"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย
8.9
เขียนโดย January13
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.
37 ตอน
25 วิจารณ์
42.51K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
34) คนละโลก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ พายุฝนผ่านพ้นไป ท้องฟ้ามืดครึ้มเริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง นิชนกนั่งรอเวลานี้มาพักใหญ่ เธอตั้งใจว่าจะพาอริสาไปที่โบสถ์อุราคามิ เพื่อตามหาชายแก่ปริศนาที่พูดจาพิลึก แม้ในใจจะมองว่าเรื่องยูทากะเป็นเรื่องไร้สาระมาก แต่เธอคิดว่าควรต้องทำอะไรสักอย่างให้ถึงที่สุด เพื่อจะปลดปล่อยพี่สาวให้หลุดจากความเศร้าหมองที่เป็นอยู่ ถ้าหากจะมีหนทางที่ทำให้เรื่องนี้เป็นไปได้ นิชนกก็จะดีใจกับพี่สาวเป็นอย่างมาก แต่ถ้ามันไม่มีหนทางเลยจริงๆ อริสาควรจะต้องรับรู้ด้วยตัวเอง และเมื่อถึงตอนนั้น นิชนกก็มั่นใจว่าพี่สาวจะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข โดยอยู่บนพื้นฐานของหลักความเป็นจริง
เมื่อมาถึงโบสถ์อุราคามิ ทั้งสองคนก็ตรงเข้ามาหาบาทหลวงท่านหนึ่งที่เดินอยู่บริเวณหน้าโบสถ์ อริสาอธิบายลักษณะของชายแก่ลึกลับแต่งกายคล้ายนักบวชที่เธอเห็นให้เขาฟัง เมื่อฟังจบบาทหลวงท่านนั้นก็บอกเพียงว่า ไม่น่าจะเป็นบาทหลวงที่ประจำอยู่ที่นี่ แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลที่แน่ชัด ให้ทั้งสองคนไปดูที่อาคารธรรมเนียบบาทหลวงซึ่งอยู่หลังโบสถ์ ที่แห่งนั้นมีรูปภาพของบาทหลวงทุกคนที่มาประจำอยู่ที่โบสถ์แห่งนี้ ตั้งแต่สร้างเสร็จใหม่ๆ แทนหลังเดิมที่พังทลายไป เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง
ห้องโถงกว้างศิลปะแบบโรมัน ผนังสีทองเรียบๆ ให้ความรู้สึกเลิศหรู อริสาและนิชนกช่วยกันกวาดตามองภาพครึ่งตัวของบาทหลวงคนแล้วคนเล่า ในกรอบไม้สีทองที่มีชื่อระบุไว้ใต้ภาพ เรียงรายกันเป็นแนวยาวสุดทางเดิน
“พี่สาเจอไหม” นิชนกถามหลังจากเดินดูจนครบแล้ว อริสาหันมามองน้องสาวแววตาหม่น ก่อนส่ายหัวเบา ๆ
“ไม่เจอ”
“เป็นไปได้ยังไง เอ๊ะ!! หรือว่าเขาไม่ใช่คน?? โอ๊ยยิ่งคิดยิ่งพิลึก ฉันอยากจะบ้าตาย” แอร์โฮสเตทสาวถึงกับนั่งยองๆ มือสองข้างกุมขมับ อริสาก้มหน้าถอนหายใจเบาๆ ยิ้มเยาะตัวเองที่หวังอะไรโง่ๆ อย่างนั้น
“กลับกันเถอะยัยนิช” เธอเดินมาแตะไหล่น้องสาว ก่อนเดินนำไปก่อน
“อ้าว กลับแล้วหรอ รอด้วยสิพี่สา” พูดจบก็รีบลุกขึ้นเดินตามคนพี่ไป
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังมุ่งหน้าไปยังที่จอดรถ ซึ่งต้องเดินผ่านหน้าโบสถ์ จู่ๆ อริสาก็ชะงักฝีเท้ากระทันหัน คนที่เดินตามหลังไม่ทันได้มองก็ชนเข้าเต็มๆ
“โอ๊ย พี่สา จะหยุดเดินทำไมไม่บอก” นิชนกบ่นอุบ แต่พี่สาวไม่ได้ตอบอะไรเอาแต่ยืนมอง รูปสลักหินนักบุญไร้ศีรษะ ซึ่งไหม้เกรียมจากแรงระเบิด ที่ถูกนำมาตั้งไว้หน้าโบสถ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจถึงความเลวร้ายของสงคราม
“พี่สา มองอะไรหนะ รูปปั้นนั่นดูน่ากลัวยังไงไม่รู้” น้องสาวพูดพรางหลบอยู่หลังพี่สาว
“พี่ว่า พี่เคยเห็นรูปปั้นนี้ตอนที่ยังไม่เป็นแบบนี้ เมื่อ 69 ปีที่แล้วหนะ” อริสาพูดเสียงเรียบ แปลกที่รูปปั้นนี้ไม่มีหัว แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนถูกจ้องกลับ
“อู๊ย ยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีกนะ นี่เราจะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหมอ่ะพี่สา”
“ยัยนิช แกไปรอพี่ที่รถก่อน เดี๋ยวพี่ตามไป” อริสาหันมาบอก
“เอางั้นหรอ” น้องสาวถามกลับ อริสาจึงยักหน้าตอบเบาๆ
“งั้นก็รีบตามมานะ” พูดจบก็รีบสาวเท้ายาวๆ ออกไปจากบริเวณนั้น
อริสาละสายตาจากรูปสลักหิน ก่อนก้าวเข้ามายังภายในโบสถ์ เดินไปตามพรมสีแดงเข้ม เธอไม่ได้ตรงไปยังแท่นพิธีเบื้องหน้า แต่เดินเลี้ยวมายังด้านข้าง ประตูไม้สีเข้มปิดสนิท ด้านบนมีป้ายระบุว่า “ห้องสารภาพบาป” อริสาเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดก่อนเปิดประตูออกช้าๆ เธอมองสำรวจภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ซึ่งไม่แตกต่างจากห้องสารภาพบาปที่เธอเคยเข้าไปมากนัก เสียงโอนเอนของเก้าอี้โยกดังออดแอดเป็นจังหวะ
“เป็นคุณใช่ไหม” อริสาเอ่ยถาม แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ เธอจึงเดินมานั่งคุกเข่าลงที่เบาะหน้าฉากกั้น ที่มีเพียงช่องกระจกทืบเล็กๆ ให้ส่องดูบุคคลปริศนาที่อยู่อีกฟาก เป็นเขาจริงๆ แม้จะเห็นเพียงเงาอริสาก็จำได้ว่าเคยเจอเขาแล้ว ตอนที่คริสโตเฟอร์วานให้เอาพระคัมภีร์ไปคืนบาทหลวงอาซากิ เธอเข้ามาในห้องสารภาพบาปและพูดคุยกับชายแก่ปริศนา อริสามั่นใจว่าเป็นคนๆเดียวกันกับบาทหลวงที่พูดจาแปลๆ ที่เธอกำลังหาตัวอยู่
“เป็นคุณจริงๆ คุณรู้ใช่ไหมว่ามีวิธีไหนที่จะทำให้ฉันได้พบยูทากะอีกครั้ง เพื่อทำพิธีให้เสร็จสิ้น และทำให้เขาไปสู่สุขคติ” อริสาถามน้ำเสียงร้อนรน
“วิธีเดียวที่จะไปพบคนตาย ก็คือ...การตาย ไม่ใช่หรอ” เสียงแหบซ่านเรียบตอบ
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ฉันไม่มีทางทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นแน่นอน” หญิงสาวตอบเสียงแข็ง น้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างเก็บไว้ไม่ได้ ถ้านั่นเป็นวิธีเดียว คงต้องรอจนกว่าเธอจะแก่ตาย ถึงจะได้พบกับยูทากะ เธอเป็นคนพุทธและรู้ดีว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปหนัก และที่สำคัญพ่อ แม่ น้องสาว คนรัก และเพื่อนๆ จะต้องเสียใจมากแน่ๆ เธอก้มเช็ดน้ำตาเพียงเสี้ยวนาที เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็หายไปแล้ว
อริสาออกมาจากห้องสารภาพบาปด้วยใจที่สิ้นหวัง เธอรู้สึกสงสารยูทากะเหลือเกิน เขารอเธอเป็นเวลา 69 ปีที่ผ่านมา และยังคงต้องรอต่อไปอีก 50 - 60 ปี ในขณะที่เธอกำลังจะแต่งงาน ในอนาคตก็จะมีอริสาตัวน้อยๆ กลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ และมีความสุข อริสาไม่ได้หวังว่าจะได้ครองรักกับยูทากะ เพียงแต่อยากให้เขาได้ไปสู่สุขคติ ได้เกิด ได้มีชีวิต ได้มีตัวตน และมีความสุขอย่างที่เธอเป็นก็เท่านั้น ด้วยความที่มองไม่เห็นหนทางใดแล้ว เธอจึงเดินมาหยุดยืนที่ตรงกลางแท่นพิธี หันหน้าให้กับความว่างเปล่า ซึ่งที่ตรงนั้นควรเป็นยูทากะยืนอยู่ ยกมือสองข้างกุมกันไว้แนบอก ก่อนกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
“ฉันฟูคูดะ ฮิเดโกะ ขอรับวาตานาเบะ ยูทากะ เป็นสามีและสัญญาว่า จะถือซื่อสัตย์ต่อเขาทั้งในยามสุข และยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติเขาจนกว่าชีวิตจะหาไม่....” น้ำตาไหลอาบแก้มเรื่อ เธอภาวนาให้เขาได้ยิน และรับรู้ถึงคำสัตย์ปฏิญาณที่มอบให้เขาแต่เพียงผู้เดียว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ยังมีโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งทับซ้อนกันอยู่ โลกที่อริสาไม่สามารถสัมผัสหรือมองเห็นได้ โบสถ์อุราคามิหลังเดิมที่สวยงามหลังโดนระเบิดปรมาณูถล่มวอดวาย เหลือเป็นเพียงซากปรักหักพังของอิฐปูน เถ้าระเบิดลอยฟุ้งกระจายไปทั่วท้องฟ้าสีเทา ยูทากะยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพียงลำพัง เจ้าสาวของเขาหายไปไหน?? นั่นเป็นคำถามเดียวที่วนเวียนอยู่ในความคิดของเขาตลอดมา เขาไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่แล้ว ไม่รู้วัน ไม่รู้เดือน ไม่รู้ปี รู้เพียงแต่ว่าจะรอ ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ ดวงตาสีนิลหม่นเศร้า ก้มมองแหวนสีทองสองวงที่คล้องอยู่กับสร้อยทองในมือ ก่อนจะกำเอาไว้แน่นอย่างมีความหวัง ว่าสักวันหนึ่งคนรักของเขาจะมายืนเคียงข้างกัน ณ ที่แห่งนี้
“ฮิเดโกะจัง...”
หลังกลับมาจากโบสถ์อุราคามิอริสาก็ไม่พูดเรื่องนี้อีกเลย นิชนกนึกแปลกใจว่าทำไมพี่สาวถึงทำใจได้รวดเร็วขนาดนั้น แต่อย่างที่เธอรู้มาโดยตลอดว่าอริสาไม่ชอบทำให้ใครเป็นห่วง ไม่แปลกที่เธอจะเห็นพี่สาวยิ้มแย้มแจ่มใส ต่อหน้าพ่อ แม่ และทุกคนได้อย่างเป็นปกติ
เช้าวันต่อมา เคนอิจิลางานครึ่งวันช่วงเช้า เพื่อจะพาว่าที่เจ้าสาวไปลองชุดที่สั่งแก้ไขไว้ เขามารับอริสาตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อเห็นใบหน้าคนรักสดชื่นแจ่มใส และไม่มีทีท่าเฉยชากับเขาเหมือนวันแรกๆ ที่พึ่งออกจากโรงพยาบาล เขาก็ดีใจและหวังว่าวันแต่งงาน พิธีการจะผ่านไปอย่างราบรื่น แต่ยังไม่ทันที่จะยิ้มได้อย่างเต็มที่ เขาก็เหลือบเห็นนิ้วนางของอริสาว่างเปล่า ขณะเปิดประตูรถให้เธอเข้าไป อริสายังคงไม่สวมแหวานหมั่น เขาไม่ทราบเหตุผล แต่นั่นทำให้เขารู้สึกถึงความไม่มั่นคง คนรักของเขาเปลี่ยนไปเป็นเพราะอะไรกัน
อริสาในชุดสีขาวเปิดไหล่เผยให้เห็นเนินอกนิดๆ กำลังหมุนตัวอยู่หน้ากระจกยาว เธอจับชายกระโปรงให้เข้าทรงเรียบร้อย หยุดมองตัวเองอยู่นานก่อนถอนหายใจเบาๆ
“เป็นยังไงบ้างค่ะ ใส่ได้พอดีหรือเปล่า หลวมหรือแน่นไปไหมค่ะ” พนักงานสาวที่พึ่งเดินเข้ามาถามขึ้น
“อ๋อ ใส่ได้พอดีคะ”
“ไหนดูสิ เจ้าสาวของผม” เคนอิจิเข้ามาโอบเอวคนรัก พร้อมขโมยหอมแก้มโดยที่อริสาไม่ทันตั้งตัว
“เคน คุณทำอะไรหนะ อายพนักงานเขา” อริสาเอ็ดยิ้มๆ ก่อนตีไหล่เขาเบาๆ ทำเอาว่าที่เจ้าบ่าวอดหัวเราะไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวนะคะ” พนักงานสาวไม่อยากอยู่รบกวนเวลาสวีทของคู่รัก จึงขอตัวเดินออกไปจากห้องลองชุด
“เรียกเคนจังเหมือนเดิมไม่ได้หรอ” ชายหนุ่มถามขึ้น
“หืม?? เอ่อคือ...”
“แหวนหมั่นอยู่ไหนหละ มาเดี๋ยวผมสวมให้”
“ฉันเก็บไว้ที่โรงแรมหนะคะ ฉันไม่อยากให้มันหายอีก” อริสาตอบ รู้ดีว่าเคนอิจิกำลังวุ่นวายใจ แม้เธอจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด แต่เขาก็ยังจับจุดได้
“ผมรักคุณมากนะอริสาจัง” เขาพูดอย่างซื่อตรง แววตาส่งแววกังวล และอ้อนวอนในเวลาเดียวกัน
“คะ ฉันรู้” อริสาพูดยังไม่ทันจบประโยค เคนอิจิก็สวมกอดเธอแน่น ราวกับว่ากลัวเธอจะบินหนีไป แม้ว่าความรักที่มีให้เคนอิจิจะหลงเหลืออยู่เพียงมิตรภาพแบบเพื่อน แต่ยังไงซะเธอก็ต้องแต่งงานกับเขา เคนอิจิเป็นคนดีและรักเธอ เพราะฉะนั้นอริสาจึงมั่นใจว่าเขาจะดูแลเธอได้เป็นอย่างดี ส่วนยูทากะเธอจะเก็บเขาเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ รอจนกว่าวันที่จะได้พบกัน
ขอบคุณ
http://japan.holidaythai.com/2014/07/blog-post_4569.html
https://www.youtube.com/watch?v=3mYVyVY-lU4
เมื่อมาถึงโบสถ์อุราคามิ ทั้งสองคนก็ตรงเข้ามาหาบาทหลวงท่านหนึ่งที่เดินอยู่บริเวณหน้าโบสถ์ อริสาอธิบายลักษณะของชายแก่ลึกลับแต่งกายคล้ายนักบวชที่เธอเห็นให้เขาฟัง เมื่อฟังจบบาทหลวงท่านนั้นก็บอกเพียงว่า ไม่น่าจะเป็นบาทหลวงที่ประจำอยู่ที่นี่ แต่ถ้าอยากได้ข้อมูลที่แน่ชัด ให้ทั้งสองคนไปดูที่อาคารธรรมเนียบบาทหลวงซึ่งอยู่หลังโบสถ์ ที่แห่งนั้นมีรูปภาพของบาทหลวงทุกคนที่มาประจำอยู่ที่โบสถ์แห่งนี้ ตั้งแต่สร้างเสร็จใหม่ๆ แทนหลังเดิมที่พังทลายไป เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง
ห้องโถงกว้างศิลปะแบบโรมัน ผนังสีทองเรียบๆ ให้ความรู้สึกเลิศหรู อริสาและนิชนกช่วยกันกวาดตามองภาพครึ่งตัวของบาทหลวงคนแล้วคนเล่า ในกรอบไม้สีทองที่มีชื่อระบุไว้ใต้ภาพ เรียงรายกันเป็นแนวยาวสุดทางเดิน
“พี่สาเจอไหม” นิชนกถามหลังจากเดินดูจนครบแล้ว อริสาหันมามองน้องสาวแววตาหม่น ก่อนส่ายหัวเบา ๆ
“ไม่เจอ”
“เป็นไปได้ยังไง เอ๊ะ!! หรือว่าเขาไม่ใช่คน?? โอ๊ยยิ่งคิดยิ่งพิลึก ฉันอยากจะบ้าตาย” แอร์โฮสเตทสาวถึงกับนั่งยองๆ มือสองข้างกุมขมับ อริสาก้มหน้าถอนหายใจเบาๆ ยิ้มเยาะตัวเองที่หวังอะไรโง่ๆ อย่างนั้น
“กลับกันเถอะยัยนิช” เธอเดินมาแตะไหล่น้องสาว ก่อนเดินนำไปก่อน
“อ้าว กลับแล้วหรอ รอด้วยสิพี่สา” พูดจบก็รีบลุกขึ้นเดินตามคนพี่ไป
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังมุ่งหน้าไปยังที่จอดรถ ซึ่งต้องเดินผ่านหน้าโบสถ์ จู่ๆ อริสาก็ชะงักฝีเท้ากระทันหัน คนที่เดินตามหลังไม่ทันได้มองก็ชนเข้าเต็มๆ
“โอ๊ย พี่สา จะหยุดเดินทำไมไม่บอก” นิชนกบ่นอุบ แต่พี่สาวไม่ได้ตอบอะไรเอาแต่ยืนมอง รูปสลักหินนักบุญไร้ศีรษะ ซึ่งไหม้เกรียมจากแรงระเบิด ที่ถูกนำมาตั้งไว้หน้าโบสถ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจถึงความเลวร้ายของสงคราม
“พี่สา มองอะไรหนะ รูปปั้นนั่นดูน่ากลัวยังไงไม่รู้” น้องสาวพูดพรางหลบอยู่หลังพี่สาว
“พี่ว่า พี่เคยเห็นรูปปั้นนี้ตอนที่ยังไม่เป็นแบบนี้ เมื่อ 69 ปีที่แล้วหนะ” อริสาพูดเสียงเรียบ แปลกที่รูปปั้นนี้ไม่มีหัว แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนถูกจ้องกลับ
“อู๊ย ยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีกนะ นี่เราจะยืนอยู่ตรงนี้อีกนานไหมอ่ะพี่สา”
“ยัยนิช แกไปรอพี่ที่รถก่อน เดี๋ยวพี่ตามไป” อริสาหันมาบอก
“เอางั้นหรอ” น้องสาวถามกลับ อริสาจึงยักหน้าตอบเบาๆ
“งั้นก็รีบตามมานะ” พูดจบก็รีบสาวเท้ายาวๆ ออกไปจากบริเวณนั้น
อริสาละสายตาจากรูปสลักหิน ก่อนก้าวเข้ามายังภายในโบสถ์ เดินไปตามพรมสีแดงเข้ม เธอไม่ได้ตรงไปยังแท่นพิธีเบื้องหน้า แต่เดินเลี้ยวมายังด้านข้าง ประตูไม้สีเข้มปิดสนิท ด้านบนมีป้ายระบุว่า “ห้องสารภาพบาป” อริสาเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดก่อนเปิดประตูออกช้าๆ เธอมองสำรวจภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ซึ่งไม่แตกต่างจากห้องสารภาพบาปที่เธอเคยเข้าไปมากนัก เสียงโอนเอนของเก้าอี้โยกดังออดแอดเป็นจังหวะ
“เป็นคุณใช่ไหม” อริสาเอ่ยถาม แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ เธอจึงเดินมานั่งคุกเข่าลงที่เบาะหน้าฉากกั้น ที่มีเพียงช่องกระจกทืบเล็กๆ ให้ส่องดูบุคคลปริศนาที่อยู่อีกฟาก เป็นเขาจริงๆ แม้จะเห็นเพียงเงาอริสาก็จำได้ว่าเคยเจอเขาแล้ว ตอนที่คริสโตเฟอร์วานให้เอาพระคัมภีร์ไปคืนบาทหลวงอาซากิ เธอเข้ามาในห้องสารภาพบาปและพูดคุยกับชายแก่ปริศนา อริสามั่นใจว่าเป็นคนๆเดียวกันกับบาทหลวงที่พูดจาแปลๆ ที่เธอกำลังหาตัวอยู่
“เป็นคุณจริงๆ คุณรู้ใช่ไหมว่ามีวิธีไหนที่จะทำให้ฉันได้พบยูทากะอีกครั้ง เพื่อทำพิธีให้เสร็จสิ้น และทำให้เขาไปสู่สุขคติ” อริสาถามน้ำเสียงร้อนรน
“วิธีเดียวที่จะไปพบคนตาย ก็คือ...การตาย ไม่ใช่หรอ” เสียงแหบซ่านเรียบตอบ
“ฉันทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ฉันไม่มีทางทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นแน่นอน” หญิงสาวตอบเสียงแข็ง น้ำตาพรั่งพรูออกมาอย่างเก็บไว้ไม่ได้ ถ้านั่นเป็นวิธีเดียว คงต้องรอจนกว่าเธอจะแก่ตาย ถึงจะได้พบกับยูทากะ เธอเป็นคนพุทธและรู้ดีว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปหนัก และที่สำคัญพ่อ แม่ น้องสาว คนรัก และเพื่อนๆ จะต้องเสียใจมากแน่ๆ เธอก้มเช็ดน้ำตาเพียงเสี้ยวนาที เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็หายไปแล้ว
อริสาออกมาจากห้องสารภาพบาปด้วยใจที่สิ้นหวัง เธอรู้สึกสงสารยูทากะเหลือเกิน เขารอเธอเป็นเวลา 69 ปีที่ผ่านมา และยังคงต้องรอต่อไปอีก 50 - 60 ปี ในขณะที่เธอกำลังจะแต่งงาน ในอนาคตก็จะมีอริสาตัวน้อยๆ กลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ และมีความสุข อริสาไม่ได้หวังว่าจะได้ครองรักกับยูทากะ เพียงแต่อยากให้เขาได้ไปสู่สุขคติ ได้เกิด ได้มีชีวิต ได้มีตัวตน และมีความสุขอย่างที่เธอเป็นก็เท่านั้น ด้วยความที่มองไม่เห็นหนทางใดแล้ว เธอจึงเดินมาหยุดยืนที่ตรงกลางแท่นพิธี หันหน้าให้กับความว่างเปล่า ซึ่งที่ตรงนั้นควรเป็นยูทากะยืนอยู่ ยกมือสองข้างกุมกันไว้แนบอก ก่อนกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ
“ฉันฟูคูดะ ฮิเดโกะ ขอรับวาตานาเบะ ยูทากะ เป็นสามีและสัญญาว่า จะถือซื่อสัตย์ต่อเขาทั้งในยามสุข และยามทุกข์ ทั้งในเวลาป่วยและเวลาสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติเขาจนกว่าชีวิตจะหาไม่....” น้ำตาไหลอาบแก้มเรื่อ เธอภาวนาให้เขาได้ยิน และรับรู้ถึงคำสัตย์ปฏิญาณที่มอบให้เขาแต่เพียงผู้เดียว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ยังมีโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งทับซ้อนกันอยู่ โลกที่อริสาไม่สามารถสัมผัสหรือมองเห็นได้ โบสถ์อุราคามิหลังเดิมที่สวยงามหลังโดนระเบิดปรมาณูถล่มวอดวาย เหลือเป็นเพียงซากปรักหักพังของอิฐปูน เถ้าระเบิดลอยฟุ้งกระจายไปทั่วท้องฟ้าสีเทา ยูทากะยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพียงลำพัง เจ้าสาวของเขาหายไปไหน?? นั่นเป็นคำถามเดียวที่วนเวียนอยู่ในความคิดของเขาตลอดมา เขาไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงนี้มานานเท่าไหร่แล้ว ไม่รู้วัน ไม่รู้เดือน ไม่รู้ปี รู้เพียงแต่ว่าจะรอ ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ ดวงตาสีนิลหม่นเศร้า ก้มมองแหวนสีทองสองวงที่คล้องอยู่กับสร้อยทองในมือ ก่อนจะกำเอาไว้แน่นอย่างมีความหวัง ว่าสักวันหนึ่งคนรักของเขาจะมายืนเคียงข้างกัน ณ ที่แห่งนี้
“ฮิเดโกะจัง...”
หลังกลับมาจากโบสถ์อุราคามิอริสาก็ไม่พูดเรื่องนี้อีกเลย นิชนกนึกแปลกใจว่าทำไมพี่สาวถึงทำใจได้รวดเร็วขนาดนั้น แต่อย่างที่เธอรู้มาโดยตลอดว่าอริสาไม่ชอบทำให้ใครเป็นห่วง ไม่แปลกที่เธอจะเห็นพี่สาวยิ้มแย้มแจ่มใส ต่อหน้าพ่อ แม่ และทุกคนได้อย่างเป็นปกติ
เช้าวันต่อมา เคนอิจิลางานครึ่งวันช่วงเช้า เพื่อจะพาว่าที่เจ้าสาวไปลองชุดที่สั่งแก้ไขไว้ เขามารับอริสาตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อเห็นใบหน้าคนรักสดชื่นแจ่มใส และไม่มีทีท่าเฉยชากับเขาเหมือนวันแรกๆ ที่พึ่งออกจากโรงพยาบาล เขาก็ดีใจและหวังว่าวันแต่งงาน พิธีการจะผ่านไปอย่างราบรื่น แต่ยังไม่ทันที่จะยิ้มได้อย่างเต็มที่ เขาก็เหลือบเห็นนิ้วนางของอริสาว่างเปล่า ขณะเปิดประตูรถให้เธอเข้าไป อริสายังคงไม่สวมแหวานหมั่น เขาไม่ทราบเหตุผล แต่นั่นทำให้เขารู้สึกถึงความไม่มั่นคง คนรักของเขาเปลี่ยนไปเป็นเพราะอะไรกัน
อริสาในชุดสีขาวเปิดไหล่เผยให้เห็นเนินอกนิดๆ กำลังหมุนตัวอยู่หน้ากระจกยาว เธอจับชายกระโปรงให้เข้าทรงเรียบร้อย หยุดมองตัวเองอยู่นานก่อนถอนหายใจเบาๆ
“เป็นยังไงบ้างค่ะ ใส่ได้พอดีหรือเปล่า หลวมหรือแน่นไปไหมค่ะ” พนักงานสาวที่พึ่งเดินเข้ามาถามขึ้น
“อ๋อ ใส่ได้พอดีคะ”
“ไหนดูสิ เจ้าสาวของผม” เคนอิจิเข้ามาโอบเอวคนรัก พร้อมขโมยหอมแก้มโดยที่อริสาไม่ทันตั้งตัว
“เคน คุณทำอะไรหนะ อายพนักงานเขา” อริสาเอ็ดยิ้มๆ ก่อนตีไหล่เขาเบาๆ ทำเอาว่าที่เจ้าบ่าวอดหัวเราะไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวนะคะ” พนักงานสาวไม่อยากอยู่รบกวนเวลาสวีทของคู่รัก จึงขอตัวเดินออกไปจากห้องลองชุด
“เรียกเคนจังเหมือนเดิมไม่ได้หรอ” ชายหนุ่มถามขึ้น
“หืม?? เอ่อคือ...”
“แหวนหมั่นอยู่ไหนหละ มาเดี๋ยวผมสวมให้”
“ฉันเก็บไว้ที่โรงแรมหนะคะ ฉันไม่อยากให้มันหายอีก” อริสาตอบ รู้ดีว่าเคนอิจิกำลังวุ่นวายใจ แม้เธอจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด แต่เขาก็ยังจับจุดได้
“ผมรักคุณมากนะอริสาจัง” เขาพูดอย่างซื่อตรง แววตาส่งแววกังวล และอ้อนวอนในเวลาเดียวกัน
“คะ ฉันรู้” อริสาพูดยังไม่ทันจบประโยค เคนอิจิก็สวมกอดเธอแน่น ราวกับว่ากลัวเธอจะบินหนีไป แม้ว่าความรักที่มีให้เคนอิจิจะหลงเหลืออยู่เพียงมิตรภาพแบบเพื่อน แต่ยังไงซะเธอก็ต้องแต่งงานกับเขา เคนอิจิเป็นคนดีและรักเธอ เพราะฉะนั้นอริสาจึงมั่นใจว่าเขาจะดูแลเธอได้เป็นอย่างดี ส่วนยูทากะเธอจะเก็บเขาเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ รอจนกว่าวันที่จะได้พบกัน
ขอบคุณ
http://japan.holidaythai.com/2014/07/blog-post_4569.html
https://www.youtube.com/watch?v=3mYVyVY-lU4
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ