ราชินีสี่ปฐพี

8.6

เขียนโดย Manny

วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.29 น.

  20 บท
  1 วิจารณ์
  22.84K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน พ.ศ. 2557 13.45 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ถึงเวลาของการผลัดแผ่นดิน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          หลายปีต่อมาพระราชวังที่พระราชาอเล็กซานเดอร์ ทรงโปรดให้สร้างนั้นได้สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว ในบริเวณพระราชวังแห่งนี้นั้นประกอบด้วย พระที่นั่งต่างๆ พระตำหนัก และตำหนักต่างๆ แล้วมีสวนน้ำและสวนหินที่สวยงามและอื่นอีกต่างๆนานา เมื่อพระราชวังแห่งนี้สร้างเสร็จ พระราชาจึงทรงพระราชทานนามพระราชวังแห่งนี้ว่า "พระราชวังแฮพพะลี" ซึ่งมีความหมายว่า พระราชวังที่อยู่อย่างมีความสุข แล้วพระราชา พระราชินี เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายจอห์น เจ้าหญิงเอ็ดน่า และมาเรีย ก็เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับเป็นการถาวร ณ ที่พระราวังแห่งนี้ โดยประทับที่พระที่นั่งที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ที่นำมาจากต่างประเทศ ซึ่งพระราชา ทรงพระราชทานนามพระที่นั่งองค์นี้ว่า "พระที่นั่งคิงพาราไดซ์" แล้วประทับ ณ ที่แห่งนี้ พร้อมกับครอบครัวของพระองค์ อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน อย่างสุขสันต์ เหมือนกับครอบครัวทั่วไป

          แล้วอีก 3 ปีต่อมา คือปีคริสต์ศักราข 1875 ซึ่งเป็นปีที่พระราชาอเล็กซานเดอร์ ทรงครองราชสมบัติเป็นเวลาถึง 40 ปี ซึ่งพระราชา ได้พระราชทานนามการครองราชสมบัติครั้งนี้ว่า "ลองเกอร์ จูบีลี้" ที่มีความหมายว่า ครองราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ในอดีตทุกพระองค์ ซึ่งมีการจัดงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ ตระการตา

          ซึ่งวันแรกของงานเฉลิมฉลอง พระราชา ทรงโปรดให้จัดการบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายแด่พระราชา 4 พระองค์ อดีตพระมหากษัตริย์แห่งกลอรี แลนด์ และพระราชินีในพระราชา 4 พระองค์ อดีตพระมหากษัตริย์แห่งกลอรี ที่วังหลวง

          วันที่สองของงานเฉลิมฉลองที่มีความยิ่งใหญ่มโหฬาร พระราชา ทรงโปรดให้จัดการพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า และเสด็จออกมหาสมาคม ในวันนั้นต่างมีประชาชน หลั่งไหลกันมาที่ท้องสนามรอยัล ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบการพระราชพิธี ทำให้ประชาชนทั่วไปที่มาดูงานนั้น ต่างรู้สึกดีใจและตื่นเต้นที่ได้เห็นพระราชพิธีหมดทุกอย่าง เพราะว่านานทีที่ประชาชน จะได้เห็นอะไรแบบนี้ แต่สำหรับมาเรียนั้นเป็นคนที่ดีใจและตื่นเต้นที่สุด เพราะงานประเภทแบบนี้นั้นเป็นสิ่งที่ต้องร่วมและประกอบให้ดีที่สุดในฐานะเจ้าหญิงของแผ่นดิน เมื่อเสร็จการบวงสรวงแล้ว พระราชาอเล็กซานเดอร์ เสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งลองเกอร์ จูบีลี้ ซึ่งเป็นพระที่นั่งที่สร้างเป็นองค์พิเศษ ประชาชนที่ยืนเรียงรายอยู่รอบนอกเขตราชวัติพระที่นั่งก็ได้เข้าเฝ้าพระราชาและพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งรวมถึงมาเรียด้วย อย่างพร้อมหน้ากันทำให้เกิดความปลื้มปิติ บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ แล้วพระราชา ประทับพระราชอาสน์ แล้วพระวิสูตรก็เปิดออก แล้วเสด็จออกรับประชาชนทุกคน ประชาชนทั่วไปที่อยู่รอบนอกท้องสนามรอยัล ต่างเปล่งเสียงถวายพระพรและโห่ร้องด้วยความดีใจ แล้วพระบรมวงศานุวงศ์ ประธานอาณาจักร ประธานรัฐธรรมนูญสภา และอธิบดีศาลฎีกา เปิดกรวยพานดอกไม้ธูปเทียนแพ แล้วกราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคลตามลำดับ เสร็จแล้วพระราชา มีพระราชดำรัสตอบ เมื่อจบพระราชดำรัสแล้ว ประชาชนต่างเปล่งเสียงถวายพระพรและโห่ร้องดีใจ แต่สำหรับมาเรียแล้วนั้นเป็นคนที่ดีใจมากที่สุด เพราะพระราชาอเล็กซานเดอร์ ผู้เป็นพ่อของสามีของตนที่รักนั้น ได้ดำรงระยะเวลาของการครองราชสมบัติและการปกครองอาณาจักรกลอรี แลนด์ มาครบ 40 ปีแล้ว แลดูเหมือนอาณาจักรจะมีความเจริญยั่งยืนมากๆ เพราะว่าในความคิดของแต่ละคนนั้นคิดว่าตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมานั้นยังไม่เคยมีพระมาหากษัตริย์พระองค์ใดเลยที่จะครองราชสมบัติยาวนานมาถึง 40 ปีได้ และพระมหากษัตริย์ ทุกพระองค์ ทรงมีพระคุณอันประเสริฐ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ เพื่อความเจริญและอยู่รอดของอาณาจักร ด้วยพระบารมีที่สั่งสมมาจากพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ เหมือนทำให้พระบารมีที่สั่งสมมานั้นไดัแผ่รัศมีคุ้มปกป้องอาณาจักร ให้มีความปลอดภัยและเจริญยั่งยืนได้ มาถึง 100 กว่าปี ของอาณาจักร และ40 ปีแห่งการครองราชสมบัติมาได้ แล้วประทับพระราชอาสน์ ปิดพระวิสูตร แล้วเสด็จกลับ ต่อมา

          วันที่สามของงานฉลองราชสมบัติที่ยิ่งใหญ่ พระราชา เสด็จยังวังหลวง ในการบวงสรวงเทพกลอรี แลนด์โพรเทคส์ เทพผู้ปกปักรักษาอาณาจักร และฉลองสมโภชเครื่องราชกุกธภัณฑ์และพระแสงสำคัญ

          วันที่สี่ของงานฉลองสมโภช พระราชา เสด็จยังศาลหลักเมืองของพระนคร ในการฉลองสมโภชเสาหลักเมือง และเทพารักษ์ประจำศาล และถวายราชสักการะพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรกลอรี แลนด์ ทั้ง 4 พระองค์

          และวันที่ห้าของงานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ พระราชา เสด็จไปยังเมืองแฮปปี้ ในการพระราชพิธีบวงสรวงปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรกลอรี แลนด์ ที่พระราชวังเดิม ซึ่งเป็นบ้านที่ทรงพระบรมราชสมภพ โดยมาเรียได้ตามเสด็จด้วยพร้อมกับพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์  งานฉลองอันยิ่งใหญ่ครั้งได้ประจักษ์แก่สายตาให้ทุกคนได้เห็นแล้ว นี่คือการฉลองเพื่อพระมหากษัตริย์ ที่ครองราชสมบัติยาวนานกว่าพระมหากษัตริย์ในอดีต ยิ่งใหญ่มากถึงเพียงนี้ ทำให้มาเรียรู้ว่างานฉลองครั้งนี้นั้น จัดขึ้นจากความจงรักภักดีที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจจากประชาชนทุกๆคน 

          เมื่องานฉลองลองเกอร์ จูบีลี้ ที่ยิ่งใหญ่ได้ผ่านไปประมาณ 2 ปีแล้วนั้น พระราชาอเล็กซานเดอร์ ก็เกิดพระประชวรถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ แล้วเมื่อเจ้าชายจอห์น ทราบเรื่องจึงไปบอกมาเรียว่า

          "แม่มาเรีย เสด็จพ่อท่านเกิดประชวร" แล้วมาเรีย ตอบด้วยความตกใจว่า

          "ตายจริง! แล้วประชวรโรคอะไรล่ะเพคะ" แล้วเจ้าชายจอห์น ตอบว่า

          "ประชวรด้วยโรคไตพิการ" แล้วมาเรีย ร้องไห้ออกมาแล้วคอยใจจดใจจ่อรอวันที่จะทรงหายพระประชวร แล้วประชาชนน้อยนักที่จะรู้หรือทราบเกี่ยวกับการพระประชวร เมื่อรู้เรื่องต่างก็คอยสวดมนต์อ้อนวอน เพื่อให้ทรงหายจากพระประชวร

          อาทิตย์หนึ่งผ่านไป ในวันหนึ่งหลังจากที่พระราชา ทรงเสวยพระโอสถที่พระราชินี ทรงชงมาให้ แล้วหลังจากที่พระราชินีออกจากห้องพระบรรทมไปแล้ว พระราชา ทรงพระอาเจียนออกทาเป็นน้ำพระโอสถหมด แล้วผอบใส่พระโอสถก็หล่นแตก แล้วพระราชา ทรงสลบไป เมื่อพระราชินี  ทรงได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรแตก จึงเดินกลับมาที่ห้องพระบรรทม เมื่อเข้ามาแล้วพระราชินี ทรงพบพระราชา ทรงนอนสลบอยู่จึงพูดด้วยเสียงหลงว่า

          "เสด็จพี่" แล้วทรงเขย่าตัวพระราชาแล้วพูดว่า           

          "เสด็จพี่ เพคะ นี่! ใครก็ได้ช่วยพระราชาด้วย" แล้วพระราชินี ทรงพระกันแสงออกมาแล้วพูดว่า

          "เสด็จพี่ เพคะ" แล้วเมื่อพยุงพระราชาขึ้นพระเเท่นบรรทม

          แล้วพูดกับพระราชินีด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบาว่า"อเล็กซานดาร์ ไปเรียกลูกๆของพวเรามาทีสิ" แล้วพระราชินีตอบว่า "เพคะ เสด็จพี่" เมื่อเหล่าพระราชโอรส และพระราชสุณิสาของพระองค์ มารวมตัวกันครบแล้ว จึงพูดกับลูกๆในเชิงสั่งเสีย เป็นครั้งสุดท้ายว่า

          "ลูกๆทั้งหลาย นี่คือการขอสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายนะลูก เอ็ดเวิร์ด ถ้าพ่อตาย พ่อขอให้ลูกเป็นกษัตริย์ต่อนะ จอห์น พ่อขอให้ลูกเชื่อฟังพี่เขานะลูก เวลาเขาเตือน เวลาเขาสอน ก็ขอให้ลูกฟังด้วยนะลูก เอ็ดน่า มาเรีย ขอให้ลูกทั้งสองจงเป็นภรรยาที่ดีต่อสวามีนะลูก อย่าเจ้าชู้ผัวมากนะลูก ส่วนอเล็กซานดาร์ ขอให้ดูแลลูกๆทุกคน ให้ดีที่สุดต่อจกฉันด้วย และสุดท้ายพ่อมีสิ่งที่ต้องการใหัเอ็ดเวิร์ดทำนะลูก คือ..... พ่อต้องการที่จะออกกฎหมายเลิกทาสนะลูก และอเล็กซานดาร์ ฉันอยากบอกเธอว่า ฉันรักเธอ"

          แล้วพระเนตรของพระราชาก็หลับไป พระวรกายทั้งหมดต่างก็คลายหมด ลมหายพระทัยก็หยุดลง พระชีพจรก็หยุดเต้น แล้วพระราชาสวรรคตลง ท่ามกลางลูกและมเหสี มาเรียเมื่อรู้ว่าพระราชาสวรรคต ก็ร้องไห้น้ำตาไห้พราก แล้วทุกคนที่อยู่รอบพระบรมศพ ต่างเคารพพระบรมศพทั้งน้ำตา หลังจากวันสวรรคตของเจ้าชีวิตของอาณาจักร ก็ได้มีข่าวทั้งข่าวดีและข่าวร้ายแก่ประชาชนให้รู้กัน ซึ่งข่าวดีนั้นมีผลกับประชาชนทุกคนโดยสิ้นเชิง คือ พระราชาอเล็กซานเดอร์ ทรงโปรดให้ออกกฎหมายพระราชบัญญัติเลิกทาส คริสต์ศักราช 1877 ซึ่งมีใจความว่า

          "ตั้งแต่นี้ต่อไปขอประกาศเลิกทาส เพื่อความเป็นอิสระเสรีแก่ประชาชนทุกคน และเพื่อความเสมอภาคและความเป็นเสรีภาพเท่าเทียมกันแก่ประชาชนทุกคน"

          และข่าวร้ายนั้นมีผลกระทบกับจิตใจของประชาชนทุกคน คือ พระราชา ได้ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต ด้วยพระโรคพระวักกะพิการ โดยพระอาการสงบ เมื่อเวลา 3 ยามที่ผ่านมา เมื่อประชาชนรู้ข่าวนี้ต่างก็ร้องไห้ร่ำอาดูล โศกสลดกันทั่วหน้า แล้วต่างก็กลับบ้านกลับช่องพร้อมกับน้ำตาด้วยความอาลัย และแล้วข่าวนี้ต่างกระจายไปทั่วอาณาจักร แล้วเสียงทุกๆอย่างก็มีแต่เสียงร้องไห้ ที่พระที่นั่งคิงพาราไดซ์ มหาดเล็กของพระที่นั่งจากวังหลวง ตามมาถวายรับใช้นั้นอัญเชิญพระบรมศพ ลงสู่หีบทองประดิษฐานพระบรมศพชั่วคราว ประดิษฐานบนรถม้า แล้วประดับดอกไม้ที่รถม้า แล้วรถม้าคันต่อมาจากรถม้าทรงพระบรมศพ คือรถม้าพระที่นั่งพระราชินี ในฉลองพระองค์ชุดดำประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แล้วต่อมาเป็นรถม้าพระที่นั่งเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าหญิงเอ็ดน่า เจ้าชายจอห์นและมาเรีย ในฉลองพระองค์ชุดดำ ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่สองฝั่งถนนนอกพระราชวังจรดวังหลวงมีประชาชนแต่งกายชุดขาวชุดดำ พร้อมกับในมือมีดอกไม้ ธูปเทียน เพื่อเคารพสักการะเป็นครั้งสุดท้าย วันนั้นอากาศมืดครึ้มไปหมด ไม่มีแสงแดดทำให้แลดูครึ้ม เยือกเย็นหยาดฝนที่โปรยปราย ตามฤดูกาลในสิ้นเดือนกรกฎาคมนั้นหยุดนิ่ง ในวันนั้นแม้แต่ใบไม้สักใบก็ไม่มีกระดิก เสียงนกเล็กๆที่ร้องอยู่ตามพุ่มไม้ก็เงียบหาย ธรรมชาติทั่งทั้งพระนครดูเหมือนจะแสดงความโศกสลด ความวิปโยคอันยิ่งใหญ่

          แล้วกระบวนอัญเชิญพระบรมศพ และกระบวนตามเสด็จก็เคลื่อนออกจากพระราชวังแฮพพะลี ประชาชนสองฝั่งถนนก็เริ่มจุดแสงประทีบไฟส่งต่อๆกันมาแล้วจุดที่ธูปเทียน แล้วเมื่อกระบวนผ่านต่างก็มีเสียงร้องไห้ร่ำอาดูลกำสลด ทำให้มาเรียเกิดอาการน้ำตาร่วงนิดๆเมื่อเห็นผู้คนมานั่งเฝ้าเคารพพระบรมศพแล้วต่างคนต่างก็ร้องไห้ แล้วเมื่อกระบวนถึงประตูวังหลวง พระบรมศพประดิษฐานอยู่บนรถม้าพระที่นั่ง แวดล้อมไปด้วยดอกไม้บุปผาชาติ แลดูสูงส่งและสวยงาม ผู้คนที่มานั่งส่งพระบรมศพต่างเคารพ แล้วเปล่งเสียงดังร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บหัวใจ ทหารที่อยู่ในเครื่องแบบยูนิฟรอมยืนก้มหน้าคว่ำปากกระบอกปืน แล้วนำมือทั้งสองประสานกันที่ก้นกระบอกปืนนั้น อยู่สองฝั่งถนนั้น ก็หลั่งน้ำตาออกมา ทำให้มาเรียเกิดอาการร้องไห้โฮออกมาอย่างหมดอับอาย แล้วเมื่อกระบวนอัญเชิญพระบรมศพ และกระบวนตามเสด็จ ลับหายเข้าประตูวังหลวงไปแล้ว ประชาชนต่างแยกย้ายกลับบ้านกลับช่อง แล้วสายฝนก็โปรยปรายลงมาอย่างแรงมาก ทำให้มาเรีย ที่ตามเสด็จอยู่นั้นคิดลึกเข้าไปถึงก้นเบื้องของหัวใจของเธอว่า สำหรับมาเรีย ชีวิตที่ได้ผ่านมาทั้งหมดดูนานนักหนา เเต่เหตุการณ์ในวันนี้ก็แลดูเหมือนเป็นหลักบอกระยะทางแห่งชีวิตว่าได้ผ่านพ้นไประยะหนึ่งแล้ว ระยะต่อไปจะเป็นอย่างไรนั้นดูมืดเหมือนกับความมืดที่กั้นกางอยู่ข้างหน้า

 

                            "จบแผ่นดินที่หนึ่ง"

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา