"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย
8.9
เขียนโดย January13
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.
37 ตอน
25 วิจารณ์
42.51K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
25) อ้อมกอดที่คุ้นเคย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หลังจากที่คุมิโกะเตรียมข้าวกล่องให้ลูกๆ แล้ว เธอก็ยังทำข้าวกล่องเพิ่มอีกหนึ่งชุด เพื่อตั้งใจจะเข้าไปเยี่ยมคาซูมิที่กำลังป่วยอยู่ หญิงวัยกลางคนในชุดยูกาตะสีเข้มสอดส่องมองหาบ้านหลังเป้าหมายตามคำบอกเล่าของลูกสาวคนรอง ก่อนจะสะดุดตาเข้ากับบ้านไม้ญี่ปุ่นที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น
“หลังนี้หละ” เธอเดินเข้ามาภายในบริเวณรั้ว แล้วก้าวขึ้นบันไดเตี้ย เลื่อนเปิดประตูอย่างเบามือ พอเข้ามาข้างในก็มองหาห้องรับประทานอาหารเธอวางข้าวกล่องลงบนโต๊ะ ก่อนเดินมายังห้องข้างๆ สภาพของคาซูมิแย่กว่าที่คุมิโกะคิดไว้ เธอถอนหายใจอย่างเวทนา ก่อนหาน้ำและผ้าขนหนูมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้หญิงที่สูญเสียสามีจากสงครามก่อนหน้าเธอประมาณห้าเดือนเศษ
“ฉันเสียใจกับคุณด้วยนะคะ เรื่องการจากไปของคุณฮารุกิ สามีของคุณคาซูมิหนะคะ เมื่อไม่กี่วันมานี้ฉันก็ได้รับข่าวร้ายแบบเดียวกันนี่หละคะ สามีของฉันหนะ เขาเสียชีวิตจากสงครามเช่นกัน” เธอเปรยเล่าขณะค่อยๆ เช็ดตัวไปเรื่อยๆ แต่ฝ่ายตรงข้ามยังคงนิ่งเฉยตามปกติ
“วินาทีแรกที่ได้ยินว่าสามีฉันจากไปอย่างไม่มีวันกลับ นาทีนั้นโลกทั้งใบของฉันมืดสนิท รู้สึกตัวเองลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ แล้วฉันก็หมดสติไป พอได้ฟื้นขึ้นมาได้ก็เอาแต่กอดคอลูกสาวคนโตร้องไห้ ตอนนั้นฉันตระหนักได้ว่าหน้าที่ของการเป็นภรรยาได้จบลงแล้ว แต่ว่าหน้าที่ของการเป็นแม่ยังคงอยู่ ทาคาชิหนะเปรียบเสมือนศูนย์รวมใจของทุกคนในครอบครัว ขาดเขาไปคนหนึ่งลูกๆคงจะรู้สึกเคว้งคว้าง ต้องการความรักและกำลังใจเป็นอย่างมาก ฉันจึงต้องเข้มแข็ง และทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุด เพื่อให้คนที่จากไปหมดห่วง” คุมิโกะกลั้นกรองความรู้สึกในใจบอกเล่าแก่คาซูมิ เพื่อหวังว่าเธอจะเข้าใจชีวิตและกลับมาเข้มแข็ง คุมิโกะเปลี่ยนชุดยูกาตะให้ด้วย เป็นยูกาตะสีน้ำเงินเข้มลวดลายไม่ฉูดฉาดนัก ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ของหญิงที่แต่งงานแล้ว พร้อมกับรวบผมที่ยาวรุงรัง ม้วนขึ้นปักด้วยปิ่นเงิน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็วางกระจกกรอบไม้บานใหญ่ไว้ตรงหน้าคาซูมิ แต่แววตาที่เฉยชาไม่รับรู้สิ่งใดยังคงมองไกลออกไปนอกหน้าต่าง
“ฉันคงแนะนำได้แค่นี้ ส่วนที่เหลือก็สุดแล้วแต่คุณคาซูมิเอง ลาก่อนคะ” คุมิโกะโค้งลาแล้วเดินจากไปสักพักใหญ่ คาซูมิก็ลองมองตัวเองจากในกระจก แม้แต่เธอเองยังตกใจกับใบหน้าซีดเซียว แก้มตอบจนเห็นกระดูกหน้าของตัวเอง เธอฟังทุกคำพูดของคุมิโกะ อดชื่นชมกับความเข้มแข็งของหญิงวัยเดียวกันไม่ได้ แล้วก็กลับมาสมเพชตัวเองที่อ่อนแอได้ขนาดนี้ และก็พึ่งจะนึกสงสัยขึ้นมาได้ว่า ที่ผ่านมายูทากะใช้ชีวิตอย่างไร เธอตำหนิตัวเองในใจ ก่อนจะค่อยๆประครองร่างไร้เรี่ยวแรงเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเอง
ถนนทางเดินไปตลาดวันนี้มีเสียงประสานร้องเพลงพื้นบ้านของสามพี่น้อง ซึ่งจับจูงมือกันเดินเป็นแถวหน้ากระดาน โดยมีน้องชายคนเล็กอยู่ตรงกลาง ซาซาโกะอาสาไปส่งฮิคารุที่โรงเรียนทุกวันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะเธอได้รับปากกับคนรัก ซึ่งเป็นครูประจำชั้นของน้องชาย ว่าจะทำข้าวกล่องไปให้ทุกเช้า ส่วนอริสาออกจากบ้านเช้ากว่าปกติเพราะตั้งใจจะไปเยี่ยมยูทากะที่โรงหมอ ทำให้วันนี้สามพี่น้องจึงได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน ขณะที่เดินกันไปเรื่อยๆ ฮิคารุก็ขอให้พี่ๆ ยกตัวเองขึ้นเหมือนตอนเด็กๆ
“โอ๊ย ไม่ไหวหรอก ตัวโตขนาดนี้ แขนพี่หักพอดี” ซาซาโกะบ่น
“เอาน่าๆ ลองดูหน่อยสิ” เด็กชายอ้อน อริสาก็ได้แต่ยืนขำ
“ก็ได้ๆ เอ้า หนึ่ง สอง สาม” พี่คนโตนับให้สัญญาณ แล้วก็ช่วยกันออกแรงยกแต่ทำยังไงก็ยกไม่ขึ้น
“ไม่ไหวหรอกฮิคารุ” อริสาพูดกลั้วหัวเราะ แต่น้องชายยังไม่ยอมแพ้
“งั้นเอาอย่างนี้” ตัวแซบประจำบ้านพูดจบก็เขย่งตัวขึ้น โอบไหล่พี่สาวทั้งสองคนไว้ แล้วยกตัวเองขึ้น พี่ๆต่างพากันเซ
“นี่ไงได้แล้ว ฮ่าๆๆ” ฮิคารุหัวเราะชอบใจใหญ่
“จะบ้าหรอฮิคารุ แล้วจะเดินกันยังไง” ซาซาโกะโวยวาย ต้องดุจริงจังกว่าฮิคารุจะเลิกเล่น อริสามาแยกกับพวกเขาที่หน้าร้านหนังสือ เธอเดินเข้ามาในร้านก็ต้องประหลาดใจเมื่อยังเห็นคริสโตเฟอร์นั่งทำงานอยู่หลังเคาน์เตอร์ตามปกติ แทนที่จะรีบเก็บข้าวของเพื่อย้ายกลับบ้านเกิด เพราะหนังสือของเขาเยอะมากถ้าจะให้ทันต้องเริ่มทะยอยเก็บตั้งแต่วันนี้แล้ว
“อ้าวมาแต่เช้าเลยนะฮิเดโกะ” เจ้านายพุงกลมเอ่ยทักเสียงแจ่มใส
“คริสโตเฟอร์ คุณยังไม่เก็บของอีกหรอค่ะ” อริสาถามขึ้น
“เก็บของ??? เก็บของทำไมกัน???” เขาเลิกคิ้วถาม
“ฉันนึกว่าคุณจะย้ายกลับอังกฤษซะอีก” เธอพูดอย่างไร้เดียงสา ทำเอาคริสโตเฟอร์หัวเราะดัง
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นหละ”
“อืม ก็ไม่รู้สิคะ อีกไม่กี่วันอเมริกาจะทิ้งระเบิดลงบนพื้นที่ที่เรากำลังยืนอยู่ มันไม่น่าตื่นเต้นจนต้องขนของหนีหรอกหรอค่ะ” ได้ยินอย่างนั้นนายจ้างก็ยิ่งขำเข้าไปอีก ก่อนจะปรับอารมณ์เป็นเรียบเฉยแล้วพูดขึ้น
“ฉันหนะ ไม่ไปไหนหรอก ฉันจะอยู่กับร้านหนังสือ และหนังของฉัน หนังสือพวกนี้ฉันอ่านหมดทุกเรื่องแล้วนะ ฉันหนะถ้าจะต้องตายจริงๆ ก็ขอตายไปพร้อมกับสิ่งที่ฉันรักเนี่ยแหละ” อริสายิ้มชื่นชมในความกล้าหาญของคริสโตเฟอร์ ถึงจะรู้จักเขาไม่นาน แต่เธอก็รู้สึกนับถือเขามาก
“ในบรรดาหนังสือทั้งหมดนี้ หนังสือเล่มไหนที่คุณชอบที่สุดค่ะ คริสโตเฟอร์” อริสาถามหลังจากเดินเข้ามาหยุดยืนหน้าเคาน์เตอร์
“เล่มโปรดหรอ อืม...นี่ต้องเล่มนี้เลย” เขากวาดตามองหนังสือที่ชั้นวางด้านหลัง เคาน์เตอร์ แล้วหยิบหนังสือส่งให้อริสาเล่มหนึ่ง
“The Metamorphosis” อริสาอ่านตัวหนังสือตัวใหญ่ที่หน้าปก แล้วพลิกดูด้านหลังไปมาอย่างสนใจ
“The Metamorphosis เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเกรเกอร์ ผู้ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ทั้งพ่อ แม่ และน้องสาว อยู่มาวันหนึ่งเขาก็พบว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนไป กลายเป็นแมลง เขียนโดย ฟรานซ์ คาฟคานักเขียนชาวยิว” คริสโตเฟอร์อธิบาย
“อืม น่าสนใจจัง งั้นฉันขอยืมไปอ่านนะคะ”
“อืม ได้สิ”
“คริสโตเฟอร์ค่ะ ฉันขออนุญาตไปเยี่ยมยูทากะที่โรงหมอสักครู่ได้ไหมค่ะ” เธอเลียบถาม
“อ่อ ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ ฉันฝากเยี่ยมด้วย” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี
“ได้คะ ขอบคุณมากเลยนะคะ” เธอยิ้ม มือเรียวส่งหนังสือที่ขอยืมฝากเจ้านายไว้ ก่อนก้าวออกจากร้านหนังสือ เธอเดินช้าๆ ฝ่าฝูงชนที่ออกมาจ่ายตลาดเช้าหนาตา ในใจมีแต่คำถามวนไปวนมาว่า....ยูทากะจะเป็นยังไงบ้างนะ?....เขาจะหายดีแล้วหรือยัง?....เขาจะตื่นทานข้าวทานยาหรือยัง?.... ความรู้สึกกังวลที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้อริสาก้าวเท้าถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบกลายเป็นวิ่ง ขณะที่โรงหมอยังอยู่ไกลออกไปอีกสักระยะ แต่ฝีเท้าของเธอหยุดชะงักลง เมื่อเห็นร่างสันทัดของใครบางคนที่คุ้นเคย ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ไกลนัก ทั้งสองคนหยุดยิ้มให้กันชั่วขณะ ก่อนก้าวเข้ามาหากันช้าๆ
“ยูทากะ นายเป็นยังไงบะ....” อริสาเอ่ยทัก กำลังจะไถ่ถามถึงอาการของชายหนุ่ม ยังไม่ทันจบประโยคก็โดนร่างสันทัดโผเข้ากอดแน่น อริสายืนนิ่งก่อนกอดตอบด้วยความเต็มใจ ความรู้สึกอบอุ่นผุดขึ้น...ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับอ้อมกอดของยูทากะอย่างนี้นะ?... คำถามนี้อริสาตอบไม่ได้ แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง...เธอรักเขา...นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ชัดเจนอยู่ทุกอนูของหัวใจในขณะนี้ และเธอเองมั่นใจว่ายูทากะก็รู้สึกไม่ต่างกัน พวกเขาซึมซับความคิดถึงและห่วงหาของกันและกันอยู่สักพัก ก็คลายกอดออก และพึ่งจะสังเกตว่าตกเป็นเป้าสายตาของชาวบ้านที่เดินจับจ่ายซื้อของ ถึงตอนนี้ความเขินอายก็เกิดขึ้น จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่งให้กัน
“นี่ฮิเดโกะจัง คืนพรุ่งนี้ไปดูดอกไม้ไฟกันนะ” ยูทากะเอ่ยชวนขณะเดินมาส่งอริสาที่ร้านหนังสือ
“ดอกไม้ไฟ???” เธอเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ใช่ พอดีคุณลุงไดกิอยากตอบแทนที่หมอแฮรี่ช่วยฮิมาวาริจัง เลยจะแสดงพลุให้ดู ที่แม่น้ำอุราคามิ คืนพรุ่งนี้หนะ ฝากเธอช่วยชวนทุกๆคนด้วยนะ”
“อืม ได้สิ ฟังดูน่าสนุกจัง” อริสาน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนจะไล่ยูทากะให้กลับไปบ้านไปพักผ่อน หมอแฮรี่สั่งให้เขาหยุดงานหนึ่งวัน หลังจากที่ยูทากะรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมากมาย จึงขอทำงานตามปกติ แต่หมอแฮรี่ไม่ยอม
ว่าที่คุณแม่มาทำงานที่โรงหมอตามปกติ แต่น่าแปลกใจที่มาถึงแล้วไม่พบใคร นามิวางข้าวของที่ถือมาจากบ้านลงบนเคาน์เตอร์ ก่อนเดินเข้ามาในห้องตรวจ
“ที่รักค่ะ ทำอะไรอยู่หนะ” เธอเอ่ยถามเสียงหวาน หมอแฮรี่ที่กำลังเก็บเอกสารและของสำคัญต่างๆ ลงกล่องกระดาษเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง
“อ้าวมาแล้วหรอ มานั่งลงก่อนสิ” เขาเข้ามาประครองภรรยาให้นั่งลงที่เก้าอี้ผู้ป่วยอย่างทะนุถนอม
“คุณกำลังทำอะไรค่ะ เก็บข้าวของพวกนี้ทำไม” เธอถามสีหน้างุนงง หมอแฮรี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนค่อยๆเล่าข่าวที่ทราบมาให้นามิฟัง ทันทีที่รู้เรื่องราวทั้งหมด หญิงสาวก็ปล่อยโฮอย่างใจสลาย เธอต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ที่อื่น ในขณะที่ที่นี่กำลังจะพังพินาศ สามีขอไว้ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะไม่อยากให้ข่าวแพร่กระจายออกไป ชาวบ้านจะกังวลใจกัน แล้วพลอยอยู่กันอย่างอดอาลัยตายอยากเปล่าๆ และให้ชวนพ่อกับแม่ของเธอไปอยู่ด้วยกัน แต่นามิรู้ดีว่าพ่อแม่ของเธอไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่อื่นอย่างแน่นอน ยิ่งถ้ารู้ว่าต้องตายยังไงพวกเขาก็ขอตายบนแผ่นดินเกิดของตัวเอง
“หลังนี้หละ” เธอเดินเข้ามาภายในบริเวณรั้ว แล้วก้าวขึ้นบันไดเตี้ย เลื่อนเปิดประตูอย่างเบามือ พอเข้ามาข้างในก็มองหาห้องรับประทานอาหารเธอวางข้าวกล่องลงบนโต๊ะ ก่อนเดินมายังห้องข้างๆ สภาพของคาซูมิแย่กว่าที่คุมิโกะคิดไว้ เธอถอนหายใจอย่างเวทนา ก่อนหาน้ำและผ้าขนหนูมาเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้หญิงที่สูญเสียสามีจากสงครามก่อนหน้าเธอประมาณห้าเดือนเศษ
“ฉันเสียใจกับคุณด้วยนะคะ เรื่องการจากไปของคุณฮารุกิ สามีของคุณคาซูมิหนะคะ เมื่อไม่กี่วันมานี้ฉันก็ได้รับข่าวร้ายแบบเดียวกันนี่หละคะ สามีของฉันหนะ เขาเสียชีวิตจากสงครามเช่นกัน” เธอเปรยเล่าขณะค่อยๆ เช็ดตัวไปเรื่อยๆ แต่ฝ่ายตรงข้ามยังคงนิ่งเฉยตามปกติ
“วินาทีแรกที่ได้ยินว่าสามีฉันจากไปอย่างไม่มีวันกลับ นาทีนั้นโลกทั้งใบของฉันมืดสนิท รู้สึกตัวเองลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ แล้วฉันก็หมดสติไป พอได้ฟื้นขึ้นมาได้ก็เอาแต่กอดคอลูกสาวคนโตร้องไห้ ตอนนั้นฉันตระหนักได้ว่าหน้าที่ของการเป็นภรรยาได้จบลงแล้ว แต่ว่าหน้าที่ของการเป็นแม่ยังคงอยู่ ทาคาชิหนะเปรียบเสมือนศูนย์รวมใจของทุกคนในครอบครัว ขาดเขาไปคนหนึ่งลูกๆคงจะรู้สึกเคว้งคว้าง ต้องการความรักและกำลังใจเป็นอย่างมาก ฉันจึงต้องเข้มแข็ง และทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุด เพื่อให้คนที่จากไปหมดห่วง” คุมิโกะกลั้นกรองความรู้สึกในใจบอกเล่าแก่คาซูมิ เพื่อหวังว่าเธอจะเข้าใจชีวิตและกลับมาเข้มแข็ง คุมิโกะเปลี่ยนชุดยูกาตะให้ด้วย เป็นยูกาตะสีน้ำเงินเข้มลวดลายไม่ฉูดฉาดนัก ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์ของหญิงที่แต่งงานแล้ว พร้อมกับรวบผมที่ยาวรุงรัง ม้วนขึ้นปักด้วยปิ่นเงิน เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็วางกระจกกรอบไม้บานใหญ่ไว้ตรงหน้าคาซูมิ แต่แววตาที่เฉยชาไม่รับรู้สิ่งใดยังคงมองไกลออกไปนอกหน้าต่าง
“ฉันคงแนะนำได้แค่นี้ ส่วนที่เหลือก็สุดแล้วแต่คุณคาซูมิเอง ลาก่อนคะ” คุมิโกะโค้งลาแล้วเดินจากไปสักพักใหญ่ คาซูมิก็ลองมองตัวเองจากในกระจก แม้แต่เธอเองยังตกใจกับใบหน้าซีดเซียว แก้มตอบจนเห็นกระดูกหน้าของตัวเอง เธอฟังทุกคำพูดของคุมิโกะ อดชื่นชมกับความเข้มแข็งของหญิงวัยเดียวกันไม่ได้ แล้วก็กลับมาสมเพชตัวเองที่อ่อนแอได้ขนาดนี้ และก็พึ่งจะนึกสงสัยขึ้นมาได้ว่า ที่ผ่านมายูทากะใช้ชีวิตอย่างไร เธอตำหนิตัวเองในใจ ก่อนจะค่อยๆประครองร่างไร้เรี่ยวแรงเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเอง
ถนนทางเดินไปตลาดวันนี้มีเสียงประสานร้องเพลงพื้นบ้านของสามพี่น้อง ซึ่งจับจูงมือกันเดินเป็นแถวหน้ากระดาน โดยมีน้องชายคนเล็กอยู่ตรงกลาง ซาซาโกะอาสาไปส่งฮิคารุที่โรงเรียนทุกวันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะเธอได้รับปากกับคนรัก ซึ่งเป็นครูประจำชั้นของน้องชาย ว่าจะทำข้าวกล่องไปให้ทุกเช้า ส่วนอริสาออกจากบ้านเช้ากว่าปกติเพราะตั้งใจจะไปเยี่ยมยูทากะที่โรงหมอ ทำให้วันนี้สามพี่น้องจึงได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน ขณะที่เดินกันไปเรื่อยๆ ฮิคารุก็ขอให้พี่ๆ ยกตัวเองขึ้นเหมือนตอนเด็กๆ
“โอ๊ย ไม่ไหวหรอก ตัวโตขนาดนี้ แขนพี่หักพอดี” ซาซาโกะบ่น
“เอาน่าๆ ลองดูหน่อยสิ” เด็กชายอ้อน อริสาก็ได้แต่ยืนขำ
“ก็ได้ๆ เอ้า หนึ่ง สอง สาม” พี่คนโตนับให้สัญญาณ แล้วก็ช่วยกันออกแรงยกแต่ทำยังไงก็ยกไม่ขึ้น
“ไม่ไหวหรอกฮิคารุ” อริสาพูดกลั้วหัวเราะ แต่น้องชายยังไม่ยอมแพ้
“งั้นเอาอย่างนี้” ตัวแซบประจำบ้านพูดจบก็เขย่งตัวขึ้น โอบไหล่พี่สาวทั้งสองคนไว้ แล้วยกตัวเองขึ้น พี่ๆต่างพากันเซ
“นี่ไงได้แล้ว ฮ่าๆๆ” ฮิคารุหัวเราะชอบใจใหญ่
“จะบ้าหรอฮิคารุ แล้วจะเดินกันยังไง” ซาซาโกะโวยวาย ต้องดุจริงจังกว่าฮิคารุจะเลิกเล่น อริสามาแยกกับพวกเขาที่หน้าร้านหนังสือ เธอเดินเข้ามาในร้านก็ต้องประหลาดใจเมื่อยังเห็นคริสโตเฟอร์นั่งทำงานอยู่หลังเคาน์เตอร์ตามปกติ แทนที่จะรีบเก็บข้าวของเพื่อย้ายกลับบ้านเกิด เพราะหนังสือของเขาเยอะมากถ้าจะให้ทันต้องเริ่มทะยอยเก็บตั้งแต่วันนี้แล้ว
“อ้าวมาแต่เช้าเลยนะฮิเดโกะ” เจ้านายพุงกลมเอ่ยทักเสียงแจ่มใส
“คริสโตเฟอร์ คุณยังไม่เก็บของอีกหรอค่ะ” อริสาถามขึ้น
“เก็บของ??? เก็บของทำไมกัน???” เขาเลิกคิ้วถาม
“ฉันนึกว่าคุณจะย้ายกลับอังกฤษซะอีก” เธอพูดอย่างไร้เดียงสา ทำเอาคริสโตเฟอร์หัวเราะดัง
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นหละ”
“อืม ก็ไม่รู้สิคะ อีกไม่กี่วันอเมริกาจะทิ้งระเบิดลงบนพื้นที่ที่เรากำลังยืนอยู่ มันไม่น่าตื่นเต้นจนต้องขนของหนีหรอกหรอค่ะ” ได้ยินอย่างนั้นนายจ้างก็ยิ่งขำเข้าไปอีก ก่อนจะปรับอารมณ์เป็นเรียบเฉยแล้วพูดขึ้น
“ฉันหนะ ไม่ไปไหนหรอก ฉันจะอยู่กับร้านหนังสือ และหนังของฉัน หนังสือพวกนี้ฉันอ่านหมดทุกเรื่องแล้วนะ ฉันหนะถ้าจะต้องตายจริงๆ ก็ขอตายไปพร้อมกับสิ่งที่ฉันรักเนี่ยแหละ” อริสายิ้มชื่นชมในความกล้าหาญของคริสโตเฟอร์ ถึงจะรู้จักเขาไม่นาน แต่เธอก็รู้สึกนับถือเขามาก
“ในบรรดาหนังสือทั้งหมดนี้ หนังสือเล่มไหนที่คุณชอบที่สุดค่ะ คริสโตเฟอร์” อริสาถามหลังจากเดินเข้ามาหยุดยืนหน้าเคาน์เตอร์
“เล่มโปรดหรอ อืม...นี่ต้องเล่มนี้เลย” เขากวาดตามองหนังสือที่ชั้นวางด้านหลัง เคาน์เตอร์ แล้วหยิบหนังสือส่งให้อริสาเล่มหนึ่ง
“The Metamorphosis” อริสาอ่านตัวหนังสือตัวใหญ่ที่หน้าปก แล้วพลิกดูด้านหลังไปมาอย่างสนใจ
“The Metamorphosis เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเกรเกอร์ ผู้ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ทั้งพ่อ แม่ และน้องสาว อยู่มาวันหนึ่งเขาก็พบว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนไป กลายเป็นแมลง เขียนโดย ฟรานซ์ คาฟคานักเขียนชาวยิว” คริสโตเฟอร์อธิบาย
“อืม น่าสนใจจัง งั้นฉันขอยืมไปอ่านนะคะ”
“อืม ได้สิ”
“คริสโตเฟอร์ค่ะ ฉันขออนุญาตไปเยี่ยมยูทากะที่โรงหมอสักครู่ได้ไหมค่ะ” เธอเลียบถาม
“อ่อ ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ ฉันฝากเยี่ยมด้วย” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี
“ได้คะ ขอบคุณมากเลยนะคะ” เธอยิ้ม มือเรียวส่งหนังสือที่ขอยืมฝากเจ้านายไว้ ก่อนก้าวออกจากร้านหนังสือ เธอเดินช้าๆ ฝ่าฝูงชนที่ออกมาจ่ายตลาดเช้าหนาตา ในใจมีแต่คำถามวนไปวนมาว่า....ยูทากะจะเป็นยังไงบ้างนะ?....เขาจะหายดีแล้วหรือยัง?....เขาจะตื่นทานข้าวทานยาหรือยัง?.... ความรู้สึกกังวลที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้อริสาก้าวเท้าถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบกลายเป็นวิ่ง ขณะที่โรงหมอยังอยู่ไกลออกไปอีกสักระยะ แต่ฝีเท้าของเธอหยุดชะงักลง เมื่อเห็นร่างสันทัดของใครบางคนที่คุ้นเคย ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ไกลนัก ทั้งสองคนหยุดยิ้มให้กันชั่วขณะ ก่อนก้าวเข้ามาหากันช้าๆ
“ยูทากะ นายเป็นยังไงบะ....” อริสาเอ่ยทัก กำลังจะไถ่ถามถึงอาการของชายหนุ่ม ยังไม่ทันจบประโยคก็โดนร่างสันทัดโผเข้ากอดแน่น อริสายืนนิ่งก่อนกอดตอบด้วยความเต็มใจ ความรู้สึกอบอุ่นผุดขึ้น...ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับอ้อมกอดของยูทากะอย่างนี้นะ?... คำถามนี้อริสาตอบไม่ได้ แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง...เธอรักเขา...นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ชัดเจนอยู่ทุกอนูของหัวใจในขณะนี้ และเธอเองมั่นใจว่ายูทากะก็รู้สึกไม่ต่างกัน พวกเขาซึมซับความคิดถึงและห่วงหาของกันและกันอยู่สักพัก ก็คลายกอดออก และพึ่งจะสังเกตว่าตกเป็นเป้าสายตาของชาวบ้านที่เดินจับจ่ายซื้อของ ถึงตอนนี้ความเขินอายก็เกิดขึ้น จึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่งให้กัน
“นี่ฮิเดโกะจัง คืนพรุ่งนี้ไปดูดอกไม้ไฟกันนะ” ยูทากะเอ่ยชวนขณะเดินมาส่งอริสาที่ร้านหนังสือ
“ดอกไม้ไฟ???” เธอเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ใช่ พอดีคุณลุงไดกิอยากตอบแทนที่หมอแฮรี่ช่วยฮิมาวาริจัง เลยจะแสดงพลุให้ดู ที่แม่น้ำอุราคามิ คืนพรุ่งนี้หนะ ฝากเธอช่วยชวนทุกๆคนด้วยนะ”
“อืม ได้สิ ฟังดูน่าสนุกจัง” อริสาน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนจะไล่ยูทากะให้กลับไปบ้านไปพักผ่อน หมอแฮรี่สั่งให้เขาหยุดงานหนึ่งวัน หลังจากที่ยูทากะรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมากมาย จึงขอทำงานตามปกติ แต่หมอแฮรี่ไม่ยอม
ว่าที่คุณแม่มาทำงานที่โรงหมอตามปกติ แต่น่าแปลกใจที่มาถึงแล้วไม่พบใคร นามิวางข้าวของที่ถือมาจากบ้านลงบนเคาน์เตอร์ ก่อนเดินเข้ามาในห้องตรวจ
“ที่รักค่ะ ทำอะไรอยู่หนะ” เธอเอ่ยถามเสียงหวาน หมอแฮรี่ที่กำลังเก็บเอกสารและของสำคัญต่างๆ ลงกล่องกระดาษเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง
“อ้าวมาแล้วหรอ มานั่งลงก่อนสิ” เขาเข้ามาประครองภรรยาให้นั่งลงที่เก้าอี้ผู้ป่วยอย่างทะนุถนอม
“คุณกำลังทำอะไรค่ะ เก็บข้าวของพวกนี้ทำไม” เธอถามสีหน้างุนงง หมอแฮรี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนค่อยๆเล่าข่าวที่ทราบมาให้นามิฟัง ทันทีที่รู้เรื่องราวทั้งหมด หญิงสาวก็ปล่อยโฮอย่างใจสลาย เธอต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ที่อื่น ในขณะที่ที่นี่กำลังจะพังพินาศ สามีขอไว้ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะไม่อยากให้ข่าวแพร่กระจายออกไป ชาวบ้านจะกังวลใจกัน แล้วพลอยอยู่กันอย่างอดอาลัยตายอยากเปล่าๆ และให้ชวนพ่อกับแม่ของเธอไปอยู่ด้วยกัน แต่นามิรู้ดีว่าพ่อแม่ของเธอไม่ยอมย้ายไปอยู่ที่อื่นอย่างแน่นอน ยิ่งถ้ารู้ว่าต้องตายยังไงพวกเขาก็ขอตายบนแผ่นดินเกิดของตัวเอง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ