ริมฝั่งทะเลฝัน
เขียนโดย น้ำไนล์
วันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18.56 น.
แก้ไขเมื่อ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 19.24 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) ลมเศร้าทะเลครวญ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแดดทะเลเต้นระยิบหยอกล้อลูกคลื่นอยู่บนผืนน้ำ นัทยืนบิดตัวไปมาหลังจากที่ช่วยฟ้าเปิดร้าน จัดของเพื่อเตรียมขาย เหลือภาพวาดอยู่สองสามภาพที่ตั้งอยู่ด้านใน นัทจัดการยกออกมาวางโชว์ไว้หน้าร้านเพื่ออวดสายตานักท่องเที่ยว
นัทยืนมองภาพวาดชิ้นสุดท้ายที่ยกออกมาวางด้วยความสงสัย เป็นภาพของท้องทะเลในความมืด มีพระจันทร์สีเหลืองลอยเงาอยู่บนผืนน้ำ แต่สิ่งที่เรียกสายตาของนัทมากที่สุดคือภาพของหญิงสาวที่ยืนพิงสนต้นใหญ่ริมหาด เส้นผมสะบัดไหวตามแรงลมและคล้ายจะมีน้ำตาเม็ดบางปลิวไปกับสายลมนั้น นัทรู้สึกคุ้นเคยกับภาพนี้ราวกับเป็นตัวเอง
“ชอบเหรอ” เสียงใสๆของฟ้าดังมาจากทางด้านหลัง นัทหันไปมองดวงตายังมีแววครุ่นคิด
“ทำไมพี่ฟ้าถึงวาดรูปนี้เหรอ” ฟ้าอมยิ้มนิดๆให้กับความช่างสงสัยก่อนที่จะตอบ
“คืนนั้นพี่เห็นใครบางคนยืนเศร้าอยู่ริมทะเล คงเป็นความเศร้าที่เจ็บปวดมากเพราะในความมืดพี่เห็นเธอยกมือขึ้นปาดหยดน้ำตา” ดวงตาหวานซึ้งของฟ้ามองสบสายตาคมโศกซึ่งตอนนี้มีรอยยิ้มเขินๆแต้มใบหน้าเมื่อรู้แน่ว่าคนในภาพวาดนั้นคือตัวเอง
“ภาพนี้ไม่ต้องยกออกมาหรอกเพราะพี่ไม่ขาย” รอยยิ้มหวานบนแก้มใสส่งมาให้คนตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“ฟ้า” เสียงเรียกดังขึ้นก่อนทีเจ้าของเสียงจะรีบวิ่งเข้ามาหาด้วยท่าทีร้อนรน
“ไม่สบายแล้วออกมาเปิดร้านทำไม” ความห่วงใยฉายชัดในสีหน้าและแววตา มือข้างหนึ่งลูบผมฟ้าเบาๆอีกข้างหนึ่งโอบร่างบางไว้หลวมๆ
นัทเมินสายตาจากภาพนั้น เอกกลับมาแล้ว คนของเขากลับมาแล้ว ความเจ็บจุกแน่นอยู่ในอกจนแทบทะลักออกมาทางดวงตา ฟ้ายืนนิ่งในอ้อมแขนอย่างไม่ทันตั้งตัว สายตามองตามนัทที่กำลังยกภาพเขียนเข้าไปเก็บในร้าน
“เป็นอะไรมากรึเปล่า วินบอกเอกว่าฟ้าไม่สบาย เอกเลยรีบกลับมา เป็นห่วงฟ้ามากเลยรู้มั๊ย” เสียงนั้นของเอกดึงสายตาของฟ้าที่กำลังมองคนร่างเล็กในร้านให้หันมาสบตาเขา
“ฟ้าหายแล้ว เป็นไข้นิดเดียวเอง เอกไม่น่าทิ้งงานมาเลย”
“ก็เอกเป็นห่วง โทรหาก็ไม่รับ คราวนี้เอกไม่ปล่อยฟ้าไว้คนเดียวแล้ว” ทุกคำพูดของคนทั้งคู่ดังเข้ามาพร้อมคลื่นแห่งความเจ็บปวดกระแทกกระทั้นเข้าสู่หัวใจของนัท ฝ่ามือเล็กๆลูบไล้ภาพวาดที่ยกเข้ามาเก็บเบาๆ ความเศร้าที่อยู่ในภาพนั้นมีไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งที่นัทเป็นอยู่ตอนนี้ เมื่อความเป็นจริงเดินทางมาถึงความฝันก็ต้องสิ้นสุดลง นัทปาดน้ำตาทิ้งสูดลมหายใจช้าๆก่อนเดินกลับออกไปหน้าร้าน ภาพความจริงตรงหน้ากรีดหัวใจออกเป็นชิ้นๆ
“นัทกลับก่อนนะ” เสียงที่กลั้นใจพูดออกมาแทบจะแหบแห้ง เอกหันมายิ้มให้
“พี่ขอบใจมากนะนัทที่มาดูแลฟ้า ถ้าไม่ได้นัทคงแย่ ขอบใจนะ” รอยยิ้มของเอกจริงใจเสียจนนัทต้องหลบตา
“ไม่เป็นไรหรอกนัทเต็มใจ…ไปแล้วนะ” ประโยคหลังหันไปสบตาคู่สวยซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยความเศร้าและรอยอาลัยอาวรณ์ นัทตัดใจหันหลังกลับก่อนที่หัวใจอ่อนแอจะสั่งให้น้ำตาร่วงรินอีก
“รอฟ้าแป๊บนึงนะเอก” ฟ้าบอกเอกแล้วรีบวิ่งตามนัทออกมา
“นัท” เสียงนั้นตรึงนัทไว้กับที่ ฟ้าจับข้อมือนัทเอาไว้ใจหายวาบเมื่อเห็นคนตรงหน้าน้ำตาเอ่อ
“พี่” คำพูดทั้งหมดทั้งมวลหายไปสิ้นความปวดร้าวแล่นเป็นริ้วๆติดอยู่ตรงลำคอ นัทยิ้มบางๆเหลือบสายตาไปทางเอกที่ยืนมองอยู่ตรงหน้าร้าน
“ไม่เป็นไรนัทเข้าใจ กลับเข้าไปเถอะเค้ามองมาแล้ว”
ข้อมือเล็กๆหลุดจากการเกาะกุมของฟ้า หัวใจหลุดลอยหายตามร่างที่ควบมอเตอร์ไซค์จากไป ถนนข้างหน้าว่างเปล่าแล้ว ใครบางคนกำลังยืนรออยู่ข้างหลัง ฟ้าหมุนตัวกลับช้าๆอยากให้เวลาหมุนย้อนกลับ หัวใจเอยเป็นอะไรไปหนอทำไมถึงเบาหวิวจนแทบจะหลุดร่วงเช่นนี้
…………………………………………………..
เสียงมอเตอร์ไซค์ครางแผ่วๆและเงียบลงเมื่อจอดนิ่งตรงหน้าบ้านสีขาว บ้านเงียบเชียบเหมือนไม่มีใครอยู่ นัทนั่งลงตรงระเบียงบ้าน สายตาเหม่อลอยไร้จุดหมาย หัวใจคล้ายถูกบีบให้เล็กลงจนแม้จะหายใจยังเจ็บปวด น้ำตาร่วงพรูดั่งถูกปล่อยจากพันธนาการ นัทซบหน้าบนฝ่ามือไม่นานเสียงสะอื้นไห้ก็ดังอยู่ในสายลม
เนิ่นนานที่ความเจ็บปวดรุมกันโบยตีหัวใจให้เจ็บร้าวจนแทบแหลกละเอียด ภาพของความสุขในห้วงเวลาที่ผ่านมาทำให้หัวใจโหยหาความรู้สึกเหล่านั้น แต่ภาพความจริงที่ปรากฏตรงหน้าเมื่อครู่ได้ย้ำเตือนให้หัวใจเลิกคิดเลิกฝัน
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกนัท” เสียงของวินดังขึ้น นัทเงยหน้ามองสบสายตาของวิน สายตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและรับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น วินนั่งลงข้างๆนัทไม่เอ่ยถามและพูดใดๆปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่แทนถ้อยคำต่างๆ
“เรารู้…แต่…เราห้ามความรู้สึกไม่ได้” นานนับนาทีที่ถ้อยคำอันปวดร้าวรินไหลออกมาจากหัวใจของนัท
“ถึงความรู้สึกจะห้ามไม่ได้ แต่การกระทำบางอย่างจำเป็นต้องหยุด”
วินตบไหล่นัทเบาๆให้กำลังใจและปลอบโยนสายตาอุ่นๆเจือรอยยิ้มบางๆอย่างคนที่เข้าใจโลกเข้าใจชีวิตอย่างพี่ที่คอยเอื้ออาทรต่อน้อง ลมทะเลอ่อนๆพัดมาด้วยท่วงทำนองเงียบเศร้าพัดปลิวเม็ดน้ำตาหยดบางให้ระเหยจากดวงตาของนัท
“ความเจ็บปวดบางอย่างเมื่อเกิดขึ้นแล้วมันก็จะฝังลึกลงในหัวใจเราไปอีกนาน แม้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่สามารถลบเลือนได้ แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าต้องใช้ชีวิตที่เหลือจมอยู่กับความรู้สึกผิดตลอดไป” วินลุกขึ้นจากไปเงียบๆทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ให้นัทได้ทบทวนอยู่เพียงลำพัง
บางความทรงจำลืมยังไงก็ไม่หมด จะให้ทำยังไงก็ในเมื่อไม่กี่วันมานี้ความหอมหวานยังอิ่มเอมอยู่ในหัวใจนัทอยู่เลย จะให้ลืมยังไงจะให้หยุดยังไงในเมื่อหัวใจนัทยังร่ำหาแต่ความอบอุ่นอ่อนโยนและความรู้สึกที่สวยงามนั้นอยู่เลย แล้วนัทจะต้องทำยังไงกับสิ่งที่เป็นอยู่ น้ำตารินสายความเจ็บปวดท่วมท้นไปจนทั่วหัวใจ
แสงแดดยามบ่ายส่องมาเยือนโลมเลียไปจนเกือบทั่วระเบียงหน้าบ้าน รถบรรทุกหกล้อส่งเสียงครางระคนไปกับเสียงโหวกเหวกของแทนดังมาจากหน้าบ้าน นัทที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเหลือบสายตาไปมองเห็นแทนกำลังสั่งการให้ชายหนุ่มอีกสองคนช่วยกันขนบรรดาโต๊ะ เก้าอี้ และเฟอร์นิเจอร์อีกสองสามชิ้นลงจากรถ วินเดินออกมาจากห้องส่ายหน้ากับเสียงอันดังของแทนแล้วจึงรีบลงบันไดไปช่วย นัทลุกขึ้นเดินตามหลังวินไปแต่ถูกวินห้ามเสียก่อน
“แกไม่ต้องลงไปหรอก ไปล้างหน้าล้างตาแล้วนอนพักซะเดี๋ยวเย็นๆค่อยลงไปช่วยจัดก็แล้วกัน”
นัทพยักหน้ารับแล้วจึงเดินกลับเข้าไปในห้อง แสงแดดส่องมาจากม่านหน้าต่างนัทปิดหน้าต่างทุกบานในห้องเหลือเพียงแสงสลัวรางโอบคลุมร่างบางๆที่ซุกตัวอยู่บนเตียง กลิ่นหอมอ่อนๆของหมอนใบนุ่มที่นัทใช้หนุนเมื่อคืนยังติดอยู่ตรงปลายจมูก สัมผัสอ่อนโยนและความรู้สึกหวานไหวยังติดแน่นอยู่ตรงหัวใจ นัทหลับตาลงความคิดถึงโบกบินไปหาใครอีกคน
…………………………………………………..
เสียงเพลงจากเครื่องเล่นดังอยู่ในสายลมยามค่ำ ทำให้บรรยากาศของร้านฝั่งฝันในตอนนี้ดูครื้นเครงเป็นพิเศษ ไฟกระพริบรูปดาวห้อยระโยงอยู่กับขอบรั้วสีขาวทำหน้าที่กระพริบแสงวิบวับหยอกล้อเกลียวคลื่น
หลังจากที่ตกแต่งร้านฝั่งฝันเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งสามก็ถือโอกาสเลี้ยงฉลองกัน ดังนั้นบริเวณหน้าร้านจึงแปลงสภาพมาเป็นงานเลี้ยงเล็กๆโดยมีเพื่อนร่วมวงดนตรีของแทน คนงานจากร้านเฟอร์นิเจอร์ที่ขนมาส่งให้ซึ่งโดนแทนกล่อมจนอยู่ช่วยจัดร้านจนเสร็จ และบรรดาลูกค้าขาประจำของร้านที่พอรู้ข่าวจากวินมาร่วมแสดงความยินดีกับพวกเขา
นัทยืนย่างกุ้งหมึกและอาหารทะเลอยู่ที่เตาใกล้ๆบาร์น้ำไว้เป็นกับแกล้มคอยบริการให้กับบรรดาแขกๆทั้งหลายซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่ากำลังกรึ่มๆกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่วินตั้งใจเลี้ยงอย่างเต็มที่
“เฮ้ยเมื่อไหร่จะสุกล่ะรอนานแล้วนะเนี่ย” แทนเดินมาโวยวายอยู่ข้างๆนัท
“ก็กำลังย่างอยู่เห็นมั๊ยล่ะ” นัทส่งค้อนให้แทนขวับใหญ่ฐานที่มายืนเอะอะ
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” แทนหัวเราะกับท่าทีนั้น
“ไอ้นัทวันนี้ทั้งวันแกไปกินรังแตนมาจากไหนวะหน้าบึ้งทั้งวัน ทำท่ายังกะคนอกหักงั้นแหละ”
“ไอ้แทนถ้าแกยังไม่หยุดพูดนะเดี๋ยวจะจับย่างแทนกุ้งนี่เลย…เอ้า นี่ เอาไปย่างเองเลย เสียอารมณ์โว้ย” นัทยัดที่ย่างกุ้งใส่มือแทน ก่อนจะเดินหัวเสียจากไป
“เฮ้ยเป็นไรของมันวะไม่ทันเมาเลยแฮ้งค์ซะแล้ว”
“แกมายืนบ่นอะไรตรงนี้เนี่ยแทน แล้วดูสิทั้งหมึกทั้งกุ้งไหม้หมดแล้ว” วินเดินมาตบหลังแทนที่กำลังยืนงงอยู่
“ก็ไอ้นัทน่ะสิ แซวหน่อยเดียวดันโกรธเดินไปโน่นเลย”
วินมองตามร่างบางๆที่ที่กำลังเดินลิ่วๆไปยังชายหาดอย่างเข้าใจความรู้สึก
ละอองคลื่นบางเบาพลิ้วหยอกล้อกับผืนทรายเนียนละเอียด เดินไปเรื่อยๆบนหาดทรายปล่อยให้เท้าเปลือยเปล่าสัมผัสกับระลอกคลื่นบางๆที่ทยอยซัดเข้ามา ความเยนของผิวน้ำไม่อาจลดอุณหภูมิร้อนรุ่มของหัวใจได้ หัวใจที่ถูกกดทับด้วยความเจ็บปวด คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นบนผืนฟ้า ใครอีกคนจะเงยหน้ามองพระจันทร์แล้วคิดถึงกันบ้างรึเปล่านะ หรือว่าช่วงเวลาของความฝันอันแสนหวานได้จบสิ้นลงแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือความจริง ความจริงที่นัทต้องเผชิญและยอมรับให้ได้
‘มันเป็นไปไม่ได้หรอกนัท’
คำพูดของวินยังคงดังก้องอยู่ในใจ ชัดเจนอยู่อย่างนั้นราวกับจะทิ่มแทง ตอกย้ำ ความเจ็บปวดให้บาดลึกเข้าไปอีก
และภาพหนึ่งที่ยิ่งจะตอกย้ำความจริงให้นัทได้ตระหนักชัดคือภาพของชายหนุ่มที่ชื่อว่าเอก ซึ่งตอนนี้เขากำลังเดินเข้าไปในร้านฝั่งฝัน เขามาคนเดียวไม่มีใครบางคนที่นัทอยากเจอเดินเคียงคู่มาด้วย คล้ายจะดีใจและคล้ายจะเศร้าใจในคราวเดียวกัน ดีใจที่ไม่ต้องเห็นภาพที่ไม่อยากเห็น และเศร้าใจตรงที่ความคิดถึงยังไม่จางหาย
“ไงครับพี่ งานที่โน่นเป็นไงบ้าง” วินถามเอกพร้อมกับส่งแก้วเหล้าให้ เอกจิบบางๆแล้วส่งกลับคืนมา
“ขอหนากว่านี้หน่อยเถอะ อยากให้มันตึงๆซักหน่อย” วินรับแก้วมารินเหล้าเพิ่มเข้าไปอีกนิด เขามองหน้าที่เคร่งขรึมของชายหนุ่มรุ่นพี่
“งานยุ่งเหรอครับพี่”
“อืม…มันก็หลายเรื่องน่ะ” เอกถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกแก้วเหล้าในมือขึ้นซด
หลายเรื่อง…วินภาวนาว่าหนึ่งในหลายเรื่องนั้นขออย่าให้เป็นเรื่องนัทกับฟ้าเลย
“ทางโน้นเรื่องงานยังไม่ลงตัว ส่วนทางนี้ก็เป็นห่วงฟ้าไม่อยากปล่อยให้อยู่คนเดียว…เฮ้อ สงสัยจะต้องรีบแต่งงานซะที” วินแทบจะสำลักเหล้าเมื่อเอกเอ่ยถึงประโยคสุดท้ายวินมองเอกที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นซดอีกครั้ง
หลายเรื่องที่ว่าของเอกในตอนนี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่ปริปากออกมา คือท่าทีที่ห่างเหินของฟ้า อาการเหม่อลอยและแววตาทีมองเขาราวกับคนไม่คุ้นเคย มันเหมือนมีอะไรสักอย่างในหัวใจที่ทำให้เขารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง
“เอ้อ ครับ” วินตอบได้เท่านั้นไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปอีก เค้าแห่งความยุ่งยากได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นชัดเจนแล้ว อย่างน้อยๆก็อยู่ตรงหน้าเขานี่แหละ
“ยังไงพี่ก็ขอบใจวินมากนะที่ช่วยดูแลฟ้าให้ตอนที่ไม่สบาย เห็นฟ้าบอกว่านัทอยู่ด้วยตลอดเลยนี่ ไงก็ฝากขอบใจนัทด้วยนะ”
“ครับพี่” วินรับคำแผ่วเบาพร้อมกับกระดกแก้วเหล้าเข้าไปอีกอึกอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้ดีไปกว่านี้
“แล้วพี่จะเข้ากรุงเทพเมื่อไหร่อีกครับ”วินถามต่อ
“ก็อยู่ดูฟ้าอีกสักวันสองวัน กะว่าจะคุยเรื่องแต่งงานกับเค้าเลยแล้วค่อยกลับไปเคลียร์งานที่กรุงเทพฯให้เสร็จน่ะ” เอกถอนใจบางๆทั้งๆที่เรื่องที่เขาต้องจัดการมันก็แค่นี้เองคุยกับฟ้าเรื่องแต่งงานซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรทั้งเขาและฟ้าก็คบหากันมาจนถึงเวลาที่น่าจะก้าวสู่จุดนี้ได้แล้ว แต่จากท่าทีของฟ้าในวันนี้มันทำให้คำว่าแต่งงานต้องกลาย เป็นเรื่องที่เขามานั่งถอนใจอยู่ในเวลานี้
ดึกมากบรรดาแขกขี้เมาทั้งหลายของแทนได้ทยอยกลับ เอกเองก็ขอตัวกลับเช่นกัน นัทเดินกลับเข้ามาในร้านตอนที่เห็นเอกขับรถออกไป วินกึ่งลากกึ่งจูงแทนในสภาพที่เมาจนเกือบไร้สติ
“จะเมาไปถึงไหนวะไอ้แทน จะเมาให้ได้ถ้วยรึไง” วินบ่น
“เอาน้ำสาดมันสักหน่อยมั๊ยเผื่อมันจะสร่าง” นัทเสนอพร้อมกับเข้ามาช่วยวินประคอง
“สาดยังไงมันก็ไม่สำนึกหรอก ลองเมาขนาดนี้” ทั้งคู่วางร่างแทนไว้บนโซฟาตัวยาวเมื่อมาถึงบนบ้าน
“ปล่อยมันไว้งี้แหละตอนเช้าค่อยมาดูศพมัน…แกไปนอนเถอะ”
“อือ”
“นัท” วินเรียก นัทหยุดมองหน้าเขา
“พี่เอกเค้าจะขอพี่ฟ้าแต่งงานแล้วนะ” ประโยคสั้นๆได้ใจความของวินกระแทกซ้ำลงบนบาดแผลในหัวใจของนัทอีกครั้ง นัทค่อยๆหันหลังเดินกลับเข้าห้องไปช้าๆ ความเจ็บปวดหลั่งไหลเข้าสู่หัวใจ บาดลึก…ยาวนาน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ