"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย

8.9

เขียนโดย January13

วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.

  37 ตอน
  25 วิจารณ์
  43.47K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

11) หัวอกเดียวกัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     สองหนุ่มสาวเดินเคียงกันไป จุดหมายคือบ้านไม้ทรงญี่ปุ่นที่เห็นอยู่ลิบๆ ละแวกนั้นไม่มีใคร มีเพียงอาทิตย์อัสดงคอยจ้องมองพวกเขาอยู่เบื้องหลัง

     “ฉันเสียใจด้วยนะ เรื่องพ่อของเธอหน่ะ” ชายหนุ่มเปรยขึ้น ไม่มีคำพูดใดๆตอบจากอริสา ทาเคชิไม่ใช่พ่อของเธอแต่เธอเองกลับรู้สึกหดหู่ กับเหตุการณ์นี้อยู่ไม่น้อย

     “พี่ฮิเดโกะ พี่ยูทากะฮะ” เสียงเด็กชายดังขึ้นข้างหลัง คนถูกเรียกสองคนหันไปมองร่างเปรียวที่กำลังวิ่งเข้ามาหาพร้อมกัน อริสาแอบส่งสายตาเป็นนัยๆ ให้ยูทากะหยุดพูดเรื่องพ่อ

     “วันนี้เราจะไปไหนกันดีฮะ ผมอยากไปตกปลาที่แม่น้ำอุราคามิจัง” ฮิคารุที่เดินเข้ามาแทรกตรงกลางเสนอขึ้น

     “เราจะไม่ไปเที่ยวเล่นที่ไหนทั้งนั้นแหละจ๊ะ วันนี้ฮิคารุต้องร้องเพลงให้พี่ฟัง” ประโยคนั้นทำเอาเด็กชายหน้าเจื่อนลงทันทีแต่ก็ยังไม่วายที่จะเฉไฉทำเป็นไม่รู้เรื่อง

     “ร้องเพลงอะไรกันฮะ พี่ฮิเดโกะ”

     “เมื่อเช้าพี่เจอโกโร่ซังที่ตลาด เขาบอกว่าโรงเรียนจะมีการแสดงขับร้องเพลงประสานเสียงของนักเรียนชั้นประถมสี่ ที่โบสถ์อุราคามิ ฮิคารุเคยอยู่ซ้อมร้องกับเพื่อนๆ บ้างหรือเปล่า” อริสาถามจี้จุด

     “เอ่อ....เอ่อ....โอ๊ย เหนื่อยจัง วันนี้เรียนหนักมากๆ เลย หิวด้วย ไม่รู้ว่ามื้อนี้มีอะไรให้กินบ้างน้า” เด็กชายทำเป็นบ่นแล้วรีบเดินนำไปหน้าตาเฉย อริสาส่ายหัวน้อยๆในความกระล่อนของฮิคารุ...ไม่เอาอะไรเลยจริงๆเด็กคนนี้....

     จิโร่กลับจากหาปลามาสักพักใหญ่ ทราบข่าวการจากไปของพี่เขย ทำให้เขาเอาแต่นั่งเงียบอยู่ประจำที่เดิมของตัวเองมุมหนึ่งของโต๊ะทานอาหาร เหลือเพียงเขาที่เป็นผู้ชายในครอบครัวนี้ ฮิคารุก็ยังเด็กแถมไม่เอาไหน จิโร่ครุ่นคิดถึงความรับผิดชอบต่างๆที่หนักอึ้งที่เขาต้องรับต่อจากพี่เขยโดยปริยาย รายได้จากการหาปลาของเขาดูๆ แล้วจะสู้ค่าฝีมือของชุดกิโมโนแต่ละตัวที่คุมิโกะตัดเย็บไม่ได้เลย เขาควรดูแลพี่สาวและหลานๆ ไม่ใช่มาอยู่เพื่อเป็นภาระให้พี่สาวเหนื่อยมากขึ้น

     “เฮ้อ” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ซาซาโกะถือถ้วยชามออกมาจากห้องครัวที่อยู่ทางขวามือของห้องทานอาหาร มองผู้เป็นน้าอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

     “วันนี้หาปลาเป็นยังไงบ้างหละ น้าจิโร่” เธอถามหลังจากวางถ้วยชามลงบนโต๊ะ คนถูกถามล้วงถุงใส่เงินในกระเป๋าเสื้อออกมายื่นให้หลานสาว ซาซาโกะเพียงแค่รับมาก็รู้ได้ว่าจำนวนเงินไม่ได้มากตามที่เธอหวังไว้ เพราะน้ำหนักของเหรียญในนั้นช่างเบาเสียเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้บ่นอะไร เธอไม่อยากทำให้น้าเครียดมากไปกว่านี้ ซาซาโกะเทเหรียญทั้งหมดออกมา ก่อนจะใส่กลับเข้าไปเพียงจำนวนหนึ่งแล้วส่งคืนแก่ให้จิโร่

     “กลับมาแล้วฮะ” เสียงเจื่อยแจ้วดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงวิ่งกระแทกเท้าตามแบบฉบับของฮิคารุ

     “โอ๊ย หิวจังเลยมีอะไรให้กินบ้างนะ” เด็กชายพูดมือพรางลูบท้องตัวเอง ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นแม่ที่ห้องครัว ช่วยถือถ้วยกับข้าวออกมาวางที่โต๊ะ แล้วลงไปนั่งเบียดกับจิโร่

     “อ่ะ” ซาซาโกะตักข้าวร้อนๆในหม้อแล้วยื่นถ้วยให้น้องชาย ฮิคารุไม่รอช้ารีบคีบข้าว คีบกับกินก่อนใคร

     “อ้าวฮิเดโกะ ไปไหนมาลูก หายไปทั้งวัน” คุมิโกะถามลูกสาวคนรองที่พึ่งเดินเข้ามาพร้อมๆกับชายหนุ่ม

     “นั่นสิ คนเขาเป็นห่วงกันไปหมด ยิ่งไม่ค่อยปกติอยู่ด้วย” พี่สาวบ่นแทรกขึ้นมาทันที แม้จะปากร้ายไปเสียหน่อย แต่ใจจริงเธอรักและเป็นห่วงน้องสาวมาก

     “ไปทำงานมาหน่ะคะ ที่ร้านหนังสือในตลาด” อริสาอธิบายขณะเข้ามานั่งที่ว่าง ที่เดียวกับเมื่อเย็นวานนี้

     “ไม่เห็นต้องออกไปทำงานข้างนอกเลยหนิลูก ช่วยแม่กับพี่เหมือนเดิมก็ดีอยู่แล้ว”

     “ฉันอยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน ฉันทำไม่ได้จริงๆ เลยคิดว่าออกไปหางานทำข้างนอกดีกว่าจะมานั่งอยู่เฉยๆ” ซาซาโกะนั่งเงียบแอบรู้สึกผิดที่ต่อว่าน้องไปเยอะเมื่อตอนกลางวัน

     “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจลูกแล้วกันนะ อ้าวยูทากะมาทานข้าวด้วยกันสิจ๊ะ” คุมิโกะเรียกชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูข้างหลังจิโร่

     “แต่ที่นั่งมันเต็มแล้วนะคะ” อริสาแย้ง เธอไม่อยากเห็นหน้าผู้ชายคนนี้นานๆ เพราะเขาทำให้เธอรู้สึกแปลกๆทุกครั้งที่พบกัน

     “เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่มาส่งฮิเดโกะจังเฉยๆ กำลังจะกลับอยู่พอดีเลยครับ” ยูทากะปฏิเสธ

     “แหมมาเถอะน่า คนกันเอง นั่งข้างๆฮิเดโกะก็ได้” ซาซาโกะพูดพรางส่งถ้วยข้าวให้น้องสาว ....ห๊ะ!!!.... อริสาอุทานในใจ ยิ่งเธอไม่อยากอยู่ใกล้เขามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ใกล้กันมากเท่านั้น

     “เอ่อ ครับ” ยูทากะเดินอ้อมมาทางด้านหลังของคุมิโกะก่อนแทรกตัวนั่งลงใกล้ๆ คนรัก อริสารีบกระเถิบมาเบียดพี่สาวทันที ปากเรียวเล็กอมชมพูบึ้งเบะ รับกับคิ้วที่ขมวดอย่างไม่ค่อยพอใจ ซาซาโกะตักข้าวใส่ถ้วยอีกใบหนึ่ง แล้วส่งให้น้องสาวเพื่อให้ส่งต่อแก่ชายหนุ่ม

     “คุณคาซูมิ แม่ของยูทากะสบายดีหรอจ๊ะ” คุมิโกะถามขึ้น

     “สบายดีครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ ใบหน้าปรากฎแววหมองเศร้า อริสาที่นั่งอยู่ข้างๆ เหลือบเห็นอาการนั้น แต่เพียงแวบเดียวรอยเศร้าหมองก็จางหายไปจากใบหน้าคม

     “แม่ฮะ พ่อตอบจดหมายมาหรือยังฮะ” ฮิคารุเงยหน้าจากถ้วยข้าว หันมาถามแม่ ทำเอาผู้ใหญ่แต่ละคนทำสีหน้าไม่ถูก

     “เอ่อ จ๊ะ ตอบมาแล้ว”

     “จริงหรอฮะ!!! ผมขออ่านหน่อยสิฮะ” เด็กชายพูดน้ำเสียงตื่นเต้น ผู้เป็นแม่วางตะเกียบลงแล้วลุกขึ้นไปหยิบกล่องโลหะเล็กๆ ในห้องนอนมาส่งให้ลูกชาย ภายในกล่องเต็มไปด้วยกระดาษสีขาวพับเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ฮิคารุหยิบอันบนสุดขึ้นมาเปิดอ่านในใจอยู่คนเดียว แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อ่านจบก็เอากระดาษแนบอกแล้วกอดไว้แน่น ราวกับจดหมายนั้นคือพ่อของตัวเอง

     “ผมคิดถึงพ่อจังเลยฮะ เมื่อไหร่พ่อจะกลับมาอยู่กับเราน้า ผมเฝ้ารอวันนั้นไม่ไหวแล้ว” ทุกคนที่รู้เรื่องการจากไปของทาเคชิ ต่างมองเด็กชายอย่างสงสารจับใจ

     “พ่อหน่ะ....กลับมาอยู่กับเราแล้วหละ” พี่สาวคนโตพูดขึ้นนัยน์ตามีน้ำใสๆเอ่อ

     “ห๊ะ!!!! จริงหรอฮะ แล้วตอนนี้พ่ออยู่ไหน พ่อฮะๆๆ” เด็กชายวิ่งหาผู้เป็นพ่อทั่วบ้าน คุมิโกะปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่อีกครั้ง

     “ไหนหละฮะพ่อ” เด็กชายเดินกลับมาถาม คราวนี้เป็นซาซาโกะที่ลุกขึ้นไปหยิบกล่องไม้หลังตู้ในห้องนอนมายื่นให้น้องชาย ฮิคารุรับกล่องนั้นมาใบหน้างงๆ เขานั่งลงก่อนเปิดออกดูเห็นป้ายชื่อผู้เป็นพ่อ และเถ้ากระดูกที่ห่อด้วยผ้าขาวในโหลแก้ว ตาเล็กจึงเบิกโพล่ง

     “นะ นะ นี่มันอะไรกันฮะ!!??” ไม่ใช่เด็กชายไร้เดียงสาขนาดไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าคืออะไร เพียงแต่ไม่อาจทำใจยอมรับความจริงได้ ไม่มีใครตอบคำถามมีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นเบาๆของแม่และพี่สาวคนโต

     “ไม่จริง!!!!...ไม่จริง!!!” เด็กชายร้องไห้ น้ำตาไหลพรากก่อนจะวิ่งออกจากห้อง

     “ฮิคารุ!!” อริสาร้องเรียกแล้วรีบตามออกไป เห็นน้องชายนั่งร้องไห้อยู่ที่ชานหน้าบ้าน แม้ฮิคารุจะพยายามกัดฟันไม่ให้เสียงร้องไห้ดังออกมา แต่ก็ไม่อาจข่มความรู้สึกเจ็บปวดในใจของตัวเองได้ พ่อคนที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขาจากไปโดยไม่มีวันหวนกลับ อริสาค่อยๆเดินเข้าไปหา แต่มีมือมาฉุดแขนเธอเอาไว้เบาๆ

     “เดี๋ยวฉันคุยให้เอง” เจ้าของดวงตาสีนิลกระซิบบอก ก่อนเข้าไปนั่งข้างๆ ฮิคารุ

     “คุณลุงทาเคชิหน่ะ ทำหน้าที่ของลูกผู้ชายได้ดีที่สุดเลยนะ ท่านยอมสละเลือดเนื้อเพื่อปกป้องประเทศชาติ เหมือนพ่อของพี่เลย พี่รู้สึกภูมิใจในตัวพ่อมาก ฮิคารุหล่ะ” ยูทากะถาม แววตาซ่อนความเจ็บปวดที่ไม่ต่างจากเด็กชายเอาไว้ ฮิคารุพยักหน้าน้อยๆ น้ำตายังคงไหลไม่ยอมหยุด ส่วนอริสาที่แอบมองอยู่หลังประตู ตกใจมาก เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มก็สูญเสียพ่อจากสงครามเช่นกัน

     “พี่หน่ะ....พี่เองตอนที่รู้เรื่องพ่อก็แอบไปร้องไห้เหมือนฮิคารุเนี่ยแหละ....แต่พี่คิดว่า พ่อคงจะไม่สบายใจแน่ๆ ถ้ามองลงมาจากบนฟ้าแล้วเห็นพี่ร้องไห้และอ่อนแอ....” เขาพูดพรางแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ดวงดาวนับร้อยขึ้มมาแทนที่พระอาทิตย์เมื่อยามเย็น ยูทากะจ้องมองดาวดวงหนึ่งที่สุกสว่างที่สุด ความรู้สึกของเขาเหมือนกำลังสบตากับผู้เป็นพ่อ

     ฮารุกิ เป็นนายทหารที่ถูกส่งตัวไปร่วมรบที่โตเกียวเช่นเดียวกับทาเคชิ เขาเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อห้าเดือนก่อน ยูทากะและแม่ก็ได้รับข่าวแบบเดียวกันนี้ เนื่องจากเขาสองคนเป็นนายทหารที่มียศตำแหน่งในระดับหนึ่ง จึงมีการแจ้งข่าวการเสียชีวิตและนำเถ้ากระดูกกลับมาให้ครอบครัว แต่ถ้าเป็นนายทหารชั้นล่าง และประชาชนทั่วๆไป ศพจะถูกกองๆรวมกันแล้วเผาทิ้งทีเดียว เถ้ากระดูของพวกเขาจะกลายเป็นเพียงเศษฝุ่นผงอันไร้ค่า ไม่มีแม้แต่การแจ้งข่าวคราวให้ครอบครัวรับทราบถึงการสูญเสียที่เกิดขึ้น

     ฮิคารุเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตามยูทากะ แววตาเศร้าของเด็กชายถูกอาบด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด

     “พ่อจะยังมองเห็นผมจากบนนั้นใช่ไหมฮะ” เสียงเครือถามขึ้น

     “ใช่...แต่ท่านคงจะไม่สบายใจแน่ๆ ถ้าเห็นฮิคารุร้องไห้และอ่อนแออยู่อย่างนี้”

     “แล้วผมจะทำยังไง ในเมื่อตอนนี้ผมอ่อนแอจริง”

     “ถ้าวันนี้อ่อนแอก็ไม่เป็นไรหรอกนะ...แต่พรุ่งนี้ฮิคารุต้องเข้มแข็งกว่าเดิม ทำให้คุณลุงทาเคชิภูมิใจเมื่อมองลงมา ทำได้ไหม” ยูทากะหันมาถาม เด็กชายที่เริ่มหยุดร้องไห้แต่ยังสะอึกอยู่พยักหน้าตอบ ก่อนจะปาดน้ำตาทั้งสองข้าง อริสายิ้มบางๆ เธอรู้สึกสงสารและชื่นชมยูทากะในเวลาเดียวกัน แต่ใครจะไปรู้ว่าแท้จริงใจในของยูทากะปวดร้าวเพียงใด

     หลังจากฮิคารุได้พูดคุยกับยูทากะจนสบายใจขึ้น ก็กลับไปทานข้าวต่อ รีบอาบน้ำและเข้านอน ร่างเล็กของเด็กชายยังคงสั่นระริกอยู่ใต้ผ้าห่มที่คลุมโปงไว้เพื่อไม่ให้ใครเห็นว่ากำลังร้องไห้ หัวใจดวงน้อยยังไม่อาจรับมือกับความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่นี้ได้ คงต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อเยียวยาบาดแผลนี้

     อริสาออกมาส่งชายหนุ่มที่หน้าบ้าน เพราะได้รู้เรื่องราวของพ่อยูทากะ เธอรู้สึกเห็นใจเขา จึงใจดียอมออกมาส่ง และตั้งใจจะกล่าวขอบคุณเขาที่ช่วยปลอบใจน้องชาย

     “นาย...เอ่อ...ยูทากะ...ขอบใจมากนะที่ช่วยปลอบฮิคารุให้”

     “อืม ไม่เป็นไรหรอก....ฉันหน่ะเขาใจดีความรู้สึกของฮิคารุดี” เขาพูดก่อนถอนหายใจเบาๆ อริสารู้สึกเหมือนมีกำแพงบางๆฉาบทับดวงตาสีนิลที่ฉายแววเรียบเฉยคู่นั้น จริงๆแล้วเขายังเจ็บปวดกับการจากไปของพ่อมากไม่ต่างจากเด็กชาย แต่ไม่ยอมให้ใครรับรู้ โดยเฉพาะหญิงสาวตรงหน้า เขาไม่อยากให้เธอเห็นความอ่อนแอ

     “ฉันไปนะ พรุ่งนี้จะมารับแต่เช้า” ยูทากะเดินห่างออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว หญิงสาวที่ยืนมองอยู่ด้านหลังก็เรียกไว้

     “ยูทากะ” เสียงเล็กนั้นทำให้เขาหันกลับมา ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองอย่างสงสัยเป็นการถามกลับ

     “นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม” คำถามนั้นเปลี่ยนสีหน้าเรียบเฉยให้กลายเป็นรอยยิ้มเข้ามาแทนที่บนใบหน้าคม เขายักหน้าตอบ ก่อนหันหลังกลับไป ช่วงแวบหนึ่งที่อริสาเผลอรู้สึก ‘เป็นห่วง’ ผู้ชายคนนี้

     “หือ..เขาจะเป็นอะไรก็เรื่องของเขาสิ เราจะไปสนใจทำไม”  อริสาสบถกับตัวเองพร้อมส่ายหัวไล่ความคิดที่อยู่เหนือการควบคุมออกไป ก่อนจะกลับเข้ามาในบ้าน คุมิโกะกำลังล้างจานอยู่ในห้องครัว จิโร่ออกไปข้างนอกตามเคย ส่วนซาซาโกะยังคงบรรจงเย็บชุดกิโมโนอยู่ที่ห้องทานอาหาร

     “พี่ซาซาโกะค่ะ” อริสาเรียกหลังจากทรุดตัวนั่งลงข้างๆ พี่สาว

     “ฮึ” คนพี่ขานรับแต่ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง อริสาล้วงถุงเงินที่เหน็บไว้ในผ้าคาดเอว (โอบิ) ออกมาส่งให้ ทำให้ซาซาโกะละสายตาจากผ้าไหมขึ้นมามอง

     “นี่อะไร”

     “เงินค่าจ้างของฉันหน่ะคะ ฉันอยากหาเงินสมทบเข้าบ้านอีกแรง มันอาจไม่ได้มากมายอะไร แต่น่าจะพอซื้อผัก ซื้อเนื้อได้บ้าง” ประโยคนั้นทำเอาซาซาโกะรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกที่ต่อว่าน้องสาวไว้

     “ไม่ต้องหรอก...เงินที่มีก็พอเหลืออยู่ พี่จะรีบเย็บชุดกิโมโนชุดนี้ให้เสร็จ ได้เงินมาก็น่าจะทันใช้” คนพี่ปฏิเสธ

     “แต่...”

     “บอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องสิ เงินนี่ก็เก็บเอาไว้ ถ้าอยากได้อะไรจะได้มีเงินซื้อ ที่พี่พูดไปเมื่อตอนกลางวันหน่ะ....พี่ก็แค่เครียดๆ เลยใส่อารมณ์ไปหน่อย อย่าถือสาเลยนะ” ซาซาโกะพูดจบก็กลับไปสนใจกับงานตรงหน้าต่อ อริสาจึงต้องเก็บถุงเงินเข้าที่เดิม

     “ดึกแล้วไปนอนเถอะพรุ่งนี้ต้องออกไปทำงานไม่ใช่หรอ”

     “แล้วพี่ซาซาโกะยังไม่นอนหรอคะ”

     “ยังหรอก อีกสักพักแหละ เธอไปนอนก่อนเถอะ”

     “คะ” อริสาพูดก่อนลุกขึ้นแล้วเข้าห้องนอนไป แทนที่เธอจะเดินมายังที่นอนของตัวเอง เธอกลับเดินมานั่งลงข้างๆ ฮิคารุ มือเรียวเอื้อมไปเปิดผ้าที่คุมโปงออก เด็กชายหลับไปด้วยความเพลียจากการร้องไห้อย่างหนัก หลักฐานปรากฎอยู่บนใบหน้าและหมอนที่เปียกปอน อริสาปาดน้ำตาบนแก้มน้องชายเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาลูบหัว เธอรู้สึกสงสารเด็กชายและทุกๆคน ที่ต้องเจอเรื่องราวเลวร้ายอย่างนี้....สงครามไม่เคยสร้างสรร มีแต่ทำลาย....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา