[The Doppelganger] เงาลวงร่าง

4.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 09.42 น.

  4 ตอน
  23 วิจารณ์
  7,686 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 10.24 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ ๒: แววตาที่โหยหา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ ๒
             
                มันคงจะดีมากเลยนะถ้าหมอนี่มันช่วย
                เจ้าดอปเปลแกงเกอร์! เมื่อไหร่แกจะตื่นสักที!
                ผมคิดพลางจ้องเขม็งเจ้าดอปเปลแกงเกอร์ พร้อมกับดึงไม้ถูกพื้นจุ่มน้ำแล้วบิดๆ ก่อนจะถูอีกครั้ง ผมรอให้เขาตื่นนานแล้วแต่ก็ไม่ยักจะมีทีท่าตื่นเสียที
                แต่พอนึกดู มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากเลยนะ อยู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้าเข้ามาและพูดว่าตนเองเป็นภูตเงาที่ชื่อว่าดอปเปลแกงเกอร์ ผมต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำความเข้าใจ ตอนแรกผมก็จ้องมันเพื่อให้เขาพูดว่าล้อเล่นแต่แววตาเรียบเฉย ใบหน้าไร้ความรู้สึกเป็นสิ่งยืนยันว่าเขาพูดจริง
                แต่ไม่แน่ หมอนี่อาจจะเป็นพวกตีสีหน้าได้เก่ง ---ช่างเถอะ จะเป็นอย่างไรผมก็ไล่มันออกจากบ้านไม่ได้แล้วล่ะ
                ก่อนหน้านี้ที่ผมก็เป็นคนลากเจ้าดอปเปลแกงเกอร์มานอนบนเตียง หลังจากนั้นไม่มีอะไรทำก็ทำประโยชน์ให้ห้องอย่างการถูพื้น
                ตอนแรกก็กะจะลงไปทำอาหารสำเร็จรูปทานอยู่หรอก เพิ่งกลับมาจากโรงเรียนหิวจะแย่ แต่พอคิดว่าทานคนเดียวมันแปลกๆ เลยกะว่าจะทานพร้อมหมอนี่
                “นี่ เจ้า ‘แกงเกอร์ เมื่อไหร่นายจะตื่นน่ะ” ผมถามเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มพลิกตัวและลืมตาปรือ เจ้า ‘แกงเกอร์ (ชื่อย่อชั่วคราว) จึงเอ่ยงัวเงีย
                ท่าทางไม่เหมือนคนบาดเจ็บเลยแฮะ
                “เขาเรียกว่าดอปเปลแกงเกอร์”
                “จะเรียกอะไรก็ช่าง แต่นายน่ะตื่นได้แล้ว อาศัยบ้านคนอื่นอยู่ก็ไม่รู้จักเจ้าของบ้านช่วยยังมีหน้ามาพูดอีก!” ปมเริ่มเดือดกับเจ้านี่แล้ว
                “อืม…”
                แน่ะ ยังไม่ตื่น
                ผมค่อยๆ เดินไปหาก่อนจะยกมือไหว้ให้กับร่างที่กำลังจะเป็นศพ อโหสิกรรมให้ฉันด้วยนะ…
                พลั่ก!
                        เจ้าภูตขี้เซา!
                ผมยันร่างมันด้วยเท้าส่งผลให้มันกระแทกเข้ากับกำแพง ผมจ้องร่างที่นิ่งแทบไม่ขยับ สักพักร่างนั้นก็หายไป
                “!”
                ผัวะ!
                ผมถูกชกเข้าที่ศีรษะด้านข้างจนล้มลงไปนอนกับพื้น ตามด้วยร่างหนึ่งคร่อมตัวผมและกดคอด้วมมือข้างซ้าย
                ---ชิ้ง---
                ตามด้วยปืนขนาดปรกติที่จ่อหน้าผากผม ผมลอบกลืนน้ำลายและมองหน้าผู้ร้าย (?) อย่างกล้าๆ กลัวๆ ---เร็วมาก มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
                        “คนจะหลับจะนอนอย่ามายุ่ง” ผมสีเทาของเขาลู่ลงมาปรกใบหน้าทำให้ดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม แสงสลัวยามเย็นทำให้บรรยากาศห้องดูวังเวงชอบกล ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่าปากกระบอกปืนแนบหน้าผากผมเมื่อเขาพูดขึ้นอีก
                “แล้วนี่เมื่อกี้นายทำอะไร?” พร้อมกับพูดดวงตาสีเทาของเขาก็มองที่ไม้ถูพื้น ผมยิ้มแห้งๆ และตอบ
                “ทำความสะอาดพื้นน่ะ ฆ่าเวลาไปก่อนกะจะชวนนายไปกินข้าวด้วยกัน”
                “งั้นเรอะ”
                เจ้า ‘แกงเกอร์เก็บปืนที่ไม่รู้ว่าซุกอยู่ส่วนไหนของเสื้อผ้าก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเปิดประตูห้องผมทำท่าจะออกไป
                “เอ่อ…”
                “มัวแต่อ่ำๆ อึ้งๆ อยู่ได้ รีบไปทำอาหารสิ” สายตาเย็นชาของเขาทำให้ผมต้องยอม เป็นผู้ชายที่เย็นชาจริงๆ
                เราสองคนเดินลงไปข้างล่าง เมื่อมาถึงโต๊ะทานอาหารที่อยู่ในห้องครัวหมอนั่นก็นั่งลง ไม่มีท่าทีว่าจะช่วยผมทำแม้แต่น้อย ---ช่างเถอะ เผอลๆ หมอนี่ทำไม่เป็นแล้วมาช่วยมันจะวุ่นวายอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
                “นายอย่าคิดว่าฉันทำอาหารไม่เป็นนะ ที่ไม่ช่วยก็เพราะขี้เกียจ”
                เออ ไอ้คนขี้เกียจ!                    
                ผมบ่นในใจอย่างนึกเคืองอีกฝ่าย ทำอาหารเป็นแต่ไม่ช่วยนี่มันใจร้ายจริงๆ แต่จะว่าไปผมเองก็ใช่ว่าจะทำอาหารเป็นหรอกเพียงแค่ทำจากอาหารสำเร็จรูปอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป โจ๊กที่เป็นผง ต้มน้ำแล้วก็ใส่มันลงไปก็เป็นอันว่าทานได้ ไม่ก็ทอดไข่ดาว ---น่าคิดเหมือนกันนะว่าเจ้า ‘แกงเกอร์ มันทำอาหารอะไรได้บ้าง หวังว่าจะไม่เหมือนผมหรอกนะ
                เมื่อผมทำเสร็จแล้วก็ยกจานใส่ไข่ดาวไปวางบนโต๊ะทานอาหาร กลิ่นหอมของมันยั่วน้ำกระเพราะได้ดีจริงๆ เจ้า ‘แกงเกอร์มองไข่ดาวนิ่งๆ แล้วถามผม
                “ไม่มีข้าวเหรอ?”
                “ยังไม่ถึงกลางคืนบ้านฉันก็ยังไม่กินข้าวหรอก อันนี้แค่ทำแก้หิวไปก่อน” ผมตอบพร้อมกับหยิบซอสรสพริกมาราดไข่ดาวแล้วหั่นมันด้วยซ่อม เขามองผมทานสักพักก็หยิบซ่อมมาจิ้มส่วนที่ผมหั่นไว้
                ระหว่างทานไปผมก็ลอบมองเจ้าผมสีเทาไปด้วย ผิวซีดเซียวเหมือนศพดูสว่างนักท่ามกลางแสงสลัวยามเย็น ผมสีเทาดูหม่นหมอง ดวงตาสีเทาไร้ความรู้สึก… ไม่สิ ดวงตานั้นฉายแววโหยหาอย่างน่าประหลาด
                แต่รู้สึกว่าหมอนี่มันหล่อกว่าเราแฮะ
                ดูเหมือนเขาจะรู้สึกตัวเลยมองหน้าผม
                “มีอะไร?”
                “ก็ แค่คิดว่านายดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา …แบบศพน่ะ” ผมตอบอย่างหวาดระแวงว่าอีกฝ่ายอาจจะใช้ซ่อมเฉาะศีรษะผมเพราะพูดว่าแบบศพ แต่ไม่เป็นดังคาดเพราะเจ้าตัวเพียงแค่พยักหน้าแล้วทานต่อไปเงียบๆ
                เอ่อ… ไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ
                “ก็นะ” เขาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้ผมคลายกังวลได้ไปหน่อย จะว่าไปหมอนี่มันก็เป็นภูต จะไม่เหมือนคนก็ไม่แปลก
                แต่ที่แปลกคือ… ทั้งๆ ที่มันเป็นเงาก็ควรจะเหมือนผม จริงๆ ก็เหมือนแหละแต่มันหล่อกว่าอะ!
                กระนั้น… บางสิ่งบางอย่างถึงเหมือนมันก็ไม่เหมือนสินะ
                “นี่… นายน่ะ มีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า?” ผมถามพร้อมกับเอื้อมมือไปจับหน้าอีกฝ่าย ทำให้เจ้า ‘แกงเกอร์แข็งกายไปชั่วขณะก่อนจะกลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง …ผิวกายเย็นเชียบทำให้อยู่ด้วยแล้วไม่รู้สึกอบอุ่น
                 เหมือนกำลังสัมผัสศพ
                “ทำไมถึงคิดอย่างนั้น?” เจ้า ‘แกงเกอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนไม่เข้าใจคำถาม ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แววตาที่โหยหาบางอย่างนั้นทำให้ผมอดถามไม่ได้จริงๆ
                “นายดูเศร้าๆ นะ ก่อนหน้านี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นเงาส่วนผมเป็นร่างจึงมีความรู้สึกผูกพันธ์
                “…” เจ้าตัวเงียบไป เห็นดังนั้นผมจึงไม่เซ้าซี้ เรื่องที่อีกฝ่ายไม่อยากบอกเดี๋ยวถึงเวลาทำใจได้ก็คงจะบอกเอง
                คิดว่างั้นนะ…
                “เอาไว้เมื่อไหร่นายพร้อมก็เล่าให้ฉันฟังนะ”
                หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก
 
                ก็รู้สึกดีเหมือนกันนะที่มีเพื่อนเล่นด้วยแล้ว แต่ดันได้เพื่อนที่จมปรักแต่ความทุกข์มาอยู่ด้วยนี่สิผมถึงได้แอบเหงาอยู่เป็นระยะๆ ทำไมผมถึงขี้เหงาได้ขนาดนี้นะ
                ในขณะนี้ผมกำลังนั่งทำการบ้านตรงโต๊ะญี่ปุ่น ส่วนเจ้า ‘แกงเกอร์นั่งอ่านหนังสือของผม เขาเปิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งน่าจะสะดุดกับหน้าหนึ่ง
                “นี่ไง ดอปเปลแกงเกอร์” เขาพลิกหน้ากระดาษให้ผมดู ด้านขวาบรรยายเนื้อหามีภาพบางสิ่งบางอย่างเป็นสีดำกำลังโอบอุ้มร่างคนๆ หนึ่ง
                ---ดอปเปลแกงเกอร์สินะ
                “ไหน …ดอปเปลแกงเกอร์เป็นภูตเงา ชอบอยู่ข้างหลังเจ้าของ เลียนเสียงและแสดงท่าทางเหมือนเจ้าของเงา สามารถหลบผู้ที่ตั้งใจจะพบเห็นมีเพียงเจ้าของเงาเท่านั้นที่มองเห็นมันได้” เนื้อหายังมีต่อผมจึงอ่านในใจเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องฟังก็ในเมื่อเขาเป็นตัวในเนื้อหานี่ อย่างไรเสียก็ย่อมรู้ดีกว่าอยู่แล้ว
                “นายคิดว่าไง?” เจ้า ‘แกงเกอร์ถาม
                “ก็… นายไม่เหมือนในเนื้อหาเลยนะ”
                “มันก็บางตน ไม่เคยได้ยินรึไงที่เงาจะเล่นเป็นเพื่อนเจ้าของ” อีกฝ่ายพูดเรียบๆ
                “แต่คงจะยกเว้นนาย นอกจากจะไม่ได้เล่นกับเจ้าของแล้วยังทำท่าจะฆ่าเจ้าของทุกเมื่ออีก ---เจ้าภูตเงาเนรคุณ” ผมไม่วายว่ามันด้วย พอนึกถึงเรื่องที่ทันจะฆ่าผมอารมณ์ก็เดือดทุกที
                “ฮึ” เจ้าเงาแค่นเสียงก่อนจะเขยิบมาใกล้ๆ ตัวผมแล้วยื่นหน้ามากระซิบ
                “ใช่… เพราะงั้นก็ระวังตัวให้ดีเถอะ” ผมขนลุกซู่เพราะน้ำเสียงเย็นเยียบและแหบพร่ามันน่ากลัว เจ้าเงายิ้มมุมปากก่อนจะเขยิบกลับไปอ่านหนังสือดังเดิมอีกครั้ง
                …หวังว่ามันคงจะไม่ฆ่าผมจริงๆ หรอกนะ
                ผมภาวนาไม่ให้มันทำอย่างที่ผมคิดอย่างหวาดๆ พลางหันไปมองท้องฟ้าสีหม่นทางหน้าต่างที่มีสายฝนโปรยปราย  …เริ่มหายตกแล้วสินะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา