The alloy
เขียนโดย nash
วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 11.39 น.
แก้ไขเมื่อ 9 เมษายน พ.ศ. 2557 23.29 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) Secrets
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
Secrets
ทรอยมองดูปฏิกิริยาของผู้เป็นพ่อที่เขาคิดว่าคงจะเตรียมการเรื่องนี้มาเป็นอย่างดีแล้ว
“พ่ออยากให้เราลงไปคุยเรื่องนี้กันข้างล่าง”
แนชเงียบไปพักหนึ่ง เขาหันไปมองแม่ของเขาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าที่ถูกบดบังด้วยเครื่องช่วยหายใจยังดูสวยแม้ว่าจะซูบผอมลงไปมากก็ตาม เขาคิดว่าพ่อคงไม่อยากจะให้บรรยากาศมันดูน่าหดหู่ไปมากกว่านี้ เขาไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ แต่ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนนี้เขาเข้มแข็งพอที่จะรับรู้มัน
พ่อพาทุกคนมานั่งอยู่ในห้องรับแขก สิ่งที่แนชรู้สึกได้คือที่นี่ดูสะอาดมาก เขานึกสงสัยว่าพ่อย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เก็บเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า
“ตอนนั้นเราอยู่ที่ซุปเปอร์มาเก็ต ซื้อของเสร็จและกำลังจะเดินไปที่รถ อยู่ๆก็มีผู้ชายสามคนเดินเข้ามาหาแล้วบอกให้ส่งเงินกับกุญแจรถให้มัน ตอนนั้นพ่อไม่รู้จะทำยังไง เราเพิ่งจะตั้งตัวได้แล้วบ้านก็เพิ่งซื้อ ในตอนนั้นพ่อไม่มีความคิดที่จะส่งกุญแจรถให้มันเลย” พ่อหยุดพูดแล้วก้มหน้าลงที่ฝ่ามือ “มันเป็นความคิดที่โง่มาก พ่อไม่อยากจะเสียสมบัติที่มีเหลืออยู่ไม่กี่อย่างไป เราตะโกนเรียกให้คนช่วย พวกมันหยิบปืนขึ้นมาแล้วขู่ว่าจะยิง พ่อ... พ่อกำลังจะส่งกุญแจไปให้มันแล้ว พ่อยอมแล้ว แต่อยู่ดีๆก็มีรถตำรวจเข้ามา แล้วพวกมันก็ยิง”
พ่อเงยหน้าขึ้นมามองแนชด้วยตาที่แดงกล่ำ แนชอยากจะยื่นมือไปจับไหล่เพื่อปลอบโยน แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะอยู่เฉยดีกว่า
“พ่อน่าจะให้ของพวกมันไปตั้งแต่แรก น่าจะพาแม่หนีออกไปให้ไวที่สุด ทุกอย่างมันเกิดจากการตัดสินใจผิดพลาดของพ่อคนเดียว”
“ไม่ พ่อไม่ใช่คนที่หยิบปืนขึ้นมาขู่ ไม่ใช่คนที่ลั่นไก เลิกโทษตัวเองได้แล้ว คนผิดคือพวกมันที่เป็นคนยิงไม่ใช่พ่อ นี่ไม่คิดจะพูดอะไรกันบ้างเลยหรือไง” แนชมองไปที่คริสและทรอยที่ไม่แสดงอาการสะทกสะท้านใดๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ปล่อยให้พ่อโทษตัวเองอยู่แบบนี้ได้ยังไง เห็นอยู่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นเพราะอะไร”
“พี่ไม่ใช่คนที่อยู่ด้วยในเหตุการณ์อย่าพูดดีกว่า”
“หมายความว่าไง”
“คริส หยุด” แนชมองไปที่พ่อที่พูดห้ามขึ้นมาเหมือนไม่อยากจะให้คริสพูดอะไรบางอย่าง
“ทำไม มันมีอะไรมากกว่านี้เหรอ ทำไมพ่อต้องโทษตัวเองแล้วทำไมผมจะต้องเข้าไปอยู่ด้วยในเหตุการณ์ถึงจะเข้าใจ ช่วยอธิบายทีได้ไหมว่ากำลังมีเรื่องอะไรที่ปิดบังผมอยู่”
เกิดความเงียบขึ้นพักใหญ่ ทุกสิ่งในตอนนี้ทำให้แนชไม่เข้าใจ ทั้งๆที่เขาพร้อมที่จะรับฟังทุกๆอย่าง แต่ทำไมเหมือนไม่มีใครพร้อมที่จะเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง ในที่สุดแนชก็ตัดสินใจที่จะยุติความเงียบนี้เอง
“รู้อะไรไหม ตอนอยู่ในเรือนจำผมเคยคิดนะว่าพอถึงเวลาที่ได้กลับมาอยู่บ้านอีกครั้งความรู้สึกจะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า ทุกคนจะยังเห็นผมเป็นคนในครอบครัวเหมือนเดิมไหม จะยังพูดคุยกันเหมือนแต่ก่อนหรือว่าจะมองผมเป็นแค่อดีตนักโทษคนนึงที่ไม่น่าไว้ใจ แล้วตอนนี้ผมก็คิดว่าผมคงได้คำตอบนั้นแล้ว”
แนชลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้อง
เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่นานคนที่ทนไม่ไหวกับบรรยากาศชวนอึดอัดแบบนี้ก็พูดขึ้น “ผมขอโทษที่ทำให้เรื่องทั้งหมดมันยุ่งยาก แต่ผมคิดว่าผมไม่ได้พูดอะไรผิด” คริสลุกออกไปอีกคน
ในห้องเหลือเพียงพ่อและลูกคนสุดท้องที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันเท่าไหร่ ทรอยยกขาขึ้นมาพาดบนโต๊ะ
“ใช้เวลาคิดเรื่องนี้นานไหม" ทรอยพูดขึ้น
พ่อหันมามองเขา “อย่าพูดอะไรที่ไม่สมควรจะพูดที่นี่”
“อะไรคือสิ่งที่ไม่สมควรจะพูด เรื่องจริงหรือว่าเรื่องโกหก”
“แกก็รู้ว่าฉันทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร”
“ผมไม่รู้ ลองบอกผมมาสิ”
“หยุดทำแบบนี้ได้แล้ว ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อให้เราทั้งหมดกลับมาเป็นเหมือนเดิม ให้ครอบครัวกลับมาสมบูรณ์ ให้บ้านกลับมาเป็นบ้านอีกครั้ง”
ทรอยมองไปที่รูปบนผนังเหนือชั้นหนังสือ รูปถ่ายของพวกเขาสมัยตอนยังเด็ก ทุกคนใส่เสื้อยืดสกรีนลายสัญลักษณ์ทีมบาสเกตบอลประจำโรงเรียน จะมีก็แต่แนชคนเดียวที่ได้ใส่เสื้อทีมจริงๆ เขายืนอยู่ตรงกลางรูป จับเหรียณพลาสติกสีทองที่คล้องอยู่ที่คอชูขึ้น
“ไม่จริงหรอก พ่อรู้อยู่แก่ใจว่าที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อใคร"
เสียงดนตรีคลาสสิคที่กำลังบรรเลงอยู่บนเวทีทำให้แซคอยากจะลุกออกไปจากที่นี่เต็มทน เขาไม่ชอบร้านอาหารแบบนี้เลย ผู้หญิงที่โทรไปยกเลิกนัดทำให้เขาประสาทเสียนิดหน่อย เธอคิดว่าการไปดินเนอร์ด้วยกันสองครั้งแล้วมีอะไรกันหลังมื้ออาหารจะทำให้เธอมีสิทธิ์ที่จะสามารถแสดงความเป็นเจ้าของกับเขาได้ ซึ่งเธอควรจะรับรู้ความจริงเอาไว้ว่าเขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเธอเลย
อีกสามนาทีจะถึงเวลานัด แม้ภายนอกแซคอาจจะดูไม่ใช่ผู้ชายระเบียบจัดอะไร แต่นิสัยตรงต่อเวลาที่ติดมาจากพ่อก็ทำให้ผู้หญิงหลายคนต้องหมดสิทธิ์ที่จะเอาชนะใจเขาเพียงเพราะว่าเธอมาสายเพียงไม่กี่นาที เขาปฏิเสธบริกรที่เข้ามาถามว่าจะสั่งอะไรก่อนไหม โทรศัพท์ไม่มีข้อความใดๆส่งเข้ามา นี่อาจจะหมายความว่าทรอยจะมานอนที่บ้านของเขาหรืออาจจะค้างที่บ้านพ่อเลยก็ได้ ไม่มีใครเดาใจถูก
“ขอโทษนะคะ คุณคือแซค เรย์โนลด์หรือเปล่า” แซคเงยหน้าขึ้นจากจอโทรศัพท์ เธอมาถึงแล้ว
ผมบลอนด์ยาว ตาสีเขียวมรกต รูปร่างสูงโปร่งที่ถึงจะผอมไปหน่อยสำหรับเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่าพ่อพูดถูก เธอคือสาวในอุดมคติของเขาเลย
“ครับ คุณคืออลิซาเบธ ลูกสาวของมิสเตอร์วิลเลียม เชิญนั่งก่อนสิครับ”
เธอขยับเก้าอี้นั่งลงช้าๆ หยิบผ้ากินเปื้อนบนโต๊ะมาวางไว้ที่ตัก กิริยามารยาทดูรู้ว่าถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
“ฉันเกือบมาพบคุณสายซะแล้ว”
“คุณมาตรงเวลาพอดี”
“คุณพ่อบอกว่า ตระกูลของคุณเคร่งครัดเรื่องเวลามาก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีนะคะ ฉันเองก็ไม่ชอบคนไม่ตรงต่อเวลาเหมือนกัน นี่ถ้าไม่ติดเรียนเสริมภาษาฝรั่งเศสก่อนมาที่นี่ ฉันคงมาพบคุณเร็วกว่านี้แน่”
แซคได้เรียนรู้ว่าบางทีผู้หญิงสวยมากๆก็ควรจะพูดให้น้อยแล้วใช้ปากทำอย่างอื่นมากกว่า บริกรชายเดินเข้ามารับเมนู เขาให้อลิซาเบธเป็นคนสั่งก่อน
เธอสั่งสลัดเพียงจานเดียว
“คุณทานแค่นั้นเหรอครับ”
“ค่ะ ปกติฉันจะไม่ทานอาหารเลยสามโมงเย็น ต้องรักษาหุ่นเพื่อเดินแฟชั่นการกุศลให้กับเพื่อนคุณพ่อหนะค่ะ”
เขาพนักหน้ารับรู้แล้วหันไปสั่งอาหารของตัวเองกับบริกร “คุณชอบดื่มไวน์อะไร”
“ฉันไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค่ะ”
แซคเริ่มรู้แล้วว่านี่ไม่น่าจะใช่ผู้หญิงในอุดมคติของเขาแน่ๆ เขาปฏิเสธที่จะรับไวน์แล้วขอเพียงน้ำเปล่า
“คุณมาทานอาหารที่นี่บ่อยเหรอคะ”
“ที่จริงผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่ มันดูเป็นทางการไปหน่อย”
"แล้วปกติคุณชอบไปที่แบบไหน"
"ก็ร้านอาหารธรรมดาๆ แบบที่ไม่ต้องมีออร์เคสตรามาเล่นบนเวทีแบบนี้"
“แต่บางทีคนเราก็ต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับฐานะของตัวเองนะคะ จะให้ไปนั่งตามร้านธรรมดาราคาถูกๆมันคงไม่เหมาะสักเท่าไหร่"
“คุณคิดอย่างงั้นเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ ฉันถูกสั่งสอนมาให้ทำทุกอย่างตามความเหมาะสม”
"แล้วคุณมีความสุขกับมันหรือเปล่า"
"แน่นอน ฉันรักชีวิตแบบนี้ อยู่เหนือกว่าคนอื่นๆ มีอะไรหลายๆอย่างที่คนธรรมดาไม่มี ผู้หญิงหลายคนอยากจะเป็นแบบฉันแต่พวกเธอเป็นไม่ได้"
แซคหยิบช้อนขึ้นมาหมุนเล่น ท่าทางครั้งนี้พ่อของเขาคงจะคิดผิด เขาลอบมองนาฬิกา เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาที ท่าทางอาหารมื้อนี้คงยาวนานน่าดู
“คุณชอบทำอะไรเป็นงานอดิเรกเหรอคะ” อลิซเบธถามขึ้น
“ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันเรียกงานอดิเรกหรือเปล่านะ แต่ถ้าว่างๆก็คงออกไปปาร์ตี้กับเพื่อน ไปขับรถเล่น ดูแข่งดวลแร๊ปแถวตรอกในดาวน์ทาวน์”
“คุณชอบแถวนั้นด้วยเหรอ มันดูเป็นถิ่นของพวกคนชนชั้นล่างนะคะ”
พอกันทีกับการสนทนาในครั้งนี้
“ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
แซคลุกออกมาโดยที่ไม่รอให้เธอพูดอะไร เขาไม่ได้ตั้งใจจะไปเข้าห้องน้ำหรอก แต่จะไปให้พ้นๆจากที่นี่ต่างหาก
โชคดีที่ระหว่างทางไปลานจอดรถมีห้องน้ำอยู่พอดี เขากำลังจะขึ้นรถและขับออกไปอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงบางอย่างซะก่อน
“ฉันว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะ ถ้าคุณอยากจะมีชีวิตรักแบบอิสระคบกับใครก็ได้ก็เชิญไปทำตามใจของคุณเถอะ แต่ฉันคงรับไม่ได้ถ้าจะต้องแบ่งผู้ชายกับผู้หญิงคนอื่น”
เขามองไปที่ต้นเสียง ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนเถียงกับผู้ชายที่ดูน่าจะเป็นคนรักของเธอ แซคมั่นใจว่าเขาจำผู้หญิงคนนี้ได้
สักพักผู้ชายคนนั้นก็เดินจากไป เธอกำลังจะเดินไปอีกทาง เขาตัดสินใจเข้าไปทักเธอ
"คุณ หยุดก่อน"
เธอหยุดเดินแล้วหันมามองเขา แซคคิดว่าเธอคงจำเขาไม่ได้แน่ๆ
"คุณเรียกฉันเหรอ"
"ใช่ ผมเรียกคุณนั่นแหละ"
"มีอะไรหรือเปล่าคะ"
"เอ่อ.. คุณจำผมได้ไหม เราเคยรู้จักกันนะ"
"ขอโทษนะคะ แต่ฉันเพิ่งเลิกกับแฟนเก่า ยังไม่พร้อมจะคุยกับใครตอนนี้"
"ไม่ ผมไม่ได้พูดเพื่อจะจีบคุณ เราเคยรู้จักกันจริงๆ ลองนึกดูดีๆสิ คุณจำผมไม่ได้เลยเหรอ"
เธอมองเขาอยู่พักหนึ่งแล้วส่ายหน้า "ขอโทษนะคะ แต่ฉันจำคุณไม่ได้จริงๆ"
"ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณจะลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น"
"พูดออกมาเลยดีกว่าว่าเราเคยเจอกันที่ไหน เพราะทำยังไงฉันก็นึกหน้าคุณไม่ออกจริงๆ"
"คุณจำฤดูร้อนเมื่อสองปีที่แล้วได้ไหม"
"เลิกถามฉันแล้วบอกมาสักทีว่าเราเคยเจอกันที่ไหน"
"ก็ได้ๆ เมื่อสองปีที่แล้วผมเจอคุณในร้านอาหารร้านนึงตอนไปพักร้อนที่ฟลอริดาร์ ผมเข้าไปถามชื่อคุณแล้วขอเบอร์ติดต่อเอาไว้ วันรุ่งขึ้นเรานัดเจอกัน แล้วหลังจากนั้นคุณก็เป็นไกด์นำเที่ยวให้ผมทั้งสัปดาห์เลย แต่อยู่ดีๆเกิดอะไรขึ้นไม่รู้ คุณหายตัวไปและติดต่อไม่ได้อีกเลย ผมพยายามโทรหาคุณอยู่เป็นเดือนแต่ไม่เคยโทรติดสักครั้ง"
"ฉันจำคุณได้แล้วหละ"
"นานนะกว่าจะนึกออก"
"คุณดูเปลี่ยนไป"
"ผมไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก ที่คุณจำไม่ได้เพราะคุณไม่ได้สนใจจะจำมากกว่า"
"โอเค ฉันขอโทษ เป็นความผิดที่ร้ายแรงมากที่จำคนอย่างคุณไม่ได้ ช่วยบอกทีได้ไหมว่าฉันพอจะทำอะไรเป็นการไถ่โทษความผิดครั้งนี้ได้บ้าง"
แซคยิ้มออกมา มีผู้หญิงไม่กี่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วทำให้เขารู้สึกว่าไม่อยากจะปล่อยให้เธอผ่านไป
"ที่จริงผมยังไม่ได้กินอะไรเป็นมื้อเย็นเลย ถ้าคุณอยากจะเลี้ยงผมก็ยินดีนะ หวังว่าคงไม่ได้รักษาหุ่นอยู่ใช่ไหม"
"คุณคิดว่าฉันดูเหมือนคนต้องควบคุมอาหารหรือไง แต่คงไม่ใช่ร้านหรูแบบนี้หรอกนะ ฉันไม่มีปัญญาจ่ายหรอก"
"ผมก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้นอยู่แล้ว"
"งั้น... "
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
"ขอตัวเดี๋ยวนะคะ"
เธอเดินออกไปรับโทรศัพท์ แซคหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูเผื่อว่าทรอยจะส่งข้อความอะไรมาให้ แต่ปรากฎว่าไม่มี ทุกอย่างคงจะราบรื่นอย่างที่เขาคิดไว้นะ
เธอเดินกลับมาหาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่
"ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ แต่ว่าคืนนี้ฉันมีงานด่วนต้องกลับไปทำให้เสร็จ คงจะไปกับคุณไม่ได้แล้ว"
แซคมองอย่างผิดหวัง เขาคิดว่าคืนนี้จะได้คุยกับเธอว่าทำไมตอนนั้นถึงหายไป แต่ก็ไม่เป็นไร ยังมีเวลาได้คุยกันอีกเยอะ ถ้าโชคชะตาจะส่งเธอมาแล้วทำให้เธอหายไปอีกครั้งก็คงจะใจร้ายเต็มที
"ไม่เป็นไรครับ คุณคงมีงานด่วนจริงๆ เอาไว้วันหลังเราค่อยมานัดเจอกันใหม่ก็ได้ ผมขอเบอร์คุณไว้ติดต่อหน่อยสิ"
เธอรับโทรศัพท์มากดเบอร์ให้เขา
"ลืมถามอย่างนึง คุณจำได้หรือเปล่าว่าผมชื่ออะไร"
"ฉันก็ยังไม่ได้ถามคุณเลยว่าคุณจำชื่อฉันได้หรือเปล่า"
"ผมจำคุณได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรก จะจำชื่อคุณไม่ได้ได้ยังไง"
"งั้นก็บอกมาสิว่าฉันชื่ออะไร"
"คาร่า ผมไม่มีวันลืมชื่อคุณหรอก"
"ขอบคุณที่จำฉันได้นะคะแซค"
ท่าทางเขาต้องโทรไปขอบคุณพ่อสำหรับดินเนอร์ในคืนนี้สักหน่อย
คริสเคาะประตูห้องแม่ก่อนจะเปิดเข้าไป
“ผมไม่เห็นพี่อยู่ในห้อง”
แนชวางกรอบรูปในมือลงบนโต๊ะข้างเตียง
“เมื่อกลางวันมันไม่ค่อยดีเลย ผมไม่ควรจะพูดแบบนั้นออกไป”
“ช่างมันเถอะ บางสิ่งบางอย่างก็ไม่ควรจะเปิดเผยให้คนนอกรู้”
“พี่ไม่ใช่คนนอก เราไม่ได้คิดว่าพี่เป็นคนอื่น แต่.. ในเมื่ออะไรๆตอนนี้มันก็กำลังจะไปได้ดีอยู่แล้ว ผมแค่ไม่อยากให้พี่เก็บทุกอย่างมาคิด บางสื่งบางอย่างก็ควรจะปล่อยๆมันไปบ้าง”
“จะบอกให้ลืมข้อสงสัยทุกอย่าง ทั้งๆที่นายเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้นมาเองหนะเหรอ”
“ถึงบอกไงว่าผมไม่ควรจะพูดแบบนั้นออกไป เราสูญเสียอะไรๆมามากพอแล้ว ทิ้งอดีตแล้วมาเริ่มต้นกันใหม่เถอะ”
แนชมองคริสเหมือนจะถามให้แน่ใจว่าต้องการแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า เขาคิดอะไรๆอยู่พักหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา
“นั่นสินะ บางทีก็ควรจะต้องทิ้งอดีตไว้ข้างหลังแล้วเลือกที่จะเดินต่อไปข้างหน้า ถ้ามัวแต่จมอยู่กับอดีตก็คงไม่มีวันเริ่มต้นใหม่ได้สักที”
“ผมดีใจที่พี่คิดอย่างนั้น เรายังพอจะกินมื้อค่ำกันได้หรือเปล่า ถ้านี่ไม่ดึกเกินไปสำหรับพี่นะ”
“รอให้ถามอยู่พอดีเลย หิวจะแย่อยู่แล้ว”
ในที่สุดสองพี่น้องเคยซี้ก็ดูท่าจะมีหนทางให้กลับมาสนิทกันอีกครั้ง ถูกอย่างที่แนชบอก ถ้าคนเรามัวแต่จมอยู่กับอดีตก็คงไม่มีวันเริ่มต้นใหม่ได้สักที แต่เขาคงจะลืมอะไรบางอย่าง
การปฏิเสธอดีต ก็เหมือนปฏิเสธตัวเอง ใครบางคนได้กล่าวเอาไว้
“เจอคนที่เคยเที่ยวด้วยกันเมื่อสองปีที่แล้วหลังจากที่เลิกกับแฟนเก่าได้ไม่กี่นาที อะไรจะโชคดีขนาดนั้น”
คาร่าจุ่มพู่กันในสีน้ำมันก่อนจะระบายมันลงบนเฟรมผ้าใบ เธอมาหาแดนหลังได้รับโทรศัพท์จากเขาเพื่อมาช่วยทำงานที่เคยรับปากเอาไว้
“โชคมักเข้าข้างคนดีๆเสมอ”
“หรือไม่บางทีนี่ก็อาจจะเป็นพรหมลิขิต”
“นายเชื่อเรื่องพวกนั้นด้วยเหรอ”
“ก็ไม่ค่อยจะเชื่อหรอก แต่หลังจากได้ฟังเรื่องของเธอเริ่มไม่แน่ใจแล้ว”
เธอมองภาพวาดตรงหน้า แต่ใจกลับไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่มอง ถ้านี่จะเป็นพรหมลิขิตจริงๆ หวังว่าเธอคงไม่ทำมันพังอีกครั้งนึงนะ
..............................................
** เราลองแก้การเว้นบรรทัดเหมือนที่คุณรักแรกแนะนำมา หวังว่าจะอ่านง่ายขึ้นนะคะ :)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ