเพียงแต่แสงไฟสปอตไลท์สาดส่องเป็นเอฟเฟกต์วิบวับๆ เท่านั้น ผู้คนที่เข้ามาเที่ยวในร้านต่างคนต่างอิริยาบถกันไป บ้างก็นั่งดื่มเฉยๆ บ้างก็ลุกขึ้นมาเต้นบ้าง สุดมุมร้านด้านหนึ่งบริเวณเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม หญิงสาววัยยี่สิบกลางๆ ในชุดเดรสสีฉูดฉาด กำลังนั่งดูวงดนตรีหน้าใหม่ที่มาออดิชั่นในคืนนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ นิ้วมือเล็กๆ เคาะตามจังหวะกลองไปกับรองเท้าบูทปลายแหลมภายใต้กางเกงยีนขาม้าที่เจ้าตัวสวมอยู่ก็เคาะไปด้วยกัน พร้อมๆ กับใบหูเล็กขาวสะอาดที่กำลังซึมซับเสียงเพลงที่บรรเลงอยู่
อีกด้านหนึ่งบนเวที สี่หนุ่มพาราเซตามอลยังคงบรรเลงเพลงออดิชั่นอย่างต่อเนื่อง กับลีลาท่าทางอันชวนให้ทุกคนต่างมีอารมณ์ร่วมไปด้วยตลอดทั้งเพลงเร็วและเพลงช้า จนมาถึงเพลงสุดท้ายของชุดออดิชั่นในค่ำคืนนี้ กับบทเพลงที่ทุกคนคุ้นเคย ไลน์กลองในจังหวะมีเดียมดิสโก้ กับไลน์เบสอันคุ้นเคยจากฝีมือของต้น ที่ขับออกมาจาก Pedulla Rapture RB5 เดินเกาะไปด้วยกัน ท่ามกลางเสียงเฮจากแขกที่มาเที่ยวในค่ำคืนนี้
{{หยุด หยุด ชีวิต หยุดกับคนนี้ แม้ว่าใครจะดีสักแค่ไหน… หยุด หยุด ความรัก ทั้งหัวใจ จะหยุดอยู่กับเธอ…คนเดียว…}}
มิวร้องไปชวนให้แขกโบกไม้โบกมือตามไปตลอดเพลง พร้อมกับส่งสายตาให้กับแขกที่มาเที่ยวเป็นระยะๆ ส่วนเพื่อนนักดนตรีอีกสามต่างออกลีลาเอนเตอร์เทนผู้ชมไปตามสไตล์ของตัวเอง โดยเฉพาะต้น กับลีลาท่าทางอันยียวนตลอดเวลาที่กระตุกเบส กับลูกสแลปชวนตื่นเต้นเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้พอสมควร แต่คนที่เรียกเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ได้มากที่สุดเป็นใครไม่ได้นอกจากบอย มือกลองหนุ่มหล่อจอมลีลาประจำวง กับท่วงท่าเวลาตีกลองที่เรียกเสียงกรี๊ดได้ตลอดเวลา
{{ช่วยกันร้องหน่อยนะครับ วู้!}}
[[หยุด หยุด ชีวิต หยุดกับคนนี้ แม้ว่าใครจะดีสักแค่ไหน… หยุด หยุด ความรัก ทั้งหัวใจ จะหยุดอยู่กับเธอ…คนเดียว…]]
เมื่อสิ้นเสียงฟาดแฉของบอย เสียงปรบมือ เป่าปาก โห่ฮาจากผู้ชมก็ดังกระหึ่มขึ้นมา ทำเอาทั้งสี่หนุ่มต่างออกอาการปลื้มเป็นพิเศษ ก่อนหันกลับไปเก็บเครื่องดนตรีส่วนตัวและพากันเดินลงจากเวทีไป ท่ามกลางเสียงเพลงที่ดีเจ.ในร้านเปิดขึ้นมา
“น้องๆ คะ เดี๋ยวพี่มิ้งค์ขอคุยด้วยหน่อยค่ะ”
เสียงใสๆ ของหญิงสาววัยยี่สิบกลางๆ ผู้เป็นเจ้าของร้านร้องเรียกทั้งสี่ พลางกวักมือชวนให้ไปยังบริเวณหลังร้าน ทั้งสี่หนุ่มเห็นดังนั้นจึงไม่รอช้าที่จะเดินตามหญิงสาวเข้าไปยังห้องๆ หนึ่งบริเวณหลังร้าน ก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของทั้งสี่หนุ่มจะค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเขื่อง ก่อนที่เจ้าของร้านจะเริ่มคอมเมนต์ในเวลาต่อมา
“คือเท่าที่พี่ดูๆ แล้วนะคะ เอิ่ม… น้องๆ เอาคนดูอยู่ทุกเพลงเลยค่ะ แหะๆ”
“พี่มิ้งค์พูดเล่นรึเปล่าครับเนี่ย ฮ่าๆ” มิวได้ทีหยอกเย้าผู้เป็นรุ่นพี่กลับไปด้วยความสนิทสนม
หญิงสาวยิ้มขึ้นมาพร้อมกับส่งสายตาขี้เล่นส่งมายังคนที่เพิ่งแหย่ไปเมื่อสักครู่ ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ทอดมองไปยังอีกสามหนุ่มที่เหลือ
“นี่ น้องมิว พี่มิ้งค์พูดจริงนะคะ” ว่าเสียงเขียวใส่คนที่เพิ่งเบรกไป ก่อนหันไปพูดกับอีกสามหนุ่มที่เหลือ “เท่าที่พี่ดูมา พวกน้องเอาคนดูได้อยู่มากเลย แต่ล่ะเพลงก็เล่นกันไม่น่าเบื่อ พี่ว่าน้องๆ น่าจะเรียกแขกได้เลยล่ะ”
“จริงเหรอครับพี่” บอยถามสวนขึ้นมาด้วยท่าทางตื่นเต้น ขณะที่ดวงตาคู่สวยปรายตามองมือกลองหนุ่มเล็กน้อย
“จริงสิจ๊ะ โดยเฉพาะน้อง… เอ่อ… น้อง…”
“เอ่อ…อา… อื๊อ… อ๊า…” บอยได้ทีแกล้งทำเสียงล้อเลียนอาการติดอ่างของหญิงสาวเจ้าของร้าน ทำเอาอีกสามคนที่เหลือพร้อมใจกันหัวเราะขึ้นมา ขณะที่คนถูกล้อหน้าแดงด้วยความเขินอายหลังจากโดนล้อเลียนเรื่องติดอ่างเข้า
“พี่มิ้งค์ ไอ้นี่มันชื่อไอ้บอยครับ ฮ่าๆ” มิวอาสาบอกชื่อแทนเสียเลย
“เออ รู้แล้วย่ะ” ว่าแล้วทำตาดุใส่คนที่เพิ่งบอกชื่อไปเมื่อกี้ ก่อนจะหันไปพูดกับบอยต่อ “น้องบอยคะ พี่ว่าน้องบอยน่ะเรียกแขกได้เยอะเลยนะคะโดยเฉพาะสาวๆ น่ะ ฮิๆ”
“โด่ พี่มิ้งค์ แล้วผมล่ะครับพี่ ฮ่าๆ” มิวยังคงกวนประสาทรุ่นพี่ไม่หยุด จนสาวเจ้าต้องหันมาส่งค้อนวงใหญ่ให้เป็นระยะๆ
“น้องมิวที่จริงหล่อนะ แต่ปากเสียไปหน่อยนึง คริๆ”
“เอ พี่มิ้งค์ครับ แล้วตกลงพี่มิ้งค์จะรับพวกผมเล่นที่นี่เลยไหมครับ” เสียงแหลมๆ ของต้นตัดบทขึ้นมาทันที
“อืม… งั้นพี่รับเลยละกันจ้ะ”
[[เฮ]] ทั้งสี่หนุ่มต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นกระโดดโลดเต้นกอดคอกันด้วยท่าทางดีใจเต็มที่เมื่อรู้ว่าจะได้เล่นร้านนี้
“โอเค.จ้ะๆ น้องๆ นั่งลงก่อนนะเดี๋ยวพี่จะคุยอะไรหน่อยค่ะ”
เมื่อทั้งสี่หนุ่มสงบลงแล้ว มิ้งค์จึงเริ่มพูดคุยเรื่องเวลาเล่นและค่าจ้างขึ้นมาทันที
“อืม งั้นน้องๆ มาเล่นวันไหนได้บ้างคะ”
ทั้งสี่หนุ่มต่างหันไปปรึกษากันอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะโยนให้โบ๊ทรับหน้าที่เป็นผู้ตอบคำถาม
“ก็ คืนวันศุกร์ครับพี่”
“อืม งั้นพี่ขอสองคืนจ้ะ”
“โธ่พี่ ก็ไม่บอกให้หมด” โบ๊ทโวยขึ้นมาพลางตบที่ขาตัวเองดังเปรี้ยง “งั้นพฤหัสกับศุกร์ครับพี่ ตามนี้เลย พวกผมไม่มีเรียนวันศุกร์พอดีด้วย”
“โอเค.จ้า แล้วค่าตัวนี่ น้องๆ จะว่าไงถ้าพี่ให้คนละเจ็ดร้อย กับค่าน้ำมันต่างหาก”
มิว โบ๊ท ต้น บอย ต่างหันมาพูดคุยปรึกษากันอีกครั้งหนึ่ง “เฮ้ย เจ็ดร้อยกับค่าน้ำมันต่างหากมันก็คุ้มนะเว้ย ปกติสแตนดาร์ดมันห้าร้อย แต่นี่พวกเราได้เยอะกว่าปกติแล้วนะเว้ย”
“เออนั่นสิวะ กูคนนึงที่เอาล่ะ” โบ๊ทกล่าวสรุปแบบไม่ลังเล ขณะที่อีกสองหนุ่มที่เหลือต่างลงความเห็นตรงกัน เป็นอันยุติเรื่องค่าตัวและเวลาเล่นได้
“เคจ้ะ งั้น พฤหัสหน้ามาเล่นที่นี่ได้เลยนะคะ ไหนๆ วันนี้น้องก็มาออกันแล้ว พี่ให้ค่าตัวซะเลยล่ะกัน คนละเจ็ดร้อยจ้ะ ค่าน้ำมันค่อยเอาพฤหัสหน้านะจ๊ะ”
พูดจบ แบงก์ห้าร้อยกับแบงก์ร้อยจำนวนหนึ่งถูกหยิบออกจากกระเป๋าและจ่ายเป็นค่าตัวให้ทั้งสี่หนุ่ม หลังจากที่จ่ายค่าตัวเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างล่ำลาเจ้าของร้านก่อนจะเดินทางกลับ แต่ว่า…
“น้องๆ จะนั่งต่อก็ได้นะ คืนนี้พี่เลี้ยงเหล้าจ้า”
ทั้งสี่ต่างหยุดชะงักและหันกลับมา ก่อนจะพากันไปยึดพื้นที่มุมหนึ่งในร้าน และแล้ว เหล้าชุดใหญ่ถูกนำมาเสิร์ฟยังโต๊ะที่สี่หนุ่มกับอีกหนึ่งสาวนั่ง และแล้ว ก็เป็นเวลาแห่งการสังสรรค์ระหว่างวงดนตรีวงใหม่กับเจ้าของร้านและระหว่างพี่กับน้องไปด้วยในตัว
เหล้า Black Label ถูกรินลงในแก้วด้วยฝีมือพนักงานเสิร์ฟสาว ก่อนแก้วเหล้าทั้งห้าจะถูกเสิร์ฟไปยังผู้ที่นั่งโต๊ะอยู่ ระหว่างนั้นมิวถือโอกาสชวนเพื่อนรุ่นพี่ร่วมคณะคุยไปด้วย
“ว่าไป โลกมันก็กลมนะพี่ ไม่คิดเลยว่าร้านที่พวกผมมาออ จะเป็นร้านของพี่เองเนี่ย”
ใบหน้าสวยพริ้งของหญิงสาวเผยรอยยิ้มขึ้นมา พลางยกแก้วเหล้าขึ้นจิบเล็กน้อย “หึๆ งงล่ะสิ อ่ะ ร้านนี้พี่กับแฟนพี่หุ้นกันทำน่ะ เพิ่งเปิดมาไม่ถึงปีเอง แต่แขกเข้าเยอะนะ คริๆ”
“เอ้อ ว่าแต่พี่มิ้งค์รู้จักกับไอ้มิวได้ไงล่ะครับเนี่ย” ต้นถือโอกาสถามขึ้นมา
“อ๋อ คืองี้ ตอนที่มีรับน้องน่ะ พี่ก็เข้าไปด้วยในฐานะรุ่นพี่ที่จบไปแล้วน่ะ แล้วบังเอิญ เจอน้องมิวนี่แหละ แล้วทีนี้พี่รู้สึกถูกชะตากับมิวเค้า พี่ก็เลยแกล้งเขาหนักเลย พอแกล้งกันไปแกล้งกันมา มันก็สนิทกันอย่างที่น้องต้นเห็นนี่แหละจ้ะ”
“ไอ้ต้น ไอ้โบ๊ท ไอ้บอย วันไหนที่พี่มิ้งค์ไปคณะนะเว้ย วันนั้นน่ะ กูซวยทั้งวันเลยล่ะ”
[[ฮ่าๆ]] เสียงหัวเราะดังกระหึ่มลั่นโต๊ะ พร้อมๆ กับแก้วเหล้าทั้งห้าใบถูกชูขึ้นและชนกัน [[กริ๊ก]] ก่อนต่างคนต่างดื่มเหล้าจนหมดแก้วในเวลาต่อมา
“เอ้อพี่มิ้งค์รู้ยัง ไอ้มิวมันเป็นแฟนกับนักร้องนำวงแองเจิ้ลฟอร์ซนะพี่ ฮ่าๆ” โบ๊ทเริ่มจุดประเด็นขึ้นมา ท่ามกลางเสียงเฮของเพื่อนอีกสองคนที่เหลือยกเว้นคนที่ถูกเอ่ยชื่อคนเดียว ขณะที่รุ่นพี่สาวเริ่มมีท่าทีสนอกสนใจขึ้นมา
“หา! จริงสิ ไม่เคยบอกกันเลย…”
ไม่พูดเปล่า มือเล็กๆ ยังหนีบเนื้อแขนกำยำของรุ่นน้องตัวดีอย่างหมั่นไส้ จนคนถูกหนีบถึงกับเจ็บร้อนวูบวาบไปหมด
“เฮ้ย ไอ้ต้น ไอ้ปากเสีย เดี๋ยวเหอะมึง”
ขณะที่เหล้าพร่องลงไปเรื่อยๆ สวนทางกับบรรดาเรื่องราวต่างๆ ที่ทั้งสี่หนุ่มต่างงัดมาเผาใส่กันและกันต่อหน้าเจ้าของร้านสาวสวย ยิ่งทำให้สาวเจ้ามั่นใจกับวงดนตรีวงใหม่ที่จะมาเล่นประจำที่ร้านนี้มากขึ้นเมื่อได้เห็นความสนิทสนมของบรรดารุ่นน้องกลุ่มนี้ กับยามราตรีที่ไม่มีทีท่าว่าจะหลับใหลลงไปง่ายๆ และยิ่งพวกเขาเมาเท่าไหร่ สารพัดเรื่องราวต่างๆ ยิ่งพรั่งพรูออกมามากขึ้นเท่านั้น…
……………………………………………………………………
ณ ผับแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่
{{สวัสดีชาวเจียงใหม่ทุกคนเจ้า…}}
เสียงหวานๆ ของนักร้องสาวร่างเล็กเอ่ยทักทายแฟนเพลงที่เข้ามาชมจนแน่นจนสถานที่แสดงดูแคบลงไปถนัดตา บรรดาน้ำทองแดง น้ำทองเหลืองถูกทยอยเสิร์ฟให้กับแขกที่มาชมแบบไม่อั้น ขณะที่บนเวทีขนาดย่อมๆ อัดแน่นไปด้วยบรรดาตู้แอมป์ต่างๆ และกลองชุดอีกหนึ่งชุด จนทั้งสี่สาวแถวหน้าแทบจะไม่มีที่ยืน ลูกตาลต้องระเห็จไปยืนเล่นเบสอยู่ข้างๆ แอมป์ ปล่อยให้แก้มและอิ๋วยืนประจันหน้ากับคนดูกับโบแทน
{{นี่เป็นครั้งแรกนะคะที่พวกเราแองเจิ้ลฟอร์ซได้มาเยือนเมืองเจียงใหม่ ตอนแรกพวกเราตื่นเต้นมากเลยนะคะ และยิ่งตื่นเต้นมาอีกเมื่อได้เห็นพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนรอต้อนรับพวกเรามากขนาดนี้ พวกเราดีใจมากเลยค่า}}
[[เฮ]]
{{แก้ม จะพูดอะไรหน่อยไหม}} โบสบโอกาสโยนให้เพื่อนสาวได้ทักทายแฟนเพลงบ้าง
{{คริๆ ก็ ไม่รู้จะพูดอะไรอ่ะค่ะ คือแก้มแค่อยากจะบอกว่า แก้มดีใจนะคะที่ทุกๆ คนให้การต้อนรับและติดตามผลงานพวกเราเป็นอย่างดี ขอบคุณจริงๆ ค่า}}
เสียงเล็กๆ ใสๆ ของมือกีตาร์สาวร่างบอบบางทำเอาผู้ชมยิ้มไปตามๆ กัน พร้อมกับเสียงเฮจนดังกระหึ่มไปหมด หลังจากนั้น น้ำฝนเริ่มเคาะไม้กลองเข้าอินโทรเพลงแรก และเริ่มด้วยเสียงซินธ์ต่างๆ จากบรรดา Gadget ของทั้งห้าสาวที่สอดประสานเป็นทำนองดนตรีน่ารักๆ โอบอุ้มเสียงร้องหวานๆ ของโบกับเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ของวัยรุ่นในบทเพลง “จักรวาลวิทยา II” ซิงเกิลแรกที่ทางวงปล่อยออกมา ก่อนที่ทุกอย่างจะพลิกผันอย่างรวดเร็วเมื่อดนตรีป๊อปใสๆ ถูกแทนที่ด้วยดนตรีฮาร์ดร็อกหนักๆ กำแพงเสียงกีตาร์ขนาดมหึมาควบตะบึงไปกับไลน์เบสที่วิ่งจนแทบจะเป็นเส้นตรงไปกับไลน์กลองที่ถูกเร่งให้กระฉับกระเฉงมากขึ้น และไลน์โซโล่อันพลิ้วไหวรวดเร็วก็เริ่มคำรามขึ้น ขณะที่โบเริ่มตะเบ็งเสียงแข่งกับกีตาร์อย่างดุเดือดเมามันจนจบเพลงในที่สุด…
[[เฮ…]]
{{ขอบคุณมากค่า}}
เสียงหวานเอ่ยขอบคุณ พร้อมกับส่งสายตาและรอยยิ้มอันละมุนละไมให้กับแฟนเพลงที่เข้ามาชมการแสดงในตอนนี้ และไม่ปล่อยให้เสียเวลา เพลงต่อไปกับดนตรีป๊อปร็อกใสๆ ในอัลบั้มไม่ว่าจะเป็นเพลงช้าหรือเพลงเร็วถูกนำออกมาเสิร์ฟแฟนเพลงชาวเชียงใหม่ทันที สลับกับการเอ็นเตอร์เทนคนดูของโบเป็นระยะๆ ตลอดเวลาการแสดง โบส่งสายตาให้กับผู้ชมทุกคนอยู่ตลอด เท่านั้นยังไม่พอ บรรดาเพลงของศิลปินคนอื่นๆ ที่ทั้งห้าสาวเอามาคัฟเวอร์ยังเรียกเสียงเฮจากผู้ชมได้เรื่อยๆ
[[เฮ…]]
{{เป็นไงบ้างคะเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคน สนุกกันไหมเอ่ย...}}
[[เฮ…]]
{{ถ้าเพื่อนๆ สนุกพวกเราก็ดีใจแล้วค่า มาถึงช่วงสุดท้ายแล้วนะคะ ว้า เสียดายจังเลย เวลาไม่น่าหมดเร็วเลย}}
โบพูดกับคนดูพลางส่งสายตาไปยังอิ๋ว มือกีตาร์สาวแว่นที่ยืนอยู่ข้างๆ
{{นั่นสิ ให้เวลาน้อยจังเลยอ่ะ เล่นไปไม่กี่เพลงเอง}}
{{เอาน่า ไม่เป็นไรนะคะ}} เสียงใสๆ ของแก้มแว่วขึ้นมา {{ยังไงเพลงสุดท้ายแล้ว ช่วยกันร้องด้วยกันนะค้า}}
ริฟฟ์กีตาร์อันคุ้นหูดังแว่วขึ้น อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ กับซิงเกิลที่สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเธอมากที่สุด “ดาวหาง”
{{โดดกันให้เต็มที่เลยนะค้า…}} เสียงโทนห้าวของอิ๋ว ที่ปกติจะไม่ค่อยพูดกับผู้ชมมากนักกล่าวเชิญชวนให้ผู้ชมกระโดดด้วยกันกับบทเพลงสนุกๆ เพลงนี้ ขณะที่โบฮัมทำนองท่อนคอรัสไปกระโดดไปอย่างเต็มที่ ทางด้านแก้มโยกตัวสับคอร์ดไปพร้อมๆ กับลูกตาล แม้แต่น้ำฝนที่นั่งอยู่หลังกลองยังออกลีลาท่าทางเต็มที่ กีตาร์ เบส กลองยังคงควบตะบึงให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยกันสมกับชื่อเพลง จนกระทั่ง…
{{ขอบคุณมากค่า}}
นักร้องสาวร่างเล็กกล่าวขอบคุณก่อนชวนเพื่อนสาวอีกสี่พร้อมใจกันถอนสายบัวขอบคุณผู้ชม ระหว่างนั้นแบ็กสเตจเดินขึ้นมาเก็บเครื่องดนตรีส่วนตัวของทั้งสี่สาว ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินลงจากเวทีไปในที่สุด ท่ามกลางเสียงกรี๊ดจากบรรดาสาวๆ ดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณร้าน และเวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาที รถตู้ของห้าสาวแองเจิ้ลฟอร์ซ ก็เคลื่อนตัวออกจากสถานที่แสดงในที่สุด…
…………………………………………………………………………
ร้านสกายบาร์
“เฮ้ย… ไอ้มิว มึงขับรถไหวรึเปล่าวะ” โบ๊ทเอ่ยปากถามขึ้นเมื่อเห็นสภาพของเพื่อนที่ตกอยู่ในสภาวะเมาจนคอพับไปแล้ว
“เอิ๊กซ์… ไหวสิวะ มึงดูตัวเองก่อนเถอะไอ้โบ๊ท มึงก็เมาไม่ต่างจากกูแหละเว้ย”
ทั้งสี่หนุ่มกับอีกหนึ่งสาวต่างตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่าเมาหนัก ร่างสูงใหญ่ของทั้งสี่หนุ่มต่างฟุบลงบนโต๊ะอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นได้ ขณะที่แขกในร้านต่างทยอยออกไปจนหมดพร้อมๆ กับปิดร้าน แต่เจ้าของร้านกับวงดนตรีหน้าใหม่ยังคงนั่งกินเหล้าด้วยกันด้วยอาการติดลมต่อเนื่อง
“เฮ้ยๆ งั้นวันนี้ก็นั่งยันเช้าเลยดิวะ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับก็ได้ พรุ่งนี้วันเสาร์นะเว้ย” เสียงอมแหลมแว่วมาอย่างแผ่วเบา ขณะที่ตัวคนพูดแทบจะไม่มีแรงยกแก้วเหล้าเสียแล้ว…
“ดีเหมือนกันว่ะมึง ไปตอนนี้ มึงก็ขับรถไม่ได้หรอกไอ้มิว กูไม่อยากไปอยู่กับคุณทวดกูว่ะ” บอยบ่นพึมพำเบาๆ เปลือกตายังคงปิดสนิทลืมไม่ขึ้น มือหนายังจับแก้วเหล้าไว้แน่น
ทางด้านเจ้าของร้านในตอนนี้ฟุบหลับคาโต๊ะอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น ประจวบเหมาะกับวันนี้แฟนหนุ่มซึ่งเป็นรุ่นพี่ร่วมสถาบันเกิดติดไซต์งานที่ต่างจังหวัด ทำให้เจ้าตัวต้องอยู่ดูร้านเพียงคนเดียว
“เมาๆๆๆ แป้ด… เมาๆๆๆ แป้ด…”
…………………………………………………………………………..
ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง
ทั้งห้าสาวต่างเข้ามารวมตัวกันในห้องของโบกับอิ๋วหลังจากเดินทางกลับมาถึงไม่นานนัก สภาพของแต่ละคนในตอนนี้ล้วนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ยังอยากจะมารวมตัวกันเม้าท์มากกว่า ขณะที่ผู้จัดการวงสาวสวยเลือกที่จะปลีกตัวเข้าไปนอนพักผ่อนเลย…
“เสียงเค้าแห้งหมดเลยอ่า” คนตัวเล็กบ่นเสียงแหบแห้งพลางค่อยๆ หย่อนตัวลงบนเตียงนุ่มๆ
“หูย แค่นี้ทำเป็นบ่น เค้าไม่เหนื่อยกว่าเหรอ ใช้ทั้งแขนทั้งขาเลยน้า เนี่ยกล้ามแขนเค้าจะขึ้นแล้วเนี่ย” น้ำฝนเปรยๆ ขึ้นมาพลางลูบๆ ไปตามท่อนแขนผอมๆ ที่ตอนนี้เริ่มมีกล้ามเนื้อมากขึ้นหลังจากใช้แรงตีกลองมาตลอด
“โหย บ่นจังเลยน้าสองคนนี้ เค้าเล่นเบสแทบแย่ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ชิ” ลูกตาลได้ทีแกล้งพูดเสียงสะบัดใส่เพื่อนทั้งสองบ้าง “ยัยโบยะ ยิ่งโตยิ่งขี้บ่นนะเนี่ย หรือว่า… กำลังแอบคิดถึงใครอยู่เปล่า คริๆ” ว่าแล้วก็แกล้งพูดจี้จุดต่อ และก็ได้ผลเมื่อคนที่ถูกจี้จุดถึงกับหน้าแดงขึ้นมา
“นี่ยัยลูกตาล ติดนิสัยขี้แกล้งมาจากนายต้นหรือไงเนี่ยห๊า” ว่าเสียงขุ่นใส่เพื่อนสาวพลางส่งค้อนวงใหญ่ให้อีกหนึ่งที่
“แบร่…” ลูกตาลแลบลิ้นหลอกใส่โบอย่างขี้เล่น หน้าทะเล้นๆ ของหญิงสาวยิ่งทำให้คนถูกล้อยิ่งขุ่นเคืองไปกันใหญ่ แต่ก็เหมือนมีระฆังช่วยชีวิต เมื่อ…
“นี่ๆ พอกันเลยย่ะ ทั้งคู่อ่ะ ยัยลูกตาลก็ชอบแกล้งเพื่อนจังเลยนะ เมื่อก่อนไม่เคยเป็นเลย เดี๋ยวนี้ติดนิสัยนายต้นมาแล้วสิ คริๆ”
แก้มลุกขึ้นปรามหลังจากเห็นสองคนนี้เริ่มมีทีท่าจะทะเลาะกัน ขณะที่อิ๋วไม่พูดอะไรนอกจากนั่งยิ้มอย่างเดียว ส่วนอีกสองคนที่เพิ่งโดนต่อว่าต่างออกอาการเซ็งให้เห็นไปตามๆ กัน
“ว่าไปก็อิจฉาพวกแกเหมือนกันนะ มีคนให้คิดถึงด้วย เค้านี่สิ ไม่มีเลย” น้ำฝนเปรยขึ้นมา พลางทอดสายตามองไปยังเพื่อนสาวทั้งสี่ด้วยความรู้สึกอิจฉาเล็กๆ
“ก็แกเลือกมากนี่นา คนโน้นก็ไม่เอา คนนี้ก็ไม่เอา แล้วเมื่อใหร่แกจะมีแฟนล่ะหืม”
อิ๋วเริ่มมีบทพูดขึ้นมาบ้างหลังจากนั้นเงียบอยู่นาน
“ก็ไม่รู้สิ ฉันว่าถ้ามันไม่ใช่ ฉันก็ไม่คบให้เสียเวลาหรอก” คนโดนบ่นยังคงวางฟอร์ม ทั้งที่ในใจลึกๆ แอบโหยหาอยู่ตลอด
ประเด็นเรื่องความโสดของน้ำฝนกลายเป็นประเด็นสนทนาหลักขึ้นมาทันที แม้แต่โบกับลูกตาลที่แทบจะกัดกันยังต้องพักรบชั่วคราว และหันมาให้ความสนใจกับเรื่องของน้ำฝนแทน
“แกนี่จริงๆ เลยนะ เลือกมากอย่างนี้ ระวังขึ้นคานนะจ๊ะ” เสียงหวานแกล้งพูดแหย่เพื่อนสาวขึ้นมา ดวงตาคู่สวยทอดมองไปยังใบหน้าจิ้มลิ้มของเพื่อนสาวอย่างขี้เล่น
“ฉันไม่แคร์หรอกย่ะ” น้ำฝนว่าเสียงสะบัดใส่พร้อมกับเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่แคร์สื่อ “ถ้ามันไม่ใช่ ฉันจะคบให้เสียเวลาทำไมล่ะยะ” ว่าเสียงขึ้นจมูกย้อนถามเพื่อนสาวทั้งสี่คนกลับไป
“ก็แล้วแต่แกละกัน เจ้าประคู้ณ ถ้ายัยน้ำฝนมีแฟนเมื่อไหร่นะ ฉันจะวิ่งแก้บนรอบตึกเพชรหนึ่งรอบเลยคอยดูสิ” ลูกตาลพนมมือท่วมหัวพร้อมกับสาบานอย่างทีเล่นทีจริง แต่ว่า…
“นี่ จะบ้าเหรอยัยลูกตาล ไปบนอะไรบ้าๆ แบบนั้น เดี๋ยวก็ซวยแย่หรอก” แก้มร้องดุขึ้น ดวงตากลมโตเบิกโพลงขึ้นมองดุใส่ลูกตาลที่กำลังยกมือพนมอยู่ แต่จู่ๆ มือเรียวเล็กของอิ๋วเอื้อมไปกดมือของลูกตาลลงพลางทอดมองลอดแว่นอย่างดุๆ ใส่อีกคนหนึ่ง
“นี่ยัยลูกตาล อย่าสาบานอะไรโง่ๆ แบบนี้สิ รู้ทั้งรู้อยู่ ยัยน้ำฝนมันขี้อายจะตาย คริๆ”
<<ชิ้ง…>>
น้ำเสียงอันอ่อนโยนเนิบนาบไม่เข้ากับแววตาอันดุดันของอิ๋วที่กำลังปรามลูกตาลแม้แต่น้อย แต่แอบกระทบชิ่งไปยังน้ำฝน ที่ตอนนี้เกิดอาการหน้าชาดิกขึ้นมากะทันหัน หัวใจเต้นแรงถี่ขึ้นเรื่อยๆ จะพูดก็พูดไม่ออก ได้แต่ส่งสายตาเท่านั้น
“คริๆ ยัยน้ำฝนหน้าเสียเลยล่ะตัวเธอ”
“นั่นสิ ลืมไปได้ไงน้า ยัยน้ำฝนขี้อายไม่ใช่เหรอ คริๆ” แก้มได้ทีหัวเราะผสมโรงเข้าไปใหญ่ และนั่น ยิ่งทำให้น้ำฝนหน้าแดงเข้าไปใหญ่เมื่อถูกจี้จุดมากขึ้นเรื่อยๆ
“นี่ พอได้แล้วไอ้เพื่อนบ้า แหม พอรู้จุดหน่อยนี่ล้อใหญ่เลยน้า” น้ำฝนแหวใส่เพื่อนๆ ที่กำลังหัวเราะ แววตาคู่สวยทอดมองเพื่อนๆ อย่างคาดโทษ ยิ่งในใจลึกๆ อยากจะโหยหาใครสักคนที่มาอยู่เคียงข้างแต่ถูกปิดกั้นไว้ด้วยความขี้อายของตัวเอง
“น้ำฝนจ๊ะ ถ้าแกไม่ขี้อาย เค้าว่าแกมีแฟนไปนานแล้วล่ะย่ะ” อิ๋วได้ทีพูดเชิงเยาะเย้ยใส่
“นี่ ยัยเทวีสี่ตา แกเงียบก็ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้หรอกย่ะ เชอะ” ไม่พูดเปล่า ยังมองตาจิกใส่เพื่อนสาวอย่างขุ่นเคืองเล็กๆ แต่อิ๋วยังคงแสดงท่าทางล้อเลียนอย่างสนุกสนาน จนกระทั่ง
<ปุ้ก>
“พอได้แล้วย่ะ”
ไม่พูดเปล่า ยังปาหมอนใส่คนที่เพิ่งพูดจี้จุดไปอีก และเป้าหมายกลับหลบไม่ทันจึงโดนเข้าเต็มๆ จนกลายเป็นสงครามหมอนขนาดย่อมๆ ในที่สุด เมื่ออีกสามสาวที่เหลือต่างหยิบหมอนมาคนละใบและปาใส่กัน บ้างก็เข้าไปฟาดหมอนกันอย่างสนุกสนาน ย้อนให้นึกถึงวันเก่าๆ ที่เคยอยู่ด้วยกันสมัย ม.ต้น กับความผูกพันที่มีมาอย่างยาวนาน จนน้ำฝนต้องปลีกตัวออกจากกลุ่มในตอน ม.ปลายเนื่องจากต้องย้ายโรงเรียนตามครอบครัวไป แต่ความเป็นเพื่อน ยังคงแนบแนนตราตรึงอยู่ในความทรงจำอยู่ตลอด จนมาถึงวันนี้ วันที่น้ำฝนได้กลับเข้ามารวมตัวกับเพื่อนกลุ่มเดิมอีกครั้ง ถึงแม้จะมาเป็นแค่มือกลองคั่นเวลาระหว่างตัวจริงไปเรียนต่อที่อเมริกาก็ตาม…
“นี่ๆ พวกแก นอนเหอะ จะตีหนึ่งแล้วน้า พรุ่งนี้มีไปเล่นที่ประตูท่าแพอีกอ่า”
โบหันมาปรามเพื่อนๆ พลางหยิบนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู และก็ได้ผลเมื่อสงครามหมอนหยุดชะงักลง แต่ค่ำคืนนี้ ทั้งห้าสาวเลือกที่จะนอนรวมอยู่ห้องเดียวกัน จึงทำให้ค่ำคืนนี้ต้องนอนเบียดเสียดกันบนเตียงเดี่ยวสองเตียงที่ถูกต่อให้ติดกัน…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
1 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
1 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ