"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย
เขียนโดย January13
วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.
แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย
21) สารภาพรัก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความการแสดงขับร้องเพลงประสานเสียงที่โบสถ์อุราคามิดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงการแสดงของนักเรียนห้องสุดท้าย ฮิคารุชะเง้อมองหาพี่สาวในกลุ่มผู้ปกครองที่นั่งอยู่เต็มสองฝั่ง ขณะเดินตามหลัง เพื่อนเข้ามาอย่างไม่แตกแถว ก่อนหยุดยืนเรียงหน้ากระดานสองแถวตรงกลางแท่นพิธี เด็กชายได้อยู่แถวหน้า เขาเริ่มรู้สึกโหวงๆในช่องท้อง มือสองข้างเย็นเฉียบ ยิ่งตอนนี้ไม่มีกระดาษเนื้อเพลงที่เอาไว้ใช้กำบังตัวเองจากผู้ชมที่นั่งอยู่ด้านหน้าเหมือนตอนซ้อมฮิคารุยิ่งไม่มีความมั่นใจ
“ฮิคารุ เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดเชียว” ฮานะถามหลังจากสังเกตเห็นอาการแปลกๆของเพื่อนอยู่พักหนึ่ง
“ปะปะ เปล่า” เด็กชายตะกุกตะกักตอบ พยายามกวาดตามองหาพี่สาว จนในที่สุดก็เห็นอริสาโบกมือให้จากที่นั่งทางขาวมือไม่ไกลนัก ทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย เสียงเปียโนบรรเลงดนตรีท่อนอินโทรจบ อริสาก็ทำไม้ทำมือบอกน้องชายให้เริ่มร้องพร้อมกับขยับปากตามไปด้วย ฮิคารุจ้องมาที่อริสาคนเดียวเท่านั้น เพราะมันทำให้เขารู้สึกไม่ประหม่า ซาซาโกะที่นั่งตรงกลางระหว่างแม่กับอริสา เห็นน้องชายร้องเพลงได้คล่องปรือก็นึกชื่นชมในใจ ก่อนจะหันมาเห็นอริสาใบ้เนื้อเพลงส่งให้ จึงหลุดขำออกมาเล็กน้อย ซาซาโกะไม่แปลกใจเลย ไม่ว่าฮิคารุจะทำอะไรก็ต้องมีพี่สาวคนรองค่อยช่วยเหลือ และตามใจอยู่เสมอ เสียงร้องของนักเรียนประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียงก้องกังวาล แม้ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นอาจฟังดูแปร่งๆ แต่ก็ไพเราะจับใจ คุมิโกะมองดูลูกชายอย่างเอ็นดู หลังๆมานี้ฮิคารุเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น คนเป็นแม่ก็อดปลื้มใจไม่ได้ เธอคิดว่าถ้าสามียังอยู่ และได้เห็นลูกชายในวันนี้ก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเธอ
สิ้นสุดเสียงดนตรีของโน้ตตัวสุดท้าย เสียงปรบมือก็ดังขึ้นเกรียวกราว ฮิคารุกวาดตามองเหล่าผู้ปกครองที่ปรมมือและยิ้มชื่นชมส่งให้ ทำให้หัวใจดวงน้อยพองโต จนต้องยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยเป็น ตอนนี้เด็กชายรู้สึกภูมิใจในตัวเอง แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับเขา
“ขอขอบพระคุณผู้ปกครองทุกท่านที่สละเวลามาร่วมชมการแสดงในวันนี้ ขอจบการแสดงแต่เพียงเท่านี้ครับ สำหรับนักเรียนทุกคน ช่วงบ่ายขอให้เข้าเรียนตามปกติ ขอบคุณครับ” โกโร่แจ้งจบก็โค้งตัวอย่างสุภาพ นักเรียนและผู้ปกครองจึงเริ่มทะยอยออกจากโบสถ์ ฮิคารุวิ่งปรี่เข้ามาหาแม่และพี่สาวที่ยืนรออยู่หน้าประตูทางออก
“ทำได้ดีมากเลยนะฮิคารุ เก่งจริงๆเลยน้องพี่” อริสาเอ่ยชมพร้อมยีหัวน้องชายอย่าหมั่นเคี้ยว ผมที่โกนเกลี้ยงเริ่มยาวขึ้นมาบ้างแล้ว
“จริงหรอฮะ” เด็กชายถามย้ำ อยากรู้ว่าตัวเองทำได้ดีจริงๆหรือเปล่า
“อืม จริงหนะสิ ใช่ไหมค่ะ” อริสาตอบ ก่อนหันมาขอความเห็นจากแม่และพี่สาว
“อืม เยี่ยมมากเลยหละ” ซาซาโกะเอ่ย แล้วยกนิ้วโป้งให้สองข้าง ทำเอาน้องชายยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“เก่งจริงๆเลยน้าลูกแม่” คุมิโกะพูดพรางลูบหัวลูกชายเบาๆ อย่างภูมิใจ
“สวัสดีครับคุณแม่ของฮิคารุ คุณซาซาโกะ ฮิเดโกะ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลัง เรียกพวกเขาให้หันไปมองครูหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีกรมท่า
“สวัสดีคะ คุณครูโก่โร่ ครูประจำชั้นของฮิคารุใช่ไหมค่ะ” คุมิโกะเดา แม้ลูกชายจะเลื่อนชั้นมาอยู่ประถามศึกษาปีที่สี่ได้เกือบเทอมแล้ว แต่เธอยังไม่เคยเห็นหน้าครูประจำชั้นของลูกชายเลยสักครั้ง ด้วยความที่งานยุ่งจึงมอบหมายหน้าที่ให้ลูกสาวสองคนเป็นธุระให้เวลาโรงเรียนเรียกประชุมผู้ปกครอง แต่ที่รู้จักชื่อเขาเพราะลูกสาวเล่าให้ฟัง
“ใช่ครับ วันนี้ทำได้ดีมากเลยนะฮิคารุ” โก่โร่ตอบ ก่อนหันมาเอ่ยชมลูกศิษย์
“อยู่ที่โรงเรียนฮิคารุเป็นยังไงบ้างค่ะ ถ้าดื้อหละก็ คุณครูจัดการได้เลยนะคะ” คุมิโกะให้สิทธิ์เต็มที
“ไม่หรอกครับ ฮิคารุหนะอยู่โรงเรียนตั้งใจเรียนมากๆเลยหละครับ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะดูแลให้เป็นอย่างดี”
“ขอบคุณมากนะคะ ได้ยินอย่างนี้ฉันก็สบายใจ” คุมิโกะกล่าวขอบคุณเสียงนิ่ม โกโร่ยิ้มตอบหญิงมีอายุ แต่แอบเหล่ตามองพี่สาวคนโตที่เอาแต่ยืนก้มหน้างุดอยู่ข้างๆอริสา เขาพยายามจะหาเรื่องคุยกับซาซาโกะแต่ทำยังไงก็คิดไม่ออก
“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ต้องรีบไปเตรียมสอนต่อ” โกโร่ลาและโค้งอย่างสุภาพอีกครั้งก่อนเดินจากไป ซาซาโกะมองตามหลังร่างสูง มือล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนเล็กจากผ้าคาดเอวมาดูอย่างเศร้าๆ
“นั่นอะไรหนะค่ะ พี่ซาซาโกะ” อริสาหันมาถามพี่สาว ขณะที่ฮิคารุเล่าความรู้สึกตอนร้องเพลงให้คนเป็นแม่ฟัง
“ก็แค่ผ้าเช็ดหน้าปักลายธรรมดาๆหนะ” คนพี่เอ่ย
“ตั้งใจทำให้โกโร่ซังใช่ไหมค่ะ” น้องสาวถามต่อ ซาซาโกะก็พยักหน้ารับอย่างไม่ปิดบัง
“แล้วเมื่อกี้ทำไมถึงไม่ให้ไปหละค่ะ”
“ก็..ก็พี่...ไม่กล้านี่นา” ซาซาโกะหมดมาดพี่สาวจอมโหดไปเลย ตอนนี้เธอเป็นเพียงหญิงสาวขี้อายเท่านั้น
“พี่ซาซาโกะ ชีวิตคนเรามันสั้นนะ อยากทำอะไรก็รีบทำเถอะคะ ก่อนที่มันจะสาย” อริสาพูดน้ำเสียงจริงจังเพราะรู้ว่าอีกสามวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนที่นี่ คนพี่ละสายตาจากผ้าเช็ดหน้าในมือ หันมาสบตากับน้องสาวที่ส่งกำลังใจบางอย่างมาให้
“ไปเถอะคะ” คนน้องบอก ก่อนหันไปร่วมวงคุยกับแม่และน้องชาย ซาซาโกะค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นๆ จนกลายเป็นวิ่ง โกโร่เดินหายไปไกลมากแล้ว แต่ซาซาโกะยังคงวิ่งต่อไปไม่หยุด ยังไงเธอก็ต้องบอกเขาถึงความรู้สึกนี้ที่เปี่ยมล้นอยู่ในใจ ในที่สุดแผ่นหลังของร่างสูงก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าไม่ไกลนัก หญิงสาวรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีตะโกนเรียก
“โกโร่ซัง!!!” เสียงนั้นเรียกครูหนุ่มให้ชะงักฝีเท้า ก่อนหันมา เห็นซาซาโกะกำลังวิ่งตรงเข้ามา แล้วหยุดยืนหอบแฮกอยู่ตรงหน้าเขา
“อ้าว คุณซาซาโกะ มีอะไรหรอครับ!!??” ชายหนุ่มประหลาดใจ
“เอ่อ....คือ....” ซาซาโกะอึกอักขณะยังหอบด้วยความเหนื่อย
“เอ่อ...คุณซาซาโกะมีอะไรจะพูดกับผมอย่างนั้นหรอครับ” โกโร่ถามใบหน้าแต้มยิ้มน้อยๆ ผินมองวงหน้าแดงกร่ำของหญิงสาว
“เอ่อ...คือว่า....โกโร่ซัง....ช่วยรับสิ่งนี้ไว้ด้วยนะคะ” ซาซาโกะกลั้นใจพูด พร้อมก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่มีลายดอกไม้เล็กๆ สีอ่อนหลากหลายสีปักขอบทั้งสี่ด้าน พับเป็นผืนเล็กส่งให้สองมือ แล้วก้มหน้างุดไว้ใต้หว่างแขน โกโร่ตกใจเล็กน้อยก่อนรับมา จากสีหน้าประหลาดใจก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างทันที ลายที่ปักลงบนผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กนี้ สำหรับคนอื่นอาจมองเป็นเพียงดอกไม้ที่มีกลีบเป็นรูปหัวใจ แต่สำหรับชายหนุ่ม เขาเห็นหัวใจหลายดวงเกาะกุมกันจนกลายเป็นรูปดอกไม้ เพียงผ้าเช็ดหน้าปักลายผืนเดียว ก็แทนความหมายให้โกโร่ล่วงรู้ถึงความรู้สึกในใจของหญิงสาวตรงหน้าได้ แม้จะเป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าธรรมดาไม่ได้มีราคาอะไร แต่สำหรับเขาช่างมีค่ากว่าสิ่งของใดๆที่ได้รับจากผู้หญิงคนอื่น
“ขอบคุณมากๆนะครับ คุณซาซาโกะ” โกโร่พูดจบก็โค้งตอบ ใบหน้าเผยรอยที่ไม่อาจปิดบังความเต็มตื้นในใจ นึกไม่ถึงเลยว่า พี่สาวของลูกศิษย์ที่เขาตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ จนทำให้ต้องแวะไปตลาดทุกเช้าทั้งๆที่ไม่ได้ซื้ออะไร เพียงแค่หวังว่าจะได้พบหน้าเจ้าของฉายาพี่สาวแก้มแดงที่เขาตั้งให้ และได้ทักทายกับเธอประโยคสองประโยค ผู้หญิงคนนั้นก็รู้สึกเช่นเดียวกับเขา ซาซาโกะหลังจากที่ยืนก้มหน้าอยู่นาน ก็กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตา เผยให้เห็นใบหน้าแดงกร่ำ
“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น...ฉันขอตัวนะคะ” ซาซาโกะทำตัวไม่ถูก ด้วยความเขินจึงรีบวิ่งหนีไป แต่ความรู้สึกในใจของเธอมันช่างเบาหวิวเหมือนกำลังบินอยู่มากกว่า โกโร่ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ได้แต่มองผ้าเช็ดหน้าและหญิงสาวสลับกัน เขายังคงกว้างยิ้มไม่หุบ จนซาซาโกะลับตาไป
ความวุ่นวายที่โรงหมอสงบลง หลังจากที่ไดกิไปตามหมอแฮรี่และนามิกลับจากโบสถ์อุราคามิ ด้วยความชำนาญ และประสบการณ์ในอาชีพแพทย์มากกว่าสามสิบปี แฮรี่จึงสามารถตั้งสติ และจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย จนเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายในเวลาไม่นาน เขาดูอาการของฮิมาวาริก่อน และประเมินว่าควรนำส่งโรงพยาบาลในเมือง เนื่องจากต้องรักษาในห้องปลอดเชื้อ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและเกิดอาการแทรกซ้อน จึงไปเอารถเฟียต รุ่นโทโปลิโน่ ปี 1930 คันเก่ง ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมากับเขาจากอังกฤษ ที่จอดไว้ที่บ้านของพ่อตา ไปส่งเด็กน้อยที่โรงพยาบาล และกลับมาดูอาการของยูทากะ ซึ่งดูแล้วไม่มีอะไรหน้าเป็นห่วง หมอแฮรี่สันนิษฐานว่ายูทากะอาจจะก้มๆ เงยๆ เพื่อดูดพิษจากบาดแผลที่ขาของฮิมาวาริ บวกกับสภาพอากาศร้อน ทำให้หน้ามืดและสลบไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเก็บตัวอย่างเลือดของยูทากะ เอาไปให้เพื่อนที่โรงพยาบาลเข้าแล็บ เพื่อตรวจว่าได้รับพิษงูด้วยหรือไม่ ในใจก็นึกตำหนิยูทากะที่ใช้วิธีนี้ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น แต่ก็ชื่นชมในความกล้า และทุ่มเท ถ้ายูทากะไม่ทำเช่นนี้ฮิมาวาริอาจไม่รอดก็เป็นได้
“พรุ่งนี้เพื่อนผมที่อยู่โรงพยาบาลจะแจ้งอาการฮิมาวาริให้ทราบ ตอนนนี้ปลอดภัยและอยู่ในการดูแลของโรงพยาบาลเป็นอย่างดี ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” หมอแฮรี่ชี้แจงให้ไดกิฟัง เพื่อหวังว่าจะบรรเทาความกังวลของญาติผู้ป่วยให้ลดลง แต่สีหน้าของไดกิกลับหม่นลงไปอีก
“เอ่อ..ค่ารักษาแพงไหมหมอ ฉันไม่แน่ใจว่าจะมีเงินพอไหม”
“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะจัดการให้ ทำใจให้สบายเถอะครับ”
“ตะตะ..แต่”
“กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้สายๆ มารอฟังอาการฮิมาวาริพร้อมกันนะครับ”
“ขะขะ...ขอบคุณมาก สมแล้วที่ใครๆเรียกว่าหมอใจดี ขอบคุณอีกครั้งนะหมอ” ไดกิโค้งขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หมอแฮรี่ยิ้มให้อย่างอารี
“เหนื่อยไหมค่ะที่รัก” นามิเดินเข้ามาถามสามีหลังจาก ไดกิเดินจากไป
“ไม่หรอก นามิจังหละ”
“ฉันจะเหนื่อยอะไรหละค่ะ คุณไม่ยอมให้ฉันหยิบจับอะไรเลยตั้งแต่รู้ว่าฉันท้องหนะ” เธอพูดกลั้วหัวเราะ หมอแฮรี่ยิ้มก่อนดึงตัวภรรยาเข้ามากอดอย่างทะนุถนอม ซ่อนแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความกังวลไม่ให้นามิเห็น เขาได้รับข่าวร้ายบางอย่างจากเพื่อนหมอชาวอังกฤษที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลในเมือง ทำให้เขาต้องตัดสินใจว่าควรจะอยู่ที่นางาซากิต่อไปหรือไม่
ช่วงบ่ายอริสากลับไปทำงานที่ร้านหนังสือต่อ บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา เธอมองผ่านกระจกบานใหญ่ไปยังร้านฝั่งตรงข้าม อยากจะชวนฮิมาวาริมาฟังนิทาน แต่เห็นเพียงปู่ของเด็กหญิงเท่านั้น จึงละความสนใจจากภาพตรงหน้า หันมาเห็นเจ้านายนั่งกุมขมับอยู่ มืออีกข้างถือกระดาษโทรเลข ที่เขาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า สีหน้าก็ดูแย่ลงเรื่อยๆ
“คริสโตเฟอร์ คุณโอเคหรือเปล่าค่ะ” อริสาเดินเข้ามาถามใกล้ๆ
“หะ..เอ่อ ฉันสบายดี” เขาตอบเสียงอ่อน ก่อนพับกระดาษโทรเลขเก็บลงในลิ้นชัก
“มีอะไรหรือเปล่าค่ะ โทรเลขฉบับนั้นหนะ” คำถามนี้ ทำให้คริสโตเฟอร์นิ่งงันไปชั่วครู่ เขาถอดแว่นออกและลูบหน้าตัวเองอย่างครุ่นคิดก่อนตอบ
“เพื่อนฉันที่อังกฤษส่งโทรเลขมาบอกว่า เมื่อเช้าวันนี้ฝ่ายสัมพันธมิตรถล่มเมืองฮิโรชิม่าด้วยระเบิดนิวเคลียร์จนราบเป็นหน้ากลอง คนเสียชีวิตทันทีกว่า 140,000 คน และถ้าจักรวรรดิญี่ปุ่นยังไม่หยุด จะทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลูกที่สอง...ถล่มนางาซากิ” เขาพูดจบก็ถอนหายใจเฮือก อริสาเองก็เช่นกัน เธอคิดไม่ตกว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ปาฏิหาริย์ ต้องการให้เธอทำอะไรกันแน่ ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอจะไปหยุดหยั้งระเบิดลูกยักษ์นั้น และเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้อย่างไร แล้วเธอหละจะเป็นอย่างไรเมื่อวันนั้นมาถึง ความหวาดหวั่นในใจเกิดขึ้นอีกครั้ง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ