The alloy

9.3

เขียนโดย nash

วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 11.39 น.

  3 บท
  4 วิจารณ์
  6,516 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 เมษายน พ.ศ. 2557 23.29 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) Secrets

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
Secrets  
 
           ทรอยมองดูปฏิกิริยาของผู้เป็นพ่อที่เขาคิดว่าคงจะเตรียมการเรื่องนี้มาเป็นอย่างดีแล้ว
          
          “พ่ออยากให้เราลงไปคุยเรื่องนี้กันข้างล่าง”
          
          แนชเงียบไปพักหนึ่ง   เขาหันไปมองแม่ของเขาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง   ใบหน้าที่ถูกบดบังด้วยเครื่องช่วยหายใจยังดูสวยแม้ว่าจะซูบผอมลงไปมากก็ตาม   เขาคิดว่าพ่อคงไม่อยากจะให้บรรยากาศมันดูน่าหดหู่ไปมากกว่านี้   เขาไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ   แต่ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น   ตอนนี้เขาเข้มแข็งพอที่จะรับรู้มัน
          
          พ่อพาทุกคนมานั่งอยู่ในห้องรับแขก   สิ่งที่แนชรู้สึกได้คือที่นี่ดูสะอาดมาก   เขานึกสงสัยว่าพ่อย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่   แต่เก็บเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน   ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า
 
          “ตอนนั้นเราอยู่ที่ซุปเปอร์มาเก็ต   ซื้อของเสร็จและกำลังจะเดินไปที่รถ   อยู่ๆก็มีผู้ชายสามคนเดินเข้ามาหาแล้วบอกให้ส่งเงินกับกุญแจรถให้มัน   ตอนนั้นพ่อไม่รู้จะทำยังไง   เราเพิ่งจะตั้งตัวได้แล้วบ้านก็เพิ่งซื้อ   ในตอนนั้นพ่อไม่มีความคิดที่จะส่งกุญแจรถให้มันเลย”   พ่อหยุดพูดแล้วก้มหน้าลงที่ฝ่ามือ   “มันเป็นความคิดที่โง่มาก   พ่อไม่อยากจะเสียสมบัติที่มีเหลืออยู่ไม่กี่อย่างไป   เราตะโกนเรียกให้คนช่วย   พวกมันหยิบปืนขึ้นมาแล้วขู่ว่าจะยิง   พ่อ...   พ่อกำลังจะส่งกุญแจไปให้มันแล้ว   พ่อยอมแล้ว   แต่อยู่ดีๆก็มีรถตำรวจเข้ามา   แล้วพวกมันก็ยิง”
 
          พ่อเงยหน้าขึ้นมามองแนชด้วยตาที่แดงกล่ำ   แนชอยากจะยื่นมือไปจับไหล่เพื่อปลอบโยน   แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะอยู่เฉยดีกว่า
 
          “พ่อน่าจะให้ของพวกมันไปตั้งแต่แรก   น่าจะพาแม่หนีออกไปให้ไวที่สุด   ทุกอย่างมันเกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดของพ่อคนเดียว”
          
          “ไม่   พ่อไม่ใช่คนที่หยิบปืนขึ้นมาขู่   ไม่ใช่คนที่ลั่นไก   เลิกโทษตัวเองได้แล้ว   คนผิดคือพวกมันที่เป็นคนยิงไม่ใช่พ่อ   นี่ไม่คิดจะพูดอะไรกันบ้างเลยหรือไง”   แนชมองไปที่คริสและทรอยที่ไม่แสดงอาการสะทกสะท้านใดๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น    “ปล่อยให้พ่อโทษตัวเองอยู่แบบนี้ได้ยังไง   เห็นอยู่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะอะไร”
          
          “พี่ไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยในเหตุการณ์อย่าพูดดีกว่า”  
          
          “หมายความว่าไง”
                    
          “คริส    หยุด”   แนชมองไปที่พ่อที่พูดห้ามขึ้นมาเหมือนไม่อยากจะให้คริสพูดอะไรบางอย่าง
          
          “ทำไม   มันมีอะไรมากกว่านี้เหรอ   ทำไมพ่อต้องโทษตัวเองแล้วทำไมผมจะต้องเข้าไปอยู่ด้วยในเหตุการณ์ถึงจะเข้าใจ   ช่วยอธิบายทีได้ไหมว่ากำลังมีเรื่องอะไรที่ปิดบังผมอยู่”
 
          เกิดความเงียบขึ้นพักใหญ่   ทุกสิ่งในตอนนี้ทำให้แนชไม่เข้าใจ   ทั้งๆที่เขาพร้อมที่จะรับฟังทุกๆอย่าง   แต่ทำไมเหมือนไม่มีใครพร้อมที่จะเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง   ในที่สุดแนชก็ตัดสินใจที่จะยุติความเงียบนี้เอง
 
          “รู้อะไรไหม   ตอนอยู่ในเรือนจำผมเคยคิดนะว่าพอถึงเวลาที่ได้กลับมาอยู่บ้านอีกครั้งความรู้สึกจะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า   ทุกคนจะยังเห็นผมเป็นคนในครอบครัวเหมือนเดิมไหม    จะยังพูดคุยกันเหมือนแต่ก่อนหรือว่าจะมองผมเป็นแค่อดีตนักโทษคนนึงที่ไม่น่าไว้ใจ   แล้วตอนนี้ผมก็คิดว่าผมคงได้คำตอบนั้นแล้ว”
 
          แนชลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง 
 
          เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง   แต่ไม่นานคนที่ทนไม่ไหวกับบรรยากาศชวนอึดอัดแบบนี้ก็พูดขึ้น   “ผมขอโทษที่ทำให้เรื่องทั้งหมดมันยุ่งยาก   แต่ผมคิดว่าผมไม่ได้พูดอะไรผิด”   คริสลุกออกไปอีกคน
 
          ในห้องเหลือเพียงพ่อและลูกคนสุดท้องที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่   ทรอยยกขาขึ้นมาพาดบนโต๊ะ
 
          “ใช้เวลาคิดเรื่องนี้นานไหม"   ทรอยพูดขึ้น
 
          พ่อหันมามองเขา   “อย่าพูดอะไรที่ไม่สมควรจะพูดที่นี่”
          
          “อะไรคือสิ่งที่ไม่สมควรจะพูด   เรื่องจริงหรือว่าเรื่องโกหก”
 
          “แกก็รู้ว่าฉันทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร”
 
          “ผมไม่รู้   ลองบอกผมมาสิ”
 
          “หยุดทำแบบนี้ได้แล้ว   ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อให้เราทั้งหมดกลับมาเป็นเหมือนเดิม   ให้ครอบครัวกลับมาสมบูรณ์   ให้บ้านกลับมาเป็นบ้านอีกครั้ง”
 
          ทรอยมองไปที่รูปบนผนังเหนือชั้นหนังสือ   รูปถ่ายของพวกเขาสมัยตอนยังเด็ก   ทุกคนใส่เสื้อยืดสกรีนลายสัญลักษณ์ทีมบาสเกตบอลประจำโรงเรียน   จะมีก็แต่แนชคนเดียวที่ได้ใส่เสื้อทีมจริงๆ   เขายืนอยู่ตรงกลางรูป   จับเหรียณพลาสติกสีทองที่คล้องอยู่ที่คอชูขึ้น
 
          “ไม่จริงหรอก   พ่อรู้อยู่แก่ใจว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อใคร"
 
 
 
 
 
 
          เสียงดนตรีคลาสสิคที่กำลังบรรเลงอยู่บนเวทีทำให้แซคอยากจะลุกออกไปจากที่นี่เต็มทน   เขาไม่ชอบร้านอาหารแบบนี้เลย    ผู้หญิงที่โทรไปยกเลิกนัดทำให้เขาประสาทเสียนิดหน่อย   เธอคิดว่าการไปดินเนอร์ด้วยกันสองครั้งแล้วมีอะไรกันหลังมื้ออาหารจะทำให้เธอมีสิทธิ์ที่จะสามารถแสดงความเป็นเจ้าของกับเขาได้   ซึ่งเธอควรจะรับรู้ความจริงเอาไว้ว่าเขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเธอเลย
 
          อีกสามนาทีจะถึงเวลานัด   แม้ภายนอกแซคอาจจะดูไม่ใช่ผู้ชายระเบียบจัดอะไร   แต่นิสัยตรงต่อเวลาที่ติดมาจากพ่อก็ทำให้ผู้หญิงหลายคนต้องหมดสิทธิ์ที่จะเอาชนะใจเขาเพียงเพราะว่าเธอมาสายเพียงไม่กี่นาที   เขาปฏิเสธบริกรที่เข้ามาถามว่าจะสั่งอะไรก่อนไหม   โทรศัพท์ไม่มีข้อความใดๆส่งเข้ามา   นี่อาจจะหมายความว่าทรอยจะมานอนที่บ้านของเขาหรืออาจจะค้างที่บ้านพ่อเลยก็ได้   ไม่มีใครเดาใจถูก
 
          “ขอโทษนะคะ   คุณคือแซค  เรย์โนลด์หรือเปล่า”   แซคเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์   เธอมาถึงแล้ว
 
          ผมบลอนด์ยาว   ตาสีเขียวมรกต   รูปร่างสูงโปร่งที่ถึงจะผอมไปหน่อยสำหรับเขา   แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่าพ่อพูดถูก   เธอคือสาวในอุดมคติของเขาเลย
 
          “ครับ   คุณคืออลิซาเบธ  ลูกสาวของมิสเตอร์วิลเลียม   เชิญนั่งก่อนสิครับ”               
          เธอขยับเก้าอี้นั่งลงช้าๆ   หยิบผ้ากินเปื้อนบนโต๊ะมาวางไว้ที่ตัก   กิริยามารยาทดูรู้ว่าถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
 
          “ฉันเกือบมาพบคุณสายซะแล้ว”
 
          “คุณมาตรงเวลาพอดี”
 
          “คุณพ่อบอกว่า   ตระกูลของคุณเคร่งครัดเรื่องเวลามาก   ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีนะคะ   ฉันเองก็ไม่ชอบคนไม่ตรงต่อเวลาเหมือนกัน   นี่ถ้าไม่ติดเรียนเสริมภาษาฝรั่งเศสก่อนมาที่นี่   ฉันคงมาพบคุณเร็วกว่านี้แน่”
 
          แซคได้เรียนรู้ว่าบางทีผู้หญิงสวยมากๆก็ควรจะพูดให้น้อยแล้วใช้ปากทำอย่างอื่นมากกว่า   บริกรชายเดินเข้ามารับเมนู   เขาให้อลิซาเบธเป็นคนสั่งก่อน
 
          เธอสั่งสลัดเพียงจานเดียว
 
          “คุณทานแค่นั้นเหรอครับ”
 
          “ค่ะ   ปกติฉันจะไม่ทานอาหารเลยสามโมงเย็น   ต้องรักษาหุ่นเพื่อเดินแฟชั่นการกุศลให้กับเพื่อนคุณพ่อหนะค่ะ”
 
          เขาพนักหน้ารับรู้แล้วหันไปสั่งอาหารของตัวเองกับบริกร   “คุณชอบดื่มไวน์อะไร”
 
          “ฉันไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค่ะ”
 
          แซคเริ่มรู้แล้วว่านี่ไม่น่าจะใช่ผู้หญิงในอุดมคติของเขาแน่ๆ   เขาปฏิเสธที่จะรับไวน์แล้วขอเพียงน้ำเปล่า
 
          “คุณมาทานอาหารที่นี่บ่อยเหรอคะ”
 
          “ที่จริงผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่   มันดูเป็นทางการไปหน่อย”
 
          "แล้วปกติคุณชอบไปที่แบบไหน"           
 
          "ก็ร้านอาหารธรรมดาๆ    แบบที่ไม่ต้องมีออร์เคสตรามาเล่นบนเวทีแบบนี้"            
 
          “แต่บางทีคนเราก็ต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับฐานะของตัวเองนะคะ    จะให้ไปนั่งตามร้านธรรมดาราคาถูกๆมันคงไม่เหมาะสักเท่าไหร่"
 
          “คุณคิดอย่างงั้นเหรอครับ”
 
          “ใช่ค่ะ   ฉันถูกสั่งสอนมาให้ทำทุกอย่างตามความเหมาะสม”            
 
          "แล้วคุณมีความสุขกับมันหรือเปล่า"            
 
          "แน่นอน   ฉันรักชีวิตแบบนี้    อยู่เหนือกว่าคนอื่นๆ   มีอะไรหลายๆอย่างที่คนธรรมดาไม่มี   ผู้หญิงหลายคนอยากจะเป็นแบบฉันแต่พวกเธอเป็นไม่ได้"
 
          แซคหยิบช้อนขึ้นมาหมุนเล่น    ท่าทางครั้งนี้พ่อของเขาคงจะคิดผิด   เขาลอบมองนาฬิกา   เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาที    ท่าทางอาหารมื้อนี้คงยาวนานน่าดู
 
          “คุณชอบทำอะไรเป็นงานอดิเรกเหรอคะ”   อลิซเบธถามขึ้น
 
          “ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันเรียกงานอดิเรกหรือเปล่านะ   แต่ถ้าว่างๆก็คงออกไปปาร์ตี้กับเพื่อน   ไปขับรถเล่น   ดูแข่งดวลแร๊ปแถวตรอกในดาวน์ทาวน์”
 
          “คุณชอบแถวนั้นด้วยเหรอ   มันดูเป็นถิ่นของพวกคนชนชั้นล่างนะคะ”
 
          พอกันทีกับการสนทนาในครั้งนี้
 
          “ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
 
          แซคลุกออกมาโดยที่ไม่รอให้เธอพูดอะไร    เขาไม่ได้ตั้งใจจะไปเข้าห้องน้ำหรอก   แต่จะไปให้พ้นๆจากที่นี่ต่างหาก     
 
          โชคดีที่ระหว่างทางไปลานจอดรถมีห้องน้ำอยู่พอดี   เขากำลังจะขึ้นรถและขับออกไปอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงบางอย่างซะก่อน
 
          “ฉันว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ   ถ้าคุณอยากจะมีชีวิตรักแบบอิสระคบกับใครก็ได้ก็เชิญไปทำตามใจของคุณเถอะ   แต่ฉันคงรับไม่ได้ถ้าจะต้องแบ่งผู้ชายกับผู้หญิงคนอื่น”
 
          เขามองไปที่ต้นเสียง   ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนเถียงกับผู้ชายที่ดูน่าจะเป็นคนรักของเธอ    แซคมั่นใจว่าเขาจำผู้หญิงคนนี้ได้             
 
          สักพักผู้ชายคนนั้นก็เดินจากไป    เธอกำลังจะเดินไปอีกทาง   เขาตัดสินใจเข้าไปทักเธอ            
          "คุณ   หยุดก่อน"             
 
          เธอหยุดเดินแล้วหันมามองเขา   แซคคิดว่าเธอคงจำเขาไม่ได้แน่ๆ              
 
          "คุณเรียกฉันเหรอ"            
 
          "ใช่   ผมเรียกคุณนั่นแหละ"            
          
          "มีอะไรหรือเปล่าคะ"            
 
          "เอ่อ..  คุณจำผมได้ไหม   เราเคยรู้จักกันนะ"            
 
          "ขอโทษนะคะ   แต่ฉันเพิ่งเลิกกับแฟนเก่า   ยังไม่พร้อมจะคุยกับใครตอนนี้"          
 
          "ไม่   ผมไม่ได้พูดเพื่อจะจีบคุณ   เราเคยรู้จักกันจริงๆ   ลองนึกดูดีๆสิ   คุณจำผมไม่ได้เลยเหรอ"             
 
          เธอมองเขาอยู่พักหนึ่งแล้วส่ายหน้า  "ขอโทษนะคะ   แต่ฉันจำคุณไม่ได้จริงๆ"        
 
          "ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณจะลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น"            
 
          "พูดออกมาเลยดีกว่าว่าเราเคยเจอกันที่ไหน    เพราะทำยังไงฉันก็นึกหน้าคุณไม่ออกจริงๆ"            
 
          "คุณจำฤดูร้อนเมื่อสองปีที่แล้วได้ไหม"            
 
          "เลิกถามฉันแล้วบอกมาสักทีว่าเราเคยเจอกันที่ไหน"            
 
          "ก็ได้ๆ   เมื่อสองปีที่แล้วผมเจอคุณในร้านอาหารร้านนึงตอนไปพักร้อนที่ฟลอริดาร์   ผมเข้าไปถามชื่อคุณแล้วขอเบอร์ติดต่อเอาไว้   วันรุ่งขึ้นเรานัดเจอกัน   แล้วหลังจากนั้นคุณก็เป็นไกด์นำเที่ยวให้ผมทั้งสัปดาห์เลย   แต่อยู่ดีๆเกิดอะไรขึ้นไม่รู้    คุณหายตัวไปและติดต่อไม่ได้อีกเลย   ผมพยายามโทรหาคุณอยู่เป็นเดือนแต่ไม่เคยโทรติดสักครั้ง"              
 
          "ฉันจำคุณได้แล้วหละ"              
 
          "นานนะกว่าจะนึกออก"              
 
          "คุณดูเปลี่ยนไป"              
 
          "ผมไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก    ที่คุณจำไม่ได้เพราะคุณไม่ได้สนใจจะจำมากกว่า"      
 
          "โอเค   ฉันขอโทษ   เป็นความผิดที่ร้ายแรงมากที่จำคนอย่างคุณไม่ได้   ช่วยบอกทีได้ไหมว่าฉันพอจะทำอะไรเป็นการไถ่โทษความผิดครั้งนี้ได้บ้าง"              
 
          แซคยิ้มออกมา   มีผู้หญิงไม่กี่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วทำให้เขารู้สึกว่าไม่อยากจะปล่อยให้เธอผ่านไป              
 
          "ที่จริงผมยังไม่ได้กินอะไรเป็นมื้อเย็นเลย   ถ้าคุณอยากจะเลี้ยงผมก็ยินดีนะ   หวังว่าคงไม่ได้รักษาหุ่นอยู่ใช่ไหม"              
 
          "คุณคิดว่าฉันดูเหมือนคนต้องควบคุมอาหารหรือไง     แต่คงไม่ใช่ร้านหรูแบบนี้หรอกนะ   ฉันไม่มีปัญญาจ่ายหรอก"              
 
          "ผมก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้นอยู่แล้ว"              
 
          "งั้น... "              
 
          เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น              
 
          "ขอตัวเดี๋ยวนะคะ"              
 
          เธอเดินออกไปรับโทรศัพท์    แซคหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูเผื่อว่าทรอยจะส่งข้อความอะไรมาให้   แต่ปรากฎว่าไม่มี   ทุกอย่างคงจะราบรื่นอย่างที่เขาคิดไว้นะ                
 
          เธอเดินกลับมาหาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่              
 
          "ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ   แต่ว่าคืนนี้ฉันมีงานด่วนต้องกลับไปทำให้เสร็จ   คงจะไปกับคุณไม่ได้แล้ว"              
 
          แซคมองอย่างผิดหวัง   เขาคิดว่าคืนนี้จะได้คุยกับเธอว่าทำไมตอนนั้นถึงหายไป   แต่ก็ไม่เป็นไร   ยังมีเวลาได้คุยกันอีกเยอะ   ถ้าโชคชะตาจะส่งเธอมาแล้วทำให้เธอหายไปอีกครั้งก็คงจะใจร้ายเต็มที              
 
          "ไม่เป็นไรครับ   คุณคงมีงานด่วนจริงๆ    เอาไว้วันหลังเราค่อยมานัดเจอกันใหม่ก็ได้   ผมขอเบอร์คุณไว้ติดต่อหน่อยสิ"              
 
          เธอรับโทรศัพท์มากดเบอร์ให้เขา              
 
          "ลืมถามอย่างนึง   คุณจำได้หรือเปล่าว่าผมชื่ออะไร"              
 
          "ฉันก็ยังไม่ได้ถามคุณเลยว่าคุณจำชื่อฉันได้หรือเปล่า"              
 
          "ผมจำคุณได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรก   จะจำชื่อคุณไม่ได้ได้ยังไง"              
 
          "งั้นก็บอกมาสิว่าฉันชื่ออะไร"              
 
          "คาร่า    ผมไม่มีวันลืมชื่อคุณหรอก"              
 
          "ขอบคุณที่จำฉันได้นะคะแซค"              
 
          ท่าทางเขาต้องโทรไปขอบคุณพ่อสำหรับดินเนอร์ในคืนนี้สักหน่อย
 
 
 
 
 
          
          คริสเคาะประตูห้องแม่ก่อนจะเปิดเข้าไป  
 
          “ผมไม่เห็นพี่อยู่ในห้อง”  
 
          แนชวางกรอบรูปในมือลงบนโต๊ะข้างเตียง
 
          “เมื่อกลางวันมันไม่ค่อยดีเลย   ผมไม่ควรจะพูดแบบนั้นออกไป”
 
          “ช่างมันเถอะ   บางสิ่งบางอย่างก็ไม่ควรจะเปิดเผยให้คนนอกรู้”
 
          “พี่ไม่ใช่คนนอก   เราไม่ได้คิดว่าพี่เป็นคนอื่น   แต่..   ในเมื่ออะไรๆตอนนี้มันก็กำลังจะไปได้ดีอยู่แล้ว   ผมแค่ไม่อยากให้พี่เก็บทุกอย่างมาคิด   บางสื่งบางอย่างก็ควรจะปล่อยๆมันไปบ้าง”
 
          “จะบอกให้ลืมข้อสงสัยทุกอย่าง   ทั้งๆที่นายเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้นมาเองหนะเหรอ”
 
          “ถึงบอกไงว่าผมไม่ควรจะพูดแบบนั้นออกไป    เราสูญเสียอะไรๆมามากพอแล้ว   ทิ้งอดีตแล้วมาเริ่มต้นกันใหม่เถอะ”
 
          แนชมองคริสเหมือนจะถามให้แน่ใจว่าต้องการแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า   เขาคิดอะไรๆอยู่พักหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา
 
          “นั่นสินะ   บางทีก็ควรจะต้องทิ้งอดีตไว้ข้างหลังแล้วเลือกที่จะเดินต่อไปข้างหน้า   ถ้ามัวแต่จมอยู่กับอดีตก็คงไม่มีวันเริ่มต้นใหม่ได้สักที”
 
          “ผมดีใจที่พี่คิดอย่างนั้น    เรายังพอจะกินมื้อค่ำกันได้หรือเปล่า   ถ้านี่ไม่ดึกเกินไปสำหรับพี่นะ”
 
          “รอให้ถามอยู่พอดีเลย   หิวจะแย่อยู่แล้ว”
 
          ในที่สุดสองพี่น้องเคยซี้ก็ดูท่าจะมีหนทางให้กลับมาสนิทกันอีกครั้ง   ถูกอย่างที่แนชบอก   ถ้าคนเรามัวแต่จมอยู่กับอดีตก็คงไม่มีวันเริ่มต้นใหม่ได้สักที   แต่เขาคงจะลืมอะไรบางอย่าง
 
          การปฏิเสธอดีต   ก็เหมือนปฏิเสธตัวเอง   ใครบางคนได้กล่าวเอาไว้
 
 
 
 
 
          
          “เจอคนที่เคยเที่ยวด้วยกันเมื่อสองปีที่แล้วหลังจากที่เลิกกับแฟนเก่าได้ไม่กี่นาที   อะไรจะโชคดีขนาดนั้น”
 
          คาร่าจุ่มพู่กันในสีน้ำมันก่อนจะระบายมันลงบนเฟรมผ้าใบ   เธอมาหาแดนหลังได้รับโทรศัพท์จากเขาเพื่อมาช่วยทำงานที่เคยรับปากเอาไว้  
 
          “โชคมักเข้าข้างคนดีๆเสมอ”
 
          “หรือไม่บางทีนี่ก็อาจจะเป็นพรหมลิขิต”
 
          “นายเชื่อเรื่องพวกนั้นด้วยเหรอ”
 
          “ก็ไม่ค่อยจะเชื่อหรอก   แต่หลังจากได้ฟังเรื่องของเธอเริ่มไม่แน่ใจแล้ว”
 
          เธอมองภาพวาดตรงหน้า   แต่ใจกลับไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่มอง   ถ้านี่จะเป็นพรหมลิขิตจริงๆ   หวังว่าเธอคงไม่ทำมันพังอีกครั้งนึงนะ
 
 
..............................................
 
 
          ** เราลองแก้การเว้นบรรทัดเหมือนที่คุณรักแรกแนะนำมา   หวังว่าจะอ่านง่ายขึ้นนะคะ  :)
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา