Castlevania - The Rancor's Funeral

10.0

เขียนโดย xanxussama1010

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  16.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) บทที่ 13 - ความสิ้นหวัง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
             “ไวเวิร์นมาช้าจังเลยน้า…”
             เพื่อนสาวบ่นพึมพำในขณะที่นั่งเท้าคางอยู่บนโต๊ะอาหาร
             “ถ้าไม่รีบมาเดี๋ยวแกงกะหรี่ก็เย็นหมดกันพอดี…”
             เธอชำเลืองไปยังหม้อบนเตาซึ่งเต็มไปด้วยอาหารมื้อเย็นที่ยังคงปล่อยควันอันหอมฉุย จากนั้นก็หันไปมองนาฬิกาซึ่งเข็มสั้นอยู่ห่างจากเลขแปดเพียงแค่ไม่กี่เซนติเมตร ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
             “ว้าย!?”                                                                                            
             แต่เพียงชั่วครู่ เธอก็ต้องเงยหน้าขึ้นมา เนื่องจากตกใจเสียงเพลงประกอบหนังแฟนตาซีเรื่องโปรดที่จู่ๆ ก็ดังขึ้น สาวผมน้ำทะเลคว้ามือถือข้างกาย แล้วอ่านชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอ
             “อะไรกัน…อิซุมิจังหรอกเหรอ…”
             ซากุระผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็กดรับสายในทันที
             “ฮัลโหล”
             “ซากุระจัง!! ตอนนี้เธอเปิดทีวีอยู่รึเปล่า!?”
             เสียงจากปลายสายตะโกนดังลั่นจนเธอต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู
             “ม…ไม่ได้เปิดจ้ะ ว่าแต่มันทำไม…”
             “งั้นก็รีบเปิดซะ มีเรื่องด่วนที่เธอจะต้องรู้นะ!!”
             “จ…จ้ะ!!”
             ผู้ถูกสั่งรีบวิ่งไปหารีโมทซึ่งวางอยู่บนโซฟา แล้วเล็งมันไปทางทีวีตรงหน้าทันที
             และทันทีที่ภาพปรากฏบนหน้าจอสี่เหลี่ยม ความช็อกก็แผ่กระจายไปทั่วร่างบอบบางจนต้องทรุดลงนั่งกับพื้น
 
             เสียงอันแหบแห้งดังออกมาพร้อมภาพของผู้บรรยายข่าวรุ่นลุงผู้มีใบหน้าไร้อารมณ์ ทางซ้ายของเขามีภาพของผู้เสียชีวิตสามรายซึ่งถูกทำให้เบลอเพื่อกลบเกลื่อนความสยดสยอง ใต้ภาพนั้นมีภาพหน้าตรงของหนุ่มผมดำยาวในชุดนักเรียน ซึ่งมีตัวหนังสือกำกับใต้ภาพซึ่งอ่านได้ว่าผู้ต้องสงสัย
             “ม…ไม่จริง…”
             นัยน์ตาสีมรกตสั่นไหวอย่างไม่หยุด ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากบอกตัวเองว่านี่เป็นแค่ฝันร้าย แต่ความเจ็บปวดที่อกซ้ายก็เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดีว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
             “ทำไมกัน…ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ล่ะ…”
             “ฉันเองก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน แต่เท่าที่ฉันโทรไปถามเพื่อนที่เห็นเหตุการณ์ เธอเล่าว่าได้ยินเสียงกรีดร้องเลยวิ่งไปดูกับกลุ่มเพื่อนในชมรม พอไปถึงที่นั่น…ก็เห็นภาพอันน่าสยดสยอง…กับไวเวิร์นคุงที่ถือมีด…”
             “ไวเวิร์นไม่มีทางเป็นฆาตกรหรอก!! ไวเวิร์นคงจะแค่ไปถึงที่นั่นก่อน!! แล้ว…แล้ว…”
             “ฉันรู้…ซากุระจัง…ฉันรู้…”
             เสียงจากปลายสายที่แฝงความเศร้าพูดขัดอีกฝ่าย
             “แต่ว่า…คนอื่นไม่ได้เชื่อในแบบที่พวกเราเชื่อน่ะสิ…”
             ความเป็นจริงอันโหดร้ายเสียดแทงเข้าไปยังจิตใจอันบอบบางเข้าเต็มเปา ความเจ็บปวดที่อกซ้ายยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก จนร่างผมน้ำทะเลทนไม่ไหว และเริ่มปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา
             “อิซุมิจัง…ขอโทษนะ…ไว้คุยกันทีหลังได้มั้ย…ฉันอยากอยู่คนเดียวซักพัก…”
             สาวผมน้ำตาลแดงได้แต่ถือสายนิ่งเงียบอยู่ซักพัก ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากจะพูดอะไรซักอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายดีขึ้น แต่น่าเสียดายที่เธอไม่อาจคิดคำพูดแบบนั้นในตอนนี้ได้เลย
             “เข้าใจแล้ว…เจอกันพรุ่งนี้นะ…”
             จึงได้แต่ตัดสายจากไปแต่โดยดี ปล่อยให้เพื่อนผู้บอบบางปลดปล่อยความเจ็บปวดผ่านทางน้ำใสๆ อยู่คนเดียว
             “ทำไมกัน…ทำไมไวเวิร์น…ถึงต้องมาเจอเรื่องโหดร้ายแบบนี้ด้วย…”
           
            “วันนี้ซากุระจังมาช้าจังเลย…” สาวแว่นผมม่วงบ่นในขณะที่มองนาฬิกาข้อมือ “ปกติซากุระจังจะมาก่อนพวกเราตลอดเลยไม่ใช่เหรอ…?”
             “ช่วยไม่ได้หรอก ก็เมื่อวานดันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นนี่…”
             อิซุมิหันไปทางหน้าต่างแล้วมองไปยังโรงยิมที่ถูกล้อมรอบไปด้วยตำรวจหลายสิบนาย
             “บางที…วันนี้เธออาจจะไม่มาโรงเรียนก็ได้…”
             “อรุณสวัสดิ์…”
             ในตอนนั้น หญิงสาวที่กล่าวถึงก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงกล่าวทักทายที่แผ่วเบากว่าปกติ
             “อ้ะ~ มาแล้วเหรอซากุ…!!”
             ยูริหันมาเพื่อจะทักทาย แต่เธอก็ต้องชะงักกลางคันและจ้องตาค้างในท่าเอามือป้องปาก
             “ซากุระจัง ไปทำอะไรมาน่ะ!?”
             เพราะสภาพเพื่อนสนิทของเธอดูผิดแปลกไปจากทุกวันอย่างเห็นได้ชัด ผมเผ้าที่มักจะเรียบสลวยอย่างเป็นธรรมชาติเสมอ ในวันนี้มันกลับยุ่งเหยิงและชี้โด่ชี้เด่ ใบหน้าที่เคยสดใสและเปล่งประกายด้วยรอยยิ้ม ในวันนี้กลับมัวหมองและไร้ชีวิตชีวายิ่งนัก เรียกได้ว่าต่างไปจากหญิงสาวผู้เป็นขวัญใจชายอันดับสามของโรงเรียนคนเดิมโดยสิ้นเชิง
             “ฉันแค่นอนไม่หลับนิดหน่อยน่ะ…”
             ซากุระตอบอย่างเหนื่อยๆ แล้วพยายามฝืนยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นไม่ชวนให้เพื่อนทั้งสองรู้สึกดีเลยแม้แต่น้อย
             “คงจะเป็นห่วงไวเวิร์นคุงสินะ…”
             เพื่อนสาวทวินเทลมองอย่างเป็นห่วง รอยยิ้มค่อยๆ หายไปจากใบหน้าเพื่อนผู้เศร้าหมอง
             “อืม…”
             ก่อนที่จะพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเองอย่างไร้เรี่ยวแรง
             “ฉันรู้ดีกว่าใครเลยล่ะว่าไวเวิร์นพยายามมามากแค่ไหน…แม้จะถูกทุกคนรังเกียจ…แม้ว่าจะไม่มีใครเชื่อในคำพูดของตัวเอง…แต่ก็เชื่อมาตลอดว่ากาลเวลาจะช่วยให้ทุกคนตระหนักถึงความจริงได้…เพราะงั้น…ตอนที่ยูริจังและอิซุมิจังมาขอเป็นเพื่อน…ไวเวิร์นถึงได้ดูดีใจเป็นพิเศษ…เพราะเชื่อว่าในที่สุด…ก็เริ่มเห็นผลจากความพยายามแล้ว…”
             พอพูดถึงตรงนี้ สาวน้อยเศร้าหมองก็ก้มหน้าเงียบกริบอยู่หลายวินาที ก่อนที่จะพูดต่อด้วยเสียงที่เริ่มสั่นเครือ
             “ทั้งอย่างนั้น…ไวเวิร์นกลับต้องมาเจอเรื่องแบบนั้นอีกครั้ง…ตอนนี้ไวเวิร์นจะรู้สึกเศร้าแค่ไหนกันนะ…จะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนกันนะ…พอฉันได้แต่คิดถึงเรื่องพวกนั้น…โดยที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย…ฉันก็…ฉันก็…”
             “พอเถอะ…ไม่ต้องพูดต่อแล้วล่ะ…”
             อิซุมิชิงตัดบทเมื่อเห็นเพื่อนสนิททำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง เธอเข้าไปกอดร่างนั้นเพื่อปลอบประโลม ในขณะที่ยูริได้แต่ยืนมองเพื่อนสนิททั้งสองด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสาร
 
             กิ้ง~ ก่อง~ ก๊าง~ ก่อง~
             “เอาล่ะทุกคน นั่งที่กันได้แล้วนะ”
             อาจารย์ประจำชั้นเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงกริ่งพอดิบพอดี นักเรียนในห้องต่างเคลื่อนย้ายกลับไปนั่งที่ของตนเอง สาวผมน้ำตาลแดงที่เห็นภาพนั้นทำท่าลังเลอยู่ซักพัก ใจจริงแล้วเธออยากจะปลอบประโลมเพื่อนสนิทอีกซักนิด แต่ก็ต้องจำใจปล่อยมือแล้วกลับไปนั่งที่แต่โดยดี
             ในเวลาไม่นาน นักเรียนเกือบทุกคนก็เข้าประจำที่กันเรียบร้อย ยกเว้นแต่สาวแว่นผมม่วงเพียงคนเดียว ที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่มีท่าทีว่าจะขยับตัว
             “ย…ยูริจัง…?” ซากุระมองดวงตาหลังแว่นที่ยังไม่ละสายตาไปจากเธอ
             “ซากุระจัง…” ดวงตาหลังแว่นหรี่ลงแสดงออกถึงความจริงจัง “ยังมีอยู่นะ…”
             “เอ๋…?”
             “สิ่งที่ซากุระจังทำได้น่ะ…ยังมีอยู่นะ…”
             รอยยิ้มบางๆ ปรากฏบนใบหน้าสวมแว่นชั่วครู่ ก่อนที่เจ้าของรอยยิ้มจะหันหน้าไปทางอาจารย์
             “อาจารย์คะ”
             พร้อมกับส่งเสียงเรียกและชูมือขวาขึ้นเหนือหัว
             “ซากุระจังรู้สึกไม่ค่อยสบายค่ะ หนูขอพาเธอไปห้องพยาบาลได้มั้ยคะ?”
             “อ…เอ๊ะ…!?”
             สาวผมน้ำทะเลถึงกับอึ้งต่อคำพูดที่คาดไม่ถึงนั้น
             “หืม? งั้นเหรอ?”
             อาจารย์ประจำชั้นมองไปทางนักเรียนผู้ยกมืออยู่ซักพัก แล้วเบนสายตาไปยังนักเรียนผู้ถูกกล่าวชื่อ โดยหลังจากที่ได้เห็นสภาพที่ดูแย่กว่าปกติของเธอ
“             เข้าใจแล้ว งั้นขอฝากด้วยนะ” เขาก็ตอบตกลงในทันที
             “ขอบคุณค่ะ ไปเถอะ ซากุระจัง”
             “เอ้ะ!? เดี๋ยว…”
             ยังไม่ทันที่สาวผมทะเลจะได้พูดอะไร เพื่อนสวมแว่นก็คว้ามือเธอแล้วพาลากออกไปนอกห้องอย่างว่องไว
 
             “ย…ยูริจัง…พาฉันออกมาทำไมกัน…?”
             ซากุระออกเสียด้วยความเหนื่อยเล็กน้อยหลังจากที่ทั้งสองคนหยุดวิ่งเมื่อห่างจากรัศมีห้องเรียนมาพอสมควร
             “ซากุระจัง” เพื่อนผมม่วงทำหน้าจริงจังอีกครั้ง “ไปหาไวเวิร์นคุงซะ”
             “เอ๋?”
             “สิ่งที่ไวเวิร์นคุงได้รับมันเป็นอะไรที่โหดร้าย จนฉันยังคิดว่าถ้าฉันตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน ฉันคงจะสติแตกและกลายเป็นบ้าภายในเวลาไม่ถึงเดือนแน่ๆ ทั้งอย่างนั้น ทำไมไวเวิร์นถึงทนอยู่กับมันได้ ทำไมถึงยังยิ้มและหัวเราะได้ และใช้ชีวิตอย่างปกติตลอดสามปีที่ผ่านมากันล่ะ?”
             เพื่อนผมม่วงเข้าประชิดตัวและใช้มือทั้งสองจับไหล่อีกฝ่าย
             “นั่นก็เพราะข้างกายเขายังมีเธออยู่ไงล่ะ ซากุระจัง…”
             “ฉ…ฉันเหรอ…?”
             “ใช่แล้วล่ะ…” ยูริพยักหน้า “และตอนนี้ ไวเวิร์นคุงก็กำลังเผชิญความทุกข์เดียวกับสามปีก่อนอีกครั้ง คนที่จะทำให้ไวเวิร์นคุงกลับมามีความหวังอีกครั้งได้ มีแต่ซากุระจังเท่านั้น เพราะงั้น รีบไปหาไวเวิร์นคุงเถอะ”
             “ยูริจัง…”
             คำพูดของเพื่อนสนิททำให้ซากุระรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เธอค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงและรวบรวมสติเพื่อปลุกใจตัวเอง
             “นั่นสินะ นี่ไม่ใช่เวลาที่ฉันจะมามัวอ่อนแอ ไวเวิร์นต้องกำลังเป็นทุกข์มากกว่าฉันอยู่แน่ๆ และคนที่จะช่วยไวเวิร์นได้….มีแต่ฉันเท่านั้น…”
             ซึ่งพอเธอทำเช่นนั้น หัวใจที่เกือบแตกสลายก็ค่อยๆ มาเหมือนเดิมอีกครั้ง ความเศร้าหมอง เริ่มเลือนหายไปจากใบหน้า และถูกแทนที่ด้วยความหวังซึ่งฉายผ่านออกมาทางรอยยิ้ม พร้อมกับดวงตาที่เปิดออกฉายประกายอันทรงเสน่ห์อีกครั้ง
             “ขอบคุณนะยูริจัง งั้นฉันไปก่อนนะ”
             “อื้ม รีบไปเถอะ”
             สาวผมน้ำทะเลหันหลังให้เพื่อนสนิทแล้วทำท่าจะวิ่งออกไป แต่แล้ว…
             “เดี๋ยวก่อนๆ…”
 
             เสียงหนึ่งทักท้วงขึ้นจากด้านหลัง ทั้งสองคนหันไปทางต้นเสียงพร้อมกัน และพบกับเพื่อนสาวผมน้ำตาลแดงที่ยืนเท้าเอวด้วยสีหน้าเอือมระอา
             “อ…อิซุมิจัง?”
             “เธอน่ะ…คิดจะไปในสภาพแบบนั้นจริงๆ เหรอ?”
             สาวทวินเทลชี้มือไปทางซากุระ คำพูดของเธอทำให้ทั้งสองรู้สึกตัวขึ้นมาได้ ว่าสภาพของเพื่อนผมน้ำทะเลยังดูโทรมสุดๆ อยู่เลย
             “นี่ฉัน…อยู่ในสภาพนี้มาตลอดเลยเหรอเนี่ย…?” สาวผมกระเซิงที่พึ่งจะมารู้สึกอายเอามือจับแก้มตัวเอง
             “ก็ใช่น่ะสิ…” สาวทวินเทลถอนหายใจ “ขืนไปพบกับไวเวิร์นคุงด้วยสภาพแบบนั้น มีแต่จะทำให้เขารู้สึกแย่กว่าเดิมกันพอดี…”
             จากนั้นเธอก็ก้าวเดินตรงมายังเพื่อนผู้สุดโทรม พร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบหวีกับผ้าเช็ดหน้าออกมา
             “ยูริจัง ฝากจัดการหน้าทีนะ”
             “โอ้ วางใจได้เลย”
             เพื่อนสาวแว่นรับผ้าเช็ดหน้าแล้วเริ่มใช้มันเช็ดใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหมองคล้ำ ส่วนเพื่อนผู้ถือหวีเดินอ้อมไปด้านหลัง และใช้วัตถุในมือสางไปตามเส้นผมอันแสนกระเซิง
             “ย้า~~!! มันจั๊กจี้นะ~~!!!”
             “ซากุระจัง อยู่นิ่งๆ สิ ฉันหวีไม่ถนัดนะ”
             ทั้งสองใช้เวลาอยู่หลายนาทีในการจัดการเพื่อนผู้บ้าจี้ ในที่สุด  ผมอันยุ่งเหยิงก็กลับมาเรียบสลวยอีกครั้ง ความหมองคล้ำเองก็หายไปจากใบหน้าจนหมด เหลือไว้แต่เพียงความสดใสอันเป็นเสน่ห์ดั้งเดิม บัดนี้สาวน้อยผู้เป็นขวัญใจชายอันดับสามคนเดิมได้กลับมาแล้ว
             “อื้ม~ ค่อยดูดีขึ้นหน่อย~ ที่เหลือก็…”
             อิซุมิเก็บหวีใส่กระเป๋าแล้วหยิบของชิ้นหนึ่งที่วางไว้ข้างตัวขึ้นมา
             “อย่าลืมเอานี่ไปด้วยล่ะ”
             “น…นี่มัน…”
             ซากุระจำสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายได้อย่างดี เพราะมันคือห่อผ้ารูปสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยอาหารแสนอร่อยฝีมือเธอนั่นเอง
             “อาหารในห้องขังน่ะมีแต่ของห่วยๆ ทั้งนั้นแหละ ไวเวิร์นคุงต้องกำลังคิดถึงอาหารฝีมือเธอแน่ๆ”
             สาวทวินเทลยิ้มและขยิบตาให้อีกฝ่าย อีกฝ่ายมองห่อผ้านั้นอยู่ซักพักก่อนที่จะยิ้มตอบ
             “ขอบคุณนะ อิซุมิจัง”
             แล้วยื่นมือไปรับห่อข้าวของตัวเอง
             “งั้น…ฉันไปก่อนนะ”
             “อื้ม แล้วเจอกันนะ”
             สิ้นสุดบทสนทนานั้น ผู้มีผมสีน้ำทะเลก็รีบวิ่งออกไปทันที ตอนนี้เธอมีเป้าหมายอยู่เพียงอย่างเดียว คือไปยังสถานกักกัน ซึ่งเป็นที่ที่เพื่อนชายของตัวเองถูกขังอยู่
 
             --- สถานกักกัน ห้องเยี่ยม ---
             “ห้องนี้นี่…ไม่อึมครึมไปหน่อยเหรอ…”
             ซากุระบ่นในขณะที่มองไปยังรอบห้อง หลังจากที่แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าต้องการพบไวเวิร์น เธอก็ถูกพามารอในห้องนี้ ห้องเล็กๆ ที่มีกำแพงและฝาผนังสีเทาไร้ลวดลาย บวกกับแสงไฟสลัวๆ จากหลอดไฟเปื้อนฝุ่น ทำให้ห้องดูอึมครึมซะจนไม่น่าอยู่เอาซะเลย
             ตรงหน้าของเธอมีเคาน์เตอร์ซึ่งถูกกั้นด้วยกระจกใสบานใหญ่ที่ดูแข็งแรงจนกันได้แม้กระทั่งกระสุน ด้านหลังกระจกนั้นมีห้องสีเทาอีกห้องซึ่งมีเพียงเก้าอี้ว่างเปล่า สายตาของเธอจับจ้องไปที่เก้าอี้ตัวนั้นพลางคิดอยู่ในใจว่าเมื่อไหร่เพื่อนสนิทของเธอจะมานั่งตรงนี้ซักที
             แอ้ด~
             ทันใดนั้น ประตูที่อยู่อีกฟากหนึ่งของกระจกก็เปิดออก ร่างของเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับร่างของชายหนุ่มในชุดนักเรียนที่อยู่ห่างกันเพียงแค่ศอกเดียว
             “ซ…ซากุระ…?” ฝ่ายชายทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหน้าของผู้มาเยี่ยม แต่เพียงแค่ชั่วครู่ ใบหน้านั้นกลับค่อยๆ ก้มต่ำ ก่อนที่จะก้าวเดินมานั่งเก้าอี้ทั้งอย่างนั้น
             “ไวเวิร์น…”
             ทันทีที่ได้เห็นหน้าเพื่อนสนิทอีกครั้ง หัวใจของผู้มาเยี่ยมก็เปี่ยมล้นไปด้วยความสงสาร แม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงจะทั้งเศร้าและสิ้นหวัง แต่พอได้เห็นเพื่อนสนิทที่โดนความสิ้นหวังเล่นงานจนดูโทรมลงไปมาก เธอก็อยากจะเข้าไปกอดเพื่อปลอบประโลมเสียเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าระหว่างทั้งสองมีกระจกขวางกั้นอยู่ เธอคงทำเช่นนั้นไปแล้ว
             “อ…เอ่อ…”
             เพื่อนสาวตั้งใจจะพูดให้กำลังใจ แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี เธอพยายามคิดหาคำพูดที่ช่วยให้อีกฝ่ายดีขึ้น แต่สมองของเธอดูจะทำงานได้ไม่ดีเอาซะเลย
             “จ…จะได้ออกจากคุกเมื่อไหร่เหรอ…?”
             สุดท้ายเลยเปลี่ยนไปเป็นการถามคำถามแทน
             “…ชั้นเองก็…ยังบอกอะไรไม่ได้เหมือนกัน…” เพื่อนชายตอบทั้งที่ยังก้มหน้า “ชั้นเล่าความจริงให้พวกเขาฟังไปหมดแล้ว พวกเขาทำท่าเหมือนจะเชื่ออยู่ แต่พวกเขาบอกว่าจำเป็นต้องตรวจสอบที่เกิดเหตุซะก่อน  ถ้าหากผลการตรวจสอบชี้ชัดว่าว่าชั้นไม่ได้เป็นคนทำ พวกเขาถึงจะยอมปล่อยชั้นออกไปน่ะ…”
             “ม…ไม่ต้องห่วง ต้องได้ออกไปแน่!!”
             ซากุระพูดเสียงดังเพื่อเป็นกำลังใจให้อีกฝ่าย
             “ไวเวิร์นไม่ได้เป็นคนทำซะหน่อย!! ตำรวจจะต้องหาหลักฐานยืนยันเรื่องนั้นเจอ แล้วพวกเราจะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง!!”
             “อ…อืม…นั่นสินะ…”
             แต่ดูเหมือนฝ่ายชายจะไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขายังคงก้มหน้าในสภาพสิ้นหวังเช่นเดิม
             “ย…อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ!! จะต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ เชื่อฉันสิ!!”
             เธอพยายามปลุกใจมากขึ้น แต่อีกฝ่ายก็ยังคงไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น
             “ซากุระ…ชั้นว่าซากุระอย่ามายุ่งกับชั้นอีกเลยจะดีกว่านะ…”
             “ใช่แล้ว!! ไวเวิร์นกับฉันไม่ควรจะ…ว่าไงนะ…?”
 
             ซากุระใช้เวลาอยู่หลายวินาทีกว่าคำพูดนั้นจะซึมเข้าสู่หัวสมอง
             “ม…หมายความว่ายังไง…?”
             “…ชั้นไม่อยากให้ซากุระต้องเข้ามาลำบากไปด้วยเพราะคบกับฆาตกรอย่างชั้น…”
             “พ…พูดอะไรน่ะ…!?” เพื่อนสาวยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนแทบชนกระจก นัยน์ตาของเธอออกอาการสั่นไหวเล็กน้อย “ไม่ใช่นะ…ไวเวิร์นไม่ใช่ฆาตกรซะหน่อย…”
             “แน่นอน…ชั้นไม่ได้ทำ…เรื่องนั้นชั้นรู้ดี….”
             ไวเวิร์นกัดฟันแน่นจนเสียงที่เล็ดลอดออกมาสั่นเครือ
             “แต่ว่า…ไม่มีใครเชื่อเลย…นอกจากซากุระแล้ว…ไม่มีใครยอมเชื่อเลย…”
             “ม…ไม่ใช่แค่ฉันนะ…ยูริจังกับอิซุมิจังเองก็เชื่อ…”
             “ถึงอย่างนั้นคนอื่นก็ไม่ยอมเชื่อชั้นอยู่ดี!!”
             จู่ๆ ไวเวิร์นก็แผดเงยหน้าแผดเสียงดังลั่น เพื่อนสาวสะดุ้งเฮือกจนเกือบหงายหลังตกเก้าอี้ พอเธอทรงตัวกลับมาได้และจ้องมองอีกฝ่ายอีกครั้ง ก็เห็นเพื่อนสนิทกัดฟันแน่นจนปากสั่นเทิ้ม ใบหน้าครึ่งบนเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำ ดวงตาสีดำเบิกกว้างและสั่นเทิ้มพอๆ กับปาก
“ชั้นรู้ดี…ว่าอะไรรอชั้นอยู่หลังจากที่ชั้นออกไปที่นี่…เพราะมันเหมือนกับตอนนั้น…”
            ไวเวิร์นเอามือทั้งสองไขว้จับไหล่ตัวเอง ความกลัวลุกลามไปอย่างรวดเร็วจนร่างนั้นสั่นไม่หยุด
            “ทั้งที่ชั้นพยายามมาตลอด…ทั้งที่คิดว่าทุกคนจะกลับมามองชั้นแบบเดิมแล้ว…แล้วทำไม…ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นซ้ำสอง…ทั้งที่ชั้นไม่ได้ต้องการมันเลย…แล้วทำไมถึงมีแต่ชั้นคนเดียวที่ต้องเจอเรื่องแบบนี้!!”
            เสียงแห่งความเศร้าโศกแผดออกมาจากลำคอของชายที่ไม่สามารถอดกลั้นกับความเจ็บปวดได้อีกแล้ว เสียงนั้นทำเอาแก้วหูของเพื่อนสาวสั่นสะเทือน และแรงสั่นสะเทือนยังส่งผลไปยังจิตใจของเธอจนร่างนั้นได้แต่มองภาพตรงหน้าอย่างไม่อาจทำอะไรต่อได้
             “ไปซะ…ซากุระ…ไปจากที่นี่…แล้วอย่ามายุ่งกับชั้นอีก…”
             “ต…แต่ว่า…”
             “ไปซะเซ่!!” ไวเวิร์นทำหน้าดุใส่อีกฝ่าย ทั้งที่ใจจริงแล้วไม่อยากทำแบบนี้เลย “ขอร้องล่ะ…รีบไปซะ…”
             หลังจากประโยคนั้น ชายผู้เศร้าโศกได้แต่ก้มหน้าลงโดยไม่อาจจะเปล่งคำพูดใดต่อได้ ไม่แม้แต่จะสบตาอีกครั้ง เวลาได้แต่ไหลผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเสียงใดเกิดขึ้น จนกระทั่ง…
             “…เข้าใจแล้ว…”
             เขาได้ยินเสียงบางส่งครูดกับพื้น เธอคงกำลังลุกออกจากเก้าอี้ และคาดว่าน่าจะเดินจากเขาไปในไม่ช้า…
             ‘แบบนี้ดีแล้วล่ะ…’
             เขาได้แต่บอกหัวใจที่ครวญครางด้วยความเจ็บปวดเช่นนั้น ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากที่จะสูญเสียเธอไป เธอคนเดียวที่เชื่อเขามาตลอด…เธอคนเดียวที่อยู่ข้างกายตลอดสามปี…
             แต่ว่า…ถ้าหากเธอยังอยู่ข้างกายเขา…ชีวิตของเธอจะต้องตกกระไดพลอยโจนไปด้วย ถ้าเป็นเช่นนั้น เธอจะต้องโดนกระแสแห่งความสิ้นหวังกลืนกิน จนต้องจมดิ่งสู่ก้นบึ้งแห่งความทุกข์ ไม่อาจที่จะมีความสุขได้อีกแน่
             ถ้าหากเป็นแบบนั้น…ปล่อยให้เธอไปใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มซะจะดีกว่า ส่วนความสิ้นหวังนี้ เขาจะแบกรับมันไว้เอง…
             ใช่…ให้เขาแบกรับไว้คนเดียวแหละดีแล้ว…
 
             ปัง!!
             “อย่าพูดอะไรที่มันน่าสิ้นหวังแบบนั้นนะ!!! อีตาบ้า~~~~~~~!!!!”
             เสียงตะโกนอันแหลมใสทำให้ผู้จมสู่ความสิ้นหวังสะดุ้งโหยง พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบกับแขนเรียวบางทั้งสองข้างในลักษณะกำมือแนบติดกับกระจก และใบหน้าของเพื่อนสาวที่ฉายแววแห่งความโกรธ
             “ซ…ซากุระ…?”
             “แบบนี้มัน…ไม่สมกับเป็นไวเวิร์นเลย!!”
             ตาสีมรกตที่เปล่งประกายจ้องไปยังดวงตาสิ้นหวังราวกับจะแทงทะลุผ่านความมืดข้างในให้หมดสิ้น
             “ไวเวิร์นที่ฉันรู้จักน่ะ คือชายที่ต่อสู้โดยไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ ไม่ว่าจะเมื่อสามปีก่อนหรือตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม เพราะไวเวิร์นไม่เคยยอมแพ้ ฉันถึงได้ยังยืนอยู่ตรงนี้ได้ ครั้งนี้เองก็ต้องไม่ยอมแพ้ พยายามอีกครั้งสิ พยายามพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ทุกคนเห็น แบบเดียวกับที่เคยทำมาตลอดยังไงล่ะ!!”
             “ต…แต่ว่า…แต่ว่า…”
             ไวเวิร์นรู้สึกได้ถึงความสั่นไหวอย่างรุนแรงจากอกซ้าย ราวกับดวงตาอีกฝ่ายมีมนต์สะกดต่อหัวใจจนทำให้พูดไม่ออก เขาก้มหน้าหลบตาเพื่อระงับความสั่นไหวก่อนที่จะเค้นเสียงพูดต่อ
             “จริงอยู่ที่ชั้นเคยพยายามแบบนั้นมาตลอด…แต่ว่า…เพราะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกครั้ง…ก็เลยไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามต่อไปแล้ว…สิ่งที่ชั้นเคยทำทั้งหมด…มันสูญเปล่า…”
             “ไม่ได้สูญเปล่าซะหน่อย!!!”
             แต่พอถูกสวนกลับเข้ากลางคัน เพื่อนชายก็ถึงกับต้องเงยหน้ามาสบตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังอีกครั้ง
             “เพราะไวเวิร์นพยายามมาตลอด ถึงได้เป็นเพื่อนกับยูริจังและอิซุมิจังไม่ใช่เหรอ!? ฉันเชื่อว่าความพยายามนั้นคงส่งผลต่อจิตใจคนอื่นเหมือนกัน จริงอยู่ว่าเรื่องในครั้งนี้จะทำให้ความกลัวที่คนอื่นเคยมีกลับมา แต่ถ้าไวเวิร์นพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งล่ะก็…ทุกคนจะต้องตาสว่างแน่!!”
             เพื่อนสาวเอามือตบหน้าอกหนึ่งครั้ง เสียงของมันแสดงออกถึงจิตใจที่เต็มไปด้วยความหวัง
             “ถ้ามันลำบากเกินไปสำหรับไวเวิร์นคนเดียว ฉันก็จะช่วยด้วยอีกแรง แน่นอนว่ายูริจังกับอิซุมิจังก็จะช่วยด้วย ครั้งนี้ทุกคนจะต้องกลับมาเชื่อไวเวิร์นแน่ เพราะฉะนั้น…เพราะฉะนั้น…มาพยายามกันอีกครั้งเถอะ!!”
 
             “จ…จริงเหรอ…?”
             นัยน์ตาสีดำออกอาการสั่นไหวไม่หยุด ร่างกายที่เคยรู้สึกหนักอึ้งค่อยๆ เบาลงจนเหมือนเดิมอีกครั้ง ราวกับความอ่อนล้าทางจิตใจ ถูกเติมเต็มด้วยพลังงานแห่งชีวิตที่เปี่ยมล้น
             “ถ้าชั้นพยายามอีกครั้ง…ทุกคนจะยอมเชื่อชั้นจริงเหรอ…?”
             “อืม จะต้องยอมเชื่อแน่นอน!!”
             คำยืนยันที่ไร้ความลังเลแทงผ่านหัวใจของเขาไปยังอย่างง่ายดาย นั่นสินะ จะมายอมแพ้ตอนนี้มันยังเร็วไป เขาเกือบจะทำมันสำเร็จอยู่แล้ว ถึงจะมีเหตุการณ์แบบเดิมเกิดขึ้นอีกครั้ง ก็แค่พยายามอีกครั้งก็พอ ซึ่งครั้งนี้มันคงจะสำเร็จไปด้วยดี…
             ไม่สิ…จะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน!!
             พอคิดได้เช่นนั้น ใบหน้าของชายหนุ่มก็กลับมาเป็นเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น  แบบที่เขาเคยเป็นอีกครั้ง
             “ชั้นจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าชั้นบริสุทธิ์ ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกต่อไป เพราะหากชั้นไม่ยอมแพ้ ทุกคนจะต้องรับรู้ถึงความจริงแน่ๆ!!”
             พอได้ยินคำพูดที่เปี่ยมล้นไปด้วยความหวังอีกครั้ง ใบหน้าของเพื่อนสาวก็เปล่งปลั่งไปด้วยรอยยิ้มทันที
             “อื้ม~ แบบนี้แหละถึงจะเป็นไวเวิร์นที่ฉันรู้จัก~”
             หลังจากที่เห็นว่าเพื่อนชายไม่เป็นอะไรแล้ว เธอคิดได้ว่าควรจะให้สิ่งนั้นกับเขาซักที จึงก้มตัวลงไปหยิบสิ่งนั้นขึ้นมา
             “เอ้า นี่จ้ะ~”
             “น…นี่มัน…”
             ไวเวิร์นมองวัตถุที่วางอยู่บนมือที่ลอดผ่านช่องเล็กๆ ระหว่างกระจก เขาจำสิ่งนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะมันเป็นห่อผ้ารูปสี่เหลี่ยมที่เขาได้สัมผัสอยู่เป็นประจำ
             “ในนี้มีไข่ม้วนสูตรเมื่อวานแบบที่ไวเวิร์นชอบด้วยนะ ดังนั้นกินให้หมดอย่าให้เหลือล่ะ~”
             ไวเวิร์นรับมันมาแล้วจ้องมองราวกับไม่ได้สัมผัสมันมาเป็นปี กล่องข้าวที่เต็มไปด้วยอาหารอันคุ้นเคย อาหารที่ปรุงโดยรสมือของเพื่อนสุดสนิท เพื่อนที่ไม่ว่าเมื่อไหร่…ก็ไม่เคยทอดทิ้งเขา และยอมอยู่เคียงข้างมาตลอด
             ‘โชคดีจริงๆ ที่ได้พบกับซากุระในวันนั้น’
             พอคิดเช่นนั้น รอยยิ้มที่เคยถูกความมืดกลืนกินไปก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
             “ซากุระ”
             “หืม อะไรเหรอ?”
             “…ขอบใจนะ~”
             ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนสาวเองก็ยิ้มกว้างตอบกลับอีกฝ่ายเช่นกัน
             “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ก็พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่นา~”
 
             “ขอบคุณสำหรับอาหาร”
             ไวเวิร์นพนมมืออยู่คนเดียวในห้องขัง หลังจากที่เขากลับมามีความหวังอีกครั้ง ทั้งสองคนก็ชวนคุยเรื่องอื่นๆ อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งผู้คุมเข้ามาบอกว่าหมดเวลาเยี่ยม เพื่อนสาวจึงขอตัวกลับไปโรงเรียนเช่นเดิม ส่วนตัวเขาก็กลับมาที่ห้องขัง แล้วบรรจงทานมื้อเที่ยงที่เปี่ยมไปด้วยความอร่อย แน่นอนว่าเขาทานจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ข้าวเม็ดเดียว
             “รู้สึกง่วงนอนจังเลยแฮะ…”
             พอได้ทานของอร่อยจนอิ่มท้อง หนังตาของเขาก็รู้สึกหนักขึ้นมาในทันที ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในห้องนี้ ความสิ้นหวังจากจิตใจทำให้เขาไม่สามารถข่มตาให้หลับได้ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ เขาคงจะหลับได้อย่างสบายใจแล้ว
             พอคิดเช่นนั้น ชายผมดำก็ค่อยๆ เอนตัวลงบนเตียงแข็งๆ จากนั้นเปลือกตาที่หนักอึ้งก็ปิดตัวลงอย่างช้าๆ ซึ่งภายในเวลาไม่นาน เสียงกรนเบาๆ ก็เริ่มดังขึ้น พร้อมกับสติที่จมสู่ห้วงแห่งการหลับใหลไปอย่างง่ายดาย
             ในตอนนั้น ก็ได้มีสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดเกิดขึ้น เพราะในระหว่างที่จมสู่ห้วงแห่งการหลับใหล เขาได้ฝันถึงสิ่งหนึ่ง ในความฝันนั้น เหมือนกับการเอาวีดีโอที่บันทึกภาพความทรงจำมาฉายซ้ำอีกครั้ง ความทรงจำซึ่งถูกฝังลึกในสมอง…ความทรงจำของเมื่อสามปีก่อน
             สามปีก่อน…ที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง…
 
             “โอเค ไม่น่าจะลืมอะไรแล้วล่ะ~”
             เสียงของชายหนุ่มพูดยืนยันกับตัวเองในขณะที่เช็คของในกระเป๋าเป็นรอบสุดท้าย เขาปิดกระเป๋าอย่างบรรจง ก่อนที่จะยกขึ้นสะพายบ่า
             “ต่อไปก็…เช็คความเรียบร้อยทางร่างกาย”
             เขาลุกขึ้นยืนอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ และพลิกหันร่างกายไปมาตรงนั้น เพื่อเช็คสภาพของทุกส่วนบนร่างกาย หลังจากที่ทั้งผมเผ้า ใบหน้า และชุดนักเรียนสีดำใหม่เอี่ยมอยู่ในสภาพที่รับได้แล้ว
             “อื้ม~ สมบูรณ์แบบ~”
             เขาก็ยิ้มแฉ่งให้กับเงาตัวเอง จากนั้นจึงก้าวเดินออกไปที่ประตู หยิบรองเท้าสีดำคู่ใหม่เอี่ยมออกมาใส่ แล้วจึงเปิดประตูออกไปสู่ข้างนอก
             “ยังเหลือเวลาอยู่อีกเยอะเลย งั้นค่อยๆ เดินไปดีกว่า~”
             หลังจากที่เช็คเวลาจากนาฬิกาข้อมือ เขาก็เริ่มก้าวเดินออกไปอย่างสบายๆ พลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปตลอดทาง
             ‘ตื่นเต้นจังเลยแฮะ~ โรงเรียนของญี่ปุ่นจะเป็นยังไงบ้างน้า~? จะเหมือนกับที่อิตาลีรึเปล่า~? คงจะมีคนหลากหลายประเภทอยู่รวมกันแน่ๆ~ ถ้าเป็นเพื่อนกันได้ก็คงจะดีสิน้า~’
             และนั่นก็คือ ชีวิตนักเรียนมัธยมปลายวันแรกของชายหนุ่มที่มีชื่อว่าไวเวิร์น อัลเดน่า
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา