Castlevania - The Rancor's Funeral

10.0

เขียนโดย xanxussama1010

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 14.22 น.

  13 ตอน
  4 วิจารณ์
  16.47K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 14.27 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) บทที่ 12 - มังกรคลั่งเลือด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
             “นี่ๆๆ เมื่อวานได้ดูรักลวงป่วนใจตอนจบรึเปล่า?”
             “ดูสิๆ~ ฉากที่ราคุแต่งงานกับโคซากิทำเอาฉันน้ำตาไหลเลยล่ะ!”
             เสียงพูดคุยดังสนั่นลั่นไปทั่วห้องสี่ของชั้นมอหก เวลาในตอนนี้คือสิบเอ็ดนาฬิกาสามสิบนาทีซึ่งควรจะเป็นช่วงของคาบเรียนประวัติศาสตร์ แต่ในวันนี้อาจารย์ผู้สอนเกิดติดธุระกะทันหัน  ส่งผลให้คาบนี้กลายเป็นคาบว่างไปโดยปริยาย นักเรียนส่วนใหญ่เลยหันมาจับกลุ่มกับเพื่อนสนิทแล้วพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแทน
             “นี่ๆ ซากุระจัง”
             “หืม? อะไรเหรอยูริจัง?”
             สาวผมสีน้ำทะเลหันไปหาเพื่อนสนิทนามยูริ สาวน้อยทางด้านขวาผู้มีผมซอยสั้นทรงหน้าม้าสีม่วงอ่อนดั่งดอกลาเวนเดอร์ ซึ่งกำลังมองหน้าเธอด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่อยู่ด้านหลังแว่นตาไร้กรอบทรงวงรี
             “ซากุระจังน่ะ…เป็นแฟนกับไวเวิร์น อัลเดน่างั้นเหรอ?”
             “พรวด~!!”
             คำถามที่คาดไม่ถึงจากปากเพื่อนสนิททำเอาสาวน้อยใสซื่อถึงกับหน้าทิ่มลงบนโต๊ะ ก่อนที่จะลุกขึ้นพรวดอย่างรวดเร็ว
             “ด…ด…ด…เดี๋ยวสิ!?” สาวใสซื่อพูดตะกุกตะกักอย่างร้อนรน แก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างเห็นได้ชัด “ท…ทำไมจู่ๆ ถึงถามแบบนี้ล่ะ!?”
             “เอ๋? ก็ช่วงนี้ข่าวลือเรื่องซากุระจังกับชายคนนั้นมันหนาหูขึ้นทุกวันเลยนี่นา…” ยูริตอบด้วยเสียงแฝงความกังวลเล็กน้อย
             “เอ๋? ข่าวลือ? ที่ว่าข่าวลือมันหมายความว่ายังไง?”
             “หา!? นี่อย่าบอกนะว่าไม่รู้เรื่องเลยน่ะ!?” สาวผมม่วงเอามือป้องปากอย่างประหลาดใจ              “เขาลือกันจนคนทั้งโรงเรียนรู้กันหมดแล้วนะ!! เนอะอิซุมิจัง!!”
             “อืมๆ เขาลือกันให้แซดเลยล่ะ…”
             สาวน้อยนามอิซุมิซึ่งอยู่ทางซ้ายของซากุระพยักหน้ารับ เธอมีผมสีน้ำตาลแดงซึ่งถูกรวบไว้เป็นทรงทวินเทลด้วยโบว์สีฟ้าเข้ม ซึ่งช่วยเสริมเสน่ห์ใบหน้าที่มีดวงตาสีเดียวกับเส้นผมให้ดูสดใสได้เป็นอย่างดี
             “รู้สึกว่าโอโคโนกิจากชมรมข่าวออนไลน์จะบังเอิญไปเห็นซากุระจังกับชายคนนั้นกินข้าวเที่ยงด้วยกันน่ะ รู้สึกว่าหลังจากนั้นหมอนั่นจะแอบสะกดรอยตามเธอไปหลายครั้ง แล้วแอบถ่ายรูปพวกเธอเอาไปเขียนข่าวอย่างเมามันจนเป็นประเด็นไปทั่วโรงเรียนเลยล่ะ”
             อิซุมิหยิบแท็บเล็ตรุ่นใหม่ล่าสุดจากกระเป๋าแล้วใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าจออย่างต่อเนื่อง
             “เจอแล้ว นี่ไงๆ”
             จากนั้นเธอก็ยื่นแท็บแล็ตให้เพื่อนข้างตัว
              “น…นี่มัน…”
 
             อาการตกใจเผยให้เห็นบนใบหน้าสาวใสซื่อในทันที เพราะสิ่งที่แสดงอยู่บนหน้าจอแท็บเล็ตนั้น คือหน้าข่าวออนไลน์ซึ่งถูกจั่วหัวเอาไว้ว่า “สุดช็อก!! มังกรคลั่งเลือดคบกับขวัญใจชายอันดับสามของโรงเรียน!?” ตัวข่าวนั้นประกอบไปด้วยรูปของเธอคู่กับไวเวิร์นหลายภาพ ทั้งตอนที่ทานข้าวด้วยกัน ตอนที่ไปซื้อของด้วยกัน และภาพอื่นๆ อีกหลายภาพ
             เมื่อรวมกับเนื้อหาของข่าวที่บรรยายด้วยสำนวนภาษาแบบเข้าถึงอารมณ์แล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยที่ข่าวนี้จะกลายเป็นข่าวลือหนาหูไปทั่วทั้งโรงเรียน
             “เดี๋ยวก่อนสิ…มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ…? ฉันกับไวเวิร์นแค่ทำเรื่องปกติในฐานะเพื่อนสนิทเองนะ ทำไมถึงกลายมาเป็นข่าวได้ล่ะ…?”
             “ไม่ล่ะ ไม่แปลกเลยซักนิด” อิซุมิส่ายหน้าปฏิเสธ “ซากุระจังได้ผลโหวตเป็นอับดับสามจากพวกผู้ชายในฐานะผู้หญิงที่อยากได้เป็นแฟนมากที่สุดเชียวนะ เรียกได้ว่าแทบไม่มีใครในโรงเรียนที่ไม่รู้จักด้วยซ้ำ แล้วคนดังอย่างเธอดันไปสนิทกับผู้ชายอย่างมังกรคลั่งเลือดแบบนั้น การที่ข่าวพึ่งจะมาลือเอาป่านนี้ยังดูแปลกกว่าตั้งเยอะ”
             “เรื่องพวกนั้นน่ะเอาไว้ทีคุยหลังเถอะน่า” ยูริส่งเสียงดังขัดจังหวะ “ซากุระจัง เธอยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลยนะ ตกลงว่าเธอเป็นแฟนกับไวเวิร์น อัลเดน่า รึเปล่า?”
             “ร…เรื่องนั้น…” ซากุระหลบสายตาเพื่อนผมม่วง แก้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออีกครั้ง “พ…พวกเราเป็นแค่เพื่อนสนิทกันน่ะ…”
             “แค่นั้นจริงเหรอ…?” เพื่อนสาวแว่นหรี่ตาจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างคนจ้องจับผิด “ซากุระจังไม่ได้คิดเกินเลยไปมากกว่านั้นเลยเหรอ…?”
             “ค...คิดเกินเลย…งั้นเหรอ…?”
             ฉ่า~!!
             สีแดงฉ่าแผ่กระจายไปทั่วใบหน้าจนลามไปถึงใบหูในพริบตา ควันสีเทาขุ่นๆ ลอยออกมาจากใบหน้านั้นอย่างต่อเนื่องราวกับเครื่องจักรที่ทำงานหนักเกินไปจนโอเวอร์ฮีท
             “ว่าแล้วเชียว…” สาวผมม่วงทำหน้าหน่ายใจราวกับจะบอกว่าซากุระจังนี่ดูออกง่ายเหมือนเดิมเลยน้า
             “นี่…ซากุระจัง…ที่จริงแล้ว…ฉันกับยูริจังอยากคุยเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว…” สาวทวินเทลมองเพื่อนผู้หน้าแดงด้วยแววตาซีเรียสเล็กน้อย “ที่จริงพวกเราก็ไม่ควรยุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอหรอกนะ…แต่ว่า…การที่เธอเลือกคบกับชายคนนั้นน่ะ…คิดดีแล้วเหรอ…?”
             “อิซุมิจัง…ที่พูดนั่น…หมายความว่าไง…?”                       
             “ซากุระจังก็รู้นี่…”
             เพื่อนสาวสวมแว่นเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูซีเรียสบ้าง
             “ทำไมไวเวิร์น อัลเดน่าถึงถูกเรียกว่ามังกรคลั่งเลือด…นั่นก็เพราะตอนที่พวกเราอยู่มอสี่…นักเรียนชายที่ชื่อว่าคิโยมาสะ เซริซาว่าถูกฆ่าตายที่หลังโรงยิม โดยฝีมือของ…”
             ปึง!!
             “ไวเวิร์นไม่ได้เป็นคนทำซะหน่อย!!”
 
             เสียงตบโต๊ะอันดังสนั่นพร้อมกับเสียงตวาดที่แผดออกมาจากร่างผมสีน้ำทะเลที่ลุกขึ้นพรวดด้วยความฉุนขาด ทำเอาเพื่อนสาวแว่นถึงกับชะงัก และทำให้เพื่อนร่วมชั้นทั้งห้องต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียว
             “ซ…ซากุระจัง…”
             “ทำไมกัน…ทำไมทุกคนถึงเอาแต่กล่าวหาไวเวิร์นกันอยู่ได้…”
             เสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากอันสั่นเครือ น้ำไร้สีค่อยๆ ปลิ่มออกมาจากดวงตาสีมรกต ก่อนที่จะไหลลงสู่แก้มขาวสวยอย่างต่อเนื่อง
             “ไวเวิร์นพยายามบอกกับทุกคนตั้งหลายครั้งว่าไม่ได้ทำ…ตำรวจเองก็ยังยืนยันว่าไวเวิร์นบริสุทธิ์…ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้…ไวเวิร์นไม่เคยทำเรื่องแย่ๆ กับใครเลยซักครั้ง…แล้วทำไม…ทำไมทุกคนถึงยังยัดเยียดคำว่าฆาตกรกันอยู่ได้…ทำไมทุกคนถึงไม่เชื่อไวเวิร์นกันซะทีล่ะ!?”
             เพื่อนร่วมชั้นทุกคนต่างตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาบให้กลายเป็นหิน ดวงตาของพวกเขาไม่อาจละไปจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเพื่อนผู้เป็นขวัญใจชายอันดับสามได้ เวลาได้แต่ไหลผ่านไปเรื่อยๆ พร้อมกับบรรยากาศอันเงียบสงัดที่ไม่มีท่าทีว่าจะหายไป จนกระทั่ง…
 
             กิ๊ง~ ก่อง~ ก๊าง~ ก่อง~
             เสียงกริ่งดังขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกเวลาพักเที่ยง ร่างเปื้อนน้ำตายังคนยืนอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเสียงนั้นเงียบไปประมาณสองสามวินาที เธอจึงยกมือปาดน้ำตาให้หมดไปจากใบหน้า แล้วก้มหยิบห่อผ้ารูปสี่เหลี่ยมและกระติกน้ำที่อยู่ในโต๊ะ
             “ขอตัวก่อนนะ…”
             เธอก้าวเดินฉับๆ ออกประตูไปยังระเบียงทางเดินอย่างรวดเร็ว และเดินหายไปโดยไม่ได้หันมามองเพื่อนร่วมชั้นที่ยังตัวแข็งทื่อเลยแม้แต่น้อย
             “อิซุมิจัง…ทำยังไงดีล่ะ…” ยูริหันมาหาเพื่อนผมน้ำตาลแดงอย่างกังวล “ดูเหมือนว่าฉันจะทำให้ซากุระจังโกรธซะแล้วล่ะ…”
             “ไม่เป็นไรหรอกน่า ซากุระจังไม่ใช่คนที่จะไม่ให้อภัยเพื่อนซะหน่อย” อิซุมิกล่าวอย่างใจเย็นแล้วลุกเดินไปยังโต๊ะตัวเอง “ยังไงพวกเราก็มากินข้าวกันก่อนเถอะ เดี๋ยวซากุระจังกลับมาแล้วค่อยขอโทษล่ะกัน”
             “น…นั่นสินะ…”
             ยูริผู้คลายกังวลลงเล็กน้อยหยิบข้าวกล่องออกมาวางบนโต๊ะ แล้วนั่งพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลายระหว่างรอเพื่อนอีกคนมานั่งด้วย
             “นี่อิซุมิจัง”
             “อะไรเหรอ?”
             “ไวเวิร์น อัลเดน่าน่ะ…ใช่ฆาตกรแน่เหรอ…?”
             “…ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ฉันคงจะตอบว่าใช่อย่างไม่ลังเลแน่ๆ…”
             เพื่อนทวินเทลเดินกลับมาพร้อมข้าวกล่องในมือ
             “แต่ตอนนี้…ฉันไม่แน่ใจในคำตอบนั้นซะแล้วล่ะ…”
             “งั้นเหรอ…เธอเองก็ด้วยสินะ…”
             ยูริยิ้มเจื่อนๆ ก่อนที่จะเงยหน้ามองเพดานแล้วปล่อยใจตัวเองให้เหม่อลอยไปกับความคิด  ซึ่งหลังจากที่เธอทำเช่นนั้นอยู่ซักพัก…
             “นี่…อิซุมิจัง…” เธอก็เอ่ยปากพูดขึ้นอีกครั้ง “ฉันมีความคิดดีๆ แล้วล่ะ…”
 
             “โอ้ะ~!! ไข่ม้วนนี่มัน…อร่อยกว่าทุกทีนี่นา!” ไวเวิร์นร้องอย่างประหลาดใจในขณะที่เคี้ยวไข่ม้วนในปากอย่างเอร็ดอร่อย
             “จริงเหรอ!?” ซากุระประกบมือด้วยความดีใจ “ฉันลองเพิ่มปริมาณน้ำตาลนิดหน่อยน่ะ ตอนแรกยังกังวลอยู่เลยว่ามันอาจจะหวานไปก็ได้”
             “ไม่เลยๆ แบบนี้กำลังดีเลยล่ะ ชั้นชอบมากเลย”
             “งั้นเหรอจ้ะ ถ้าทำไข่ม้วนอีกฉันจะใช้สูตรนี้ตลอดเลยละกันนะ~”
             ทั้งสองคนหัวเราะคิกคักแล้วยิ้มร่าให้แก่กัน อากาศในวันนี้อยู่ในระดับกำลังดีซึ่งเหมาะแก่การพักผ่อน และยังเป็นโชคดีของเพื่อนชายที่วันนี้ยังไม่มีเรื่องวุ่นวายที่ทำให้เขาต้องออกไปต่อสู้ ทำให้สามารถมาทานมื้อเที่ยงสุดอร่อยของเพื่อนสาวได้ตามปกติ ซึ่งตามหลักแล้ว นี่จะต้องเป็นช่วงเวลาเที่ยงที่ทั้งสองคนจะต้องมีความสุขด้วยกันอย่างเต็มที่แน่ๆ
             แต่กระนั้น ในใจของเพื่อนสาวกลับมีความทุกข์เล็กน้อยซ่อนอยู่…
 
             ‘การที่เธอเลือกคบกับชายคนนั้นน่ะ…คิดดีแล้วเหรอ…?’
             เนื่องจากพูดของเพื่อนทวินเทลที่เธอได้ฟังก่อนมาที่นี่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว แต่กระนั้น  มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นต้นกำเนิดของความทุกข์เลยแม้แต่น้อย
             ‘มันต้องเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว…ก็ไวเวิร์นไม่ได้ทำอะไรผิดแม้แต่น้อยนี่นา…’
             เพราะคำตอบของคำถามนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว เธอรู้ดีกว่าใครว่าชายข้างตัวไม่มีทางทำเรื่องเลวร้ายอย่างฆ่าคนตายแน่นอน นั่นคือสิ่งที่เธอเชื่อมั่น และมันก็จะไม่มีวันสั่นคลอน ไม่ว่าจะถูกถามคำถามนี้ซักกี่ร้อยครั้ง ก็จะขอยืนยันคำตอบเดิมอยู่ทุกครั้งไป
             ถ้าอย่างนั้น แล้วอะไรคือบ่อเกิดของความทุกข์ในใจเธอกันล่ะ?
             ‘ทั้งอย่างงั้น ทำไมทุกคนถึงไม่เชื่อใจไวเวิร์นซะทีล่ะ…?’
             นั่นก็เพราะคำพูดนั้นทำให้เธอตระหนักถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น ไวเวิร์นก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฆาตกรมาโดยตลอด ถูกคนทั้งโรงเรียนหวาดกลัว ถูกตั้งฉายาว่ามังกรคลั่งเลือด กลายเป็นคนที่ไม่มีใครอยากที่จะเข้าใกล้ แม้ว่าเรื่องจะผ่านมาสามปีแล้ว แต่ทุกคนก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลบล้างเรื่องนี้ออกไปจากสมองเลย
             ซึ่งเธอก็อดที่จะเก็บมันมาคิดไม่ได้…จนทำให้เกิดความทุกข์อยู่ในใจที่ไม่อาจพูดออกไปได้
 
             “ซากุระ…เฮ้…ซากุระ!?”
             “อ…เอ้ะ…เอ้ะ!?” เพื่อนสาวสะดุ้งอย่างกะทันหันเนื่องจากถูกอีกฝ่ายเขย่าตัวจนต้องกลับมาจากภวังค์ “อะไร!? เกิดอะไรขึ้นเหรอ!?”
             “ชั้นต่างหากล่ะที่ต้องถามแบบนั้น จู่ๆ ซากุระก็ทำสีหน้าอมทุกข์ออกมา ชั้นเรียกตั้งหลายครั้งก็ไม่ยอมตอบ ชั้นตกใจแทบแย่แน่ะ…”
             “เอ๋!? ฉ…ฉันน่ะเหรอทำหน้าอมทุกข์!?”
             เพื่อนสาวเกิดอาการลนลานเนื่องจากเธอไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเผลอแสดงอาการแบบนั้นออกไป
             “ม…ไม่เอาน่า~ ฉันก็แค่คิดอะไรนิดหน่อยจนเผลอเหม่อไปเท่านั้นเอง~”
             แต่เธอก็รีบกลบเกลื่อนอาการด้วยการปั้นหน้ายิ้มอย่างรวดเร็ว
             “ซากุระ…บอกความจริงมาเถอะ…”
             แต่ฝ่ายเพื่อนชายกลับดูออกได้อย่างง่ายดาย ทำให้เพื่อนสาวต้องสบสายตาที่แฝงความกังวลของอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะก้มหน้าลง
             “ฉันทะเลาะกับยูริจังและอิซุมิจังนิดหน่อยน่ะ…”
             และยอมพูดความจริงออกมาแต่โดยดี
             “ทะเลาะกัน? เพราะอะไรถึงได้ทะเลาะกันล่ะ?”
             “ร…เรื่องนั้น…”
             เธอรู้สึกกลัวที่จะตอบจนเผลอหลบสายตาอีกฝ่าย ซึ่งการกระทำนั้นเป็นการบอกคำตอบทางอ้อมให้อีกฝ่ายอย่างชัดเจน
             “เพราะชั้น…งั้นเหรอ…?”
             “ม…ไม่ใช่นะ…ค…คือว่า…”
             สาวผมน้ำทะเลพยายามคิดหาข้อแก้ตัว แต่เธอก็นึกหาข้อแก้ตัวดีๆ ที่จะทำให้อีกฝ่ายเชื่อไม่ออกเลย ทำให้เธอได้แต่มองดวงตาของอีกฝ่ายด้วยความกระอักกระอ่วนเท่านั้น
             แต่ในขณะที่บรรยากาศกำลังดำเนินไปเช่นนั้น…
 
             แอ้ด~
             เสียงประตูดาดฟ้าที่ถูกเปิดออกทำให้ทั้งสองต้องเบนความสนใจหันไปทางต้นเสียง ตาของทั้งสองเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เพราะตามปกตินอกจากพวกเขาแล้วไม่เคยมีใครขึ้นมาที่ดาดฟ้าช่วงเที่ยงเลย แถมคนที่โผล่มาจากหลังประตูก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหน…
             “ยูริจัง…อิซุมิจัง…”
             แต่เป็นเพื่อนสาวทั้งสองผู้อยู่ห้องเดียวกับซากุระนั่นเอง
             “ไวเวิร์น อัลเดน่า พวกเราขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย?” อิซุมิเดินตรงไปหาหนุ่มผมดำโดยมีเพื่อนสาวแว่นตามมาติดๆ
             “เอ้ะ? ก…กับชั้นเหรอ?” ไวเวิร์นชี้ที่ตัวเองอย่างไม่มั่นใจ ตัวเขารู้จักยูริกับอิซุมิอยู่แล้วเนื่องจากซากุระเล่าให้ฟังบ่อยๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากันตรงๆ จึงแปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายต้องการคุยกับตัวเอง
             “ย…ยูริจัง อิซุมิจัง นี่มัน…เรื่องอะไรกัน…?” ซากุระมองทั้งสองด้วยความกลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
             “ไม่ต้องห่วงหรอก” เพื่อนสาวแว่นหันไปยิ้มบางๆ “พวกเราแค่อยากจะจัดการปัญหาให้มันจบๆ ไปน่ะ”
             ถึงเธอจะพูดแบบนั้น แต่สายตาตึงเครียดซึ่งอยู่หลังแว่นก็ไม่ชวนให้คำพูดนั้นมีน้ำหนักเอาซะเลย สายตานั้นยังคงจับจ้องไปยังชายผู้ถูกเรียกว่ามังกรคลั่งเลือดอย่างไม่กระพริบ โดยมีเพื่อนทวินเทลที่ทำเช่นเดียวกันยืนอยู่เคียงข้าง
             “ย…ยูริจัง…พ…พร้อมมั้ย…?”
             “อ…อืม…”
             ทั้งสองรู้สึกเกร็งจนตัวสั่น แต่ก็พยายามข่มเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายเห็น เวลาแห่งความเงียบผ่านไปหลายวินาทีก่อนที่ทั้งสองจะผลัดกันพูดออกมา
             “ว…ไวเวิร์น อัลเดน่า…ถ…ถ้าไม่รังเกียจ…”
              “ช…ช่วยเป็นเพื่อนกับพวกเราด้วย…ได้มั้ยคะ…?”
 
             “อ…เอ๋…?”
             เพื่อนชายเบิกตากว้างและอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
             “ม…เมื่อกี้…พูดว่าอะไรนะ…?”
             “ธ…โธ่…พวกเราว่าพวกเราพูดชัดเจนแล้วนะคะ…”
             อิซุมิค้อนอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
             “พวก~เรา~ต้อง~การ~เป็น~เพื่อน~กับ~คุณ~ค่ะ~”
             ก่อนที่จะทวนคำพูดอีกครั้งโดยออกเสียงแต่ละพยางค์อย่างหนักแน่น
             “อ…อิซุมิจัง…ย…ยูริจัง…”
             ซากุระยังคงทำหน้าอึ้งอยู่เช่นเดิมเมื่ออีกฝ่ายทวนคำพูดซ้ำ เธอต้องใช้เวลาประมวลผลหลายวินาที ก่อนที่ริมฝีปากจะเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
             “ในที่สุด…ก็ยอมเชื่อฉันแล้วสินะ…”
             พร้อมกับน้ำตาแห่งความตื้นตันใจที่เริ่มมาคลอที่ดวงตาสีมรกต
             “ก็…นะ…ที่จริงพวกเราควรจะเชื่อซากุระจังมาตั้งนานแล้วล่ะ”
             สาวแว่นยิ้มบางๆ ที่ริมฝีปาก
             “รู้มั้ย เวลาซากุระจังพูดถึงไวเวิร์น อัลเดน่าทีไร เธอมักจะยิ้มและหัวเราะเสมอ รอยยิ้มนั่น…มันเหมือนกับรอยยิ้มตอนที่อยู่กับพวกเรา…ไม่สิ แตกต่างออกไปนิดหน่อย…มันดูเปล่งประกายและแสดงออกถึงความสุขที่เปี่ยมล้ม…ราวกับว่าคนที่อยู่ด้วยเป็นคนที่อยู่ในระดับสูงกว่าเพื่อนสนิท…ซึ่งคนที่ทำให้ซากุระจังยิ้มแบบนั้นได้…ไม่มีทางทำเรื่องโหดร้ายอย่างการฆ่าคนได้หรอก…ิ”
             ดวงตาหลังแว่นเริ่มฉายแววแห่งความสำนึกผิดออกมา
             “ฉันน่าจะรู้อยู่แล้วแท้ๆ แต่ดันมัวเชื่อในข่าวลือจนเผลอมองข้ามเรื่องนี้ไปซะได้…ขอโทษนะ”
             “ฉ…ฉันเองก็…ต้องขอโทษเหมือนกัน…”
             เพื่อนสาวทั้งสองก้มหน้าแสดงการขอโทษ ผู้มีผมสีน้ำทะเลส่ายหน้าสองสามครั้งแล้วยกมือปาดน้ำตา
             “แค่ยูริจังกับอิซุมิจังยอมเข้าใจได้…ฉันก็ดีใจแล้วล่ะจ้ะ~”
             รอยยิ้มแห่งความปลื้มปิติเผยออกมาจากริมฝีปากนั้น สองสาวผู้เห็นเพื่อนยอมอภัยให้แต่โดยดีก็พลอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเช่นกัน
             “เอ้าๆ~ ไวเวิร์นเองก็พูดอะไรบ้างสิ~ มัวแต่นิ่งเฉยอยู่นั่นแหละ~”
             “เอ้ะ!? อะ…อื้ม!!”
             สาวน้อยผู้กลับมาอารมณ์ดีใช้ศอกกระทุ้งเบาๆ ที่สีข้างเพื่อนชาย ทำเอาผู้ตัวแข็งทื่อจากอาการไม่เชื่อหูตัวเองกลับมามีสติอีกครั้ง ก่อนจะหันสายตาไปทางสาวทั้งสองที่กลับมาจ้องเขาอีกครั้ง
             “ล…แล้ว…คำตอบ…ของนายล่ะ…?”
             เสียงแผ่วเบาที่แฝงความกลัวเล็กน้อยดังออกมาพร้อมกับสายลมอ่อนๆ ที่พัดผมทรงทวินเทลจนพลิ้วไหว นัยน์ตาสีดำจ้องร่างนั้นสลับกับร่างสาวแว่นเคียงข้างอยู่ชั่วครู่…
             “อืม ได้สิ…”
             ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะเผยรอยยิ้มออกมา
             “มาเป็นเพื่อนกันเถอะ~”
             คำตอบที่ไร้ซึ่งความลังเลทำเอาสองสาวอ้าปากค้างเล็กน้อย ตอนแรกเธอคิดว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธเพราะเรื่องที่เคยถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรซะอีก พอได้เห็นอีกฝ่ายตอบอย่างไร้ลังเลเช่นนี้ ก็เลยอดที่จะตกใจไม่ได้
             แต่เพียงไม่กี่วินาที อาการตกใจก็ค่อยๆ หายไปจากใบหน้าทั้งสอง และถูกทดแทนด้วยรอยยิ้มที่ค่อยๆ เบ่งบานออกมา
             “ขอบคุณนะ~”
             “อ…อื้ม…”
             รอยยิ้มนั้นช่วยยกระดับความน่ารักของทั้งสองจนดูเด่นชัดขึ้น จนแม้แต่เพื่อนชายก็ยังออกอาการหน้าแดงนิดๆ ด้วยความเขิน
             ‘ซากุระจัง…ได้ผู้ชายแบบนี้มาอยู่ข้างกายเนี่ย…น่าอิจฉาจังเลยน้า~’
             เพื่อนสาวทั้งสองแอบทอดสายตาไปยังเพื่อนผมน้ำทะเลอย่างมีเลศนัย ซึ่งสาวใสซื่อไม่ได้เข้าใจความหมายของมันเลยแม้แต่น้อย
 
             “เอ…ถ้างั้น…ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว…” ซากุระทำท่าครุ่นคิดก่อนที่จะเอามือประสานกัน “ยูริจังกับอิซุมิจังก็มากินข้าวด้วยกันซะเลยสิ~”
             “เอ๋? จะดีเหรอ?” ยูริมองคู่ชายหญิงสลับกันอย่างลังเล “เกรงว่าพวกเราจะกลายเป็นก้างขวางคอทั้งสองเอานา…”
             “โธ่…ก้างขวางคออะไรกันเล่า นานๆ ทีกินข้าวกันหลายคนเองมันก็ไม่เลวหรอก เนอะไวเวิร์น~”
             “อ…อื้ม~ กินข้าวกันเยอะๆ ก็น่าสนุกดีออกนะ”
             คู่ชายหญิงยืนยันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สาวทั้งสองหันมองหน้ากันเองแล้วยิ้มออกมาพร้อมกัน
             “ถ้างั้นก็…”
             “พวกเราขอร่วมวงด้วยล่ะกันนะ~”
             เสียงพูดคุยดังสนั่นพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักแผ่กระจายไปทั่วดาดฟ้าอย่างไม่มีหยุด ตลอดช่วงเวลาพักเที่ยงของวันนั้น สิ่งที่วงกินข้าวซึ่งประกอบไปด้วยชายหนึ่งหญิงสามได้รับ คือรสชาติของอาหารที่อร่อยกว่ายามปกติหลายเท่า และรอยยิ้มที่มาจากการคุยเล่นกันอย่างสนุกสนานตลอดช่วงเวลานั้น เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขโดยไร้ซึ่งความทุกข์ใดๆ เจือปนทั้งสิ้น
             แต่หากถามว่าในตอนนั้นใครเป็นคนที่มีความสุขที่สุด ก็สามารถตอบได้ทันทีว่าไวเวิร์น อัลเดน่า
             ทำไมน่ะเหรอ?
             เพราะในที่สุด คำสาปที่เป็นเงาตามตัวเขามาตลอด ก็เริ่มจางหายลงไปอีกขั้นนึงแล้ว
 
             “เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว”
             ไวเวิร์นยัดหนังสือเล่มสุดท้ายลงกระเป๋าสะพายก่อนที่จะยกขึ้นสะพายเฉียงกับบ่า ในวันนี้เขากลับช้ากว่าปกติเนื่องจากว่าเป็นเวรทำความสะอาดห้อง ซึ่งกว่าเขาจะทำเสร็จ เวลาก็ล่วงเลยจนท้องฟ้าถูกย้อมไปด้วยสีส้มแล้ว
             “มื้อเย็นวันนี้ซากุระจะทำอะไรให้กินน้า~?”
             เขากล่าวอย่างสบายอารมณ์ในขณะที่เดินไปตามระเบียงทางเดิน ด้วยผลพวงจากเรื่องเมื่อตอนเที่ยง ทำให้ตอนนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษยิ่งกว่าตอนไหนๆ
             ‘อีกไม่นาน ทุกคนจะต้องกลับมาเชื่อชั้นเหมือนเดิมแน่’
             ใช่แล้ว นี่แหละสิ่งที่เขาต้องการ ตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น เขาก็ต้องทนรับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์มาตลอด ทั้งสายตาหวาดกลัวและเกลียดชังจากคนทั้งโรงเรียน ทั้งยังคำพูดอันแสนโหดร้ายที่เรียกเขาว่าฆาตกรบ้างล่ะ มังกรคลั่งเลือดบ้างล่ะ ล้วนแต่เป็นสิ่งโหดร้ายกับคนที่ไม่ได้ทำผิดแม้แต่น้อยทั้งสิ้น
             แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังพยายามมาตลอด ไม่เคยทำเรื่องแย่ๆ กับใคร ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร แม้จะถูกทำร้ายด้วยคำพูดก็ไม่เคยตอบโต้ เชื่อมาตลอดว่านั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็น ว่าคนอย่างเขาไม่มีทางเป็นฆาตกรได้
             และในวันนี้ ผลของความพยายามนั้นก็เริ่มสัมฤทธิ์ผลแล้ว เขาได้เพื่อนเพิ่มมาถึงสองคน เป็นเพื่อนที่ยอมเชื่อในตัวเขาอย่างแท้จริง มันทำให้หัวใจเขาพองโตเป็นอย่างยิ่ง เพราะนั่นแปลว่าอีกไม่นาน ทุกคนก็จะยอมเชื่อในสิ่งที่เขาพยายามบอกมาตลอดแน่ๆ
             และเมื่อถึงตอนนั้น เขาจะได้ถูกปลดปล่อยจากคำสาปที่มีชื่อว่ามังกรคลั่งเลือดเสียที…
 
             “อ๊าก~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
             “!!”
             ยังไม่ทันที่ร่างผมดำจะได้ก้าวพ้นเขตโรงเรียน เสียงกรีดร้องที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็แผ่ซ่านไปทั่วทั้งโรงเรียน ทำให้ร่างที่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนต้องหันหลังกลับไปอีกครั้ง
             “เสียงนั่น…รู้สึกมาจากทางหลังโรงยิมสินะ…”
             ไวเวิร์นถีบตัววิ่งไปทางต้นเสียงทันที เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นอย่างหนักแน่นและถี่รัวเป็นสัญญาณบอกว่าเขาออกแรงวิ่งอย่างสุดกำลัง สีบนใบหน้าซีดลงเล็กน้อยพร้อมกับเหงื่อที่เริ่มไหลออกมา เป็นการบอกว่ารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีกับเสียงนั้นเลย
             ‘ขออย่าให้เป็นอย่างที่ชั้นคิดทีเถอะ…’
             และเมื่อร่างผมดำวิ่งไปถึงหลังโรงยิม ภาพที่ฉายผ่านม่านตาก็ทำให้เขาช็อกจนแทบล้มทั้งยืน
 
             ที่นั่นมีร่างในชุดนักเรียนอยู่สามร่าง ร่างแรกเป็นชายผมสั้นรูปร่างท้วมนิดๆ ร่างที่สองเป็นผู้หญิงผมยาวตัวเล็ก และร่างที่สามเป็นชายผมหยิกรูปร่างผอมสูง ทั้งสามร่างถูกจับแขวนในลักษณะห้อยหัวด้วยเชือกที่แดงซึ่งเป็นตัวเชื่อมระหว่างกิ่งของต้นสนใหญ่หลังโรงยิมและเท้าของผู้เคราะห์ร้าย  ร่างทั้งสามไร้ซึ่งการตอบสนอง ไร้ซึ่งการหายใจ หรือพูดง่ายๆ ก็คือตายแล้วนั่นเอง
             ร่างทั้งสามมีผิวขาวซีดซึ่งเกิดจากการเสียเลือดมากเกินไป บริเวณคอมีรอยแผลสดใหม่ซึ่งเพียงแค่มองก็รู้ได้ว่าเกิดจากการถูกของมีคมแทงจนทะลุถึงหลังคอ เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากบาดแผลจนทำให้พื้นบริเวณนั้นกลายเป็นแอ่งเลือด เป็นภาพที่ชวนสยดสยองจนไม่ว่าใครก็ไม่อยากที่จะจดจำมันไว้ในสมองอย่างแน่นอน
             “นี่มัน…ฝีมือใครกัน…”
             ไวเวิร์นพยายามตั้งสติแล้วหันไปรอบตัวเผื่อว่าคนร้ายจะยังอยู่แถวนั้น แต่น่าเสียดายที่แถวนั้นไม่เหลือร่อยรอยของสิ่งมีชีวิตอยู่เลย เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะหาต่อ เขาจึงตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปหาร่างทั้งสาม เพราะคิดว่าคนร้ายอาจจะเผลอทิ้งเบาะแสเอาไว้ก็ได้
             “นั่นมัน…”
             สายตาของเขาสะดุดลงกับวัตถุชิ้นหนึ่งซึ่งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางแอ่งเลือด ร่างผมดำค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปอย่างช้าๆ ก่อนที่จะก้มตัวหยิบมันขึ้นมา
             “ไม่ผิดแน่…นี่คือาวุธของฆาตกร…”
             สิ่งที่อยู่ในมือซ้ายนั้นคือมีดสำหรับเดินป่าซึ่งยาวกว่าสามฟุต ตัวคมมีดมีความหนาและดูแข็งแกร่งอย่างมากจนไม่น่าแปลกใจเลยถ้ามันจะสามารถทะลวงคอคนจนทะลุได้
             “…ยังไงก็เถอะ…ต้องรีบแจ้ง…”
             “กรี๊ด~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!!!!!”
 
             แต่ก่อนที่ผู้ถือมีดจะได้ทำอะไรต่อ ก็มีเสียงกรี๊ดแสบแก้วหูซึ่งต่างไปจากครั้งแรกดังขึ้น  เขาหันไปทางต้นเสียง และพบกลุ่มคนในชุดนักเรียนนับสิบที่ดูเหมือนจะมารวมตัวกันที่นี่เพราะได้ยินเสียงกรีดร้องเหมือนกับเขา
             “ฆาตกร~~~~~~!!! ช่วยด้วย~~!!!! ฆาตกร~~~~~!!!”
             “มังกรคลั่งเลือด~~~!!! มังกรคลั่งเลือดฆ่าคนอีกแล้ว~~~~~~~~~~~~~!!!!!”
             เสียงแหกปากอย่างสติแตกของคนหลายคนแผดออกไปทั่วโรงเรียน ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้คนกลุ่มนั้นไม่อาจตั้งสติต่อไปได้ บางคนถึงกับทรุดลงพื้นและอ้วกแตกอ้วกแตน คนที่จิตแข็งจนฝืนตัวเองให้ยืนอยู่ได้ก็ยังมีอยู่ แต่ก็ทำได้แค่ยืนตัวสั่นงกๆ อย่างไม่อาจขยับไปไหนได้
             “ม…ไม่ใช่นะ…”
            ผู้ถือมีดออกอาการหายใจหอบราวกับมีอะไรไปหลุดหลอดลมเอาไว้ ใบหน้าซีดเซียวและเต็มไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาไม่หยุด ร่างกายถูกความกลัวเข้าครอบงำจนไม่อาจทำงานได้ดั่งใจ ความรู้สึกเหล่านี้…เขาจำมันได้เป็นอย่างดี…เพราะมันเหมือนกับตอนนั้น….
            เหมือนกับเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนไม่มีผิด!!
             “ไม่ใช่นะ!! ชั้นไม่ได้…”
             “ว้าก~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!”
             ยังไม่ทันที่ผู้ถือมีดจะได้พูดอะไรต่อ ร่างของนักเรียนชายตัวใหญ่ที่ดูเหมือนจะเอาชนะความกลัวได้ก็พุ่งเข้ามาอย่างห้าวหาญ หัวไหล่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อหันเข้าใส่ร่างตรงหน้า และกระแทกเข้าที่หน้าอกอย่างเต็มแรง
             “อ้อก~!!”
             แรงกระแทกส่งผลให้ร่างสมส่วนกระเด็นถอยหลังไปกระแทกกับพื้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บมากมายนัก ผู้ถูกกระแทกใช้มือดันตัวเพื่อลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ซึ่งก่อนที่เขาจะทำมันได้สำเร็จ…
             “ว้าก~~~~~~~~~~~~~~!!!!”
             ชายตัวใหญ่และนักเรียนชายอีกสี่คนก็กรูเข้ามารุมร่างนั้น และเข้าล็อคส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายขยับได้
             “รีบแจ้งตำรวจซะ!! แล้วก็ไปหาเชือกหรืออะไรมามัดเจ้าฆาตกรนี่ด้วย!!” เสียงทุ้มของหนึ่งในห้าชายตะโกนบอกคนที่เหลือ
             “ไม่ใช่นะ!! ชั้นไม่ใช่ฆาตกร!!”
             “ยังจะกล้าโกหกอีก!! คิดว่าพวกเราจะเชื่อคำพูดของแกรึไง!?”
             “ใช่ๆ!! หลักฐานก็เห็นตำตาชัดๆ!! ไอ้ฆาตกร!!”
             “แกสมควรตาย!! ไอ้มังกรคลั่งเลือด!!”
             “ไม่ใช่นะ!! ชั้นไม่ได้เป็นคนฆ่า!! เชื่อชั้นสิ!!”
             ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าไวเวิร์นจะพยายามอธิบายแค่ไหนก็ไม่เข้าหูคนเหล่านั้นแม้แต่น้อย นอกจากนี้ เสียงด่าทอของคนเหล่านั้นก็เป็นตัวกระตุ้นให้แผลเก่าในใจเปิดกว้างขึ้นมา เขาได้แค่คร่ำครวญอยู่ในใจ ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ทั้งๆ ที่เริ่มมีคนกลับมาเชื่อใจเขาแล้ว ทั้งๆ ที่คิดว่าจะได้หลุดพ้นจากคำสาปอันน่ารังเกียจเสียที แล้วทำไม…ทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นอีก…
             นี่ตัวเขา…จะไม่มีวันหลุดพ้นจากคำสาปนี้ไปตลอดชีวิตเลยงั้นเหรอ….
             “โธ่เว้ย…..โธ่ว้อย~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!!!!!!!!!!!!!”
 
             ‘หึๆๆๆ เป็นไปตามแผน~’
             นั่นคือความคิดของค้างคาวสีดำตัวหนึ่งซึ่งซุกซ่อนอยู่ในดงใบไม้ของต้นสน ซึ่งคอยจับตาดูเหตุการณ์เบื้องล่างมาตลอด
             ‘ถูกใจกับของขวัญสุดพิเศษที่ข้าเตรียมให้รึเปล่า ไวเวิร์น อัลเดน่า~’
             นัยน์ตาสีโลหิตจ้องไปยังร่างที่ได้แต่ครวญครางอย่างสิ้นหวัง ริมฝีปากของมันโค้งขึ้นและเผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ ราวกับว่ามันกำลังยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ
             ‘หวังว่าแกคงจะไม่ไปตายในห้องขังซะก่อนล่ะ เพราะความสิ้นหวังที่แท้จริงน่ะ…มันพึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง!!’
             ร่างสีดำกางปีกทะยานสู่ท้องฟ้า และส่งเสียงกี้ๆ อย่างต่อเนื่องราวกับจะเป็นการหัวเราะเยาะผู้อยู่เบื้องล่างไปตลอดทาง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา