ร้ายเพ(ร)าะรัก

10.0

เขียนโดย giffgiw

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 15.42 น.

  5
  1 วิจารณ์
  8,066 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 16.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตอนที่ 1 ความบังเอิญที่ฟ้าลิขิต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เว็บขีดเขียน

ตอนที่ 1 ความบังเอิญที่ฟ้าลิขิต

 

ฉันเป็นนักศึกษาปี 4 ของมหาวิทยาลัยในเครือเอกชน ค่าเทอมโหดระดับพระกาฬ แน่นอนว่า 99.99 % ของนักศึกษาทุกคนที่นี่รวยขั้นเทพ ส่วน0.01 % ที่เหลือจนกรอบเป็นมันฝรั่งทอดคือฉันนักเรียนทุนที่ไม่ได้เรียนดีอะไรเลย ไม่ได้ถ่อมตัวนะ มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริง ฉันได้ทุนเรียนฟรีตั้งแต่มัธยมปลายถึงมหาวิทยาลัยชื่อดังล้วนอยู่ในเครือเอกชน ไม่มีใครให้คำตอบเรื่องนี้ได้จนกระทั่งฉันเองก็เบื่อที่จะตามหาความจริงไปแล้ว แต่ก็ช่างเถอะยังไงมันก็เป็นเรื่องดีที่ฉันไม่ต้องเป็นภาระให้ใคร ฉันไม่มีพ่อไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน อายุได้ 15 ปี ฉันก็กลายเป็นเด็กกำพร้าโดยสมบูรณ์แบบเพราะแม่จากไปด้วยอุบัติเหตุ ตั้งแต่นั้นคนรู้จักกับแม่ คนที่เลี้ยงดูฉันเป็นอย่างดีตลอดมาก็คือคุณยาย เรามีร้านขายต้นไม้เล็กๆ อยู่หน้าบ้านถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาลแทบจะไม่มีรายได้เลยทีเดียว แต่ฉันชอบร้านนี้มากเพราะแม่เคยมาช่วยงานที่นี่บ่อยๆ ตอนนี้ฉันเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายไม่ค่อยมีชั่วโมงเรียนแถมพรุ่งนี้ปิดเทอมวันแรก มีเวลาไปทำงานพิเศษเพิ่มขึ้นนั่นหมายความว่ารายได้จะมากขึ้นด้วย เลิกงานดึกๆ ดื่นๆ ก็ไม่ต้องกังวลเพราะเฟรมเป็นคนไปรับส่งทุกครั้ง เขาคือน้องชายสุดหล่อของฉันเอง แต่ฉันและเฟรมไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ แม่ของฉันเป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของเฟรมซึ่งเป็นลูกแท้ๆ ของยายและจากไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลว หลังจากที่แม่ของฉันเสียชีวิตได้ไม่นาน ที่บ้านเราจึงอยู่กันแค่สามคนยายหลานเท่านั้น

 

ตะเลง ตะเลง ฉึก ฉึก ชิมิ ชิมิ  ตะเลง ตะเลง ฉึก ฉึก ชิมิ ชิมิ ...!!

 

“นี่! ยัยเพลง เมื่อไรแกจะเปลี่ยนเสียงโทรศัพท์สักทีวะ”

 

ตะเลง ตะเลง ฉึก ฉึก ชิมิ ชิมิ  ตะเลง ตะเลง ฉึก ฉึก ชิมิ ชิมิ ...!!

 

“ขี้เกียจ...” ฉันตอบจีน มือก็ยังควานหาโทรศัพท์รุ่นไดโนเสาร์เต่าล้านปี

 

“ไม่ใช่แค่เสียงนะที่แย่ หน้าตามือถือก็นะ ไม่ไหวแล้วอะ ...3310 ยังหาซื้อง่ายกว่า” เพื่อนสนิทคนเดียวของฉันที่บ่นแต่เรื่องเดิมๆ กับเจ้าเต่าล้านปีหรือเรียกอีกอย่างว่ามือถือที่ฉันใช้เป็นประจำ  ...แค่มันโทรได้ นั่นก็เริ่ดสุดๆ แล้วในความคิดฉัน

 

ตะเลง ตะเลง ฉึก! ฉันกดรับสาย

 

“ไงเฟรม...”

 

(พี่เพลงสอบเสร็จรึยัง เฟรมมาถึงแล้ว)

 

“อือ สอบเสร็จแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้แหละ รอแป๊บ” ทันทีที่ฉันวางสาย จีนก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้

 

“แก ...เฟรมโทรมาเหรอ”

 

ฉันทำเป็นไม่ได้ยินที่จีนพูด ...หมั่นไส้! ทำมาเป็นถามก็เห็นๆ อยู่ว่าแอบฟังฉันคุยเมื่อกี้

 

“เขาขี่ชอปเปอร์มาด้วยใช่ป่ะ”

 

“อือ” ฉันตอบพลางเก็บหนังสือใส่กระเป๋าแกล้งไม่สนใจยัยจีนที่พยายามเซ้าซี้อยู่ข้างๆ

 

“อ๊าย! เท่อ่ะแก ให้เขาไปส่งฉันด้วยนะ”

 

“แต่คนขับรถของแกรออยู่นะ” ฉันปรายตามอง ...เหนื่อยใจแทนคนขับรถของมันจริงๆ

 

“โหยแกอ่า น่า นะ”

 

ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าจีนแอบชอบตาเฟรม แสดงออกนอกรูจมูกขนาดนี้  นี่ไม่ใช่แค่ชอบแล้วเรียกคลั่งเลยดีกว่า ก็นะตาเด็กนั่นยิ่งโตยิ่งหล่อ บางทีฉันเองก็เคยแอบกรี๊ด

 

“เพลง ...นั่นน้องแกเปล่าวะ ...ไหนว่ามาสองล้อ นั่นสี่ล้อชัดๆ กรี๊ด!!! แบบไหนก็เท่เป็นบ้า เท่ๆๆ”

 

“พูดอะไรของแก” ตึกนี้อยู่ติดกับทางออกจึงมองเห็นถนนหน้ามหาวิทยาลัยได้ชัดเจนที่สุด ฉันมองยัยจีนที่กำลังชะเง้อผ่านหน้าต่างห้องเรียนพร้อมกรีดร้องปัญญาอ่อน

 

“อยากจะกรี๊ดให้สลบคาที่ ดูท่านั่งบนกระโปรงสิ”

 

“หือ! ...นั่งบนกระโปรง...?”

 

“นั่นไง ท่านั่งยองๆ บนกระโปรงรถเนี่ย เท่สุดๆ ไปเลยแก อ๊ากกก!” ขณะที่ยัยจีนกระโดดดึ๋งๆ ชอบอกชอบใจ ฉันก็ลุกพรวดมองตามนิ้วชี้ของยัยนี่ด้วยความตกใจ ผู้คนด้านล่างกำลังฮือฮาอะไรสักอย่าง พอมองเลยไปที่ถนนหน้าลานจอดรถ

 

“เฮ้ย!” ไอ้ตัวแสบขึ้นไปทำอะไรบนกระโปรงรถเบนซ์สปอร์ตสีดำ คำถามคือ นั่น...รถ...ใคร... วะ?

 

“กรี๊ด! กรี๊ด! เท่ว่ะ” ยัยเพื่อนบ้ายังคงหลับหูหลับตากรี๊ด ส่วนฉันสติแตกจนรู้สึกได้ว่าเส้นเลือดที่ขมับกำลังปูดนูนกับคำว่าเท่จนสุดจะทน

 

“เท่บ้านแกดิ ไปเร็ว!” ฉันคว้าข้อมือยัยจีน กึ่งวิ่งกึ่งเดินเพื่อตรงไปที่นั่น หวังว่าไอ้ตัวแสบคงไม่ก่อเรื่องบ้าๆ นะ แต่ทำไมลางสังหรณ์ของฉันมันทะแม่งๆ ยังไงไม่รู้แฮะ

 

ตาเฟรมเอารถใครมา แล้วขึ้นไปทำอะไรบนกระโปรงรถ คงไม่ใช่เพราะอยากโชว์แน่ๆ เพราะเขาไม่ชอบคนเยอะๆ แถมยังไม่เป็นมิตรกับคนแปลกหน้าเนี่ยนะ จะทำเรื่องโชว์ออฟแบบนี้ ยังไงฉันก็ไม่เชื่อ!

 

“ไอ้เพลง! แกจะวิ่งทำไมเนี่ย”

 

ฉันพาจีนวิ่งมาถึงที่เกิดเหตุ ระหว่างที่ยัยนั่นบ่นอุบอิบตลอดทาง ว่าแต่ทำไมถึงมีเบอริเทจมุง (ความหมายเดียวกับไทยมุง) ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนแน่นถนัดตา

 

“เฮ้ย! เพลง!! ตำรวจ !!!” อยู่ๆ ยัยจีนก็ตะโกนเสียงดังลั่น จนกลุ่มคนข้างๆ ที่สนใจเรื่องชาวบ้านหันมามองเราเป็นตาเดียว ก่อนจะหันกลับไปสนใจเหตุการณ์ระทึกขวัญที่ฉันมองไม่เห็นอีกครั้ง

 

“ตำรวจอะไร? ทำไมคนเยอะแบบนี้!” ฉันมองไม่เห็นว่าข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น เพราะเด็กมหา’ลัยนี้สูงเกินมาตรฐาน (หรือเพราะฉันเตี้ย) ยัยจีนกลายเป็นฝ่ายลากฉันฝ่าฝูงชนที่กำลังยืนมุงดูอะไรสักอย่าง แน่นอนว่ามันเป็นทางเดียวกับที่ฉันกำลังจะมุ่งหน้าไปหาไอ้ตัวแสบ “ขอโทษนะคะ ขอโทษค่ะ ขอทางหน่อย”

 

“เพลง! ตำรวจ! ตำรวจจับน้องแกไป”

 

“แกว่าอะไรนะ!!! ตำรวจจับตาเฟรมเหรอ จับไปทำไมอะ!?” ฉันโทรหาตาเฟรมทันทีที่นึกขึ้นได้

(พี่เพลง...) เขารับสาย ขอบคุณพระเจ้า!

 

“เฟรม!!! เกิดอะไรขึ้น มันเกิดอะไรขึ้น?” ฉันยิงคำถามด้วยความร้อนรน และร้อนใจสุดๆ

(เอ่อคือ พี่เพลง...เฟรม...)

 

“ถูกตำรวจจับ”

 

(ง่ะ! รู้ได้ไง)

 

จะรู้ได้ยังไง! ถามมาได้ ก็ยัยจีนตะโกนกรอกหูฉันเมื่อกี้นี้เนี่ย ไอ้ตัวแสบ!!!

 

“เกิดอะไรขึ้นเฟรม เกิดเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมตำรวจ”

 

(พี่เพลงวันนี้กลับบ้านเองนะ ระวังตัวด้วย) ตาเฟรมวางสายไปเเล้ว

 

อ๊าก!!! ไอ้น้องบ้า นายทำแบบนี้กับพี่สาวอย่างฉันได้ยังไง สรุปนายทำอะไรเนี่ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรก๊านนน?

 

“เพลง... เฟรมว่าไงบ้าง” สีหน้ากังวลของยัยจีนฉายชัด จับมือของฉันไว้แน่น “เพลงแกจะไปไหน เดี๋ยวเพลง!”

 

ฉันดึงแขนออกจากมือยัยจีนก่อนจะแหวกผู้คนตรงไปยังจุดหมายด้วยความเร็วสุดชีวิต ...จะชน จะเหยียบ หรือใครจะเขม่น ฉันก็ไม่สนใจหน้าไหนทั้งนั้น เสียงจ้อกแจ้กคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นผ่านเข้าหูของฉันตลอดการฝ่าฝูงเบอริเทจมุง

 

“เจ้าของรถสปอร์ตหล่อมากเลย กรี๊ดดด!”

 

“นั่นดิๆ หล่อลากกระชากตับไตลำไส้เล็กลำไส้ใหญ่ กระเทือนไปถึงหัวใจ”

 

“แต่ฉันว่าผู้ชายที่อยู่บนกระโปรงรถก็ไม่เลวนะ”

 

“พวกเขาทะเลาะกันเรื่องอะไรเหรอ”

 

“เห็นว่าแย่งผู้หญิงนะ”

 

“ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าแม่นั่นสวยสักแค่ไหน”

 

พวกเบอริเทจมุงเมื่อสักครู่ ต่างพูดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้กันอย่างเมามันส์ โดยเฉพาะพวกผู้หญิงวี๊ดว้ายกระตู้วู้กันน่าดู ...ฉันไม่ได้สนใจฟังยัยพวกแต่งหน้าหนาเหมือนฉาบปูนทับเอาไว้ แถมวันๆ จับกลุ่มคุยกันแต่เรื่องจับผู้ชายซะส่วนใหญ่ แต่ที่ฉันสนคือเจ้าของรถสปอร์ตสีดำสุดหรูคันนี้ ฉันมองตำรวจนายหนึ่งขี่รถชอปเปอร์ของตาเฟรมออกไปจนลับสายตาเมื่อฉันมาถึง เบอริเทจมุงให้ความสนใจอีกครั้งที่ฉันถลาเข้าไปหยุดอยู่ด้านหลังผู้ชายร่างสูงที่กำลังจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง

 

“คุณคะ!” ทันทีที่เขาหันหน้ามา ปาดโธ่!!! ...ผู้ชายคนนี้! ...นี้!! ...นี้!!! (แอคโค่) ...ฉันว่าฉันกำลังมองเขา ฉันบังคับตัวเองไม่ให้มองไม่ได้ ทำไงดี“เอ่อ ...คือ...”

 

“...” เขาจ้องหน้าฉันกลับมาด้วยสายตาคมเชือดเฉือนวิญญาณคนให้หลุดออกจากร่างได้ในทันทีที่สบตา  “จะถ่ายรูปไปดูก็ได้นะ”

 

“หา? ” ถ่ายรูปไปดูเหรอ...

 

...ขอบใจที่เอื้อเฟื้อ ด้วยเหตุนี้สติของฉันก็กลับเข้าร่างในทันที

 

“เธอมีอะไร บอกไว้ก่อนนะว่าตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี” ใบหน้าเย็นชาเคลือบด้วยความสงสัยแบบเย็นยะเยือก เสียงทุ้มต่ำชวนเคลิ้มฝันกล่าวทำร้ายจิตใจดวงเล็กเป็นอย่างยิ่ง

 

“คือ... เอ่อ... น้องฉัน” ฉันไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง... “เมื่อกี้ น้องฉันมีเรื่องกับคุณ” ...รึเปล่านะ ฉันไม่แน่ใจเท่าไร

 

“ออ...” เขาถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย พลางปรายตามองรถที่เขายืนพิงอยู่ ทำให้ฉันต้องหันไปมองตามอัตโนมัติ... สภาพรถ ยับเยิน... “ฉันแจ้งความไปละ”

 

‘นั่นไง ...ท่านั่งยองๆ บนกระโปรงรถเนี่ย เท่สุดๆ ไปเลยแก อ๊าก!’ คำพูดยัยจีนทวนลมกลับมาในความคิดทันที

 

ไอ้ตัวแสบนายเจอดีแน่! นี่มันรถสปอร์ตนะยะไอ้น้องบ้า!!

 

“ขอความกรุณาถอนแจ้งความก่อนได้ไหมคะ แล้วฉันจะชดใช้ค่าเสียหายให้ภายหลัง (พูดไปงั้น ทั้งๆ ที่ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย) ได้โปรดเถอะค่ะ” ฉันก้มหัวและตัวลงต่ำเพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันผิดไปแล้วเสมือนว่า

ฉันเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมดอะไรประมาณนั้น หวังว่าเขาคงจะเห็นใจฉันสักนิด ...สักนิดนะ

 

“...”

 

“อ๊ะ!!! นี่คุณ???” เขาไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ยื่นมือมาจับสร้อยที่ห้อยคอฉันอยู่ ฉันปัดมือของเขาออกจากสร้อยทันทีที่รู้ตัว โรคจิตรึไง ให้ตาย! ...คนแบบนี้พระเจ้ายังให้เกิดมาหล่อได้อีก

 

“แหวนนั่น! ของเธอเหรอ” เขาพยักพเยิดมาที่แหวน ...มันห้อยอยู่กับสร้อยบนคอของฉัน

เกี่ยวอะไรกับแหวน หรือว่าไอ้หน้าหล่อตาดุจะไม่ได้ยินที่ฉันพูด เขายังคงมองหน้าฉันนิ่ง สายตาน่ากลัวแบบนั้นจะฆ่าฉันรึไงยะ! “...ได้โปรดอภัยให้น้องฉันด้วยนะคะ ฉันยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้คุณ ต้องขอโทษเรื่องรถของคุณจริงๆ ขอความกรุณาด้วยค่ะ ให้อภัยน้องฉันด้วย ช่วยถอนแจ้งความแล้วเราค่อยๆ คุยกันดีไหมคะ”

 

“ฉันถามว่าแหวนนั่นของเธอเหรอ!!” เสียงของเขาทุ้มต่ำและดุดันขึ้นอีกเท่าตัวเล่นเอาฉันสะดุ้งจับแหวนที่สร้อยคอเอาไว้ ...อย่าบอกนะว่าเขาอยากได้มันน่ะ

 

“เอ่อ คือ ...แหวนนี่สำคัญมากๆ เพราะว่า...” ...แหวนของฉันมันสำคัญยังไง ถามอยู่ได้ ตัดปัญหาเลยแล้วกัน “แฟนฉันให้มาน่ะ”

 

“แฟนงั้นเหรอ?” เขาเอียงคอถามเดาอารมณ์จากสีหน้าไม่ได้ เพราะตาดุๆ ของเขามันเปล่งแสงมากเกินไป (ที่เปล่งแสงคือความหล่อต่างหาก)

 

“เธอจะชดใช้ฉันยังไง... คันนี้คันโปรดของฉันซะด้วยสิ” เขาถามขึ้นโดยไม่ยิ้ม ไม่แสดงสีหน้าใดๆ นอกจากความเย็นชาแลดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล เขาเหลือบมองฉันครู่นึง และ... “ขอบัตรประชาชน”

 

“หา?” ...นายจะเอาไปทำไมอะ

 

“ขอบัตรประชาชนด้วย”

 

“...?” ...ฉันได้ยินแล้วว่าบัตรประชาชน แต่ที่สงสัยคือนายจะเอาไปทำไม แล้วทำไมฉันไม่ถามออกไปนะ ใจเต้นอยู่ได้

 

“บัตรประชาชน หูแตกรึไงวะ!” โหย! เสียงทุ้มต่ำของเขาดังสนั่นลั่นหัวใจ เรียกตะคอกเลยเหมาะกว่า น่ากลัวนะเนี่ย!

 

“กะ ก็ได้” ฉันดึงบัตรประชาชนออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นให้เขา “...แล้วน้องฉันล่ะ”

มือฉันยังไม่ปล่อยบัตรที่ถูกเขาจับเอาไว้จากปลายด้านหนึ่ง เพราะฉันยังไม่ได้คำตอบน่ะสิ

 

“ถ้าอยากให้น้องเธอออกจากคุก ก็มาจ่ายค่าเสียหาย” เขาล้วงกระเป๋าสตางค์แบรนด์เนมชื่อดังออกมาก่อนจะดึงกระดาษขนาดเล็กออกมาให้ฉัน พร้อมส่งสายตาดุๆ สีดำสนิทออร่าจอมมารอยากครองแหวนที่สร้อยคอของฉันไม่วางตา ก่อนจะดึงบัตรประชาชนของฉันไปขณะที่ฉันกำลังพยายามอ่านนามบัตรของเขาอยู่ ...คนอะไรมือไวเป็นบ้า

 

“ถะ ถ้าฉันไม่มีเงินล่ะ”

 

“นั่นไม่ใช่ปัญหาของฉัน”

 

...ง่ะ งั้นก็เถอะ

 

“เขายังเด็ก อายุก็ยังน้อย ยังต้องเรียนหนังสือ ยังมีอนาคต มียายแก่ๆ ที่ต้องดูแล ตอนนี้ยายก็คงนั่งรอเขากลับบ้านอยู่ ฉันจะพยายามให้มากจนกว่าจะหาเงินค่าเสียหายมาคืนได้ทั้งหมด ใช้เวลาไม่นานหรอก สัญญาว่าจะไม่เบี้ยว ไม่โกง ไม่หนี ไม่หายไปไหนทั้งสิ้น หรือจะให้ไปรายงานตัวทุกอาทิตย์หรือวันเว้นวันอะไรก็ได้ ...ฉันจะทยอยจ่ายคืนให้ ตกลงตามนั้นได้ไหม”

 

“เฮ้ย! น่ารำคาญพล่ามอยู่ได้” เขาหันมาตะคอกใส่หน้าฉันด้วยสายตาสั่งตาย น่ากลัวมากเลยอะสายตาของผู้ชายหล่อเหลาคนนี้เล่นเอาฉันน้ำตาซึมเลยนะเนี่ย

 

จากนั้นเขาก็กดรับโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในมือ ...ฉันเห็นแล้วล่ะว่ามีสายเข้าตั้งแต่อีตานี่ล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนที่จะโวยวายฉันเมื่อกี้

 

“ครับเยลลี่... อืม พี่จะรอที่เดิม แล้วเจอกัน บาย ” น้ำเสียงอ่อนโยนต่างจากคุยกับฉันอย่างชัดเจน จิ๊! ไอ้หล่อสองมาตรฐาน

 

ปึง! ...อ้าว เว้ยเฮ้ย!! ขึ้นรถไปเฉยเลยอะ 

 

บรืนนน... ฉันมองตามรถสีดำที่กำลังลับสายตาไปด้วยความเร็วเท่าที่รถสปอร์ตจะทำได้

 

บ้าเอ๊ย!!! น้องฉันคงต้องนอนในคุกคืนนี้แน่เลย ...นามบัตรนี่เอาไปทำอะไรได้บ้างเนี่ย เช็ดก้นคงพิลึก  แล้วนี่ ...ชื่อบ้าอะไรอ่านยากชะมัด เอาบัตรประชาชนฉันไปอีก

 

ณ โรงพักแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหลวง

 

ฉันเดินทางไปโรงพักหลังจากยัยจีนไปตามสืบได้ว่าตาเฟรมถูกจับไปที่ไหน ยัยนั่นบอกว่าจะตามมาทีหลังเพราะมีเรื่องด่วนต้องรีบไปโรงพยาบาล ถ้าให้เดา ...อาการป่วยคุณแม่ของยัยจีนคงจะกำเริบ เพราะพักหลังๆ คุณน้าต้องนอนโรงพยาบาลบ่อยขึ้น แม้ว่ายัยเพื่อนต๊องจะบ้าๆ บอๆ เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ ความจริงแล้วยัยนั่นมีเรื่องทุกข์ใจซึ่งฉันเองก็รู้ดี ฉันจึงบอกไปว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องตาเฟรม ถ้าเรียบร้อยแล้วฉันจะโทรไปบอกเอง

 

สรุป...ปัญหาตอนนี้ของฉันคือไม่มีเงินไปชดใช้ค่าเสียหายและไม่มีแม้แต่เงินประกันตัวตาเฟรม การขอความช่วยเหลือจากใครสำหรับฉันตอนนี้คือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ถ้าจะยืมยัยจีนก็รู้สึกลำบากใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะครั้งก่อนๆ ยัยจีนไม่ยอมรับเงินที่ฉันคืนให้สักที และฉันไม่คิดที่จะยืมอยู่แล้วเพราะลำพังค่ารักษาพยาบาลคุณแม่ของยัยนั่นก็คงหนักเอาการ อีกอย่างเดือนที่แล้วฉันก็แบกหน้าหนาๆ ไปเบิกค่าจ้างล่วงหน้าจากที่ทำงานพิเศษ ...ฉันทำงานเป็นผู้ช่วยทั่วๆ ไปในโรงพยาบาลวรรณพิศจิตเวช แต่ฝ่ายบัญชีไม่ยอมให้ฉันเบิก เผอิญว่าหมอครีมรู้เรื่องนี้เข้าจึงให้ฉันยืมเงิน เธอคือคุณหมอในแผนกที่ฉันทำงานอยู่ จริงๆ ฉันก็อายนะแต่มันไม่มีทางเลือกนี่นา เพราะต้องแย่แน่ๆ ถ้าไม่ได้เธอคงไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมให้ตาเฟรม ...จะให้ไปยืมอีกมันก็นะ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา