ริมฝั่งทะเลฝัน

-

เขียนโดย น้ำไนล์

วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18.56 น.

  14 ตอน
  2 วิจารณ์
  17.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 19.24 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

14) ใจเอย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                  แสงสีส้มอมเศร้าฉาบไล้ไปทั่วผืนฟ้า พระอาทิตยืโน้มตัวลงจูบแผ่นน้ำอยู่ทางทิศตะวันตก ลมเย็นโรยสายผ่านไปอย่างไม่ใยดีระลอกคลื่น ฟ้านั่งตรงระเบียงบ้านหันหน้าออกสู่ทะเลกว้าง สายตาเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย สุดปลายสายตาที่ซึ่งขอบฟ้าจรดแผ่นน้ำเป็นแนวเส้นตรงทอดตัวยาวไกล เส้นขอบฟ้าเหมือนใกล้แต่ไม่มีวันเดินทางไปถึง ฟ้าหลงรักที่นี่ หลงรักบรรยากาศเช่นนี้ และขณะนี้หัวใจกำลังโอบอุ้มเอาความรักชนิดหนึ่งเข้ามาวางตรงกลางใจ ความรักที่มาพร้อมความเศร้าอบอวลอยู่รอบกาย

                   ปลายนิ้วเรียวลูบไล้จี้ดวงดาวสองดวงที่ใส่อยู่ที่คอ สัมผัสที่ปลายนิ้วเย็นวาบแต่ร่องรอยในหัวใจอุ่นลึก สายลมยามใกล้ค่ำพัดผ่านปะทะผิวเนื้อคล้ายจะหอบเอาความเศร้ามาห่มคลุมไว้ทั่วหัวใจ

                   ‘เอกว่าเราควรจะแต่งงานกันได้แล้วนะฟ้า’ ประโยคนี้ของเอกเมื่อตอนกลางวันหยุดโลกที่เคลื่อนไหวของฟ้าให้นิ่งอยู่กับที่

                   ‘เอกไม่อยากให้ฟ้าต้องอยู่ที่นี่คนเดียว แต่งงานแล้วเราจะย้ายไปอยู่กรุงเทพกัน เพราะเอกคงต้องอยู่ดูโรงแรมที่โน่นสักพัก’ ฟ้าหลบสายตาจริงจังคู่นั้นของเอก ไม่อยากให้เขขาเห็นความสับสนและหนักใจในดวงตาคู่นี้ ลมหายใจหนักอึ้งอัดแน่นอยู่ในอก แม้แต่จะระบายก็ยังคงอึดอัด

                   ‘มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอเอก’ ฟ้ารู้ดีว่ามันไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่สำหรับประโยคคำถามนี้ และก็เป็นผลให้คิ้วทั้งสองข้างของเอกขมวดเข้าหากัน

                   ‘เร็วไปเหรอ เราคบกันมานานแล้วนะฟ้า เอกว่ามันเริ่มช้าไปแล้วด้วยซ้ำ…หรือว่ายังมีอะไรที่ไม่มั่นใจในตัวเอกอีก’

                   นั่นสิ…ยังมีอะไรที่ไม่มั่นใจ อะไรที่ว่านั่นคงไม่ใช่ตัวเอกหรอก แต่เป็นที่หัวใจดวงนี้เองต่างหาก หัวใจที่บัดนี้มันเริ่มหวั่นไหวสับสนและมีเงาของใครอีกคนทับซ้อนเข้ามา

                   ‘ฟ้า…ยังรักเองอยู่ใช่มั๊ย’

                   ลมเย็นพัดโชยมาปะทะร่างกายอีกครั้งความหนาวราวทบทวีขึ้น หนาวเพราะคำถามนั้นยังคงติดอยู่ในใจ หนาวเมื่อนึกถึงคำตอบแล้วพบแต่ความว่างเปล่า ฟ้าจำได้ว่าตอนนั้นได้แค่ยิ้มบางๆแทนคำตอบ เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีความหมายอะไรเลย เป็นรอยยิ้มที่ยื้อเวลาเพื่อหาคำตอบให้หัวใจตัวเอง

                   ยังรักเอกอยู่หรือเปล่า…ความรักมันแปรเปลี่ยนตามกาลเวลาได้จริงๆหรือ…หรือว่ามันไม่เคยมีมาแต่เริ่มต้น แล้วระหว่างทางที่ระยะเวลาทอดยาวอยู่ล่ะเรียกสิ่งนั้นว่าอะไร รัก หรือ ผูกพัน และสำหรับใครบางคนที่เดินเข้ามาทีหลังหอบอะไรต่อมิอะไรมาทำให้หัวใจโยกไหวสั่นคลอนอยู่ในใจตอนนี้ล่ะ เรียกว่ารัก หรือ แค่หลง

                   คำถามและความสงสัยเหล่านี้วนเวียนอยู่ในความคิดของฟ้า ยากที่จะตัดสินใจ ยากที่จะทำใจ และยิ่งยากที่จะถอนใจ

……………………………………………..

                   ความมืดของค่ำคืนโรยตัวไปทั่วชายหาด นัทนั่งพิงโขดหินฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ดาวบางดวงเยี่ยมหน้ามาทักทายส่องประกายวิบวับอยู่ปลายขอบฟ้า

ใจเอย…

จะซ่อนเจ้าไว้แห่งไหน

ใต้ผืนทะเล หรือสุดฟ้าไกล

ความเจ็บปวด จึงตามไป หาเจ้าไม่เจอ

หากแต่ไม่ใช่

ใจเอย…เจ้ายังคงอยู่ในกายข้า

ความเจ็บปวด บาดเร้า ล้ำลึกทุกเวลา

เฆี่ยนตีด้วยภาพทรงจำที่ผ่านมา เนิ่นนาน

                   นัทวางปากกาลงใกล้ๆข้อความที่เพิ่งเขียนเสร็จ แม้จะเขียนระบายทุกสิ่งที่ใจรู้สึกแต่ความเจ็บปวดก็มิได้ทุเลาลง กลับชัดเจนขึ้นเมื่อภาพที่เห็นเมื่อตอนกลางวันนี้มันคอยฉายซ้ำอยู่ในห้วงความคิดตลอดเวลา

                   ภาพที่เขาสองคนอยู่ด้วยกัน ภาพของความเป็นจริงที่คอยตอกย้ำถึงความเป็นไปไม่ได้ คนของเขากลับมาแล้ว เขากำลังจะแต่งงานกันแล้ว

                   นัทพาร่างกายที่แบกเอาหัวใจช้ำๆมานั่งพักอยู่ที่โขดหินตรงนี้ตั้งแต่เมื่อตอนบ่าย หวังให้สายลมเสียงคลื่นช่วยขับกล่อมหัวใจให้คลายโศก…คิดถึงแม่…คิดถึงฟ้า…คิดถึงความอบอุ่น…คิดถึงความทรงจำ หากความรักทำให้ทรมานได้ความคิดถึงก็โหดร้ายไม่แพ้กัน

                   ดึกแล้วน้ำค้างลอยพัดมากับสายลม พระจันทร์หลบอยู่ใต้กลีบเมฆอยู่ลิบๆแสงสีนวลแผ่รัศมีมาให้พอชื่นตาหากหัวใจกลับเย็นชืดราวไร้ชีวิต นัทยันกายลุกขึ้นเดินออกจากชายหาดแห่งนั้นอย่างช้าๆ

                   เสียงเพลงสุดท้ายจากร้านฝั่งฝันบรรเลงจบลงพร้อมกับเสียงตบมือจากแขกที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่โต๊ะ แทนเปิดเพลงจากแผ่นซีดีเพื่อขับกล่อมแขกที่ยังคงนั่งติดลมอยู่อีกสักระยะหนึ่ง จากนั้นเขาก็ลงมายืนชะเง้อชะแง้อยู่ตรงหน้ารั้วจนวินอดสงสัยไม่ได้

                   “แกหาอะไรน่ะแทน”

                   “ไอ้นัทอ่ะดิ หายหัวไปตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว จนดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังไม่โผล่หัวมาอีก” ในน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์นั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย

                   “เออ…เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ” วินเองก็เป็นห่วงไม่แพ้กัน เพียงแต่เขารู้ว่าเวลานี้นัทต้องการอยู่เงียบๆคนเดียวมากที่สุด เวลาสำหรับการทบทวนตัวเองคงจะช่วยให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้นมาบ้าง

                   “นั่นไง มันโผล่หัวมาให้แกเห็นแล้ว” วินพยักเพยิดไปทางชายหาดหน้าร้าน นัทเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับแขกชุดสุดท้ายทยอยกันกลับออกไป

                   “เอ้าๆเก็บของก่อนโว้ย…จะได้เข้านอนกัน” วินส่งเสียงตะโกนออกมาบอกเพื่อเป็นการตัดบทไม่ให้แทนซักถามอะไรนัท ส่วนแทนจากที่ตั้งใจจะโวยวายใส่นัทเมื่อได้เห็นอาการเซื่องซึมนั้นก็ได้แต่เฝ้ามองนัทที่ช่วยเก็บโต๊ะที่เหลืออยู่เงียบๆ จนวินเข้ามาตบบ่าและกระซิบเบาๆ

                   “เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

………………………………………………….

                   หลังจากที่เก็บร้านเสร็จนัทอาบน้ำแต่งตัวแล้วจึงออกมายืนรับลมที่ระเบียง ส่วนวินและแทนก็หายเงียบเข้าไปในห้องทั้งคู่ จากที่ยืนเงียบๆได้ไม่นานแทนก็ส่งเสียงเอะอะดังมาจากในบ้านไม่นานนักเขาก็โผล่หน้าออกมาทักทายนัท

                   “ไง…แก”

                   “ก็ไม่ไง”

                   “คืนนี้ฟ้าไม่ค่อยสวยนะ…ดาวหม่นๆมัวๆยังไงก็ไม่รู้” นัทหันหน้าไปมองคนข้างๆที่ตอนนี้แหงนหน้ามองฟ้าอย่างสงสัย ประกายตาขี้เล่นคู่นั้นมีรอยเศร้าไหววูบอยู่นิดๆ

                   “แล้วแกล่ะ…โอเคดีรึเปล่า” นัทถามกลับไปบ้าง

                   “ก็ดี…อาจจะยังเจ็บอยู่บ้างก็ตอนที่ความทรงจำมันวูบเข้ามา”

                   “แกสลัดความเศร้าได้ง่ายอย่างนั้นเลยเหรอแทน”

                   “เปล่าเลยนัท…เพียงแต่เราต้องอยู่กับมันให้ได้” เสียงนั้นจริงจัง ลมหายใจผ่อนออกช้าๆรอยยิ้มขื่นๆคล้ายเยาะหยันตัวเองแต้มอยู่ตรงมุมปาก

                   “ชีวิตมันไม่ได้มีสิ่งดีๆหยิบยื่นมาให้เราตลอดหรอกนะ บางวันก็โยนความสุขมาให้ บางวันก็ขว้างความทุกข์มาใส่ บางทีก็มีโปรโมชั่นแถมความผิดหวัง ความเหงามาให้อีก กะให้รับไม่ไหวก็ตายกันไปข้างหนึ่ง ไอ้ความเจ็บปวดเนี่ยถ้าใครได้ลิ้มลองรสชาติมันเข้าไปก็อาการสาหัสกันทุกคนแหละ…เพียงแต่ว่าช่วงเวลาโหดสุดๆของชีวิตเราจะรับมือกับมันยังไงต่างหาก”

                   “แล้วเราจะรับมือกับมันยังไง” น้ำเสียงเบาคล้ายรำพึงกับตัวเอง

                   “ไม่ง่ายหรอกนะนัทที่เราจะจัดการกับความทุกข์ในชีวิตน่ะ…ตอนที่พ่อแม่แยกทางกันใหม่ๆเราเสียใจมาก แต่ที่แย่กว่านั้นก็ตอนที่เค้าทั้งคู่ต่างก็มีครอบครัวใหม่ มันเหมือนกับว่าเราเป็นส่วนเกินของทั้งพ่อและแม่ เป็นใครสักคนที่โลกนี้ไม่ต้องการ ทุกคืนเรานอนกัดฟันร้องไห้อยู่คนเดียวแม้แต่เสียงสะอื้นก้ไม่กล้าให้ใครได้ยิน นอนหลับไปพร้อมกับฝันร้าย เราทรมานอยู่กับความรู้สึกนี้อยู่เป็นปี เด็กที่แม้แต่พ่อแม่ตัวเองก็ไม่กล้ากอดน่ะรู้มั๊ยว่ามันโหยหาความรักความอบอุ่นมากแค่ไหน ดังนั้นเวลาที่เราเจอใครสักคนที่เราถูกใจ เราก็พร้อมที่จะชอบ พร้อมที่จะจีบ และพร้อมที่จะรักอย่างง่ายๆ เพียงแค่ต้องการที่จะเป็นคนถูกรักบ้าง…แล้วก็เป็นไงล่ะอย่างที่แกเห็น เจ็บกลับมาทุกที แต่ไอ้หัวใจโง่ๆนี่มันก็ไม่หลาบจำ เพียงเพราะว่าไอ้ช่วงเวลาที่มีใครสักคนมารักเรามากอดเรามาดีกับเราน่ะมันสวยงาม…เราเขี่ยความทุกข์ไปให้พ้นจากชีวิตไม่ได้หรอกนัท แต่เราเลือกได้ว่าจะกอดมันเอาไว้อย่างนั้นหรือจะวางมันเอาไว้ข้างๆแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นมันซะบ้างแล้วเลือกเดินไปหยิบความสุขจากความทรงจำมาแต้มไว้บนหัวใจ”

                   “มันไม่ง่ายเลยนะแทนที่จะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นมัน บางสิ่งบางอย่างทั้งๆที่เรารู้ว่ามันเจ็บปวดแต่เราก็ยังอยากจะเดินเข้าไปหา”

                   แทนหัวเราะในลำคอแหงนหน้ามองฟ้าอีกครั้ง

                   “ฟ้าสวย…แต่ก็อยู่ไกลเกินเอื้อม ยิ่งเดินเข้าไปหาก็เหมือนยิ่งหลงทาง” ประโยคนี้ตรึงทุกสิ่งทุกอย่างให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ น้ำตาหยดใสหล่นร่วงจากดวงตานัท แทนเอื้อมมือลูบผมนัทเบาๆ เขาเข้าใจดีว่าความเจ็บปวดชนิดนี้พิษของมันร้ายแรงเพียงใด หากไม่รีบสะกัดให้มันหยุดเสียแต่ตอนนี้วันข้างหน้าหากพิษของมันไหลเวียนอยู่เต็มพื้นที่หัวใจ นัทก็ไม่อาจจะทนกับบาดแผลนี้ได้ นัทยกมือปาดน้ำตาหันมายิ้มบางๆให้แทน

                   “เราเข้าใจ แต่ขอเวลาเราสักนิด แผลมันเพิ่งเกิดตอนนี้เรายังเจ็บมากๆอยู่เลยเรารู้ดีถึงความเป็นไปไม่ได้และพร้อมที่จะยอมรับในสิ่งที่เราเลือก…แม่เคยพูดเอาไว้ว่าความรักสวยงามเสมอ เราควรที่จะเลือกหยิบความทรงจำดีๆมาแต้มไว้บนหัวใจใช่มั๊ย”

                   “ฟ้าสวย ถ้าเรามองแล้วมีความสุขหัวใจเราก็จะเป็นสุข แต่ถ้าเรามองผ่านหยดน้ำตาแบบนนี้ มันก็เศร้า ใจเราก็เจ็บ…น้ำค้างลงแล้ว แกอย่านอนดึกนักล่ะเดี๋ยวจะไม่สบาย”

                   ใบหน้าหม่นหมองของนัทหันมายิ้มให้แทนอีกครั้ง

                   “อืม…ขอบใจ เดี๋ยวสักพักเราก็เข้านอนแล้วล่ะ” แทนตบบ่านัทอีกครั้งก่อนที่จะเดินเข้าประตูบ้านไป

                   “โห…แทน เจ๋งว่ะ แกคิดไอ้ประโยคสวยๆแบบเมื่อกี๊ได้ไงน่ะ” วินซึ่งแอบยืนดูเหตุการณ์อยู่ตรงมุมประตูรีบเข้ามาถาม

                   “ก็เอามาจากหนังสือน่ะสิ แหมท่องตั้งนานกว่าจะจำได้หมด”

                   “เฮ้อ…”ว่าแล้วต่างก็ถอนหายใจพร้อมกันเมื่อหันกลับไปมองนัทที่ยืนเหม่ออยู่ตรงริมระเบียง

                   “หวังว่ามันจะคิดได้ ทำใจได้ และถอนตัวได้”วินบ่นเบาๆโดยมีแทนยืนมองด้วยความห่วงใยเพื่อนไม่แพ้กัน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา