เรียนโลกงาน Learn World Works
7.3
เขียนโดย น่านเมือง
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 23.38 น.
1 ชีวิต
1 วิจารณ์
3,429 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 เมษายน พ.ศ. 2557 14.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) คนทำงาน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เรื่องนี้มาจากประการณ์จริง ตัวละครทุกตัวเป็นตัวสมมติเพื่อไม่ให้พาดพิงจนเกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียง
หลายเดือนที่ผ่านมาผมพยายามอดทนต่อการทำงานอันแสนเหน็ดเหนื่อยและเมื่อยล้า หาใครเป็นที่ปรึกษาไม่ได้ จนผมทนไม่ไหวเล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวคนสนิทที่ช่วยติวเตอร์การเรียนให้ผม ผมเล่าเรื่องของคนที่ทำงานให้ฟังว่าผมพยายามทำความดีเท่าไร นิสัยเขาก็ยังคงพาลทั้งที่ผมไม่ได้ทำเรื่องผิดใจอะไรกับเขา ทำอะไรก็ไม่ถูกใจซะอย่าง ผมรู้สึกถึงความผิดปกติของเพื่อนร่วมงานคนนี้ จนผมอยากจะลาออกจากตำแหน่งงาน เพราะท้อแท้หมดกำลังใจ และรวมไปถึงคนในครอบครัวที่กำลังต้องใช้เงินและบางครั้งก็ดูถูกดูแคลงในวิชาชีพที่ผมเรียน พี่สาวคนนี้ ผมขอใช้นามสมมติว่าพี่นิด พี่ที่ค่อยให้คำแนะนำ พี่บอกว่าชะตาของพี่ก็ไม่ต่างอะไรจากผม
ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งผมและฟลุ๊ค เพื่อนสนิทชวนนัดทานข้าวร้านอาหารเจ้าประจำกับพี่นิด เพื่อปรับสารทุกข์สุขดิบ
“เป็นยังไงบ้างพวกเรา ยังสบายดีกันหรือเปล่า”
“ก็เรื่อย ๆ ล่ะครับ พี่” ฟลุ๊คตอบพรางยิ้ม
“แล้ว ทิวหล่ะ” พี่นิดหันมาถามผมที่กำลังมุ่งหน้ามองเมนูอาหารที่จะสั่ง
“ผมก็เหนื่อยเหมือนเดิม ไม่รู้ชีวิตมันเป็นอะไรนักหนา เซ็ง !” ผมบ่นพรางทำหน้าเบื่อหน่ายชีวิต
“อย่าทำหน้าอย่างนี้ซี เดี๋ยวก็แก่ไวนะ ยังไม่มีแฟนไม่ใช่หรอ”
“โถ ! พี่นิด ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องแฟนหรอกครับ แต่ตอนนี้ผมกำลังคิดว่าจะไปหางานทำที่ไหนต่างหากที่ดีกว่านี้ ผมเหนื่อยใจกับเพื่อนร่วมงานเหลือเกิน ไม่รู้ว่าผมควรทำยังไงดี อยากทำในสิ่งที่ตนรักก็ไม่ได้เพราะติดขัดรับภาระครอบครัว”
“นั้นพี่จะเล่าเรื่องของพี่ให้ฟัง จะได้เป็นกำลังใจข้อคิดให้กับทิวได้บ้าง”
พี่นิดเริ่มเล่าว่า ตั้งแต่เรียนจบใหม่เมื่อ ปี พ.ศ.2553 หางานทำลาออกมาแล้วสามที่ ที่แรกงานสบายแต่เงินเดือนไม่ดี นายหญิงขี้ระแวงและขี้เหนียว เพื่อนร่วมงานก็ไม่ดีเท่าทีควร รวมทั้งความเครียดของพี่นิดต้องเดินทางไปไกลมาทำงานถึงสาธร เงินเดือนที่ได้รับต้องไปเสียค่ายา โรคไมเกรทและต้องเจอะรายจ่ายมารุมเร้า พ่อของพี่นิดต้องการควบคุมรายจ่ายของพี่นิดจึงสั่งให้พี่นิดนำเงินเดือนมาให้แก่ และถ้าพี่นิดจะใช้จ่ายอะไรก็ให้อยู่จำกัดเพียงสองพัน จากเงินเดือนแปดพันบาท และยังต้องให้ญาติที่ให้ที่อยู่อาศัย เพื่อให้เขาจัดสำรับอาหาร พี่นิดอดทนอยู่ที่สาธรมาสามเดือนเต็ม เพราะมีปัญหาทั้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงานที่ดูถูกดูแคลง และญาติที่มักมีปากเสียงกันบ้างในบางครั้ง ทำให้พี่นิดต้องลาออกจากตำแหน่งเพราะไม่มีความสุข ต่อมาไปสมัครงานพระรามสอง ได้บริษัทตอกเสาเข็ม เป็นครั้งที่สมัครบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในสายตาของพี่นิดได้รับเงินเดือนเก้าพันบาทและต้องฝึกงานสี่เดือนจึงจะได้รับเข้าบรรจุเป็นพนักงานบริษัท แต่หัวหน้าชื่อเลิฟ เป็นหัวหน้าที่หน้าตาไม่รับแขก มีนิสัยจิตแปรปรวนเหมือนคนจะเป็นโรคจิตอ่อน ๆเขาสั่งให้พี่ผู้หญิงอีกคนสอนงาน แต่ด้วยพี่นิดต้องศึกษาโปรแกรมให้รู้สึกชินก่อนจึงจะสามารถทำงานได้ แต่พี่หัวหน้าคนนี้อยากให้เป็นงานเร็ว บางครั้งพี่นิดไม่ได้เรียงเอกสารผิด แต่ก็โดนโยนความผิดอย่างงวยงง แต่พี่นิดก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำ เพราะหาว่าแก้ตัวให้ตัวเองดูดี เวลาออกใบกำกับผิด เขาโยนใส่หน้าและว่า
“ไปวางบิลให้หมาตัวไหนไม่ทราบ” คำนี้แรงมากสำหรับพี่นิด
ในใจลึกของพี่นิดทั้งเสียใจและแค้นใจมาก อยากจะกระทืบให้เขาแท้งลูกในท้องฝาแฝดให้หลุดออกจากโพรงมดลูกเสียเลย และแช่งในใจว่าขอให้ลูกของมันเหมือนพี่นิดทุกประการ แต่พอเมื่อคิดได้ก็ไม่รู้ว่าจะไปผูกใจเจ็บทำไม เมื่อมาเห็นสภาพความเป็นจริงว่าที่เขาเป็นอย่างนี้ก็เพราะนายหญิงเจ้าของกิจการค่อยด่าว่าอย่างแรง ทำให้เขากลายเป็นคนหวาดระแวง หรือนี้คือบทเรียนลงโทษสำหรับพี่เลิฟ และในที่สุดพี่เลิฟก็ไล่พี่นิดลาออกจากตำแหน่ง พี่นิดรู้สึกดีใจที่ทั้งคูไม่ต้องมาเป็นเจ้ากรรมนายเวร แต่ก็เป็นที่ไม่ชื่นชอบของพี่ ๆ ในนั้นที่ค่อยให้กำลังใจและสอนงาน ตอนนั้นพี่นิดเหงามาก ทุกอย่างดูได้รับการต้อนรับอย่างดีในช่วงแรกกลับกลายเป็นตัวประหลาดของทุกคน พี่นิดต้องทนอยู่ต่อไปให้ถึงสิ้นเดือนสองโดยไม่มีงานทำ เพราะความอคติของหัวหน้าพี่เลิฟ พี่นิดก็ไม่สนใจอยากให้ทำอะไรก็ทำ พี่นิดใช้เวลาที่ว่างหาสิ่งที่มีความรู้มาอ่านให้ใจสงบ แม้บางครั้งจะถูกหาเรื่องบ้างเล็กน้อย ใครจะมองด้วยสายตายังไงก็ไม่แคร์ เพราะนี้คือตัวเรา ไม่ใช่นักโทษที่มีความผิดร้ายแรง
เมื่อได้อิสรภาพแล้วก็เริ่มหางานใหม่อีกทีหนึ่งคือสำนักงานบัญชีอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากนายผู้หญิงคนใหม่ชื่อพี่ปุ้ย และได้พบพี่ร่วมงานคนใหม่เพิ่งเข้ามาทำงานพร้อมกันชื่อฝ้ายและยังมีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งรุ่นน้องเพิ่งมาทำงานเพราะลาคลอดลูก ชื่อดา ตอนแรกดูมีความสุข แต่มามีเรื่องเข้าใจผิดแค่เรื่องลูกกุญแจไขออฟฟิศ เรื่องมีอยู่ว่าพี่ปุ้ยฝากลูกกุญแจให้พี่ฝ้าย และเนื่องด้วยวันนั้นพี่ฝ้ายเจอะรถติดจึงมาสายเก้าโมงยี่สิบนาที พี่นิดมายืนรอหน้าบ้านเจ้านายที่เป็นสำนักงานบัญชีอยู่นาน ทำให้พี่นิดยังไม่กล้าตัดสินใจที่จะโทรศัพท์หาพี่ปุ้ยขอลูกกุญแจ ทนรอจนพี่ฝ้ายขับรถมาพร้อมรับน้องดา เมื่อเปิดประตูเข้าไปได้และเข้าในบ้าน พี่ฝ้ายก็ถาม
“รอนานหรือเปล่านิด”
พี่นิดเป็นคนนิสัยซื่อ เกรงอกเกรงใจคน ไม่กล้าพูดความจริงจึงบอกว่า
“นานจ้ะ แต่รอได้ ถ้าสายกว่านี้ นิดจะต้องขอรบกวนขอลูกกุญแจพี่ปุ้ย ตอนแรกจะโทรหาพี่ว่าตอนนี้อยู่ถึงไหนแต่ก็ไม่กล้าโทรเพราะเห็นว่าพี่ขับรถอยู่บนท้องถนน”
แค่คำตอบเพียงประโยคเดียวและตอบอย่างนอบน้อมยังไม่ได้โทรหาพี่ปุ้ย พี่ฝ้ายกับน้องดาก็โมโหเป็นกระต่ายตื่นตูมหาว่าพี่นิดจะฟ้อง ทั้งที่ยังไม่เกิดเรื่อง ตั้งแต่นั้นพวกเขาก็เกลียดพี่นิดอย่างไร้เหตุผล และเกลียดหลายเรื่อง เพราะความบังเอิญเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ตัวแม่ที่มีโปรแกรมสำเร็จรูปบัญชีที่ทำงานไม่ค่อยจะดีนัก เพราะเจอะไวรัสบ่อยทำให้เสียบ่อยครั้ง จนพี่ฝ้ายกับน้องดาโมโห พูดแหวะไปมา และบางทีพี่นิดพูดเล่นบ้างเรื่องเด็กฝึกงาน เขาหาว่าพี่นิดทำงานช้า ทั้งที่พี่นิดเขาก็ทำงานอยู่จะมีบางครั้งที่เปิดเล่นอินเตอร์เน็ตพักสายตาแต่ไม่ได้นานนัก
พี่ฝ้ายเห็นงานพี่นิดว่างานเยอะ เดี๋ยวพี่ปุ้ยก็รับเด็กฝึกงาน และอยู่ ๆ พี่ฝ้ายกับน้องดาก็มาช่วยจัดเรียงเอกสารใต้โต๊ะช่วยงานพี่นิด แต่หารู้มั้ยว่าพอช่วยเสร็จก็ต่อว่าพี่นิด พี่นิดคิดว่าอย่ามาช่วยซะดีกว่าหน้าตาสวยแต่นิสัยชอบทวงหนี้บุญคุณและยังว่าอย่าไปยืมจมูกคนมาหายใจนะ ก็หมายถึงเด็กฝึกงานที่จะมาช่วย ทั้งที่ พี่นิดไม่เคยจะมีความหวังให้ใครมาช่วยเหลือ อยู่ ๆ ก็มาช่วย ส่วนน้องดาก็ไม่ใช่คนที่นิสัยดีมากนัก เป็นคน ขี้เกียจโดยภาพรวมดูหนังไทยในยูทูปทั้งวัน เล่นไฮไฟว์ ถ้าจะทำงานก็ต่อหน้าพี่ปุ้ย ทั้ง ๆ ที่น้องดาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่ปุ้ย โดยเขาอ้างเหตุผลว่าพี่ปุ้ยจ้างเงินเดือนแค่เจ็ดพันห้าร้อยบาท จะทำอะไรเยอะแยะ เงินเดือนก็ไม่เคยขึ้น และเขาก็ไม่ค่อยชอบพี่ปุ้ยซะเท่าไหร่มีหลายเรื่องมากมายที่เขาไม่ชอบ
เวลามีพี่สิทธิ์ พี่ช่างคอมพิวเตอร์ที่พี่ปุ้ยไว้วางใจมาซ่อมคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัส พี่ฝ้ายกับน้องดาจะพูดแหวะไปมาให้พี่ช่างซ่อมได้เห็นว่าพวกเขารังเกลียดพี่นิด ทั้งที่พี่นิดไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย เมื่อพี่สิทธิ์เสร็จจากการลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ พี่สิทธิ์เห็นพี่นิดเดินกลับบ้านคนเดียวจึงให้ติดรถมาด้วย มาลงตรงหน้าปากซอยหมู่บ้านป้ายรถเมล์ พี่สิทธิ์จึงถามว่าทำไมคุณฝ้ายกับคุณดาถึงพูดจาแหวะไปมาใส่คุณนิดเหมือนคนไม่มีมารยาท พี่นิดได้แต่ยิ้มไม่กล้าตอบ และเรื่องนี้ก็ไปถึงหูพี่ปุ้ย พี่ปุ้ยแกล้งเข้ามาออฟฟิศสังเกตพฤติกรรมของทั้งสองคนจึงรู้ว่าพี่นิดถูกกลั่นแกล้ง พี่ปุ้ยจึงขอพูดกับพี่นิดเป็นการส่วนตัว พี่นิดยอมเล่าให้ฟังว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดแค่ลูกกุญแจเปิดบ้านตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์มาจนถึงทุกวันนี้ พี่ปุ้ยส่ายหัวและบอกว่า
“เรื่องไร้สาระชัด ๆ เอามาเป็นอคติไปได้ อธิบายเท่านี้ก็น่าเข้าใจ แล้วนิดทนไหวมั้ยเพราะกลัวทำงานไม่มีความสุข”
“ทนได้คะ ก็ทนมาหลายเดือน จนจะข้ามปีแล้ว ไม่เป็นอะไรคะ”
ผมถามพี่นิดว่า “ทำไมพี่นิดจึงต้องทนครับ”
พี่นิดตอบกับผมสั้น ๆ ว่า
“เพื่ออนาคตข้างหน้า ถึงแม้อาจจะเจ็บตัว เจ็บใจบ้าง ถ้าเราเอาชนะได้จนถึงหนึ่งปีมีประสบการณ์ทำงานจนเก่ง เราไปสมัครงานที่ไหนนายจ้างเขาก็รับเพราะถือว่าอย่างน้อยเราอดทนต่อการทำงาน ไม่ย้ายงานพร่ำเพรื่อ”
“แล้วพี่ไม่เหงาหรือครับ พี่แทบไม่มีเพื่อนเลย”
“ไม่เหงาจร้า เพราะพี่มีเพื่อนรักที่สนิทอยู่ ค่อยให้กำลังใจ พวกเราต่างเผชิญชะตากรรมคล้ายคลึงกัน เลยมีความเข้าใจ มีเพื่อนที่รู้ใจ ไม่เห็นแก่ตัวต้องรักษาเขาไว้ เพราะเขาจะเป็นผู้ที่แนะนำ เตือนสติเราได้ในยามที่เราท้อแท้ เพราะบางครั้งเพื่อนร่วมงานก็ไม่สามารถไว้ใจได้ ส่วนครอบครัวนั้นก็อย่าไปเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟังมากนัก ทำให้พวกเขาเครียดได้ ถ้าจะเล่าก็เฉพาะเรื่องที่มีปัญหาจนเราอดทนไม่ได้ แต่ไม่ต้องใช้อารมณ์มาก เล่าด้วยน้ำเสียงธรรมดาก็พอและไม่ต้องเล่าบ่อย”
“พี่นิด เก่งจัง พี่อดทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรได้ พี่นิดเล่าต่อซีครับผมอยากฟังต่อ”
พี่นิดเล่าเรื่องที่ทำงานต่อไปอีก
หลังจากที่พี่ปุ้ยได้รู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พี่ปุ้ยก็ให้กำลังใจพี่นิดต่อสู้กับปัญหาเพราะพี่ปุ้ยบอกว่าเรามาที่นี้เพื่อมาทำงานเรียนรู้ประสบการณ์ จะได้นำความรู้ความสามารถไปใช้ในอนาคตข้างหน้า ถ้าเรามองเห็นประโยชน์ตรงนี้ เราก็มีเป้าหมายในชีวิตโดยที่เราไม่ต้องแคร์สิ่งรอบข้างให้มาเป็นปมด้อยของเรา เราต้องผลักดันความสามารถของตัวเองพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสของเรานำไปสู่ความสำเร็จ
พี่นิดรู้สึกมีกำลังใจต่อสู้ เพราะมีพี่ปุ้ยที่เข้าใจสิ่งที่พี่นิดกำลังเผชิญกับเพื่อนร่วมงานจอมอันธพาลค่อยพูดหาเรื่องอยู่ตลอดเวลาเกือบทุกวัน เมื่อข้ามปีมาถึง พ.ศ.2554 ที่ทำงานของพี่ปุ้ยเกิดวิกฤตเรื่องเงินหมุนในสำนักงานไม่ทัน จนไม่ได้จ่ายเงินค่าประกันสังคมให้ห้าเดือน พี่ฝ้ายผู้มีประสบการณ์ในการทำงานก็กลัว พี่ปุ้ยไม่ส่งเงินกองทุนประกันสังคม ส่วนพี่นิดเพิ่งเป็นเด็กใหม่ ก็กลัวไปตามเขาเช่นกัน ต่างพากันหวาดกลัวว่าจะต้องมีปัญหาภายในองค์กร และในที่สุดเหมือนการชดใช้กรรมของพี่ฝ้ายได้สิ้นสุดลง พี่ฝ้ายชิงลาออกจากงานเดือนพฤษภาคม 2554 พี่ฝ้ายได้บอกกับพี่นิดว่า
“พี่ปุ้ยคงไม่ได้ตั้งใจให้กิจการเป็นแบบนี้ก็อย่าไปซ้ำเติมแก่นะ ทุกคนย่อมมีผิดพลาด”
พี่นิดรับฟัง แต่ยังไงพี่นิดก็เจียมเนื้อเจียมตัวไม่กล้าทิ้งใครง่าย ๆ จนกว่าคนนั้นจะขอเลิกรา ไม่เอาพี่นิดเอง
และแล้วในที่สุดเดือน กรกฎาคม 2554 พี่ปุ้ยตัดสินใจบอกความจริงว่ากิจการไปไม่รอดจึงให้พี่นิดไปหางานทำใหม่ พี่นิดเข้าใจดีว่าการเป็นเจ้าคนนายคนไม่ใช่เรื่องง่ายจึงเข้าใจความรู้สึกของพี่ปุ้ยที่ทำงานลงทุนแรง แต่ไม่ได้ลงทุนเงิน กำไรต้องแบ่งครึ่งหนึ่งกับเพื่อนสนิทที่ร่วมหุ้น และเงินเดือนที่ให้ลูกน้องนั้นเป็นเงินของพี่ปุ้ยที่ได้จากค่าจ้างของลูกค้าที่มีอยู่ไม่กี่เจ้า เท่ากับบริหารงานกินเข้าเนื้อ พี่นิดยอมจากไปทั้งที่มีประสบการณ์งานบัญชีเพียงแค่เจ็ดเดือน พี่นิดต้องรอนเร่หางานทำอีกครั้ง ในตอนนั้นพี่นิดยังสับสนกับชีวิตว่านอกเหนือจากงานบัญชีแล้วยังสามารถทำงานอะไรได้อีกที่ไม่ใช่งานบัญชีหรืองานในออฟฟิศ ครั้งจะลงทุนขายของ ทุนก็ไม่มี เงินเดือนที่หามาจากการทำงานก็มีอยู่แปดร้อยบาทในธนาคารเพราะให้ที่บ้านเกือบหมด บางครั้งก็แอบร้องไห้ไม่สามารถระบายให้ใครฟังได้ว่าตัวเองทุกข์ใจมากขนาดไหน
หลังจากพี่ปุ้ยอนุญาตให้พี่นิดไปหางานใหม่แทนการชดเชยเงินค่าจ้างไล่ออกเนื่องจากบริษัทไม่สามารถจ้างพนักงานได้ พี่นิดกลุ้มใจคิดมากว่าตัวเองเรียนหนังสือจบปริญญาตรีทางบัญชีก็เพราะต้องหาเงินเข้าครอบครัว อาชีพนี้เป็นอาชีพที่หางานทำง่ายที่สุด ในช่วงเวลานั้นพี่นิดรู้สึกจิตใจหดหู่และท้อแท้มาก แต่ด้วยกำลังใจที่ต้องผ่านอุปสรรคนี้ให้ได้ มีทางสุดท้ายคือไหว้ขอพรจากพระพุทธรูปในบ้านที่ตนนับถือบอกเล่าความทุกข์ของตนให้กับพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าข้าพเจ้ากำลังตกงาน ไปทำงานที่ไหนก็มีแต่ปัญหากับคน อยู่ไม่ได้ถึงปีก็ต้องลาออก ไม่นั้นก็ถูกไล่ออกจากงาน ขอให้ข้าพเจ้าเจอะบริษัทที่เหมาะสมกับข้าพเจ้า มีความมั่นคงในชีวิต มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และมีเงินเดือนที่เหมาะสมกับความสามารถของข้าพเจ้า พี่นิดรอความหวังเพียงปาฏิหาริย์ตามความเชื่อและศรัทธายึดมั่นในความดี พยายามมองโลกในแง่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผ่านไปสามวันไม่นานนักเพื่อนรักของพี่นิด ชื่อ อี๊ฟ ก็โทรศัพท์มาถามสารทุกข์สุขดิบและบอกข่าวดี
“ฉันได้งานทำอยู่แถวพระรามสาม ใกล้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา สำนักงานใหญ่ได้เงินเดือนเก้าพันห้าร้อยบาท”
“ดีใจกับเธอด้วยนะ ได้พ้นเคราะห์พ้นโศกเสียที จากที่ทำงานเก่า แล้วบริษัทของเธอประกอบกิจการอะไร”
“ทำเหล็กจ้ะ ที่นี้เป็นออฟฟิศ ไว้ทำงานบัญชี ติดต่อซื้อขาย มีพนักงานจำนวนมากอยู่ที่นี้และที่โรงงาน ส่วนโรงงานผลิตเหล็กอยู่สมุทรปราการ ฉันโชคดีที่ได้งานทำที่นี้เพราะหยุดเสาร์อาทิตย์และได้ความเป็นอิสระเสรี ฉันดีใจมากที่หางานทำได้สำเร็จ แล้วนิดหล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“ฉันหรือใกล้ลาออกจากงานแล้วหล่ะ เพราะนายจ้างของเรา เขาไล่เราออกเพราะกิจการของเขากำลังแย่”
“แล้วได้เงินค่าชดเชยหรือเปล่า”
“เงินค่าชดเชยคืออะไร”
“ก็เวลาเราลาออกไง จริง ๆ มันต้องได้นะ ยิ่งไล่ออกเพราะกิจการไปไม่รอดก็ยิ่งต้องให้เพื่อต่อทุน”
“ท่าจะไม่มีหรอก ขณะประกันสังคม พี่เขายังไม่จ่ายให้เลย เขาต้องรอเก็บเงินจากลูกค้าก่อน เดี๋ยวจะจ่ายตามหลังให้ทั้งหมด”
“แล้วนี่เตรียมหางานใหม่หรือยัง”
“หาแล้วหล่ะไปสมัครงานที่สีลม”
“เขาให้เงินเดือนเท่าไร”
“เก้าพันห้า เพราะอ้างว่าหยุดเสาร์อาทิตย์ และมีสวัสดิการรักษาพยาบาลพร้อมมีบัตรกำนันของขวัญซื้อของในห้างฯ ก็ถือว่ามากพอแล้ว”
“ไปตั้งสีลม เงินเดือนเท่านี้ ค่าครองชีพที่นั้นสูงจะตาย แค่หักประกันสังคม ค่ารถ ค่าอาหาร ก็หมดแล้ว แล้วเข้างานกี่โมง”
“แปดโมงตรง”
“โหดเกินไปแล้วมั้ง แล้วเขาเรียกให้ไปทำงานหรือยัง”
“ยัง เพิ่งรับใบสมัครไป ฝ่ายบุคคลพิจารณาละเอียดมาก ท่าจะได้ยาก แต่ฉันก็ไม่เอา เพราะรู้สึกไม่ชอบ”
“เอาอย่างนี้เดี๋ยวฉันดูตำแหน่งบริษัทบริเวรใกล้เคียงกับฉันให้แล้วกันนะ จะได้ช่วยอีกแรง”
“ขอบใจเธอมากอี๊ฟ”
พี่นิดรู้สึกยินดีกับเพื่อนสนิทที่ได้งานทำเป็นหลักแหล่ง เหลือเพียงพี่นิดเท่านั้นที่ต้องรอลุ้นเกือบอาทิตย์สาม จึงได้รับข่าวดีจากเพื่อนคนนี้อีกครั้ง เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของพี่นิดดังขึ้น พี่นิดกดรับสาย
“อี๊ฟ ว่าไง มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันมีข่าวดีจะมาบอกเธอ พรุ่งนี้มาสัมภาษณ์ที่บริษัทรถเช่านะ อยู่ในตึกเดียวกันกับฉัน พอดีไปเจอะกรรมการบริษัทเขามานั่งคุยกับผู้จัดการบัญชีของฉัน และเขาก็มาคุยกับฉันว่าตอนนี้เขากำลังหาพนักงานบัญชีการเงิน เธอรีบมาสมัครนะ เพราะฉันไปบอกว่า เธอน่าไว้ใจ เป็นคนดีแน่นอน”
“ขอบใจเธอมากนักอี๊ฟ ที่บอกข่าวดีกับฉัน เดี๋ยวฉันขออนุญาตพี่ปุ้ยก่อนนะว่าพรุ่งนี้จะไปสมัครงาน”
“โอ.เค. เดี๋ยวเจอะกันนะ”
“จร้า”
อาทิตย์ที่สามของเดือนกรกฎาคม พี่นิดได้ไปสมัครงานที่ทำงานของพี่อี๊ฟ เพื่อนสนิท เป็นบริษัทรถเช่าในออฟฟิศเล็ก ๆ ที่เช่าตึกสำนักงานเดียวกันที่ทำงานของพี่อี๊ฟ มีกรรมการสามคนเข้ามาสัมภาษณ์งานพี่นิดเล่าให้ผมฟังอย่างตลกว่า
“ตอนที่พี่เข้าไปสมัครงาน คนที่ทำงานในนั้นเขาแต่งตัวดีกันทุกคน เพราะเป็นโซนอยู่ในตัวเมืองกรุงเทพฯ เจริญกว่าเขตบ้านเราที่เข้าตัวต่างจังหวัด วันนั้นพี่แต่งตัวได้เฉิ่มสุด ๆ เสื้อยืดโปโลสีชมพูและกระโปรงยางสีน้ำตาล ทุกคนในออฟฟิศมองกันเป็นแถวคิดว่าสัมภาษณ์ป้ามาทำงาน แต่พี่ก็ยอมรับนะว่าพี่จนจริง ๆ เครื่องสำอางแต่งใบหน้าก็ไม่มี รองเท้าก็คัทชูส้นต่ำธรรมดา ดูไปพี่ก็เหมือนสาวโรงงานจริง ๆ”
พี่นิดหัวเราะกับสาระรูปของตนเองในนั้น และไม่เชื่อว่าหลังจากที่พี่นิดออกจากที่ทำงานที่ไปสมัครในวันนั้น และแวะกลับมาที่มหาวิทยาลัยจะไปไหว้สิ่งศักดิ์ของมหาวิทยาลัยที่เคยร่ำเรียนให้ช่วยเหลือ และแล้วเสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของพี่นิดดังขึ้นบอกข่าวดีว่า
“สวัสดีครับคุณนิด ทางบริษัทของเราได้เห็นคุณสมบัติของคุณ ให้เข้ามาทำงานได้เริ่มเดือนสิงหาคมได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณคะพี่” พี่นิดตอบรับยิ้มอย่างดีใจกับข่าวดีที่จะได้มีงานทำรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
พี่นิดนำข่าวดีมาบอกให้พี่ปุ้ยได้รู้ พี่ปุ้ยดีใจกับพี่นิดที่ได้งานทำ น้องดาได้ยินก็พลอยยินดีตาม แต่ก็อิจฉาเล็กน้อยว่าทำงานในเมืองคงได้เงินเป็นหมื่น ทั้งที่แท้จริงพี่นิดเริ่มต้นเงินเดือนเก้าพันห้าร้อยเท่านั้น ถ้าผ่านฝึกงานสี่เดือนจึงจะได้ขึ้นหนึ่งหมื่นบาทตามข้อตกลง
เมื่อถึงเดือนสิงหาคมต้นเดือน พี่นิดเริ่มทำงานที่ใหม่ได้รับการต้อนรับจากพี่ ๆ ร่วมงานอย่างดี โดยเฉพาะพี่มะเหมียว เจ้าหน้าที่บัญชีการเงิน ดูเป็นคนใจดีและมีน้ำใจ หาได้รู้ว่าคนนี้เป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในออฟฟิศนี้ พี่มะเหมียวเป็นคนสอนงานให้พี่นิดเกือบทั้งหมด แต่เป็นคนใจร้อนอยากให้เป็นงานเร็ว ส่วนตัวเองนั้นเป็นคนชอบรับงานเยอะ ๆ เพราะกลัวจะมีคนมาแย่งงานของตัวเองและกลัวตัวเองจะลืมวิชาความรู้ทางบัญชี เธอเป็นคนไม่ยอมแพ้เด็กใหม่อย่างพี่นิด พี่นิดพยายามตั้งใจเรียนรู้งาน แต่งานที่นี้ก็ยังซับซ้อนต้องเรียนรู้โปรแกรมระบบงานและเอกสาร อย่างน้อยต้องสามเดือนถึงจะเข้าที่ไม่นั้นก็หนึ่งปีถึงจะชินกับงานที่ทำ แต่พี่มะเหมียวเป็นคนนิสัยเอาใจตัวเอง ใจร้อน อารมณ์แปรปรวนบ่อยครั้ง มีอคติต่อคนนั้นคนนี้ จนกลายเป็นบุคคลที่น่ากลัว แต่พี่นิดต้องพยายามทำใจเรียนรู้งาน ยังไม่ถึงสองอาทิตย์ ความเป็นมิตรภาพที่พูดคุยกันดี ๆ กลายเป็นความเกลียดชังไปเสียได้
ผมฟังพี่นิดเล่า ผมว่าชีวิตพี่เขาต้องอดทนอดกลั้นกับคนที่มีสภาพจิตใจไม่ปกติ ทั้ง ๆ ที่พี่นิด ที่ผมรู้จักนั้นเป็นคนที่ซื่อ จิตใจดี มีน้ำใจ เป็นมิตรกับเพื่อน ๆ ทุกคน และเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ทำไมชีวิตของพี่นิดเป็นคนอาภัพเรื่องงานไม่ได้มีชีวิตที่มีความสุขราบรื่นอย่างที่ผมคิด ผมจึงถามต่อว่า
“แล้วอาทิตย์ที่สอง ที่พี่เจอะฤทธิ์ของพี่มะเหมียวหาเรื่องพี่ แล้วเป็นยังไงบ้าง”
พี่นิดเล่าต่อว่า
ผมจะมาเขียนต่อนะครับ ตอนที่ 2
หลายเดือนที่ผ่านมาผมพยายามอดทนต่อการทำงานอันแสนเหน็ดเหนื่อยและเมื่อยล้า หาใครเป็นที่ปรึกษาไม่ได้ จนผมทนไม่ไหวเล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวคนสนิทที่ช่วยติวเตอร์การเรียนให้ผม ผมเล่าเรื่องของคนที่ทำงานให้ฟังว่าผมพยายามทำความดีเท่าไร นิสัยเขาก็ยังคงพาลทั้งที่ผมไม่ได้ทำเรื่องผิดใจอะไรกับเขา ทำอะไรก็ไม่ถูกใจซะอย่าง ผมรู้สึกถึงความผิดปกติของเพื่อนร่วมงานคนนี้ จนผมอยากจะลาออกจากตำแหน่งงาน เพราะท้อแท้หมดกำลังใจ และรวมไปถึงคนในครอบครัวที่กำลังต้องใช้เงินและบางครั้งก็ดูถูกดูแคลงในวิชาชีพที่ผมเรียน พี่สาวคนนี้ ผมขอใช้นามสมมติว่าพี่นิด พี่ที่ค่อยให้คำแนะนำ พี่บอกว่าชะตาของพี่ก็ไม่ต่างอะไรจากผม
ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งผมและฟลุ๊ค เพื่อนสนิทชวนนัดทานข้าวร้านอาหารเจ้าประจำกับพี่นิด เพื่อปรับสารทุกข์สุขดิบ
“เป็นยังไงบ้างพวกเรา ยังสบายดีกันหรือเปล่า”
“ก็เรื่อย ๆ ล่ะครับ พี่” ฟลุ๊คตอบพรางยิ้ม
“แล้ว ทิวหล่ะ” พี่นิดหันมาถามผมที่กำลังมุ่งหน้ามองเมนูอาหารที่จะสั่ง
“ผมก็เหนื่อยเหมือนเดิม ไม่รู้ชีวิตมันเป็นอะไรนักหนา เซ็ง !” ผมบ่นพรางทำหน้าเบื่อหน่ายชีวิต
“อย่าทำหน้าอย่างนี้ซี เดี๋ยวก็แก่ไวนะ ยังไม่มีแฟนไม่ใช่หรอ”
“โถ ! พี่นิด ผมไม่มีเวลาคิดเรื่องแฟนหรอกครับ แต่ตอนนี้ผมกำลังคิดว่าจะไปหางานทำที่ไหนต่างหากที่ดีกว่านี้ ผมเหนื่อยใจกับเพื่อนร่วมงานเหลือเกิน ไม่รู้ว่าผมควรทำยังไงดี อยากทำในสิ่งที่ตนรักก็ไม่ได้เพราะติดขัดรับภาระครอบครัว”
“นั้นพี่จะเล่าเรื่องของพี่ให้ฟัง จะได้เป็นกำลังใจข้อคิดให้กับทิวได้บ้าง”
พี่นิดเริ่มเล่าว่า ตั้งแต่เรียนจบใหม่เมื่อ ปี พ.ศ.2553 หางานทำลาออกมาแล้วสามที่ ที่แรกงานสบายแต่เงินเดือนไม่ดี นายหญิงขี้ระแวงและขี้เหนียว เพื่อนร่วมงานก็ไม่ดีเท่าทีควร รวมทั้งความเครียดของพี่นิดต้องเดินทางไปไกลมาทำงานถึงสาธร เงินเดือนที่ได้รับต้องไปเสียค่ายา โรคไมเกรทและต้องเจอะรายจ่ายมารุมเร้า พ่อของพี่นิดต้องการควบคุมรายจ่ายของพี่นิดจึงสั่งให้พี่นิดนำเงินเดือนมาให้แก่ และถ้าพี่นิดจะใช้จ่ายอะไรก็ให้อยู่จำกัดเพียงสองพัน จากเงินเดือนแปดพันบาท และยังต้องให้ญาติที่ให้ที่อยู่อาศัย เพื่อให้เขาจัดสำรับอาหาร พี่นิดอดทนอยู่ที่สาธรมาสามเดือนเต็ม เพราะมีปัญหาทั้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงานที่ดูถูกดูแคลง และญาติที่มักมีปากเสียงกันบ้างในบางครั้ง ทำให้พี่นิดต้องลาออกจากตำแหน่งเพราะไม่มีความสุข ต่อมาไปสมัครงานพระรามสอง ได้บริษัทตอกเสาเข็ม เป็นครั้งที่สมัครบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในสายตาของพี่นิดได้รับเงินเดือนเก้าพันบาทและต้องฝึกงานสี่เดือนจึงจะได้รับเข้าบรรจุเป็นพนักงานบริษัท แต่หัวหน้าชื่อเลิฟ เป็นหัวหน้าที่หน้าตาไม่รับแขก มีนิสัยจิตแปรปรวนเหมือนคนจะเป็นโรคจิตอ่อน ๆเขาสั่งให้พี่ผู้หญิงอีกคนสอนงาน แต่ด้วยพี่นิดต้องศึกษาโปรแกรมให้รู้สึกชินก่อนจึงจะสามารถทำงานได้ แต่พี่หัวหน้าคนนี้อยากให้เป็นงานเร็ว บางครั้งพี่นิดไม่ได้เรียงเอกสารผิด แต่ก็โดนโยนความผิดอย่างงวยงง แต่พี่นิดก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำ เพราะหาว่าแก้ตัวให้ตัวเองดูดี เวลาออกใบกำกับผิด เขาโยนใส่หน้าและว่า
“ไปวางบิลให้หมาตัวไหนไม่ทราบ” คำนี้แรงมากสำหรับพี่นิด
ในใจลึกของพี่นิดทั้งเสียใจและแค้นใจมาก อยากจะกระทืบให้เขาแท้งลูกในท้องฝาแฝดให้หลุดออกจากโพรงมดลูกเสียเลย และแช่งในใจว่าขอให้ลูกของมันเหมือนพี่นิดทุกประการ แต่พอเมื่อคิดได้ก็ไม่รู้ว่าจะไปผูกใจเจ็บทำไม เมื่อมาเห็นสภาพความเป็นจริงว่าที่เขาเป็นอย่างนี้ก็เพราะนายหญิงเจ้าของกิจการค่อยด่าว่าอย่างแรง ทำให้เขากลายเป็นคนหวาดระแวง หรือนี้คือบทเรียนลงโทษสำหรับพี่เลิฟ และในที่สุดพี่เลิฟก็ไล่พี่นิดลาออกจากตำแหน่ง พี่นิดรู้สึกดีใจที่ทั้งคูไม่ต้องมาเป็นเจ้ากรรมนายเวร แต่ก็เป็นที่ไม่ชื่นชอบของพี่ ๆ ในนั้นที่ค่อยให้กำลังใจและสอนงาน ตอนนั้นพี่นิดเหงามาก ทุกอย่างดูได้รับการต้อนรับอย่างดีในช่วงแรกกลับกลายเป็นตัวประหลาดของทุกคน พี่นิดต้องทนอยู่ต่อไปให้ถึงสิ้นเดือนสองโดยไม่มีงานทำ เพราะความอคติของหัวหน้าพี่เลิฟ พี่นิดก็ไม่สนใจอยากให้ทำอะไรก็ทำ พี่นิดใช้เวลาที่ว่างหาสิ่งที่มีความรู้มาอ่านให้ใจสงบ แม้บางครั้งจะถูกหาเรื่องบ้างเล็กน้อย ใครจะมองด้วยสายตายังไงก็ไม่แคร์ เพราะนี้คือตัวเรา ไม่ใช่นักโทษที่มีความผิดร้ายแรง
เมื่อได้อิสรภาพแล้วก็เริ่มหางานใหม่อีกทีหนึ่งคือสำนักงานบัญชีอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากนายผู้หญิงคนใหม่ชื่อพี่ปุ้ย และได้พบพี่ร่วมงานคนใหม่เพิ่งเข้ามาทำงานพร้อมกันชื่อฝ้ายและยังมีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งรุ่นน้องเพิ่งมาทำงานเพราะลาคลอดลูก ชื่อดา ตอนแรกดูมีความสุข แต่มามีเรื่องเข้าใจผิดแค่เรื่องลูกกุญแจไขออฟฟิศ เรื่องมีอยู่ว่าพี่ปุ้ยฝากลูกกุญแจให้พี่ฝ้าย และเนื่องด้วยวันนั้นพี่ฝ้ายเจอะรถติดจึงมาสายเก้าโมงยี่สิบนาที พี่นิดมายืนรอหน้าบ้านเจ้านายที่เป็นสำนักงานบัญชีอยู่นาน ทำให้พี่นิดยังไม่กล้าตัดสินใจที่จะโทรศัพท์หาพี่ปุ้ยขอลูกกุญแจ ทนรอจนพี่ฝ้ายขับรถมาพร้อมรับน้องดา เมื่อเปิดประตูเข้าไปได้และเข้าในบ้าน พี่ฝ้ายก็ถาม
“รอนานหรือเปล่านิด”
พี่นิดเป็นคนนิสัยซื่อ เกรงอกเกรงใจคน ไม่กล้าพูดความจริงจึงบอกว่า
“นานจ้ะ แต่รอได้ ถ้าสายกว่านี้ นิดจะต้องขอรบกวนขอลูกกุญแจพี่ปุ้ย ตอนแรกจะโทรหาพี่ว่าตอนนี้อยู่ถึงไหนแต่ก็ไม่กล้าโทรเพราะเห็นว่าพี่ขับรถอยู่บนท้องถนน”
แค่คำตอบเพียงประโยคเดียวและตอบอย่างนอบน้อมยังไม่ได้โทรหาพี่ปุ้ย พี่ฝ้ายกับน้องดาก็โมโหเป็นกระต่ายตื่นตูมหาว่าพี่นิดจะฟ้อง ทั้งที่ยังไม่เกิดเรื่อง ตั้งแต่นั้นพวกเขาก็เกลียดพี่นิดอย่างไร้เหตุผล และเกลียดหลายเรื่อง เพราะความบังเอิญเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ตัวแม่ที่มีโปรแกรมสำเร็จรูปบัญชีที่ทำงานไม่ค่อยจะดีนัก เพราะเจอะไวรัสบ่อยทำให้เสียบ่อยครั้ง จนพี่ฝ้ายกับน้องดาโมโห พูดแหวะไปมา และบางทีพี่นิดพูดเล่นบ้างเรื่องเด็กฝึกงาน เขาหาว่าพี่นิดทำงานช้า ทั้งที่พี่นิดเขาก็ทำงานอยู่จะมีบางครั้งที่เปิดเล่นอินเตอร์เน็ตพักสายตาแต่ไม่ได้นานนัก
พี่ฝ้ายเห็นงานพี่นิดว่างานเยอะ เดี๋ยวพี่ปุ้ยก็รับเด็กฝึกงาน และอยู่ ๆ พี่ฝ้ายกับน้องดาก็มาช่วยจัดเรียงเอกสารใต้โต๊ะช่วยงานพี่นิด แต่หารู้มั้ยว่าพอช่วยเสร็จก็ต่อว่าพี่นิด พี่นิดคิดว่าอย่ามาช่วยซะดีกว่าหน้าตาสวยแต่นิสัยชอบทวงหนี้บุญคุณและยังว่าอย่าไปยืมจมูกคนมาหายใจนะ ก็หมายถึงเด็กฝึกงานที่จะมาช่วย ทั้งที่ พี่นิดไม่เคยจะมีความหวังให้ใครมาช่วยเหลือ อยู่ ๆ ก็มาช่วย ส่วนน้องดาก็ไม่ใช่คนที่นิสัยดีมากนัก เป็นคน ขี้เกียจโดยภาพรวมดูหนังไทยในยูทูปทั้งวัน เล่นไฮไฟว์ ถ้าจะทำงานก็ต่อหน้าพี่ปุ้ย ทั้ง ๆ ที่น้องดาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่ปุ้ย โดยเขาอ้างเหตุผลว่าพี่ปุ้ยจ้างเงินเดือนแค่เจ็ดพันห้าร้อยบาท จะทำอะไรเยอะแยะ เงินเดือนก็ไม่เคยขึ้น และเขาก็ไม่ค่อยชอบพี่ปุ้ยซะเท่าไหร่มีหลายเรื่องมากมายที่เขาไม่ชอบ
เวลามีพี่สิทธิ์ พี่ช่างคอมพิวเตอร์ที่พี่ปุ้ยไว้วางใจมาซ่อมคอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัส พี่ฝ้ายกับน้องดาจะพูดแหวะไปมาให้พี่ช่างซ่อมได้เห็นว่าพวกเขารังเกลียดพี่นิด ทั้งที่พี่นิดไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย เมื่อพี่สิทธิ์เสร็จจากการลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ พี่สิทธิ์เห็นพี่นิดเดินกลับบ้านคนเดียวจึงให้ติดรถมาด้วย มาลงตรงหน้าปากซอยหมู่บ้านป้ายรถเมล์ พี่สิทธิ์จึงถามว่าทำไมคุณฝ้ายกับคุณดาถึงพูดจาแหวะไปมาใส่คุณนิดเหมือนคนไม่มีมารยาท พี่นิดได้แต่ยิ้มไม่กล้าตอบ และเรื่องนี้ก็ไปถึงหูพี่ปุ้ย พี่ปุ้ยแกล้งเข้ามาออฟฟิศสังเกตพฤติกรรมของทั้งสองคนจึงรู้ว่าพี่นิดถูกกลั่นแกล้ง พี่ปุ้ยจึงขอพูดกับพี่นิดเป็นการส่วนตัว พี่นิดยอมเล่าให้ฟังว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดแค่ลูกกุญแจเปิดบ้านตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์มาจนถึงทุกวันนี้ พี่ปุ้ยส่ายหัวและบอกว่า
“เรื่องไร้สาระชัด ๆ เอามาเป็นอคติไปได้ อธิบายเท่านี้ก็น่าเข้าใจ แล้วนิดทนไหวมั้ยเพราะกลัวทำงานไม่มีความสุข”
“ทนได้คะ ก็ทนมาหลายเดือน จนจะข้ามปีแล้ว ไม่เป็นอะไรคะ”
ผมถามพี่นิดว่า “ทำไมพี่นิดจึงต้องทนครับ”
พี่นิดตอบกับผมสั้น ๆ ว่า
“เพื่ออนาคตข้างหน้า ถึงแม้อาจจะเจ็บตัว เจ็บใจบ้าง ถ้าเราเอาชนะได้จนถึงหนึ่งปีมีประสบการณ์ทำงานจนเก่ง เราไปสมัครงานที่ไหนนายจ้างเขาก็รับเพราะถือว่าอย่างน้อยเราอดทนต่อการทำงาน ไม่ย้ายงานพร่ำเพรื่อ”
“แล้วพี่ไม่เหงาหรือครับ พี่แทบไม่มีเพื่อนเลย”
“ไม่เหงาจร้า เพราะพี่มีเพื่อนรักที่สนิทอยู่ ค่อยให้กำลังใจ พวกเราต่างเผชิญชะตากรรมคล้ายคลึงกัน เลยมีความเข้าใจ มีเพื่อนที่รู้ใจ ไม่เห็นแก่ตัวต้องรักษาเขาไว้ เพราะเขาจะเป็นผู้ที่แนะนำ เตือนสติเราได้ในยามที่เราท้อแท้ เพราะบางครั้งเพื่อนร่วมงานก็ไม่สามารถไว้ใจได้ ส่วนครอบครัวนั้นก็อย่าไปเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟังมากนัก ทำให้พวกเขาเครียดได้ ถ้าจะเล่าก็เฉพาะเรื่องที่มีปัญหาจนเราอดทนไม่ได้ แต่ไม่ต้องใช้อารมณ์มาก เล่าด้วยน้ำเสียงธรรมดาก็พอและไม่ต้องเล่าบ่อย”
“พี่นิด เก่งจัง พี่อดทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรได้ พี่นิดเล่าต่อซีครับผมอยากฟังต่อ”
พี่นิดเล่าเรื่องที่ทำงานต่อไปอีก
หลังจากที่พี่ปุ้ยได้รู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พี่ปุ้ยก็ให้กำลังใจพี่นิดต่อสู้กับปัญหาเพราะพี่ปุ้ยบอกว่าเรามาที่นี้เพื่อมาทำงานเรียนรู้ประสบการณ์ จะได้นำความรู้ความสามารถไปใช้ในอนาคตข้างหน้า ถ้าเรามองเห็นประโยชน์ตรงนี้ เราก็มีเป้าหมายในชีวิตโดยที่เราไม่ต้องแคร์สิ่งรอบข้างให้มาเป็นปมด้อยของเรา เราต้องผลักดันความสามารถของตัวเองพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสของเรานำไปสู่ความสำเร็จ
พี่นิดรู้สึกมีกำลังใจต่อสู้ เพราะมีพี่ปุ้ยที่เข้าใจสิ่งที่พี่นิดกำลังเผชิญกับเพื่อนร่วมงานจอมอันธพาลค่อยพูดหาเรื่องอยู่ตลอดเวลาเกือบทุกวัน เมื่อข้ามปีมาถึง พ.ศ.2554 ที่ทำงานของพี่ปุ้ยเกิดวิกฤตเรื่องเงินหมุนในสำนักงานไม่ทัน จนไม่ได้จ่ายเงินค่าประกันสังคมให้ห้าเดือน พี่ฝ้ายผู้มีประสบการณ์ในการทำงานก็กลัว พี่ปุ้ยไม่ส่งเงินกองทุนประกันสังคม ส่วนพี่นิดเพิ่งเป็นเด็กใหม่ ก็กลัวไปตามเขาเช่นกัน ต่างพากันหวาดกลัวว่าจะต้องมีปัญหาภายในองค์กร และในที่สุดเหมือนการชดใช้กรรมของพี่ฝ้ายได้สิ้นสุดลง พี่ฝ้ายชิงลาออกจากงานเดือนพฤษภาคม 2554 พี่ฝ้ายได้บอกกับพี่นิดว่า
“พี่ปุ้ยคงไม่ได้ตั้งใจให้กิจการเป็นแบบนี้ก็อย่าไปซ้ำเติมแก่นะ ทุกคนย่อมมีผิดพลาด”
พี่นิดรับฟัง แต่ยังไงพี่นิดก็เจียมเนื้อเจียมตัวไม่กล้าทิ้งใครง่าย ๆ จนกว่าคนนั้นจะขอเลิกรา ไม่เอาพี่นิดเอง
และแล้วในที่สุดเดือน กรกฎาคม 2554 พี่ปุ้ยตัดสินใจบอกความจริงว่ากิจการไปไม่รอดจึงให้พี่นิดไปหางานทำใหม่ พี่นิดเข้าใจดีว่าการเป็นเจ้าคนนายคนไม่ใช่เรื่องง่ายจึงเข้าใจความรู้สึกของพี่ปุ้ยที่ทำงานลงทุนแรง แต่ไม่ได้ลงทุนเงิน กำไรต้องแบ่งครึ่งหนึ่งกับเพื่อนสนิทที่ร่วมหุ้น และเงินเดือนที่ให้ลูกน้องนั้นเป็นเงินของพี่ปุ้ยที่ได้จากค่าจ้างของลูกค้าที่มีอยู่ไม่กี่เจ้า เท่ากับบริหารงานกินเข้าเนื้อ พี่นิดยอมจากไปทั้งที่มีประสบการณ์งานบัญชีเพียงแค่เจ็ดเดือน พี่นิดต้องรอนเร่หางานทำอีกครั้ง ในตอนนั้นพี่นิดยังสับสนกับชีวิตว่านอกเหนือจากงานบัญชีแล้วยังสามารถทำงานอะไรได้อีกที่ไม่ใช่งานบัญชีหรืองานในออฟฟิศ ครั้งจะลงทุนขายของ ทุนก็ไม่มี เงินเดือนที่หามาจากการทำงานก็มีอยู่แปดร้อยบาทในธนาคารเพราะให้ที่บ้านเกือบหมด บางครั้งก็แอบร้องไห้ไม่สามารถระบายให้ใครฟังได้ว่าตัวเองทุกข์ใจมากขนาดไหน
หลังจากพี่ปุ้ยอนุญาตให้พี่นิดไปหางานใหม่แทนการชดเชยเงินค่าจ้างไล่ออกเนื่องจากบริษัทไม่สามารถจ้างพนักงานได้ พี่นิดกลุ้มใจคิดมากว่าตัวเองเรียนหนังสือจบปริญญาตรีทางบัญชีก็เพราะต้องหาเงินเข้าครอบครัว อาชีพนี้เป็นอาชีพที่หางานทำง่ายที่สุด ในช่วงเวลานั้นพี่นิดรู้สึกจิตใจหดหู่และท้อแท้มาก แต่ด้วยกำลังใจที่ต้องผ่านอุปสรรคนี้ให้ได้ มีทางสุดท้ายคือไหว้ขอพรจากพระพุทธรูปในบ้านที่ตนนับถือบอกเล่าความทุกข์ของตนให้กับพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าข้าพเจ้ากำลังตกงาน ไปทำงานที่ไหนก็มีแต่ปัญหากับคน อยู่ไม่ได้ถึงปีก็ต้องลาออก ไม่นั้นก็ถูกไล่ออกจากงาน ขอให้ข้าพเจ้าเจอะบริษัทที่เหมาะสมกับข้าพเจ้า มีความมั่นคงในชีวิต มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และมีเงินเดือนที่เหมาะสมกับความสามารถของข้าพเจ้า พี่นิดรอความหวังเพียงปาฏิหาริย์ตามความเชื่อและศรัทธายึดมั่นในความดี พยายามมองโลกในแง่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผ่านไปสามวันไม่นานนักเพื่อนรักของพี่นิด ชื่อ อี๊ฟ ก็โทรศัพท์มาถามสารทุกข์สุขดิบและบอกข่าวดี
“ฉันได้งานทำอยู่แถวพระรามสาม ใกล้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา สำนักงานใหญ่ได้เงินเดือนเก้าพันห้าร้อยบาท”
“ดีใจกับเธอด้วยนะ ได้พ้นเคราะห์พ้นโศกเสียที จากที่ทำงานเก่า แล้วบริษัทของเธอประกอบกิจการอะไร”
“ทำเหล็กจ้ะ ที่นี้เป็นออฟฟิศ ไว้ทำงานบัญชี ติดต่อซื้อขาย มีพนักงานจำนวนมากอยู่ที่นี้และที่โรงงาน ส่วนโรงงานผลิตเหล็กอยู่สมุทรปราการ ฉันโชคดีที่ได้งานทำที่นี้เพราะหยุดเสาร์อาทิตย์และได้ความเป็นอิสระเสรี ฉันดีใจมากที่หางานทำได้สำเร็จ แล้วนิดหล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“ฉันหรือใกล้ลาออกจากงานแล้วหล่ะ เพราะนายจ้างของเรา เขาไล่เราออกเพราะกิจการของเขากำลังแย่”
“แล้วได้เงินค่าชดเชยหรือเปล่า”
“เงินค่าชดเชยคืออะไร”
“ก็เวลาเราลาออกไง จริง ๆ มันต้องได้นะ ยิ่งไล่ออกเพราะกิจการไปไม่รอดก็ยิ่งต้องให้เพื่อต่อทุน”
“ท่าจะไม่มีหรอก ขณะประกันสังคม พี่เขายังไม่จ่ายให้เลย เขาต้องรอเก็บเงินจากลูกค้าก่อน เดี๋ยวจะจ่ายตามหลังให้ทั้งหมด”
“แล้วนี่เตรียมหางานใหม่หรือยัง”
“หาแล้วหล่ะไปสมัครงานที่สีลม”
“เขาให้เงินเดือนเท่าไร”
“เก้าพันห้า เพราะอ้างว่าหยุดเสาร์อาทิตย์ และมีสวัสดิการรักษาพยาบาลพร้อมมีบัตรกำนันของขวัญซื้อของในห้างฯ ก็ถือว่ามากพอแล้ว”
“ไปตั้งสีลม เงินเดือนเท่านี้ ค่าครองชีพที่นั้นสูงจะตาย แค่หักประกันสังคม ค่ารถ ค่าอาหาร ก็หมดแล้ว แล้วเข้างานกี่โมง”
“แปดโมงตรง”
“โหดเกินไปแล้วมั้ง แล้วเขาเรียกให้ไปทำงานหรือยัง”
“ยัง เพิ่งรับใบสมัครไป ฝ่ายบุคคลพิจารณาละเอียดมาก ท่าจะได้ยาก แต่ฉันก็ไม่เอา เพราะรู้สึกไม่ชอบ”
“เอาอย่างนี้เดี๋ยวฉันดูตำแหน่งบริษัทบริเวรใกล้เคียงกับฉันให้แล้วกันนะ จะได้ช่วยอีกแรง”
“ขอบใจเธอมากอี๊ฟ”
พี่นิดรู้สึกยินดีกับเพื่อนสนิทที่ได้งานทำเป็นหลักแหล่ง เหลือเพียงพี่นิดเท่านั้นที่ต้องรอลุ้นเกือบอาทิตย์สาม จึงได้รับข่าวดีจากเพื่อนคนนี้อีกครั้ง เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของพี่นิดดังขึ้น พี่นิดกดรับสาย
“อี๊ฟ ว่าไง มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันมีข่าวดีจะมาบอกเธอ พรุ่งนี้มาสัมภาษณ์ที่บริษัทรถเช่านะ อยู่ในตึกเดียวกันกับฉัน พอดีไปเจอะกรรมการบริษัทเขามานั่งคุยกับผู้จัดการบัญชีของฉัน และเขาก็มาคุยกับฉันว่าตอนนี้เขากำลังหาพนักงานบัญชีการเงิน เธอรีบมาสมัครนะ เพราะฉันไปบอกว่า เธอน่าไว้ใจ เป็นคนดีแน่นอน”
“ขอบใจเธอมากนักอี๊ฟ ที่บอกข่าวดีกับฉัน เดี๋ยวฉันขออนุญาตพี่ปุ้ยก่อนนะว่าพรุ่งนี้จะไปสมัครงาน”
“โอ.เค. เดี๋ยวเจอะกันนะ”
“จร้า”
อาทิตย์ที่สามของเดือนกรกฎาคม พี่นิดได้ไปสมัครงานที่ทำงานของพี่อี๊ฟ เพื่อนสนิท เป็นบริษัทรถเช่าในออฟฟิศเล็ก ๆ ที่เช่าตึกสำนักงานเดียวกันที่ทำงานของพี่อี๊ฟ มีกรรมการสามคนเข้ามาสัมภาษณ์งานพี่นิดเล่าให้ผมฟังอย่างตลกว่า
“ตอนที่พี่เข้าไปสมัครงาน คนที่ทำงานในนั้นเขาแต่งตัวดีกันทุกคน เพราะเป็นโซนอยู่ในตัวเมืองกรุงเทพฯ เจริญกว่าเขตบ้านเราที่เข้าตัวต่างจังหวัด วันนั้นพี่แต่งตัวได้เฉิ่มสุด ๆ เสื้อยืดโปโลสีชมพูและกระโปรงยางสีน้ำตาล ทุกคนในออฟฟิศมองกันเป็นแถวคิดว่าสัมภาษณ์ป้ามาทำงาน แต่พี่ก็ยอมรับนะว่าพี่จนจริง ๆ เครื่องสำอางแต่งใบหน้าก็ไม่มี รองเท้าก็คัทชูส้นต่ำธรรมดา ดูไปพี่ก็เหมือนสาวโรงงานจริง ๆ”
พี่นิดหัวเราะกับสาระรูปของตนเองในนั้น และไม่เชื่อว่าหลังจากที่พี่นิดออกจากที่ทำงานที่ไปสมัครในวันนั้น และแวะกลับมาที่มหาวิทยาลัยจะไปไหว้สิ่งศักดิ์ของมหาวิทยาลัยที่เคยร่ำเรียนให้ช่วยเหลือ และแล้วเสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของพี่นิดดังขึ้นบอกข่าวดีว่า
“สวัสดีครับคุณนิด ทางบริษัทของเราได้เห็นคุณสมบัติของคุณ ให้เข้ามาทำงานได้เริ่มเดือนสิงหาคมได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณคะพี่” พี่นิดตอบรับยิ้มอย่างดีใจกับข่าวดีที่จะได้มีงานทำรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
พี่นิดนำข่าวดีมาบอกให้พี่ปุ้ยได้รู้ พี่ปุ้ยดีใจกับพี่นิดที่ได้งานทำ น้องดาได้ยินก็พลอยยินดีตาม แต่ก็อิจฉาเล็กน้อยว่าทำงานในเมืองคงได้เงินเป็นหมื่น ทั้งที่แท้จริงพี่นิดเริ่มต้นเงินเดือนเก้าพันห้าร้อยเท่านั้น ถ้าผ่านฝึกงานสี่เดือนจึงจะได้ขึ้นหนึ่งหมื่นบาทตามข้อตกลง
เมื่อถึงเดือนสิงหาคมต้นเดือน พี่นิดเริ่มทำงานที่ใหม่ได้รับการต้อนรับจากพี่ ๆ ร่วมงานอย่างดี โดยเฉพาะพี่มะเหมียว เจ้าหน้าที่บัญชีการเงิน ดูเป็นคนใจดีและมีน้ำใจ หาได้รู้ว่าคนนี้เป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในออฟฟิศนี้ พี่มะเหมียวเป็นคนสอนงานให้พี่นิดเกือบทั้งหมด แต่เป็นคนใจร้อนอยากให้เป็นงานเร็ว ส่วนตัวเองนั้นเป็นคนชอบรับงานเยอะ ๆ เพราะกลัวจะมีคนมาแย่งงานของตัวเองและกลัวตัวเองจะลืมวิชาความรู้ทางบัญชี เธอเป็นคนไม่ยอมแพ้เด็กใหม่อย่างพี่นิด พี่นิดพยายามตั้งใจเรียนรู้งาน แต่งานที่นี้ก็ยังซับซ้อนต้องเรียนรู้โปรแกรมระบบงานและเอกสาร อย่างน้อยต้องสามเดือนถึงจะเข้าที่ไม่นั้นก็หนึ่งปีถึงจะชินกับงานที่ทำ แต่พี่มะเหมียวเป็นคนนิสัยเอาใจตัวเอง ใจร้อน อารมณ์แปรปรวนบ่อยครั้ง มีอคติต่อคนนั้นคนนี้ จนกลายเป็นบุคคลที่น่ากลัว แต่พี่นิดต้องพยายามทำใจเรียนรู้งาน ยังไม่ถึงสองอาทิตย์ ความเป็นมิตรภาพที่พูดคุยกันดี ๆ กลายเป็นความเกลียดชังไปเสียได้
ผมฟังพี่นิดเล่า ผมว่าชีวิตพี่เขาต้องอดทนอดกลั้นกับคนที่มีสภาพจิตใจไม่ปกติ ทั้ง ๆ ที่พี่นิด ที่ผมรู้จักนั้นเป็นคนที่ซื่อ จิตใจดี มีน้ำใจ เป็นมิตรกับเพื่อน ๆ ทุกคน และเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ทำไมชีวิตของพี่นิดเป็นคนอาภัพเรื่องงานไม่ได้มีชีวิตที่มีความสุขราบรื่นอย่างที่ผมคิด ผมจึงถามต่อว่า
“แล้วอาทิตย์ที่สอง ที่พี่เจอะฤทธิ์ของพี่มะเหมียวหาเรื่องพี่ แล้วเป็นยังไงบ้าง”
พี่นิดเล่าต่อว่า
ผมจะมาเขียนต่อนะครับ ตอนที่ 2
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ