ทีมปล้นคนเหนือเมฆ
เขียนโดย itas
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 00.33 น.
แก้ไขเมื่อ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 19.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ความวุ่นวาย และ ความสุข
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ติ้ดๆ โย่วๆ @#%$^$&” เสียงโทรศัพท์ของเมฆดังขึ้นขณะที่เมฆหลับในรถของจ่าองอาจ
“เพลงไรของแกว่ะนั้น” จ่าบ่นระหว่างขับรถ
“ฮาโหล…มีไรหรออั๋น หาวววว” เมฆถามด้วยน้ำเสียงพึมพำเพราะเพิ่งตื่น
“พี่เมฆ…มาหาผม ด่วน! บอกให้จ่าเอากำลังเสริมมาให้ด้วย… ”
“บึ้ม!!”
“โอย!”เสียงอั๋นตะโกนออกมา
“ไออั๋น! เป็นไรมั้ย!” เมฆส่างทันทีที่ได้ยินเสียงระเบิดในการสนทนา
“ไม่เป็นไรครับ แต่ขอให้เอากำลังเสริมมาให้เร็วที่สุด!”
“โอเค ได้ๆ จ่าครับ!”
ณ โกดังเก็บของบรรทุกสินค้า ที่เต็มไปด้วยบังเกอร์ กลายเป็นสนามรบไปเรียบร้อย เสียงปืนดังอึกทึกไปทั่วทุกหนทุกแห่ง อั๋นวิ่งเข้าบู๊ประจัญบานกับเหล่าโจรที่เต็มไปด้วยอาวุธครบครัน
“ไอพวกเฮงซวย!” อั๋นตะโกนลั่นอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นหนุ่มผู้บ้าสงคราม เค้าใช้ปืนกลเล็กกลาดยิงพวกโจรเหล่านั้นตายเรียบ กลิ้งม้วนตัวหลบกระสุนและกระโดดเล็งปืนยิงกลาดพวกโจรอย่างเหนือชั้น
“แกรกๆๆ”กระสุนปืนของอั๋นหมด โจรทางด้านหน้าและหลังโผล่ขึ้นมาจากบังเกอร์และเล็งปืนกลมาที่เขา อั๋นเขวี้ยงปืนทิ้งใส่โจรด้านหน้าเขา และหยิบปืนพก กับ มีดสั่น กระโดดเหวี่ยงตัวมาเล็งปืนไปด้านหลัง และสบัดขว้างมีดไปด้านหน้า
“ปัง!... ฉึก!” โจรทั้งสองล้มลงกองบนบังเกอร์
และทันใดนั้นก็มีโจรเล็งปืนมาที่เขาทางด้านข้าง อั๋นไม่สามารถตั้งตัวได้ทันเพราะผลจากการเหวี่ยงตัวทำให้อั๋นล้มลงอย่างช้าๆ
“ปัง!”
…
“เกือบไม่รอดนะเรา” โจรคนนั้นล้มลง อ้นที่พรางตัวซุ่มยิงสไนเปอร์จากบนบังเกอร์สูงสุดบอกอั๋นผ่านทางหูฟัง
“จะทำให้เสียวทำไมกันฟร่ะ!” อั๋นลุกขึ้น หันไปตะโกนด่าอ้น
“ไม่ต้องตะโกนก็ได้ใส่หูฟังอยู่! มันแสบ!!”อ้นตะโกนกลับไป
“…โอเคๆ เดี๋ยวฉันจะกลับไปที่คลังสินค้า คุ้มกันให้ด้วย”พูดเสร็จอั๋นก็ไปเก็บปืนจากศัตรูที่ฆ่าไปและวิ่งลุยต่อ
“เดี๋ยวๆๆ อั๋น ฉันเห็นมันขับรถออกไปจากคลังสินค้า ไม่รู้ว่ามันขโมยของไปหรือยัง” อ้นส่องกล้องจากตัวปืนและบอกอั๋น
“จำเลขทะเบียนและบอกพี่เมฆซะ!” อั๋นหยุดวิ่งและตะโกนตอบไป
“ตรูบอกว่าไม่ต้องตะโกนโว้ยยยย!!!”
“จก 2423 นะ โอเค…จ่าครับ!” เมฆบอกให้จ่าองอาจเรียกตำรวจสกัดกั้นรถดังกล่าว
และรถของจ่ากับรถตำรวจนับสิบคันก็มาถึงที่หมาย เมฆกับจ่ารีบออกจากรถเข้าไปในโกดังสินค้านั้นภาพที่เห็นนั้นเหมือนการก่อการร้ายที่เพิ่งสงบไปในกี่นาที
“ไออั๋น!…” เมฆตะโกนเรียกไออั๋นที่กำลังเดินหอบๆบนพื้นที่ร้อนระอุ ไอร้อนบนพื้นระเหยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ณ ที่สำนักงานตำรวจ ห้องทำงานของจ่าองอาจ
“ระหว่างที่พวกแกตกลงซื้อ-ขาย ก็มีมือที่สามมาปล้น มันคือ โจ…เป็นใครกัน” จ่าองอาจออกมาจากห้องสอบปากคำพวกโจรพวกนั้นและเดินมาถามอั๋นกับอ้นต่อ
อั๋นอยู่ในสภาพสะบักสะบอม พอๆกับอ้นทั้งคู่ดูเหนื่อยจนไม่อยากจะพูดอะไรทั้งนั้น
“โจหรอ…มันจะไม่ใช่แค่โจรธรรมดาๆแล้ว มันจะกลายเป็นหน่วยก่อการร้ายขึ้นทุกวัน” เมฆพูด
ช่วงเที่ยง ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวสำนักงานตำรวจ เมฆกับจ่าองอาจกินมื้อเที่ยงด้วยกัน
“ส่วนเรื่องแก๊งค์ผี ฉัตรชัยบอกว่า ภาพที่คุณหญิงปริ้นมา คือเมย์ แน่นอน” จ่าเริ่มเปิดประเด็น
“มันก็ต้องใช่อยู่แล้ว เพราะ ยังไงคุณหญิงก็สมรู้ร่วมคิดกับแก๊งค์ผี นักธุรกิจบ้าอะไรจะมีเวลาสเก็ตใบหน้าคนร้ายที่ตัวเองสงสัยในสามสี่วันได้หรอ และไปสั่งให้คนใช้ปริ้นสดๆ ทั้งๆที่รู้ว่าเราจะมา แต่กลับไม่เตรียมของสำคัญอย่างหลักฐานให้เราไว้ก่อน…”
“ว่าแล้ว พวกคุณต้องมาสอบปากคำฉัน”คำพูดตอนที่คุณหญิงรอทั้งสองที่ห้องรับแขก(ตอนสี่)
“ส่วนคนใช้นั้นต้องเมย์เป็นแน่นอน…
“เนียนอะไรคะคุณนักสืบ…”คำพูดของนางจวบตอนที่เมฆเดินชน
งานของผม คือ ล่าอาชญากร และผมนั่งรถตำรวจมา แม่บ้านไม่ก็คนส่วนใหญ่ จะคิดว่าผมเป็นตำรวจ แต่เธอ รู้ว่างานของผมไม่ต่างอะไรจากการสืบ”
“และเพราะเธอเป็นเมย์ คุณแมรี่จึงใช้เธอไปทำภาพตัวเองตอนใช้หลอกฉัตรชัยมาให้” จ่าคิดตามและเสริม
“แล้ว…เราจะมัดตัวเธอกับแก๊งค์ผีนั้นอย่างไร หลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันเราไม่มีเลยนะ มีแต่การคาดเดาที่เป็นหลักฐานนามนัย ไม่ได้บันทึกเสียงตอนเธอพูดตอนรับเราด้วย” จ่าพูดแบบเซ็งๆ
“คงต้องทำใจครับจ่า ต่อให้ลากเธอมาสอบสวนจริงๆเธอก็น่าจะออกจากข้อหานี้ได้ไม่ยาก”เมฆบอก
จากนั้นทั้งคู่ก็หม่ำมื้อเที่ยงต่อ…
“พวกเรา…ล้วนเป็น…นักล่า…” เมฆนึกภาพและเสียงตอนที่เห็นไอโจครั้งนั้น…
“เสียตรงที่ พวกแกมันมีจุดอ่อนกันทั้งคู่”
“จุดอ่อน…ทั้งคู่”เมฆบ่นพึมพำ
“ฮ่ะ…” จ่ามองหน้าเมฆด้วยความสงสัย
“เปล่าครับๆ ไม่มีอะไร”
ณ ห้องคอนโดแห่งหนึ่งที่ถูกแต่งในสไตล์เรียบๆ สบายๆ มีโซฟา เตียงนอนเล็กๆ กับชั้นวางหนังสือในห้องนอนนั้น และแบ่งเป็นโซนทำกับข้าว รับแขก ห้องทำงานบ้านและ ห้องน้ำ
“ขณะนี้เรากำลังอยู่ในที่เกิดเหตุนะครับ คาดเป็นการปล้นอาวุธเถื่อนและมีการปะทะกันอย่างดุเดือนเหมือนสนามรบครับ…” เสียงผู้รายงานข่าวจากทีวีช่องหนึ่ง ทำให้แมนที่กำลังรีบผ้าอย่างเปื่อยๆหันมาสนใจที่หน้าจอทีวี
“โดนทางตำรวจได้ให้การว่า เป็นการปล้นของผู้ก่อการร้ายที่มีนามว่า โจ…”
แมนอึ้งไปสักพักหนึ่ง
“จะทำอะไรของมันอีก…”
และช่วงเวลาแห่งความมืดมิดของวันนั้นก็มาถึง แสดงให้เห็นถึงผู้คนที่ต้องกลับเข้าบ้านและพักผ่อนหลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน แต่บางคนก็ออกมาทำงานนั้นช่วงเวลานี้ ถนนในเมืองนั้น ไม่เคยหยุดนิ่ง แม้แสงอาทิตย์จะสงบลง แต่ผู้คนก็ยังไม่สงบตาม
เหมือนกับใจของเมฆในตอนนี้ เข้านอนก่ายหน้าผากในห้องนอนที่เป็นทีวีข้างไว้ เขาไม่สนใจเรื่องราวในทีวี เอาแต่เหม่อลอยในความคิด
“ฮ่วยเดินระวังหน่อยสิป้า…” เมฆนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น…ตอนที่เดินชนกับป้า
“เนียนอะไรหรอค่ะคุณนักสืบ?” เมฆยังจำดวงตาของคนใช้คนนั้นได้ดี
“ปล่อยให้ฉันใช้ความรู้สึกหาเธออย่างงี้…แล้วเมื่อไหร่ฉันจะเจอตัวจริงของเธอสักทีกัน...เมย์” เมฆอึดอัดจนต้องพร่ำเพ้อออกมา
เช่นเดียวกับแมนที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และกำลังพิมพ์อะไรสักอย่าง…
เป็นกระทู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตต่างๆทุกๆเรื่อง แมนเปิดดูกระทู้ล่าสุด เป็นชื่อผู้ใช้”สาวเปื่อย”ตั้งกระทู้นั้น
“เคยมีปัญหาที่ไม่สามารถบอกใครได้มั้ยค่ะ…บอกเลยว่าเครียดมาก” และมีภาพตัวการ์ตูนน่ารักๆร้องไห้อยู่
แมนจ้องอ่านสักพักและพิมพ์กลับไป…
“อยู่ที่น้องเลือกครับ ว่าจะระบายปัญหานั้นออกมาเพื่อให้สบายใจ หรือเก็บปัญหานั้นไว้ถ้ามันไม่ได้ทำให้น้องแย่ลง… ถ้าน้องกลัวว่า น้องระบายปัญหานั้นลงไว้ที่ตรงนี้จะทำให้น้องดูไม่ดี จงปรึกษาคนที่ไว้ใจที่สุดครับ แอดมินเป็นกำลังใจให้นะครับ J” แมนเป็นเจ้าของเว็บนั้น และไล่ตอบกระทู้ที่คนเข้ามาปรึกษาและข้างโต๊ะคอมฯ ก็มีใบประกาศนียบัตรจบการศึกษาคณะจิตวิทยาระดับปริญญาตรีกับใบรับรองวิชาชีพจิตวิทยา
“หนูไว้ใจพี่…” สาวเปื่อยพิมพ์ตอบในกระทู้กับมา แมนจึงเปิดแชทเข้าไปคุยกับสาวเปื่อย
“น้องคงลำบากใจที่จะปรึกษาคนรอบข้าง น้องไม่ไว้ใจพวกเขางั้นหรอ” แมนพิมพ์ไปในแชท
“ใช่ค่ะ…แม้แต่พี่ หนูก็ไม่อยากให้พี่รู้ตัวตนของหนู นอกจากปัญหาที่หนูเจอ” สาวเปื่อยตอบกลับมา
“ครับผม มันเป็นสิทธิส่วนตัวที่ผมจะไม่ก้าวก่าย ว่าแต่น้องมีเรื่องอะไรที่พี่พอจะช่วยได้มั้ย” แมนพิมพ์กลับไป
“หนูเบื่อ… เบื่อรอบครัวที่ต้องรักษาหน้ารักษาตาในสังคม ต้องทำงานต้องมีบุคลิกที่เป็นผู้นำทั้งที่เป็นความเฟคออกมา พี่หนู…พ่อหนู แม่หนูก็หนีไปต่างประเทศ ปล่อยให้หนูจมอยู่กับพ่อและพี่ที่ต้องมีหน้ามีตาในสังคมไปวันๆ สิ่งที่หนูชอบคือศิลปะ และพ่อกับพี่ไม่มีวันเข้าใจ เอาแต่ใส่ความคิดบ้าๆให้กับฉัน”
แมนจ้องอ่านและรู้สึกสงสารน้องคนนั้น จากนั้นแมนพิมพ์ตอบกลับไป
“เก็บกด…ใช่มั้ย”
“ตอนนี้พี่ว่าน้องเริ่มดีขึ้นจากการระบาย แต่พี่อยากจะแนะนำต่อว่า เก็บความเก็บกดนั้นไว้ น้องชอบศิลปะ พี่ว่าน้องปลดปล่อยมันออกมาได้สวยงามแน่ ช่องทางที่จะให้น้องปลดปล่อยออกมาได้พี่ว่ามีมากมาย ลองหาดู และน้องจะหลุดพ้นจากสิ่งน้องทนทุกข์ได้เอง และมีความสุขไปกับครอบครัวของน้องได้ด้วย” แมนยิ้มหลังจากพิมพ์ตอบ
“ช่องทางที่จะให้หนูได้ปลดปล่อย ได้ทำในสิ่งที่ต้องหรอ…” สาวเปื่อยตอบกลับมา
“ใช่…น้องต้องลงมือทำให้โลกเห็น ไม่ต้องสนว่าผลจะเป็นอย่างไร พี่คนหนึ่งแหละที่จะติดตามผลงานของน้อง 5555” แมนพิมพ์ตอบ
“ขอบคุณมากค่ะ ไม่ได้พี่นี้หนูเครียดตายเบย”สาวเปื่อยตอบกลับพร้อมตัวการ์ตูนน่ารักๆ
“ค่าแม่สาวเปื่อย” แมนพิมพ์ตอบกลับพร้อมการ์ตูนล้อเลี้ยนน่ารักๆเช่นกัน
แล้วแมนก็ตอบกระทู้อื่นๆไปเรื่อยๆจนถึงเวลาที่ควรเข้านอน ส่วนเมฆก็ลุกขึ้นมาปิดทีวี และนอนใส่หูฟังฟังเพลงสากลเก่าๆ เวลาแห่งเงาของพระจันทร์ก็ล่วงเลยไป…ทีละนิด… ละนิด… ผู้คนได้นอนพักผ่อนเป็การจบความวุ่นวายและความสุข…ของวันนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ