Paracetamol Season I

1.0

เขียนโดย POPENGL

วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.35 น.

  7 chapter
  0 วิจารณ์
  9,612 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2563 17.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Episode 1 – เมา… เมา… เมา…

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     

     อากาศยามเช้าในช่วงหน้าฝนช่างเย็นสบายยิ่งนัก สายลมอ่อนๆ พัดผ่านไอเย็นจากฝนแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ ต้นไม้สูงใหญ่กับสนามหญ้าอันเขียวขจีเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ เสียงนกกางเขนร้องเพลงสร้างบรรยากาศแจ่มใสสดชื่น สภาพถนนยังคงเปียกแฉะเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนที่เพิ่งหยุดตกไป

       บ้านเดี่ยวหลังหนึ่งในหมู่บ้าน บนเนื้อที่ไม่ใหญ่โตมาก ภายในห้องนอนในบ้านเดี่ยวหลังนี้ยังคงปิดทึบอุดอู้ด้วยผ้าม่านผืนใหญ่ที่ปิดหน้าต่างไว้จนมิด ลมอ่อนๆ จากเครื่องปรับอากาศยังคงเป่าสม่ำเสมอ บนเตียงนอนใหญ่ตรงมุมห้อง ชายหนุ่มร่างใหญ่กับเด็กสาววัยสิบเจ็ดต้นๆ ร่างผอมบางยังคงนอนทอดกายอยู่บนเตียง ดวงตายังคงปิดสนิท มีเพียงแต่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของทั้งสองกับเสียงเป่าลมของเครื่องปรับอากาศเท่านั้น

{{ขอ…สัญญา… ว่าจะรักเพียงคุณ… ว่าจะรักแค่คุณ… ว่าจะรักแค่…คุณเท่านั้น… นาน…แสนนาน…}}

เสียงโทรศัพท์ไอโฟนกรีดร้องขึ้น บนหน้าจอกระพริบภาพของเด็กสาวหน้าหมวย ที่ตอนนี้เจ้าของเบอร์นี้ได้บินไกลไปเรียนถึงสหรัฐอเมริกาแล้ว มือหนาใหญ่ค่อยๆ เอื้อมไปหยิบมือถือที่ตอนนี้กำลังส่งเสียงอย่างบ้าคลั่งในตอนนี้

“ฮา…โหล… เอเหรอ”

[[พี่โอ๊ค ยังไม่ตื่นอีกเหรอเนี่ย]]

“อืม… เมื่อคืนไปกินเหล้ามาน่ะ กลับมาบ้านตอนตี 2”

[[โหยพี่โอ๊ค กินเหล้าอีกแล้ว อย่าลืมสิ เอไม่อยู่เช็ดอ้วกให้แล้วนะ]]

“ฮื้ม พวกพี่ก็สังสรรค์กันเฉยๆ น่ะ เอ้อ แล้วเอยังไม่นอนเหรอ”

เสียงสนทนาอันแผ่วเบาของโอ๊คดังแว่ว              ๆ จนไปกระทบโสตประสาทของคนที่นอนอยู่ข้างๆ ที่ตอนนี้ยังคงมีอาการแฮงก์หลังจากที่เมื่อคืนวานได้ไปสนุกสุดเหวี่ยงกันมาตลอดค่ำคืนระหว่างพี่-น้อง ดวงตากลมโตยังคงหนักอึ้งลืมไม่ขึ้น แต่ประสาทหูได้เปิดขึ้นและได้ยินเสียงแว่วๆ ภายในห้องทั้งหมด

“พี่…โอ๊ค…ใครโทร.มาอ่า…”

ไม่มีคำตอบจากผู้เป็นพี่ชายที่นอนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ร่างผอมบางค่อยๆ พลิกตัวนอนตะแคงอย่างช้าๆ อาการหนักหัวเริ่มปรากฏขึ้น

“โอ๊ย ปวดหัวจังเลย…”

เด็กสาวร้องออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นกุมศีรษะที่ตอนนี้กำลังแสดงอาการปวดอย่างหนัก พยายามพยุงร่างผอมบางลุกขึ้นยืนช้าๆ แต่อาการหนักที่ศีรษะทำให้กว่าจะลุกขึ้นได้เป็นไปอย่างยากลำบาก

“มืด…จังเลยอ่า” เสียงเล็กๆ ของเด็กสาวบ่นพึมพำขึ้น พลางใช้มือเล็กๆ ค่อยๆ ลูบหาสวิตซ์ไฟข้างในห้อง ที่ตอนนี้มีเพียงแต่แสงสลัวๆ ลอดผ่านผ้าม่านภายในห้องเท่านั้น ข้าวของภายในห้องรกกระจายไปทั่วห้อง กองเสื้อผ้า กุญแจรถ ของใช้ต่างๆ กระจัดกระจายไปทั่ว

แสงไฟในห้องถูกเปิดขึ้นสว่างไปทั่ว ทำให้ค้นหาของได้ง่ายขึ้น ขณะที่ชายหนุ่มร่างใหญ่ยังคงนอนหลับตาคุยอยู่กับแฟนสาวอย่างไม่รู้เรื่อง เสียงทุ้มใหญ่ดังอู้อี้แว่วมาให้ได้ยินตลอด แต่สุดท้าย ด้วยอาการแฮงก์ที่ยังคงคละคลุ้งอยู่เต็มหัวสมองกับกลิ่นน้ำทองแดงที่เหม็นคลุ้งไปทั่วห้อง ร่างบอบบางๆ จึงค่อยๆ ทรุดตัวลงบนเตียงอีกครั้งหนึ่ง

                         ………………………………………………………………………..

“โอ๊ค แก้ม ตื่นได้แล้วลูก”

เสียงอมแหลมของชายวัยห้าสิบเศษดังแว่วขึ้นมา

ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้น คนตัวใหญ่กว่ายกมือขึ้นขยี้ตาพลางสะบัดศีรษะสลัดอาการปวดหัวที่หมักหมมอยู่นาน ส่วนคนตัวเล็กกว่ายังคงนอนหลับตาพริ้มสนิท ไม่รับรู้เรื่องราวอะไรที่เกิดขึ้น

“อือ… ปวดหัวว่ะ”

บ่นพึมพำระหว่างเดินไปเปิดประตูห้อง ท่าทางโงนเงน ร่างใหญ่แทบจะล้มทั้งยืน แต่มือหนาเอื้อมไปคว้าลูกบิดประตูไว้ได้ แต่กระนั้น…

“โอ๊คลูก”

“พ่อ”

ไม่ทันไร ร่างสูงใหญ่ทรุดลงกับพื้น อาการเมาค้างจากเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมายังคงวิ่งไปทั่วตัว ศีรษะทุยในตอนนี้หนักราวกับลูกตุ้มเหล็กจนเจ้าตัวแทบยกไม่ขึ้น

“โห ลูกกู เมาทั้งคู่เลย ตายๆ”

ชายวัยกลางคนในกางเกงขาสั้นลำลองเดินส่ายหัวไปมา พลางบ่นพึมพำเบาๆ เข้าไปในบริเวณห้องของลูกชายคนโต ที่ตอนนี้รกราวกับเป็นโกดังเก็บของย่อมๆ กุญแจรถของลูกชายวางทางหนึ่ง กุญแจรถของลูกสาววางไปทางหนึ่ง เสื้อผ้าของทั้งคู่กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ ร่างผอมบางยังคงนอนหลับอุตุในสภาพเปลือยท่อนบน มีเพียงแต่บราปกปิดกล้ามเนื้ออวบอิ่มขาวโพลนบริเวณหน้าอกเท่านั้น ท่อนล่างยังคงสวมกางเกงยีนขาม้าสีน้ำเงินเข้ม

“แก้มลูก ตื่นได้แล้ว นี่เก้าโมงเช้าแล้วนะลูก”

ร่างบอบบางสั่นตามแรงเขย่าของผู้เป็นพ่อ แต่สาวเจ้ายังคงหลับอยู่ เสียงครางดังแว่วมาจากในลำคอด้วยท่าทางหงุดหงิดเล็กๆ จมูกโด่งเชิดรั้นค่อยๆ ย่นขึ้นเล็กน้อย มือเล็กๆ ควานหาตัวการที่ทำให้ร่างตัวเองสั่น จนไปสัมผัสกับมืออุ่นๆ เข้า

“ใครอ่ะ”

“พ่อเองลูก เก้าโมงแล้วนะ ตื่นได้แล้ว ทั้งคู่เลยลูก”

อีกด้านหนึ่ง ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ พยุงตัวขึ้นอย่างยากลำบาก เหมือนกับทุกอย่างตอนนี้กำลังหมุนไปหมด ตายังคงเบลอๆ อยู่ ศีรษะยังคงหนักเหมือนกับลูกตุ้มเหล็กอยู่ แต่แข็งใจลุกขึ้นมาได้

“แฮงก์หนักแล้วลูกเอ๊ย ไปๆ ไปอาบน้ำก่อนลูก”

ร่างสูงใหญ่เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าใหม่อย่างยากลำบาก ก่อนจะเดินออกไปอาบน้ำยังห้องน้ำที่อยู่ภายนอกห้อง ฝ่ายชายวัยกลางคนยังคงเขย่าตัวลูกสาวคนเล็กไปอย่างอิดหนาระอาใจ พลางต่อว่าลูกชายคนโตไป

“โอ๊คเอ๊ย พาน้องไปเมาแบบนี้เสียหญิงหมด เฮ้อ…”

“คุณพ่อขา… หนูเมามากเลยเหรอคะ”

เสียงเล็กๆ เล็ดรอดมาจากริมฝีปากอวบอิ่มที่ยังคงฉาบทาด้วยลิปกลอสสีชมพูสดใส น้ำเสียงท่าทางสะลึมสะลือ ดวงตากลมโตคู่สวยยังคงปิดสนิท

“อืมลูก ตื่นเถอะๆ พ่อซื้อโจ๊กมาไว้ให้แล้วลูก”

      ตั้งแต่สูญเสียภรรยาไปเมื่อปีที่แล้ว ทำให้เขาต้องเลี้ยงดูลูกๆ ทั้งสองตามลำพัง แต่ก็เบาใจลงได้เมื่อลูกๆ ทั้งสองทำงานเลี้ยงตัวเองได้ตั้งแต่เรียนมัธยม โดยเฉพาะลูกสาวคนเล็กที่ได้เดบิวท์อัลบั้มแรกกับวงดนตรีของตัวเอง ทำให้มีรายได้เข้ามาช่วยครอบครัวได้เยอะ ส่วนลูกชายคนโตในตอนนี้ก็เล่นดนตรีกลางคืนหาเงินมาช่วยครอบครัวจนกลายเป็นกำลังหลักอีกคนที่ช่วยแบ่งเบาภาระผู้เป็นพ่อได้อีกแรงหนึ่ง

“อื๊ม… แก้มยังนอนไม่อิ่มเลยค่ะพ่อ เมื่อคืนแก้มสนุกมากเลย ไปกินเลี้ยงที่ปาร์คกิ้งทอยมา เพื่อนๆ ไปกันเยอะเลย กินเลี้ยงฉลองก่อนเข้ามหา’ลัยอ่ะคุณพ่อ”

เสียงใสบ่นพึมพำเบาๆ พร้อมกับพยุงตัวขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตากลมโตคู่สวยค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างยากลำบาก มือเล็กเรียวยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ ขณะที่ผู้เป็นพ่อยกมือขึ้นลูบที่เนินแก้มของลูกสาวตัวเองเบาๆ ไออุ่นจากความรักของพ่อแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้าของเด็กสาววัยสิบเจ็ดปลายๆ

“โอ๋ลูก เมามากเลยนะ พ่อไม่เคยเห็นแก้มเมาขนาดนี้เลยนะลูก”

“ไม่เป็นไรค่ะพ่อ แค่นี้แก้มสบายมากค่า นานๆ แก้มจะเมาที ยังไงหนูก็ขับรถกลับมาบ้านได้นะคะ”

“งั้น แก้มใส่เสื้อก่อนเถอะลูก เมื่อคืนท่าทางคงเมาหนัก ถอดเสื้อซะเกือบหมดเลย”

ผู้เป็นพ่อจาระไนถึงสภาพของลูกสาวคนเล็กในตอนนี้ ที่มีเพียงแต่บราตัวเดียวปกปิดเนินอกอวบอิ่มไว้ ผิวขาวโพลนอมชมพูละเอียดเปล่งประกายเจิดจ้าโดดเด่น มีเพียงท่อนล่างเท่านั้นที่ยังดูเรียบร้อยด้วยกางเกงยีนขาม้าเอวต่ำสีน้ำเงินเข้ม และตอนนี้ร่างบอบบางท่อนบนกำลังจะถูกห่อหุ้มด้วยผ้าเช็ดตัวสีฟ้า

       ไม่นานนัก ผู้เป็นลูกชายคนโตเดินพาร่างใหญ่ที่ในตอนนี้ห่อหุ้มด้วยเสื้อยืดสีเทา ใจกลางอกเสื้อสกรีนรูปค้างคาวตัวใหญ่พร้อมข้อความ ‘San Dimas’ กับกางเกงขาสั้นลำลองสีดำเดินเข้ามาข้างใน ฝ่ายเด็กสาวรีบหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่และเดินสวนออกไปอาบน้ำแทน

                      …………………………………………………………………..

       แสงแดดแผดเผาแรงกล้าขึ้นในช่วงสายๆ กับบรรยากาศอันเงียบสงบภายในหมู่บ้าน ณ บ้านเดี่ยวอีกหลังหนึ่ง ที่มีขนาดไม่ต่างจากหลังแรกมากนัก

“โอย…”

เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดต้นๆ บุตรชายคนโตของบ้านนี้ตื่นขึ้นมาทั้งๆ ที่มีอาการแฮงก์อยู่เต็มๆ หลังจากที่เมามาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ร่างผอมสูงใหญ่พยายามประคองตัวให้ยืนขึ้นอย่างทุลักทุเล แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อ…

{{โครม!}}

ร่างสูงทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรงด้วยอาการแฮงก์จากเมื่อคืน ศีรษะหนักราวกับลูกเหล็กใหญ่ๆ และปวดระบมไปหมด ดวงตาคมเข้มปรือลงอย่างลืมไม่ขึ้น กำลังวังชาที่เคยมีในตอนนี้ได้หมดสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว…

“โอย…”

“พี่โบ๊ท เมื่อคืนเมามาใช่ไหมเนี่ย”

เสียงใสๆ ของเด็กสาววัยสิบห้าผู้เป็นน้องสาวร้องเรียกชื่อพี่ชายที่กำลังนอนหมดสภาพอยู่ในห้อง ก่อนจะพาร่างเล็กเข้าไปประคองผู้เป็นพี่ชายที่ตัวใหญ่กว่าเกือบเท่าตัวให้ลุกขึ้นนั่งได้

“โอย… แบมเหรอ… พี่ยังไม่หายแฮงก์เลยว่ะ”

เด็กหนุ่มบ่นพึมพำเบาๆ ทางด้านผู้เป็นน้องสาวเหมือนจะรู้งาน รีบวิ่งลงไปยังชั้นล่างเตรียมน้ำอุ่นพร้อมผ้าสะอาดๆ พร้อมขึ้นมาเช็ดตัวให้กับพี่ชายในเวลาต่อมา ในวันนี้ผู้เป็นพ่อแม่กลับไปดูโรงงานน้ำตาลที่เมืองกาญจน์ ปล่อยให้สองพี่น้องอยู่กันตามลำพังที่บ้านสองคนเท่านั้น…

“พี่โบ๊ทนี่จริงๆ เลย ตั้งแต่จบ ม.6 มานี่เมาทุกทีเลย”

เด็กสาวร่างเล็กบ่นพึมพำระหว่างเช็ดตัวให้กับพี่ชายที่กำลังนอนหมดสภาพในเสื้อผ้าชุดเดียวกับเมื่อคืน พลางหันไปมองรอบๆ ห้องที่ในตอนนี้ กล่องกีตาร์และบอร์ดเอฟเฟกต์วางกระจัดกระจายไม่เป็นที่ อีกด้านหนึ่ง กระเป๋าตังค์และกุญแจรถวางกระจัดกระจายไม่เป็นที่อีกเช่นกัน ขณะที่คนถูกเช็ดตัวพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก จนต้องลำบากถึงผู้เป็นน้องสาวที่มีขนาดตัวเล็กกว่าเกือบเท่าตัวต้องพยายามประคองตัวผู้เป็นพี่ชายให้ลุกขึ้น แต่ระหว่างนั้น…

{{อุแหวะ…}}

“ตายแล้วพี่โบ๊ท ไปห้องน้ำเลย”

ไม่พูดเปล่า คนตัวเล็กกว่ารีบลากร่างสูงของพี่ชายที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนไปยังห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ และเป้าหมายคือโถชักโครก ก่อนจะกดศีรษะทุยของคนตัวใหญ่กว่าให้ตรงกับโถชักโครกที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่…

{{แหวะ… โครก… โครก…}}

ของเหลวสีทองแดงกับเศษอาหารไหลพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย พร้อมๆ กับอาการอ้วกของชายหนุ่มที่ขย้อนเศษอาหารออกจากลำไส้ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่ว ทั้งกลิ่นเศษอาหารและกลิ่นละมุดคละคลุ้งไปหมด เด็กสาวร่างเล็กรีบยกมือเล็กๆ ขึ้นปิดจมูกโด่งเชิดรั้นของตัวเองทันทีด้วยว่าทนกลิ่นเหม็นในแบบที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนไม่ได้

“อื๊มตายแล้ว พี่โบ๊ทเมาอ้วกแบบนี้ ไม่ได้เลยน้า”

ในโถชักโครกตอนนี้เต็มไปด้วยของเหลวๆ ที่ขย้อนออกมาจากลำไส้ของคนตัวใหญ่ที่เพิ่งอ้วกออกมาก่อนหน้านี้ และตอนนี้ร่างสูงใหญ่อยู่ในสภาพที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงอย่างสิ้นเชิง แม้แต่แรงที่จะเอื้อมมือไปกดชักโครก ก็ยังไม่มี… ลำบากถึงเด็กสาวร่างเล็กที่ต้องเอื้อมมือไปกดชักโครกให้

       คนตัวเล็กกว่าประคองร่างของพี่ชายให้ลุกขึ้นยืนให้ได้ ทั้งๆ ที่คนที่ถูกประคองยังคงมีอาการแฮงก์ไม่หาย จนต้องลำบากคนตัวเล็กกว่าที่ต้องหยิบผ้าชุบน้ำอุ่นขึ้นมาเช็ดบนใบหน้าหล่อเหลาคมสันของผู้เป็นพี่ชายที่ยังคงลืมตาไม่ขึ้น จนเวลาผ่านไปสักพัก…

“เมื่อคืนกินเหล้าอะไรไปวะเนี่ย แรงชิบหายเลย”

เสียงบ่นพึมพำของคนตัวใหญ่กว่าดังลอดริมฝีปากหยักได้รูปอย่างแผ่วเบา พลางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองหน้าสวยพริ้งของน้องสาวที่กำลังทำหน้ามุ่ยๆ ด้วยอาการเอือมๆ ที่เห็นพี่ชายแท้ๆ เมาไม่ได้สติอย่างนี้

“แบมบอกพี่โบ๊ทแล้วใช่ไหมว่าอย่ากินเหล้ามาก เป็นไงล่ะ แฮงก์หนักขนาดนี้”

“เออน่า พี่ไหวๆ”

ไม่พูดเปล่า คนตัวใหญ่กว่าประคองร่างสูงใหญ่ให้ลุกขึ้นได้ ถึงแม้จะยังมีอาการมึนๆ อยู่บ้าง ร่างผอมสูงเดินไปยังราวแขวนผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่น้องสาวเตรียมไว้ให้ก่อนจะเดินออกไปยังห้องน้ำ ปล่อยให้ผู้เป็นน้องสาวอยู่เก็บกวาดของในห้องคนเดียว

“ตายแล้วพี่โบ๊ท ของเขิงก็ไม่เก็บให้เรียบร้อย ดูสิ กีตาร์วางไปทาง กุญแจรถวางไปทาง”

เด็กสาวบ่นพึมพำระหว่างเก็บของของผู้เป็นพี่ชายให้กลับมาเข้าที่อีกครั้งหนึ่ง จนเวลาผ่านไปไม่นานนัก คนที่เพิ่งฟื้นจากอาการเมากลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในชุดเสื้อยืดที่ระลึกทัวร์สกรีนคำว่า Alter Bridge อยู่กลางหน้าอก กับกางเกงขาสั้นลำลองสีเขียวขี้ม้ายืนเต๊ะท่ามองน้องสาวที่กำลังเก็บของให้

“จะมายืนมองอะไรล่ะพี่โบ๊ท ลงไปกินข้าวต้มไป น้องต้มไว้ให้เนี่ย”

แบมหันมาร้องแหวใส่ด้วยท่าทางหงุดหงิด แววตาคู่สวยทอดมองผู้เป็นพี่ชายอย่างขุ่นเคือง เด็กหนุ่มจึงรีบจรลีลงไปยังชั้นล่างของบ้านทันทีเมื่อเห็นสายตาพิฆาตของผู้เป็นน้องสาว ในยามโกรธช่างดูน่ากลัวยิ่งนัก ‘เวลาแก้มโกรธว่าตาดุแล้วนะ น้องกูตาดุยิ่งกว่าอีกว่ะ’ ชายหนุ่มบ่นพึมพำในใจ แต่ทว่า…

{{Rock Bottom… Rock Bottom…Rock Bottom…}}

มือถือแอนดรอยด์ส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาพร้อมกับเขย่าตัวดุบดิบอยู่ในกระเป๋ากางเกง จนเจ้าตัวต้องรีบควักโทรศัพท์ที่ในขณะนี้บนหน้าจอแสดงรูปถ่ายของคนที่กำลังคิดถึงขึ้นมาพอดี ทำให้ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบกดรับทันที

“ฮัลโหล”

{{ตัวเองตื่นยังอ่า}}

“ตื่นแล้วล่ะ แล้วตัวล่ะ ตื่นนานยัง”

{{เค้าตื่นตั้งแต่เก้าโมงเช้าแล้วอ่า เนี่ยพวกเค้ามีซ้อมตอนบ่ายสอง ยังไม่หายแฮงก์เลยตัวเอง}}

“เหมือนกันแหละ ยังเวียนหัวอยู่เลย”

{{อื๊ม นั่นสิ เมื่อคืนกินไปเยอะด้วยล่ะตัวเอง}}

“ฮ่าๆ ไม่ต้องพูดเลยแก้ม เมื่อคืนเห็นว่าเมาหลับเลยนี่ พี่โอ๊คต้องขับรถให้น่ะ ฮ่าๆ”

{{จะบ้าเหรอตัวเอง เค้าเมาขนาดนั้นเลยเหรอ}}

“ไม่เชื่อถามพี่โอ๊คดูสิ”

ชายหนุ่มคุยไปหัวเราะคิกคักไปตลอดเมื่อได้ทีล้อเรื่องเมากับแฟนสาว ขณะที่อีกฝ่ายเริ่มเกิดอาการฉุนขึ้นมาเล็กๆ

{{ไม่ต้องมาพูดเลย ชิ}}

{{ตู๊ด…ตู๊ด…}}

ปลายสายถูกตัดไปหน้าตาเฉยขณะที่โบ๊ทยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ  เด็กหนุ่มโคลงศีรษะเล็กน้อยพร้อมๆ ฉีกยิ้มขึ้นเมื่อนึกถึงท่าทีของแฟนสาวที่กำลังงอนๆ พร้อมกับพาร่างสูงใหญ่เดินไปยังห้องครัวที่ในตอนนี้มีข้าวต้มร้อนๆ ตั้งรออยู่

                      …………………………………………………………………..

ณ ตึกสูงสิบห้าชั้น ย่านอโศก อันเป็นสถานที่ตั้งของค่ายเพลง Parlophone ภายในอาคารจอดรถข้างๆ เรียงรายไปด้วยรถเก๋งหรูป้ายแดงทั้งสามคัน กับรถญี่ปุ่นสีขาวทั้งสองคัน ขณะที่ชั้น 14 ของตึก เสียงดนตรีดังกระหึ่มแว่วลอดออกมาจากห้องซ้อมดนตรีห้องหนึ่งจากทั้งหมดสิบกว่าห้องในชั้นนี้

       ผู้จัดการวงสาววัยยี่สิบหกกำลังทำหน้าที่คุมเด็กสาวทั้งห้าฝึกซ้อมประจำวันตามปกติ ถึงแม้ช่วงนี้จะไม่ได้รับงานใดๆ ก็ตาม ประจวบกับเป็นช่วงฤดูฝนทำให้ไม่ค่อยมีงานมากนัก ขณะที่ศิลปินในความดูแลทั้งสี่สาวกับอีกหนึ่งสมาชิกใหม่กำลังซ้อมดนตรีอย่างขมักเขม้น… เสียงสตรัมคอร์ดกีตาร์กับซาวด์แปร่งๆ แบบวินเทจจากแก้มที่กระหน่ำบน Gibson Firebird III Non Reverse คู่กาย สอดรับไปกับไลน์เบสอันพลิ้วไหวผ่านปิ๊กสีส้มในมือเล็กๆ ของลูกตาล กับ Gibson Thunderbird สีขาว เดินเกาะไปกับจังหวะกลองอันกระฉับกระเฉงของสมาชิกใหม่อย่างน้ำฝน ซัพพอร์ตให้ริฟฟ์กีตาร์ของอิ๋วที่เคลื่อนผ่าน Gibson SG Standard สีแดงสด กระหนาบไปกับเสียงร้องหวานใสของโบ นักร้องสาวร่างเล็ก กับบทเพลงที่อยู่ในลิสต์ซ้อมเพลงแล้วเพลงเล่า คละคลุ้งไปด้วยเสียงกีตาร์ทั้งสองตัวที่สลับกันเป็นตัวเอกของแต่ละเพลง เสริมด้วยเสียงเบสหนาใหญ่นุ่มนวลที่คอยขโมยซีนได้ทุกเวลา แต่ไลน์กลองฝีมือน้ำฝนกลับราบเรียบเน้นความหนักแน่น ผิดกับไลน์กลองของเอที่เน้นลูกหวือหวาและท่วงทำนองของจังหวะกลองเป็นหลัก

{{เพลงต่อไปจะเล่นเพลงอะไรดีอ่า}}

โบเอ่ยปากถามขึ้นมาหลังจากจบเพลงที่ซ้อมผ่านไปไม่นานนัก แต่นั่นทำให้ทั้งห้าสาวเริ่มเครียดด้วยว่าไม่รู้จะซ้อมเพลงอะไรต่อ แต่ในตอนนี้ มีเรื่องที่ทำให้เครียดกว่าเมื่อ…

“น้องๆ แองเจิ้ลฟอร์ซจ๊ะ มีคิวงานล่ามาจ้า”

ผู้จัดการวงสาวผู้มือชื่อเล่นเดียวกันกับมือกลองคนใหม่เอ่ยปากเรียกศิลปินสาวทั้งห้าพร้อมๆ กับชูไอแพดในมือขึ้นมา และเริ่มประกาศคิวงานขึ้น

“วันที่ 12 มิถุนา งานเฟรชชี่ไนท์ที่จุฬาฯ นะจ๊ะ”

นักร้องสาวร่างเล็กถึงกับใจหายวาบทันทีเมื่อได้ยินชื่องานแรก ที่บังเอิญมีเล่นในรั้วมหาวิทยาลัยของตัวเองพอดิบพอดี ใบหน้าสวยหวานกำลังทำหน้าเหวอจนเพื่อนๆ สังเกตได้

“นี่โบ เป็นอะไรรึเปล่าอ่ะ”

“อื๊ย งานเข้าเค้าแล้วอ่ะดิยัยน้ำฝน เค้ายิ่งไม่อยากเปิดเผยตัวด้วยอ่า เดี๋ยวโดนรุ่นพี่เขม่น”

ในใจลึกๆ โบไม่อยากเปิดเผยตัวว่าตัวเองเป็นนักร้องนำวงดนตรีหญิงล้วนที่กำลังมีชื่อเสียงในตอนนี้ นั่นเพราะว่า จะทำให้เจ้าตัวไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวในรั้วมหาวิทยาลัยอีกต่อไป และอีกอย่าง ไม่อยากจะเป็นที่หมั่นไส้ของคนหลายๆ กลุ่ม

“อย่าคิดมากเลยอ่าโบ ยังไงเขาก็ต้องรู้อยู่แล้วล่ะ ว่าพวกเราเป็นใคร”

เสียงห้าวๆ ของมือกีตาร์สาวแว่นเอ่ยปลอบใจคนตัวเล็กที่กำลังทำสีหน้ากังวลในตอนนี้ ขณะที่เพื่อนสาวอีกสามต่างเข้ามารุมล้อมปลอบใจอย่างพร้อมเพรียง ปล่อยให้ผู้จัดการวงสาวทำหน้าที่ตรวจเช็คคิวงานต่อไป หลังจากนั้นทั้งห้าสาวต่างกลับเข้าประจำที่อีกครั้งหนึ่ง และแล้ว เสียงซ้อมดนตรีกับบทเพลงใหม่เริ่มดังอึกทึกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง…

                        …………………………………………………………………….

ตกกลางคืน ณ ไนต์คลับแห่งหนึ่ง ย่านวิภาวดี 50

       บนเวทีใหญ่ของร้าน สี่หนุ่มพาราเซตามอลบรรเลงดนตรีขับกล่อมแขกผู้มาเที่ยวร้านกับเพลงในสไตล์เซาธ์เทิร์นร็อกแบบ 70’s เข้ากับบรรยากาศของร้าน เพลงแล้วเพลงเล่าที่ล้วนแต่เป็นเพลงคัฟเวอร์ของ Lynyrd Skynyrd ซึ่งเป็นวงดนตรีวงโปรดของพวกเขาทั้งสี่ถูกนำมาบรรเลงขับกล่อมเป็นระยะๆ สลับกับเพลงบลูส์ร็อกและป๊อปร็อกในยุคเดียวกัน ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่นที่เต็มไปด้วยกลุ่มผู้ใหญ่ที่รักและหลงใหลเสียงดนตรีในยุค 60-70’s จากทุกๆ วงการที่เข้ามาเสพดนตรีและบรรยากาศ คละคลุ้งไปด้วยน้ำทองแดงและยาสูบ กับความหรูหราของการตกแต่งภายในร้าน…

       เพลงแล้วเพลงเล่าที่ถูกนำมาบรรเลงขับกล่อมต่างได้รับการตอบรับจากแขกที่มาเที่ยวเป็นอย่างดี บวกกับลีลาและพลังอันล้นเหลือในการแสดงของพวกเขาที่ทำให้ทุกคนทึ่งได้เสมอ เสียงกีตาร์ทั้งสองตัวยังคงอาละวาดแข่งกันอย่างสนุกสนานกับสารพัดลิคต่างๆ ที่มือกีตาร์ทั้งสองงัดออกมาประชันกันไม่ยั้งตลอดท่อนโซโล่ เสริมด้วยเสียงเบสอันแน่นหนึบจากปลายนิ้วมือทั้งสามที่วิ่งขึ้นลงบนสายเบส ผสานเข้ากับจังหวะกลองอันหนักแน่นอึกทึก บวกกับเสียงร้องอันทุ้มนุ่มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ของมิว มือกีตาร์และนักร้องนำของวง เสริมด้วยเสียงประสานที่แตกต่างกันไปของทั้งสามหนุ่มที่เหลือ โดยเฉพาะบอย มือกลองหนุ่มอารมณ์ดีที่ตีไปร้องประสานไปอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งมาถึงช่วงสุดท้าย…

{{พวกเราพาราเซตามอลขอบคุณทุกๆ คนมากครับที่ให้เกียรติชมการแสดงของครั้งแรกของพวกเรา ณ Sweat Rock แห่งนี้ ขอบคุณพี่ๆ น้า อา ลุงๆ ทุกคนที่ให้โอกาสชมพวกเราเล่นในคืนนี้ ตอนนี้ก็มาถึงช่วงสุดท้ายแล้วนะครับ มาลองฟังกันดูครับว่าเป็นเพลงอะไร…}}

สิ้นเสียงประกาศขอบคุณของบอย เสียงริฟฟ์กีตาร์อินโทรขึ้นมาเดี่ยวๆ ของมิวก็เริ่มขึ้นบนกีตาร์ Gibson SG Re’61 สีขาวคู่กาย พร้อมๆ กับเสียงปรบมือเป็นจังหวะจากผู้ชม สีหน้าของแขกแต่ละคนที่มาเที่ยวต่างเปี่ยมไปด้วยความสุขเมื่อได้ยินท่อนริฟฟ์อันคุ้นเคย พร้อมๆ กับเสียงเคาะไฮแฮทคุมจังหวะไปด้วย หลังจากนั้น เสียงฟาดสแนร์และแฉจากบอยดังกระหึ่มขึ้นพร้อมกับไลน์เบสจากปลายนิ้วมือของต้น ท่ามกลางเสียงเฮจากผู้ชม เมื่อจบท่อนส่งแรก ไลน์โซโล่กีตาร์อันเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ของโบ๊ทคำรามผ่าน Gibson Flying V Faded สภาพเกรอะกรัง แต่ซาวด์ที่ออกมากลับดีเกินคาดส่งเข้าสู่ท่อนร้องกับเสียงร้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของมิวในเวลาต่อมา กับบทเพลงประจำวงของพวกเขา Gimme Three Steps งานอมตะของ Lynyrd Skynyrd

      ต้นเดินเบสคุมจังหวะให้มิวและโบ๊ทได้อาละวาดอย่างเต็มที่ เสียงเบสทุ้มหนาใหญ่ของ Fender Precision Bass Re’57 ควบตะบึงไปกับเสียงกลองอันหนักแน่นของบอย และยิ่งเพิ่มดีกรีความเมามันมากขึ้นเมื่อถึงท่อนโซโล่ ที่มือกีตาร์ทั้งสองหนุ่มเริ่มเล่นแจมด้วยกันอย่างไม่มีใครยอมใคร สารพัดลิคต่างๆ ถูกงัดขึ้นมาดวลกันท่ามกลางเสียงเชียร์จากผู้ชมที่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นนักดนตรีรุ่นเก๋าๆ ไปจนถึงนักฟังเพลงที่ถวิลหาเสียงดนตรีในแบบที่พวกเขาคุ้นเคย ในช่วงท้ายของท่อนโซโล่ยิ่งพีคขึ้นมากกว่าเดิมด้วยเสียงฟาดแฉหนักๆ ของบอยที่คุมจังหวะแทนไรด์ กับเสียงรัวกระเดื่องคู่ ขณะที่นิ้วมือเรียวหนาของต้นวิ่งไปบนสายเบสสัมพันธ์กับมือซ้ายที่กดไล่โน้ตเดินไปพร้อมๆ กัน จนถึงท่อนส่งตอนท้ายกับลิคในออกเตปสูงของเบสโยนเข้าสู่ท่อนร้องรอบสุดท้าย และหลังจากนั้น มหกรรมการแจมกีตาร์อันดุเดือดของมือกีตาร์คู่มหากาฬคู่นี้ก็กลับมาอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงฮือฮาจากผู้ชมดังกระหึ่มไปทั่ว จนเมื่อสิ้นเสียงฟาดแฉของบอย…

{{ขอบคุณมากครับ แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้านะครับ สวัสดีครับ}}

พูดจบแล้วทั้งสี่หนุ่มต่างหันไปเก็บอุปกรณ์ส่วนตัวก่อนจะเดินลงจากเวทีท่ามกลางเสียงปรบมือต้อนรับที่ดังกระหึ่มไปทั่ว ระหว่างนั้น สมาชิกวง The Drivers ที่กำลังจะขึ้นเล่นเป็นวงต่อไปต่างเข้ามาทักทายทั้งสี่หนุ่มอย่างเป็นกันเองหลังจากที่ได้เห็นการแสดงของพวกเขาที่เพิ่งจบลงไป…

“ว่าไงน้องๆ เล่นกันมันมากเลยนะเนี่ย”

ทั้งสี่หนุ่มถึงกับยิ้มไม่หุบเมื่อได้รับคำชมจากนักดนตรีรุ่นพี่ ขณะที่มือกีตาร์ลีดหนุ่มร่างผอมเดินเข้ามาจับมือแสดงความยินดีกับโบ๊ทในเวลาต่อมา

“น้องเล่นได้เจ๋งมากเลยครับ”

“โอ้ขอบคุณครับพี่… เอ่อ… พี่ฟลุ๊ค”

โบ๊ทตอบกลับไปด้วยท่าทางอ้ำอึ้งเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะคุ้นเคยกับมือกีตาร์วงนี้อยู่ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้เจอตัวจริงสักครั้ง ทางด้านอีกสองสมาชิกที่เหลือต่างพูดคุยกับสามสมาชิก The Drivers อย่างเป็นกันเองเต็มที่

“ขอบคุณครับพี่ๆ ทุกคน เดี๋ยวพวกผมไปก่อนนะครับ”

ทั้งสี่หนุ่มพากันเดินไปหาเจ้าของร้านเพื่อรับเงินค่าเหนื่อยในค่ำคืนนี้ จนเมื่อไปถึงห้องพักหลังเวที เจ้าของร้านได้มายืนนับเงินรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว

{{สวัสดีครับเฮียเต๋า}}

“สวัสดีน้องๆ อ่ะ อาขอบคุณมากที่น้องๆ มาร่วมสนุกกันในค่ำคืนนี้นะ เมื่อกี้แขกรีเควสท์มาเลยว่าพวกน้องๆ เล่นได้สนุกมากๆ แบบนี้อาว่าอนาคตรุ่งแน่ๆ”

คำทักทายจากชายวัยเฉียดๆ หกสิบซึ่งเป็นเจ้าของร้านกล่าวกับทั้งสี่หนุ่มอย่างชื่นชม สีหน้าในตอนนี้ช่างดูมีความสุขอย่างมากที่ได้เห็นเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่รักเสียงดนตรีและกล้าที่จะสืบสานบทเพลงในยุค 60’s 70’s อย่างจริงจังเช่นนี้

“อ่ะ นี่ค่าเหนื่อยพวกเรา มารับไปเลย”

ว่าแล้ว แบงก์พันกับแบงก์ห้าร้อยทั้งสี่ชุดถูกยื่นออกมาให้ทั้งสี่หนุ่มเดินแถวไปรับกันทีละคน และเมื่อได้รับเงินกันหมดแล้ว

“ยังไงพวกผมกลับก่อนนะครับเฮียเต๋า”

“โอเค. วันหลังมาเล่นที่นี่ด้วยกันอีกนะ ที่นี่ยินดีต้อนรับนักดนตรีไฟแรงอย่างพวกหนูๆ เสมอ”

{{ขอบคุณครับเฮียเต๋า}}

                              …………………………………………………….

       รถยนต์ Chevrolet Trailblazer คันสีดำแล่นไปบนทางด่วน ขับโดยโบ๊ท มือกีตาร์ลีดหนุ่มของวง ขณะที่อีกสามหนุ่มที่เหลือต่างคนต่างพักผ่อนอิริยาบถกันไปในห้องโดยสารอันกว้างขวางของรถคันนี้ ท่ามกลางบรรยากาศในยามค่ำคืน ทั้งสี่หนุ่มต่างไม่ได้แต่แอลกอฮอล์แม้แต่หยดเดียวเนื่องด้วยว่าในค่ำคืนนี้พวกเขาไม่อยากเมามากนัก

“เฮ้อ คุ้มดีว่ะ ไม่เสียแรงเลยที่พวกเรามาออที่ร้านนี้นะ ว่าไหมพวกมึง”

มิวเอ่ยปากขึ้นมาเมื่อย้อนนึกถึงบรรยากาศที่ผ่านมา ทั้งความรู้สึกสนุกที่ได้เล่นต่อหน้านักดนตรีรุ่นใหญ่ๆ ที่มาชุมนุมกันที่ร้านแห่งนั้นยังไม่จางหายไปแม้แต่น้อย ชายหนุ่มร่างผอมสูงตกอยู่ในห้วงภวังค์ตลอดเวลาทั้งๆ ที่ยังคงมองวิวทั้งสองข้างทางไปตลอด ส่วนอีกสองหนุ่มที่เหลืออย่างต้นและบอยต่างคนต่างผล็อยหลับลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยหลังจากที่ใช้พลังมาตลอดช่วง และไม่หลับเปล่า ต่างคนต่างแข่งกันกรนอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่นั่นก็ไม่สามารถทำลายสมาธิในการขับรถของโบ๊ทได้แม้แต่น้อย…

“ต้องขอบคุณกูเว้ยไอ้มิว กูเป็นคนที่ชวนให้พวกมึงไปออที่ร้านนี้ไม่ใช่เหรอวะ ฮ่าๆ”

“เออ ใช่ เพราะมึงเลยไอ้โบ๊ทที่แนะนำให้พวกเรามาออร้านนี้ แม่งคุ้มจริงๆ ว่ะ คนละพันห้า ค่าน้ำมันแยกต่างหาก”

“มะรืนนี้ก็เปิดเทอมแล้วว่ะ เวลาจะเจอกันคงยากหน่อยแหละว่ะมึง ว่าไหม ไอ้มิว”

โบ๊ทเริ่มรู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับวันเปิดเทอมมากขึ้น เพราะวันนั้น พวกเขาทั้งสี่จะไม่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าบอยจะเรียนอยู่ด้วยกันก็ตาม

“มึงอย่าพูดได้ไหมวะไอ้โบ๊ท กูหวิวเหมือนกันนะเว้ย แสรด”

มิวหันไปต่อว่าใส่เพื่อนสนิททันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าในตอนนี้เริ่มเกรียมกรมไปด้วยความกังวลใจไม่ต่างกัน ขณะที่ต้นและบอยยังคงหลับไม่รู้เรื่อง ไม่รับรู้ความกังวลของทั้งสองแม้แต่น้อย…

ระหว่างที่มิวตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความคิดอยู่นั้น จู่ๆ ไอโฟนสี่เอสกรีดร้องคำรามขึ้นมาเฉยๆ กับข้อความที่ถูกส่งเข้ามา และนั่น ทำให้เจ้าตัวต้องหลุดจากภวังค์ชั่วคราว…

: นายมิว เป็นไงบ้างคืนแรกที่ Sweat Rock เค้าขอโทษด้วยน้าที่ไปดูไม่ได้อ่า กว่าพวกเค้าจะเลิกซ้อมก็เกือบสี่ทุ่มแน่ะ ดูแลตัวเองด้วยนะ J :

ชายหนุ่มถึงกับยิ้มไม่หุบเมื่อได้เห็นข้อความจากแฟนสาว ภาพใบหน้าสวยหวานหยาดเยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนของโบผุดขึ้นมาในห้วงความคิด เพราะนับตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ทั้งสองยังไม่ได้เจอหน้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว…

“ไอ้ต้น ไอ้บอย ตื่นเว้ย ถึงบ้านพวกมึงแล้วเว้ย”

หลังจากส่งเพื่อนๆ ที่เหลือเสร็จ โบ๊ทจึงรีบขับรถแวนคู่ใจมุ่งไปยังบ้านทันทีด้วยอาการเหน็ดเหนื่อยและอยากนอนพักผ่อนเต็มแก่ จนกระทั่งเวลาผ่านไปราวๆ เกือบครึ่งชั่วโมง ร่างผอมสูงตอนนี้ได้พาตัวลงเอนหลังบนเตียงนอนไปแล้ว

{{ตื๊ด…}}

: ตัวเอง นอนได้แล้วน้า เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไม่ไหวน้า เค้าเป็นห่วง :p:


เป็นมือใหม่หัดเขียนครั้งแรก ติชมได้เต็มที่เลยครับผม 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
1 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
1 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา