A DaY ....วันรักวุ่นลุ้นรัก

-

เขียนโดย fibo6040

วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 00.02 น.

  8 บท
  1 วิจารณ์
  11.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557 19.31 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) A Day we met.....ในวันที่เราได้พบกัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เว็บขีดเขียน

“นี่เดินช้าแบบนี้เมื่อไหร่จะถึงโรงเรียนกันล่ะ เดินเร็วๆหน่อยซี่” เสียงเร่งเร้าของเด็กสาวผมหยิกลอนยาวที่มัดไว้อย่างลวกๆเธอหยุดยืนรอเด็กชายร่างเล็ก ที่กำลังตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์ข้างทางไม่ว่าจะเป็นดอกไม้หลากสีสัน ลูกหมา ลูกแมว ผีเสื้อ นกร้องจิ๊บๆ ทั้งหลายเหล่านี้เรียกความสนใจของเด็กน้อยวัยกำลังเรียนรู้ได้ดีไม่น้อย

 

ถ้าเป็นในเวลาอื่นเธอเองก็คงอดที่จะชื่นชมทิวทัศน์ข้างทางไม่ได้ เมืองแห่งทะเลสาบที่ห่างไกลจากเมืองหลวง เมืองเล็กๆที่มีจำนวนประชากรไม่เยอะเมืองที่สงบเงียบและสวยงาม ถนนสายเล็กเลียบทะเลสาบสีเขียวระยิบระยับยามแสงแดดยามเช้าส่องกระทบ

 

ถนนเส้นนี้เชื่อมต่อไปที่สู่ถนนใหญ่เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองและเป็นเส้นที่ผ่านโรงเรียนของเธอด้วย จากที่พักของเธอนั้นเดินเท้าไปโรงเรียนได้อย่างสบายๆ ถนนสีเขียวร่มรื่นสายลมที่ปะทะใบหน้าของเธอ กลิ่นหอมสดชื่นยามเช้า เธอมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในที่ที่ดีแบบนี้มันช่างดีเหลือเกิน แต่ในตอนนี้เธอกำลังรีบนี่นา เด็กสาวถอนหายใจก่อนเดินกลับไปหาเด็กชายที่จ้องมองผีเสื้อเกาะดอกไม้

 

“ถ้าเป็นแบบนี้คงต้องวิ่งกันหน่อยแล้วนะ เอาล่ะ มาเล่นขี่ม้าส่งเมืองกันดีกว่า” เด็กสาวนั่งลงมือกระชับสายกระเป๋านักเรียนให้แน่นขึ้น เด็กชายตัวเล็กที่ได้ยินว่าจะเล่น เขายิ้มร่าพร้อมกับกระโดดขี่หลังเด็กสาวอย่างลิงโลด เธอยิ้มพร้อมๆกับออกวิ่งอย่างรวดเร็ว

 

ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งมองตามหลังทั้งสองอย่างแปลกใจเพราะเขาแน่ใจว่าทั้งสองคนไม่ใช่คนของเมืองนี้ แถมชุดนักเรียนก็ไม่ใช่ของโรงเรียนแถวนี้ซะด้วย เขายักไหล่ มือหยิบหูฟังขึ้นเสียบไว้ในหูแล้วเดินต่อไป

 

โรงเรียน Da Lago School (ดา ลาโก) *ในภาษาอิตาลี แปลว่า ณ ทะเลสาบ  ฝั่งมัธยมปลาย โรงเรียนมัธยมเอกชนชื่อดังและเก่าแก่กว่า100 ปีของเมืองทะเลสาบแห่งนี้ที่ประกอบไปด้วยเนื้อที่ขนาดใหญ่ติดทะเลสาบ ที่เปิดทำการสอนในระดับชั้นอนุบาล ประถม มัธยม และระดับปริญญาตรี เรียกได้ว่าครบครันทุกระดับชั้นเลยทีเดียวจึงไม่แปลกที่นักเรียนโรงเรียนนี้จะสนิทสนมและรู้จักกันเป็นอย่างดี

 

นิลกานต์ หรือ นิล มองดูอาคารเรียนสไตล์ยุโรปที่มีความจิตรนั้นอย่างตื่นตะลึง อาคารเรียนฝั่งมัธยมปลายรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเมื่อเธอเดินเข้าตัวอาคารเธอจะพบกับลานน้ำพุขนาดใหญ่บริเวณกลางอาคาร เสียงเพลงคลาสสิคคลอเบาๆเพื่อสร้างบรรยากาศรื่นรมย์ให้กับเหล่านักเรียน

 

เธอรู้สึกราวกับล่องลอยอยู่เทพนิยายก็ไม่ปาน นิลรีบเดินขึ้นตึกเรียนอย่างรวดเร็วเพราะเธอเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองมาสายเต็มทีแล้วและเธอจะต้องไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาก่อนซะด้วย ว่าแต่ห้องพักของอาจารย์อยู่ที่ไหนล่ะนี่ ขณะที่เธอหันรีหันขวางอย่างตัดสินใจไม่ถูก เธอเหลือบไปเห็นร่างสูงของใครคนหนึ่งกำลังเดินขึ้นบันไดมา เธอเดินไปดักหน้าเขา

 

“ขอโทษนะคะ เอ่อ excuse me I….” ตอนแรกเธอเห็นแค่ร่างสูงๆพอเดินเข้าไปใกล้เธอก็พบว่าเขาผมมีสีน้ำตาลและดวงตาสีเขียวอ่อน เธอจึงรู้ว่าเขาเป็นนักเรียนต่างชาติจึงเปลี่ยนภาษาพูดแต่ยังไม่ทันที่เธอจะต่อประโยคให้จบ เขาก็พูดแทรกขึ้นมา

 

“ฉันพูดภาษาไทยได้”

 

“ขอถามอะไรหน่อยนะคะ ห้องพักอาจารย์ไปทางไหนหรือคะ” เขาเลิกคิ้วมองคนตัวเล็กตรงหน้าจำได้ทันทีว่าคือผู้หญิงที่วิ่งผ่านหน้าเขาไปเมื่อเช้า ที่แท้เธอก็เป็นเด็กที่ย้ายมาเรียนที่นี่นี่เองแต่ย้ายมาซะกลางเทอมเลยเนี่ยนะ เขาชี้มือไปทางซ้าย นิลมองตามมือเรียวของเขา เธอหันมายิ้มขอบคุณและรีบวิ่งไปทันที

 

ห้องเรียนชั้นม.5/1 ห้องเรียนสายวิทยาศาสตร์ ในขณะที่รออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อเข้าสู่ชั่วโมงโฮมรูม เหล่าเด็กนักเรียนก็จับกลุ่มคุยกันด้วยเรื่องของนักเรียนที่ย้ายกำลังจะย้ายเข้ามาในเรียนในช่วงกลางเทอม1 โดยปกติแล้วถ้ามีเด็กใหม่เข้ามาเรียนก็จะมาตั้งแต่เปิดเทอม ดังนั้นการย้ายเข้ามากลางเทอมแบบนี้ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับพวกเขา

 

“นี่พวกเธอรู้หรือเปล่าว่าห้องเราจะมีเด็กย้ายเข้ามาใหม่วันนี้แหละ”

 

“ผู้หญิงหรือผู้ชาย”

 

“แต่นี่มันกลางเทอมแล้วนะ ย้ายมาตอนนี้ผิดปกติแน่ๆ”

 

“เด็กมีปัญหาหรือแย่จังนะ ไม่ชอบเลยอะ”

 

เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของเด็กนักเรียนใหม่นั้นดังออกจากในห้องทำให้คนอยู่ด้านนอกห้องเรียนยืนฟังอย่างสงบ ในความเป็นจริงแล้วเธอไม่ได้คิดจะแอบฟังแต่อย่างใด

 

อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอเดินเข้ามาใกล้ตบไหล่เธอเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจก่อนที่ตัวอาจารย์จะเปิดประตูเข้ามาในห้อง นิลสูดลมหายใจเข้าเพื่อลดอาการตื่นเต้น เธอเดินตามเขาเข้าไปและหยุดยืนที่หน้าห้องเรียน เสียงจ่อกแจ่กเมื่อครู่เงียบกริบ เมื่อเห็นนิลเดินเข้ามา สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เธอคนเดียว

 

“วันนี้เรามีสมาชิกใหม่ย้ายเข้ามาเรียนกับเรา ยังไงพวกเธอก็ดูแลกันด้วยนะ เดี๋ยวให้เพื่อนใหม่แนะนำตัวหน่อย” เขาหันมายิ้มให้นิล เด็กสาวสบตากับเขาก่อนจะหันไปมองเพื่อนร่วมชั้น

 

“สวัสดีค่ะ เราชื่อนิล ยินดีที่ได้รู้จัก”เธอเอ่ยสั้นๆพร้อมกับแจกรอยยิ้มให้อีกทีหนึ่ง เฮ้อ เธอไม่ค่อยสถานการณ์แบนี้เลยนะ มันชวนอึดอัดยังไงชอบกล ผลที่ตอบกลับมาคือความเงียบของห้องเรียนไม่มีใครตอบรับอะไร

 

“เอาล่ะ นั่งที่ดีกว่านะมีที่ว่างใกล้ๆจักรพรรดินี่นา งั้นนั่งตรงนั้นละกันนะนิลกานต์” อาจารย์หนุ่มบอกกับนิล เธอพยักหน้าแล้วเดินไปที่นั่งเกือบๆหลังห้องที่โต๊ะเรียนติดหน้าต่างมีที่ว่างเหลืออีกหนึ่งที่และคนที่นั่งข้างเธอก็คือหนุ่มร่างสูงตาสีเขียวคนเมื่อเช้า

 

“อ้าวคุณผู้มีพระคุณ สวัสดีค่ะเจอกันอีกแล้ว” นิลเอ่ยทักเมื่อเธอนั่งลงข้างเขา เขาเหลือบมองเธอแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา มือเล็กๆสะกิดไหล่นิลเบาๆเธอหันมอง ก็พบกับเด็กผู้หญิงหน้าตาพริ้มเพรา ผิวขาวละเอียดจนเห็นเส้นเลือดฝาดที่แก้มชมพู ดวงตาใสแจ๋วไร้เดียงสาผมที่ถักเปียยาวถึงกลางหลังอย่างสวยงาม แวบแรกที่นิลเห็นเธอก็รู้สึกราวกับว่าคนตรงหน้านี่ช่างน่ารัก สาวผมเปียยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร

 

“สวัสดีค่ะคุณนิล ดิฉันชื่อเพนนีค่ะ ส่วนคนที่นั่งข้างดิฉันคนนี้คือคุณไนท์ แล้วก็คุณคนตัวสูงนี่ชื่อ.....”

 

“เงียบนะเพนนีหันไปเรียนหนังสือเดี๋ยวนี้” คนร่างสูงขัดขึ้นเขาไม่ได้ต้องการรู้จักใครเพิ่มดังนั้นจึงไม่ต้องการให้คนที่นั่งข้างๆรู้จักชื่อเขาทั้งที่ความจริงอาจารย์ก็เอ่ยชื่อจริงของเขาไปแล้ว เพนนีมองหน้าไนท์ที่นั่งข้างๆอย่างไม่เข้าใจ

 

“การพูดแทรกคนอื่นเนี่ย เป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาซะเลยนะคะคุณคิง แลดูไร้มารยาทชอบกล ถ้าคุณคิงไม่อยากให้ดิฉันบอกคุณเพื่อนใหม่ว่าคุณคิง ชื่อคิง ดิฉันก็จะไม่พูดหรอกค่ะต่อให้เอาอะไรมาง้างปากดิฉันก็จะไม่บอกว่าคุณคิง ชื่อคิง จริงๆนะคะ” เพนนีพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยเพราะเธอจงใจยั่วคนตัวสูงอย่างเห็นได้ชัด ไนท์กลั้นหัวเราะเมื่อเห็นคิงถลึงตามองเพนนี

 

นิลมองเพนนีและคิงสลับกันไปมาเธอหัวเราะออกมาเบาๆ คิงมองหน้านิลอย่างหัวเสีย เขาไม่ชอบหน้าเธอเลย ผู้หญิงอะไรยิ้มอยู่ได้น่ารำคาญ มีความสุขอะไรนักหนา

 

ในช่วงพักกลางวัน นิลเดินถือกล่องข้าวออกไปข้างนอกห้องเรียน ซึ่งในปกติแล้วโรงเรียนจะมีโรงอาหารขนาดใหญ่เพื่อรองรับนักเรียนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครนำข้าวกล่องมากินที่โรงเรียน การกระทำของนิลจึงดูแปลกในสายตาคนทั่วไป แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ใส่ใจ

 

นิลเดินลงบันไดจากอาคาร เมื่อเช้าตอนที่เธอไปส่งเด็กชายตัวเล็กที่ฝั่งอนุบาลเธอเจอสวนหย่อมของโรงเรียน สวนเล็กๆมีโต๊ะม้าหินอ่อนตั้งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ อาจจะเป็นต้นหูกวางหรือเปล่านะ เธอไม่ค่อยมีความรู้เรื่องต้นใหม่ซะด้วย แต่ที่น่าตื่นตาตื่นใจก็คือเธอเห็นทะเลสาบสีเขียว

 

ช่วงเดือนกรกฏาคมในตอนนี้ เป็นช่วงที่ฝนยังตกอยู่บ้างประปรายแต่วันนี้อากาศดีมีแดดอ่อนๆ แต่ไม่ร้อนนักเพราะมีลมช่วยการอยู่ใกล้ทะสาบก็ดีแบบนี้แหละคือมีสายลมพัดผ่าน เธอเลือกนั่งที่โต๊ะมุมหนึ่งที่จะมองเห็นทะเลสาบอย่างชัดเจน นั่งกินข้าวไปมองทิวทัศน์ข้างหน้าไปด้วย

 

“อ้าวคุณนิลนี่เอง มาทานข้าวกลางวันที่นี่เหรอคะ” เสียงหวานเอ่ยทั้งนิลขึ้นเบาๆ เธอหันมองก็เห็นเพนนีที่ถือถึงแครอทลูกเล็กๆไว้ในมือ

 

“ตรงนี้บรรยากาศดีนะ มานั่งด้วยกันไหม แต่ว่าเธอกินแครอทเหรอ ฉันว่ามันไม่น่าจะอิ่มนะ กินข้าวของฉันไหมเดี๋ยวจะแบ่งให้” นิลเชิญชวนเพนนีอย่างมีน้ำใจ เพนนียกมือปิดปากหัวเราะ

 

“อันนี้ไม่ใช่ของดิฉันนะคะ ของคุณกระต่ายค่ะ วันนี้ดิฉันเป็นเวรเอาอาหารไปให้มันน่ะค่ะ”เธอชูถุงแครอทเพื่อบอกนี่ไม่ใช่ของนิล นิลหัวเราะแก้เขิน

 

“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอตัวนะคะ ไว้วันพรุ่งนี้ทำข้าวกล่องมาอีกนะคะดิฉันจะมานั่งกินด้วย อุ๊ย! แบบนี้คงต้องบอกคุณคิงกับคุณไนท์ด้วยซะแล้ว เจอกันตอนบ่ายนะคะ” นิลมองตามเพนนีที่เดินออกไป ความจริงแล้วเธอค่อนข้างทึ่งกับเพนนีอยู่ไม่น้อย เธอดูสุภาพเรียบร้อยและไร้เดียงสาจริงๆหรือพูดง่ายๆ เธอไม่เคยเจอใครที่เหมือนเพนนีเลยซักนิด แต่เธอก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะโรงเรียนนี้มันโรงเรียนเอกชนก็ต้องมีลูกผู้ดีมีเงินมาเรียนมากมายอยู่แล้ว ฉะนั้นเพนนีก็คงเป็นลูกคุณหนูจากบ้านไหนซักที่ไม่ผิดแน่นอน

 

เธอกินข้าวต่ออีกนิดก่อนจะเก็บของแล้วเดินไปทางฝั่งอนุบาล เธอลอบมองเด็กชายตัวเล็กที่นั่งเล่นของเล่นโดยที่เพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆวิ่งวุ่นรอบตัวเขา นิลจ้องมองเด็กน้อยที่ไม่ยอมพูดจากับใครเงียบ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเพราะมีสายเรียกเข้า แต่เมื่อเห็นชื่อขึ้นที่หน้าจอเธอกดตัดสายทิ้งทันที

 

“คุณไนท์คะ พรุ่งนี้เราทำข้าวกล่องมาทานกันดีกว่านะคะ” เพนนีบอกกับคนร่างสูงที่กำลังอ่านหนังสือใกล้เธอ เขาเงยหน้ามองเพนนี

 

“ทำไมล่ะ อาหารที่โรงอาหารไม่ถูกปากเหรอ”

 

“ไม่ใช่ค่ะ เมื่อสักครู่ตอนที่ดิฉันเอาอาหารไปให้คุณกระต่าย แล้วพบคุณนิลเธอทานข้าวอยู่คนเดียว ดิฉันเลยบอกว่าพรุ่งนี้จะไปทานด้วยน่ะค่ะ แล้วก็บอกว่าคุณไนท์กับคุณคิงก็จะไป”

 

“อะไรของเธอนะเพนนี ถามความสมัครใจของฉันหรือยัง” คิงเอ่ยขึ้นมาเมื่อได้ยินว่าเพนนีเอ่ยชื่อของเขา

 

“ตามปกติต้องถามหรือคะ ถ้าอย่างนั้นสมมติว่าถามก็ได้ค่ะ คุณคิงไปไหมคะ” เพนนีถามคิงซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องปฏิเสธอยู่แล้ว

 

“เพราะแบบนี้เพนนีเลยไม่ถามไงคะ ดังนั้นเมื่อครู่ถือว่าเพนนีไม่ได้ถามนะคะ สรุปแล้วคุณคิงกับคุณไนท์อย่าลืมเอาข้าวกล่องมานะคะ”

 

“เพนนีนี่เธอจะกวนประสาทฉันก็ให้มันน้อยๆหน่อย” คิงเริ่มอยากจะฆ่าเพนนีขึ้นมาตงิดๆ ไนท์เลยต้องรีบห้ามทั้งสอง

 

“เอาน่าๆ ไม่เป็นไรหรอก นานๆทีเปลี่ยนบรรยากาศบ้างไงล่ะ”

 

คิง ไนท์ และเพนนี เพื่อนรักสามคนสามสไตล์ อุปนิสัยใจคอหรือรสนิยมแทบเข้าอะไรกันไม่ได้เลยโดยเฉพาะเพนนีและคิงที่มักจะถกเถียงและแกล้งกันเสมอโดยมีไนท์ที่เป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ตลอดเวลา แต่ทั้งสามก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนประถมมาด้วยกัน คอยห่วงใยและช่วยเหลือกันมาโดยตลอด

 

ที่ห้องเรียนในตอนบ่าย นิลเดินเข้ามาในห้องเรียนหลังจากเริ่มเรียนมาได้สามสิบนาที แน่นอนว่าเธอต้องถูกจับตามมองว่าเป็นเด็กมีปัญหามาเข้ากลางเทอม แถมเข้าเรียนช้าเหมือนไม่ใส่ใจในการเรียน

 

ในตอนบ่ายเธอจึงถูกอาจารย์ตำหนิต่อหน้าเพื่อนในห้องเรียน เธอขอโทษอาจารย์อย่างสำนึกผิด แต่ก็ไม่ยอมบอกเหตุผลที่เธอเข้าสาย เพื่อนในห้องต่างซุบซิบเรื่องของเธอ และเรียกเธอว่า ‘ยัยเด็กมีปัญหา’ เพนนีลอบมองอย่างเป็นห่วง

 

ไม่นานก็มีข่าวลือแปลกๆเกี่ยวกับตัวนิลก็แพร่สะพัดไปทั่วฝั่งมัธยมปลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เธอเคยเป็นเด็กเกเร หัวหน้าแก็งค์อันธพาล เรื่องชู้สาว สารพัดที่จะสรรหามาลือเกี่ยวกับเธอได้ นิลนั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอยคงเป็นเพราะนอกจากเธอจะเป็นเด็กใหม่ของที่โรงเรียนนี้ เธอยังเป็นคนแปลกหน้าของเมืองนี้อีกด้วย

 

เธอเลยกลายเป็นประเด็นเรื่องลึกลับประจำเมืองจะว่ามันตลกก็ตลกดีอยู่หรอกนะ เรื่องแบบนี้นึกว่าเจอแต่ในนิยาย ในการ์ตูน นี่ชีวิตของฉันนะยะ เธอได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ นิลล้วงกระเป๋ากระโปรงเพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะเรียน ไม่มีสายเข้านับจากวันที่เธอตัดสายทิ้ง เธอได้แต่หมุนโทรศัพท์เล่นไปมา ภาวนาให้มีสายเรียกเข้า เธอสัญญาคราวนี้เธอจะยอมรับสายดีๆโดยไม่มีเงื่อนไข การกระทำของเธอไม่รอดพ้นสายตาของคนข้างๆไปได้

 

“นี่คิงเธอเป็นลูกครึ่งอะไรหรอ” นิลตัดใจจากโทรศัพท์หันมาชวนคนที่นั่งฟังเพลงอยู่ข้างๆคุยแต่เขาไม่ตอบ

 

“ไทย-อิตาลี ค่ะ” เพนนีชิงตอบให้ คิงหันมาจ้องหน้าเพนนี สาวผมเปียแลบลิ้นล้อเลียน เขาเอื้อมือไปจะไปเขกหัวเธอ แต่เพนนีลุกไปหลบหลังไนท์

 

“นี่เธอ ทำไม่ค่อยคุยกับเราเลยล่ะ ไม่พอใจอะไรหรือเปล่า” นิลถามคิงตรงๆเธอเบื่อแล้วล่ะกับการที่ต้องผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ที่ไม่ยอมพูดกับเธอ เธอไปทำอะไรให้นะ คิงยกมือเท้าคางมองอีกฝ่ายก่อนจะพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน

 

“นั่นสินะฉันไม่พอใจอะไรกัน ก็ไม่มีน่ะสิ แค่ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกันเธอฉันเกลียดรอยยิ้มเสแสร้งที่เธอแสดงออกให้คนอื่นเห็นน่ะแหละ เธอไม่เมื่อยหน้าเลยรึไง” นิลชะงักไปเมื่อได้ยินคิงพูด ดวงตากลมโตดำขลับสบตากับดวงตาสีเขียวอ่อนนั้นอย่างตกใจ นี่เขารู้เหรอ เขาดูเธอออกเหรอ นิลลุกพรวดจากที่นั่ง

 

“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะเพนนี” เธอรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นทันที นิลสูดลมหายใจเข้ายาวๆสามครั้งเพื่อหยุดคิดเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอเสแสร้ง ใช่เธอยอมรับว่าเธอฝืนยิ้ม ถ้าเธอไม่ทำแบบนี้เธอจะไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไปเธอยอมให้ตัวเองเป็นแบบนั้นไม่ได้

 

“โอ๊ย” เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดของใครคนหนึ่ง ปลุกให้นิลหยุดคิดเรื่องของตัวเอง เธอชะโงกหน้าไปมองที่หน้าต่างบานใหญ่ แล้วพบว่าด้านล่างสุดมีกลุ่มเด็กผู้หญิงสามคนกำลังยืนล้อมเด็กผู้หญิงอีกคนที่มีผมยุ่งเหยิงใบหน้านองน้ำตา การกลั่นแกล้งในโรงเรียนเนี่ยนะ นิลได้แต่พึมพำแล้วเดินลงบันไดเพื่อไปที่เกิดเหตุ

 

 

“ทำไมต้องร้องเสียงดังด้วยล่ะ เธอผิดเองนะที่ไม่เคารพรุ่นพี่ เมื่อวานเธอโดดชมรมเพื่อไปเที่ยวเล่นกับผู้ชายใช่ไหมล่ะ”

 

“เปล่านะฉันไปหาหมอฟัน พวกพี่ใส่ร้ายฉัน”

 

เสียงตอบโต้ของเธอยิ่งยั่วยุให้อีกฝ่ายลงไม้ลงมือกับเธอมากขึ้น นิลที่เพิ่งมาถึงเธอวิ่งเข้าไปผลักทั้งสามคนออก แล้วยืนบังคนที่ล้มลงเอาไว้

 

“พวกเธอน่ะโรคจิตจริงๆ มันน่าสมเพชไม่ใช่หรอที่มีกันตั้งสามคน แต่มายืนรุมคนคนเดียว” ทั้งสามคนชะงักมองนิลตั้งแต่หัวรดเท้าว่าหล่อนเป็นใคร นิลมองทั้งสามคนอย่างไม่พอใจ

 

“นึกออกแล้ว เธอนี่เองที่เป็นเด็กใหม่เพิ่งย้ายเข้ามา อย่ามายุ่งเรื่องของพวกเรานะไม่อย่างนั้นเจ็บตัวแน่” หนึ่งในสามนั่นร้องขมขู่

 

ตามปกตินิสัยของนิลก็ไม่ใช่พวกรักความยุติธรรมอะไรอยู่แล้ว หรือเรียกง่ายๆว่าเธอเป็นพวกรักสงบ รักสันติภาพและก็รักชีวิตตัวเอง แต่เธอก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แล้วอีกไม่กี่นาทีก็จะเข้าเรียนอีกแล้วด้วย

 

“เธอปล่อยเขาไปสิ แล้วฉันจะไม่บอกอาจารย์” นิลต่อรอง ทั้งสามหัวเราะ

 

“นี่คิดว่าเอาอาจารย์มาขู่พวกเราจะกลัวเหรอ โรงเรียนนี้อยู่ได้ด้วยเงินของพวกนักเรียนนะยะ ไม่มีใครเขากลัวอาจารย์กันหรอกยัยโง่”

 

“แต่ถ้าเธออยากให้เราปล่อยยัยนี่ก็ได้นะ เอ้าไปสิ” นิลถอนหายใจที่สามคนนี้ยอมปล่อยรุ่นน้องคนนั้นไป แต่เธอก็เข้าใจในนาทีต่อมาเมื่อเธอโดนผลักไปกระแทกกำแพงอย่างแรก

 

“ทีนี้ก็มีตัวตายตัวแทนแล้วสินะ” มือเรียวยาวฟาดฝ่ามือลงที่แก้มของนิลอย่างแรง ใบหน้าเธอมีรอยแดงปื้นใหญ่ เลือดสีแดงซึมออกจากริมฝีปาก นิลกัดฟันไม่ยอมร้องออกมา เธอตวัดสายตามองคนตบเธอ ก่อนที่จะโดนอีกรอบมือของใครคนหนึ่งมาจับเอาไว้ นิลเงยหน้ามอง คิงเนี่ยนะมาช่วย

 

“ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว อาจารย์ให้มาตาม” คิงบอกเรียบๆ เขาปล่อยมืออีกฝ่าย แล้วเดินไปคว้าแขนนิลพยุงให้เธอลุกขึ้นแล้วลากเธอออกจากที่นั่น

 

“เดี๋ยวสิ” สามสาวนั่นเรียกคิงและนิลให้หยุด คิงตวัดสายตาเย็นชาน่ากลัวใส่สามสาว แน่นอนคนร่างสูงใหญ่ทำหน้าตาน่ากลัวแบบนี้เป็นใครก็ขวัญหนีดีฝ่อทั้งนั้น คิงถอนหายใจเมื่อสามสาววิ่งหนีไปเขาหันกลับมามองคนตัวเล็กที่ยืนมองเขาอย่างตกตะลึงไม่หาย

 

 

“อะไร”

 

“เธอมาช่วยเราเหรอ”

 

“เธอมันแส่หาเรื่องไม่เข้าท่า” เขาต่อว่าเธอ นิลยืนก้มหน้านิ่ง คิงรู้ตัวว่าอาจจะพูดจาไม่ดีกับเธอ

 

“เฮ้ย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะว่าเธอนะ เป็นอะไร เจ็บไหม”

 

“อืม เจ็บมากเลย เกิดมาเราไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบเมื่อกี้ด้วย กลัวมากเลย แต่ว่าเราขอบคุณเธอมากนะคิงที่มาช่วยน่ะ” นิลยิ้มให้คิง คราวนี้คิงสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มนี่แหละที่เป็นของนิลไม่ได้เกิดจากการเสแสร้งแต่อย่างใด เขาพยักหน้ารับรู้

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา