ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )
เขียนโดย Wuzhenni
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.
แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) (แก้ไขเสร็จแล้ว)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ปวงโชคในชุดเสื้อกล้ามสีขาว เผยให้เห็นกล้ามแขนล่ำๆบวกกับหน้าอกกว้างหนาพอเหมาะพอดีของคนที่ชอบเข้าฟิตเนตอยู่เป็นประจำ ใบหน้าเรียวคมยื่นเข้าหากระจกก่อนจะเบี่ยงตัวให้เห็นโหนกแก้มข้างซ้ายอย่างชัดเจน คิ้วหนาได้ทรงขุดขมวดเข้าหากัน นื้วหยาบกระด้างเอื้อมไปแตะบาดแผลที่ถูกปิดปลาสเตอร์เอาไว้เป็นอย่างดี แต่มิวาย...พอแตะจับทีไหร่ สะดุ้งโหยงยังกับถูกไฟฟ้าสิบโวลต์ช็อตเข้าใส่หน้า
แม่งเอ๊ย....หน้าหล่อๆกู เสียหมด
จะได้ตอกบัตรเข้าวุฒิศักดิ์คลินิกอีกรอบซะละม้างเนี่ย แผลยาว...น่ากลัว ประเดี๋ยวจะกลายเป็นแผลเป็น
ที่นี้ละ....ยุ่งฉิบหายหมาตายยกครอกแน่
เขาบ่นงึมงำไปเรื่อย พลางนั่งไขว่ห้าง เอนกายอันบึกบึ้นระนาบเข้ากับพิงพนักโซฟาหนังหมีควายอย่างแช่มช้า
เปลือกตาที่ถูกประดับด้วยขนตาสีดำเรียงสวยเป็นระเบียบน่ามองค่อยๆพริ้มลง ประกบหนังตาล่างให้ประกบแนบชิดกัน
ความเหนื่อยล้าที่ถูกสะสมมาทั้งวัน ค่อยๆปลดปล่อยจากกล้ามเนื้อที่คลายตัวลง
มุมปากแย้มเล็กน้อย เมื่อมโนจิตมโนฝันฉายภาพของคนคุ้นเคย
หญิงสาวร่างปราดเปรียว สวยเฉี่ยว เด็ดขาด
สีหน้าในยามที่มันเฉาะเลาะ โครตน่าหมั่นไส้ แต่ก็ดูน่ารักน่าหยิกในเวลาเดียวกัน
แปลก...ที่คนสวย ทั้งหน้าตาและความรู้ จะไม่มีหนุ่มใดชายตามอง
ถึงแม้จะอารมณ์เหวี่ยง ขี้วีน ปากตลาดจัดจ้านไปบ้างตามเวลาที่องค์ลง
แต่ก็ไม่คิดว่า จะเป็นสาวทึกทึนไม่มีใครเอาอย่างที่ใครหลายคนว่าไว้จริงๆ
" สาวทึกทึน ไม่มีใครเอา โบราณว่า...เป็นสาวดุ หยิ่งทระนง รักศักดิ์ศรีของตัวเอง ประเภทยืนใกล้ตัว หัวหลุดบ่า.... "
เสียงภายในใต้ทรวงดังแทรกขึ้นมา ชายหนุ่มยิ้มรับพร้อมส่งเสียงตอบกลับด้วยอารมณ์เพลินใจเป็นที่สุด
"ยืนห่างกันแค่คืบ หัวก็ยังอยู่ไม่ได้หลุดไปไหน "
" แล้วรู้ได้ยังไง...ว่าเขาจะไม่อยากเด็ดหัวแกออก" เสียงปริศนายังคงดังแทรกซ้อนเข้ามาอีก
เขาหยุดนิ่ง สั่นหัว แต่รอยยิ้มกลับฉายชัดถึงสิ่งที่มั่นใจในความคิดของตน
" ถ้ามันอยากจะฆ่าฉัน มันคงไม่ปล่อยให้ฉันลอยหน้าลอยตาใส่อยู่ทุกวันหรอก อารมณ์ว่า ถ้าไม่มีคู่ซ้อมแล้วจะนอนไม่หลับ เหมือนมีแฟนแล้วถ้าไม่โทรหาจะคิดถึง"
เขาหัวเราะเสียงเบาๆ คล้ายกับอยากจะให้ความสุขมีอยู่ที่เขาคนเดียวเท่านั้น
" หัวเราะไปเถอะ! คิดเองอยู่ฝ่ายเดียว เดี๋ยวแห้วจะลง..." เสียงปริศนานั้นเย้ากลับ ชายหนุ่มหยุดยิ้ม เปลือกตาทั้งสองเบิกกว้างออก ก่อนจะกลอกลูกตาไปที่ประตูหน้าห้องทันที
“คุณปวงโชคครับ คุณท่าน เรียกพบครับ"
เด็กหนุ่มในชุดของคนใช้ประจำบ้านเปิดประตูห้องตะโกนเรียกคำสั่งด่วนจากบุคคลที่เรียกว่า “พ่อ”
“ ขี้เกียจ...จะนอนแล้วเว้ย!! ”
เขาลุกขึ้น ทำท่าบิดขี้เกียจ เตรียมจะก้าวเท้าเดินไปที่เตียงนอนหนานุ่มขนาดบิีกไซส์ แต่ทว่า..เจ้าเด็กคนใช้กลับมองเขาด้วยสีหน้าสงสัยยิ่ง
“ คุณปวงโชค หน้าคุณ...ไปโดนอะไรมา ทำไมถึงเป็นแผลใหญ่น่ากลัวอย่างงั้น”
“ปากกาข่วนหน้ามั้ง? เอ้อ! จะเสือกอยากรู้อะไรด้วยนักหนา? ไปไป จะนอนแล้ว วู้...”
“นอนไม่ได้นะครับ....คุณท่าน เรียกพบตอนนี้ครับ”
“ เรียกทำไม?” ชายหนุ่มหันหน้ามาถาม เจ้าเด็กน้อยอายุเพิ่งแตกหนุ่มสั่นหน้า บ่งบอกถึงความไม่รู้อะไรเลย
ปวงโชคเกาหัวแกรกๆ ร้อยวันพันปี คนที่มีตำแหน่งเป็น พ่อ ไม่เคยจะเอ่ยเรียกหาเขาเลยซักครั้ง
จะเรียกไปตักเตือนเรื่องที่ก่อเหตุไว้เมื่อเย็นก็คงไม่ใช่ เพราะคำว่า "ใส่ใจ" และ "ห่วงใย" ไม่เคยจะถูกแสดงออกให้เขาได้ซาบซึ้งถึงมันเลยซักครั้งเดียว
เด็กหนุ่มในชุดพ่อบ้านกึ่งคนสวนเล็กน้อย โน้มตัวเดินผ่านร่างยักษ์สุวรรณที่ตอนนี้กำลังยืนกอดอก สีหน้าปั้นปึ่ง บ่งบอกอารมณ์ในยามนี้ได้เป็นอย่างดี
" ทำไมปิดม่านไว้ล่ะครับ....เช้าแล้ว เปิดม่านออกจะดีกว่านะครับ แสงจะได้เข้าห้อง ห้องจะได้ไม่อบ"
ปวงโชคหัวเราะหึๆ อยู่ในใจ
ตัวกระเปี๊ยกเดียว แต่พูดจายังกับคนแก่สอนเด็ก ดีนะ...ที่วันนี้เพลียจัด เลยขี้เกียจคิดหาคำถากถางใส่มัน
" ฉันอยากจะนอนต่อ ก็เลยปิดม่านไว้อย่างนี้แหล่ะ..." เสียงของชายหนุ่มบ่งบอกอาการเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะตบท้ายอ้าปากหาวหวอดๆให้เห็นเป็นของแถม
" ถ้าจะหาวก็ต้องปิดปากด้วยสิครับ ทำแบบนี้....ไม่ดีเลยนะ คุณปวงโชค"
" ฉันเป็นผู้ชายนะเว้ย!!! ไม่ใช่ผู้หญิง จะให้ทำตัวชะม้ายคล้ายนางสาวไทยทำไม? ยิ่งอ้าปากกว้างๆตอนหาวน่ะ อ๊อกซิเจนจะได้เข้าไปเลี้ยงในสมองเยอะๆ จะได้หายง่วง"
" นั้นละครับ...มันดูไม่สุภาพ" ยังคงตอกย้ำด้วยสีหน้าพ่อบ้านหน้าอ่อนตามเดิม
ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับมันจริงวุ้ย.....นิสัยก๊อปปี้มาจาก ลุงนนท์ พ่อบ้านคนก่อนไม่มีผิดเพี้ยน
หรือไม่ก็อาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ!
" คุณปวงโชค รีบอาบน้ำแต่งตัวลงไปหาคุณท่านที่ข้างล่างเถอะครับ อย่าปล่อยให้คุณท่านรอนานเลย เห็นท่านว่า จะมีแขกมาเยี่ยมบ้านน่ะครับ"
" อ้าว..แล้วไหนตอนแรกฉันถามว่า เรียกทำไม ธุระอะไร ทำไมสั่นหัวล่ะ.ห่ะ!! ถ้าบอกว่ามีแขกมา ฉันจะได้รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วๆ"
" ก็คุณปวงโชคถามว่า เรียกทำไม? ไม่ได้ถามว่า ใครจะมา? หนิครับ ถ้าตั้งคำถามใหม่ เป็น..เรียกทำไม ใครจะมา....แบบนี้ ผมถึงจะตอบได้ถูก"
ปวงโชคมองตาปริบๆ นี้ควรจะยกเท้าถีบมันออกจากห้อง หรือ เอากรรไกรเสียบพุงมันดีว่ะเนี่ย
สอนเลยข้ามหัวผู้ใหญ่บ่อยเหลือเกินนะ ไอ้เด็กบ้า!!
เหน็บแหนมเก่งดีทีเดียว มันน่าจะลองลากไอ้พ่อบ้านหน้าอ่อนนี้ไปประชันฝีปากกับนังหน้าสวยนั้นซักหน
คงจะนั่งดูกันมันส์หยดชนิดเหมือนนั่งดูมวยลมปากระหว่าง คุณครูหน้าใสกับพ่อบ้านวัยกระเตาะ เป็นแน่...
" เออๆ เดี๋ยวลงไป...." เขาโบกมือไล่คุณพ่อบ้าน ก่อนจะคว้าผ้าขนหนูผืนโตพาดไว้บนบ่า พลางยืนเท้าเอว สีหน้าครุ่นคิด เอ๊ะ..เรียกไปทำไมกัน
แขกคนสำคัญที่มาเยี่ยม..ก็มีแต่พวกนักธุรกิจ ข้าราชการชั้นแนวหน้า
ถ้าไม่มาเยี่ยมจริง ก็ลากเจ้าของบ้านออกไปเยี่ยมเยียนทักทาย "นังบ้านเล็ก" เป็นประจำสม่ำเสมอ
น้อยครั้งนัก....ที่จะเรียกหาให้เขายืนเป็นแจกันประดับบ้านไว้คอยต้อนรับแขกจริงๆจังๆ
เอาเถอะ!!! เดี๋ยวก็รู้ว่าใครมา
แต่ถ้าเป็น อีนังบ้านเล็กบ้านน้อยที่อยากไต่เต้าเป็นคุณนายบ้านนี้ล่ะก็
พ่อจะจับคว่ำ ถลกหนังหน้า ถอดหนังหัว ให้คุณพ่อบ้านหน้าอ่อนเอาไปชำแหละโยนทิ้งข้างคลองเลย ยังจะดีกว่ามาเสียเวลาอาบน้ำอาบท่ามาต้อนรับมันแบบนี้!!
ปวงโชครีบเดินออกจากห้องนอนในสภาพที่เกือบจะดูดี
เพราะแฟชั่นการแต่งตัวของเขา ไม่ใคร่จะดูมีมาดคุณหนูคุณชายของบ้านเท่าที่ควร
เสื้อเชิ้ตสีขาวปล่อยชายกับกางเกงยีนส์สีน้ำเงินแบรนด์ AIIZ ตัวโปรด พร้อมเครื่องประดับที่ตีวงล้อมซอกคอ
สร้อยเชือกสีแดง แขวนเนื้อหยกแท้ที่ถูกแกะสลักเป็นลายมังกรคู่คล้ายดั่งกำลังเหาะเหินท่ามกลางหมู่เมฆที่ถูกสลักไว้เป็นวงรอบ
เนื้อหยกเป็นสีเขียวเข้มแต่สว่างตาหน่อยๆเพราะมีเนื้อหยกสีขาวอ่อนแทรกปะปนอยู่ภายใน
คนอยู่ไกลหากมองดูเผินๆอาจไม่สะดุดตา แต่ถ้าได้เดินเฉียดเข้าใกล้แบบประชิดตัว....
ถึงจะรู้ได้ว่า..นี้คือ ผลงานอันวิจิตรซึ่งมิได้สรรค์สร้างจากน้ำมือของช่างไทยอย่างแน่นอน
คุณพ่อบ้านวัยเพิ่งพ้นเลขสิบห้า กำลังเดินนำหน้านายน้อยของบ้านด้วยกิริยาเสงี่ยมเจียมตัว แต่ดูสุภาพในคราวเดียว
ในขณะที่คนเดินตามดูเหมือน นักเลงตัวโต แต่ไร้ซึ่งอำนาจแบบคุณหนูคุณชายตามฐานะเสียจริงๆ
เมื่อเดินเข้าใกล้ถึงจุดนัดพบ คือ ห้องรับแขกกลางโถงบ้าน กลับไร้คนที่เป็นทั้งแขกและเจ้านายใหญ่ของบ้าน
อ้าว....เบี้ยวธุระกันรึไง..หายไปไหนกันหมด
" ทางนี้ครับ" คุณพ่อบ้านผายมือให้เขาเดินไปยังอีกห้องหนึ่ง
ห้องนั่งเล่นส่วนตัวที่เชื่อมต่อกับห้องทำงานของผู้เป็นบิดาในตำแหน่ง
ห้องที่เอาไว้ใช้รับแขกที่สนิทชิดเชื้อมากที่สุด....
" คุณปวงโชคมาแล้วครับ" คุณพ่อบ้านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงผู้ใหญ่เกินตัว ก่อนจะมีเสียงห้าวๆสะท้อนกลับออกมา
" เข้ามาได้"
คุณพ่อบ้านเปิดประตูเดินนำหน้าเข้าไปก่อน แล้วเบี่ยงหลบตัวไปยืนอยู่หลังประตู ปล่อยให้เขายืนจังก้า สบตากับผู้เป็นพ่อ และแขกอีกสองคนที่นั่งอยู่
แขกสำคัญที่เขาคิดเอาไว้ว่า...ไม่เพื่อนร่วมตำแหน่ง ก็เป็นพวกนังแม่เนื้ออ่อนทั้งหลายที่คอยกระดี้กระดานั่งไขว่ห้าง มารยาทแย่ยิ่งกว่าเขาเสียเป็นไหนๆ
ทว่า....ผู้มาเยือนทั้งสองกลับเป้นสิ่งที่เขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะกล้าเข้ามาเหยียบที่บ้านหลังนี้ของเขาได้
" อาปวงโชค" เสียงแหบแห้งของหนึ่งในแขกคนสำคัญขานชื่อเขาออกมาเบาๆ
ชายชราหนวดงามบนรถเข็นกำลังมองเขาด้วยสีหน้าปกติสุข พร้อมรอยยิ้มที่เจือจางตรงมุมปากทั้งสองข้าง แต่เขากลับไม่เห็นว่า นั้นคือรอยยิ้มแห่งความเป็นญาติมิตรแต่อย่างใด
ปวงโชคยืนนิ่ง ไม่ยกมือไหว้ตามธรรมเนียม แต่ยังคงยืนสบตา ไม่หวาดหวั่น จิตใจเริ่มร้อนรุ่มดุจดั่งเหมือนถูกวางเพลิงตรงกลางอก ทั้งๆที่อากาศภายในห้องนั้นเย็นเฉียบ
“ มีอะไรเหรอ พ่อ ” ชายหนุ่มหันไปเอ่ยปากถามผู้เป็นพ่อ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวไม่ห่างจากพ่อของเขาเท่าไหร่นัก
" จางกง มาเยี่ยมน่ะ" ผู้เป็นพ่อเอ่ยคำตอบแต่ยังคงก้มหน้าอ่านรายละเอียดอะไรบางอย่างในมือ พร้อมทั้งคาบซิการ์ราคาแพงไว้ในปาก
"เหรอ..." เขาเหยียดมุมปากนิดๆ ก่อนจะปล่อยให้ความเงียบเข้าทักทายผู้มาเยือนแทน
ความอึดอัดภายในห้องเริ่มมีมากเป็นทวีคูณ แต่อาคันตุกะที่ไม่พึงประสงค์สำหรับตัวเขา กลับดูสงบนิ่ง ดูสง่าตามวัย
อีกคนสภาพแห้งเหี่ยวแต่แววตาฉายชัดถึงอำนาจและบารมีที่ยังคงมีอยู่อย่างมากล้น ในขณะที่อีกคนซึ่งนั่งถัดออกไปไม่ไกลจากกันมากนัก
เป็นชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเรียบร้อย ดูเป็นผู้ใหญ่สมวัยกับใบหน้า เหตุเพราะเริ่มมีร่องรอยอารยธรรมที่กำลังถูกจารึกไว้รอบๆดวงตาและมุมปากบ้างเป็นบางแห่ง
ผิวพรรณขาวซีดมองไม่เห็นแม้แต่เลือดฝาด
ริมฝีปากบางจนเห็นรอยหยักคล้ายดั่งคันศรวางระนาบกับฝีปากล่างที่อวบอิ่ม
แถมยังโชคดีสองต่อกับสันจมูกและปลายจมูกที่โด่งเป็นสันเงาวาว หากมองแบบอคติก็คงจะคิดว่าไปเข้าคลินิกให้หมอยัดแท่งซิลิโคนใส่
ยกเว้นก็เสียแต่ดวงตาที่แข็งกระด้าง ไร้ความรู้สึกนั้น
ช่างน่ากลัว...
หากเมื่อเหลียวตากลับไปมองชายแก่คนข้างๆ
" จางกง กับ จางกู๋ เป็นพ่อลูกกัน....ไม่ผิดหรอกถ้าลูกจะถอดแบบมาจากพ่อ" เสียงๆหนึ่งกระซิบอยู่ข้างหู แต่ไร้ตัวตนที่มาของเสียงนั้น
แน่นอน...ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างจางกง และกำลังนั่งหันมามองเขาด้วยสายตาเย็นชาแกมดุดันเล็กน้อย
ความเย็นชาในแววตาบดบังรัศมีความหวานละมุนในดวงหน้างาม
หากแต่แววตาทั้งสองคู่ ทำให้หวนระลึกถึง "ภาพหลังของอดีต"
บุรุษที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาจากความแค้นของเขาเอง.....
จางกู๋.......ไอ้ฆาตกร!!!
ชาตินี้ทั้งชาติ.....จะไม่ขอนับญาติกับมัน จะไม่ยึดถือว่ามันเป็น "อา" น้องชายของแม่
คนที่ทำให้แม่ต้องทิ้งเขาไป......คนที่ทำให้แม่เขาจากเขาไปไม่มีวันหวนกลับอีก
ไม่วันหวนกลับมาทั้งร่างและ...วิญญาณ!!
“ อั๊ว ได้ข่าวว่า ลื้อเรียนจบแล้ว.....” ชายแก่เอ่ยถามเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
" ก็เรียนจบแล้ว เหลือแค่รอรับปริญญา" คนตอบก็ส่งตอบด้วยน้ำเสียงเรียบราบไม่แตกต่าง จนอาจจะเป็นการเฉยเมยต่อผู้มากวัยเสียด้วยซ้ำ
" อั๊วยินดีด้วยนะ อาหลานชาย"
" อืม...." น้ำเสียงที่ไม่พึงจะรับคำยินดีใดๆทั้งสิ้น ทำให้ผู้อาวุโสนั่งนิ่ง ไม่ซักถามอะไรให้เกิดอคติกับอีกฝ่ายต่อไป
คุณพ่อบ้านหน้าเด็ก เฉลียวตามองไปทีเงาประตู เงาสีดำที่กระทบส่องกับแสงในห้องกำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่ที่นอกประตูอยู่
"นั้น..ใครมายืนลับๆ ล่อๆ อะไรแถวนี้ ไปดูหน่อยสิ นันทิน...."
เสียงคำสั่งจากประมุขของบ้าน คุณพ่อบ้านที่เห็นเงานั้นตั้งแต่แรกก้มศรีษะรับคำสั่งก่อนจะหันหลังก้าวเท้าเดินไปเปิดประตูทันที
" อ่อ...รตา มีอะไรรึเปล่า?" คุณพ่อบ้านเอ่ยถามหญิงสาวร่างบางที่อายุไม่ใกล้ไม่ห่างจากชายหนุ่ม
" เห็นถือแก้วน้ำมาเยอะซะขนาดนี้ เอามารดน้ำต้นไม้มั้ง?" สาวเจ้าชูถาดแก้วน้ำให้เขาเห็น พลางทำท่าซวนเซเหมือนจะทรงตัวไม่ไหว
คุณพ่อบ้านนันทิน หรืออีกฉายาว่า คุณพ่อบ้านหน้าทมิฬ ยื่นนิ้วไปดีดหน้าผากสาวเจ้าตัวน้อย ก่อนจะคว้าถาดน้ำจากมือมา
" นี้แหน่ะ ทำไมไม่ให้คนอื่นขึ้นมาเสิร์ฟแทนเล่า เดี๋ยวก็ทำแก้วน้ำแตกหมด คุณท่านจะได้ด่าเข้าให้ มา..เดี๋ยวพี่ถือเข้าไปเอง เราน่ะ ลงไปช่วยป้าโอ่งทำครัวเถอะ... ตรงนี้ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว"
พูดจบประโยคก็เดินกลับเข้าไปในห้องพลางปิดประตูใส่เด็กหญิงที่ยืนหน้าบึ้งหน้างอนอยู่ข้างนอก
หากแต่เสียงประตูที่ปิดลง เบาจนแทบจะเงียบกริบ ไร้เสียงกึกกักให้ประมุขของบ้านและแขกที่มาเยือนนั้นตกใจ นับว่าเป็นคุณพ่อบ้านที่รักษามารยาทได้เป็นอย่างดีทีเดียว
" โอเค...ผมอ่านเอกสารของจางกู๋แล้ว อ่อ..ต้องขอประทานอภัย ผมไม่ชอบเรียกคนแบบมียศมีตำแหน่งนำหน้า ผมอยากเรียกแบบใกล้ชิดสนิทสนมกันซักหน่อย ไหนๆเราก็นับญาติกันแล้ว จริงมั้ย?"
คุณท่านประมุขของบ้านเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารที่อยู่ในมือ ซิการ์มวนงามราคายังคงคาบอยู่ในปาก ควันสีเทาๆลอยคลุ้งปะทะเข้าปลายจมูกคมสันของชายบุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้าอย่างพอดิบพอดี
" ก็แล้วแต่อานึ้ง "
ชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นน้องเขย หากนับตามอายุ ก็ห่างจาก นายธงชัย สินรเจริญ หรือ ผู้ว่าฯธง บุรุษผู้มีซิการ์ราคาแพงเป็นของชำร่วยในปากแค่แปดปีเท่านั้น เอ่ยพูดกับพี่เขยของตนด้วยสีหน้าปกติ ไม่สะทกสะท้านอะไรกับคำกล่าวที่ออกจะแฝงวาจาเยาะเย้ยอยู่ในประโยคนั้น
หากแต่ดวงหน้าของคนทั้งสองช่างแตกต่างกันอย่างลิบลับ....
คุณพ่อบ้านเสิร์ฟน้ำให้แขกอย่างรวดเร็ว คล่องแคล่วดี แต่มิวายสายตาจอมสำรวจอย่างเขาอดที่จะแอบชื่นชมในความสง่าของอาคันตุกะพิเศษคนนี้ไม่ได้
ถึงตัวเลขจะปาข้ามเลขหลักสี่บวกกับเลขสี่อีกตัว ผู้ชายที่ชื่อว่า "จางกู๋" หรือ "จางอี้เซียว" ก็ดูเหมือนจะสวนกระแสธาราแห่งกาลเวลานั้นได้
ดวงหน้าเฉิดฉายละม้ายคนแก่ที่แก่แต่อายุ ทว่ากลับดูอ่อนเยาว์ยิ่งกว่าเจ้านายใหญ่ของคฤหาสน์หลังงามเรือนนี้
วันๆก็ไม่เห็นทำอะไรมาก นอกจากนั่งสูบซิการ์คลอเคลียกับนังบ้านเล็กบ้านน้อยไปเรื่อย
ถ้าวันใดกลับมาแบบคน "เนื้อตัวสะอาด" ไร้คราบโลกีย์ คงกลายเป็นข่าวเมาธ์สนุกปากของวันนั้นเป็นแน่
ผมเผ้าที่แลดูขาวโพลนจนล้นหัว ผิดกลับ "จางกู๋" ที่อาจมีแซมบ้างเล็กน้อย แต่ไม่มากไม่มาย พอสมวัย
ท้ายสุดหากต้องกรอกคะแนนรูปลักษณ์ภายนอกโดยไม่ถามไถ่ถึงอายุ คงมิต้องนึกนั่งเฉลียวครุ่นคิดให้นาน
แค่มองสำรวจแบบผิวเผิน ก็พอจะรู้ว่าใครจะได้บัตรส่วนลดพิเศษเข้าคอร์สทำสปาหน้า มาร์คทองคำก่อนกัน
" ขอบคุณ...." เสียงห้าวต่ำลึก บวกกับแววเนตรที่มีอำนาจ เฉียบขาด ทำให้คุณพ่อบ้านชะงัก ก้มหน้าลงในทันที ก่อนจะเคลื่อนกายถอยกลับไปยืนอยู่ที่มุมห้องเหมือนเก่า
" เอกสารที่ขอให้ผมไปเป็นประธานในงานวันพ่อของโรงเรียน......ทำไมอยู่ๆ จางกู๋ ถึงอยากเชิญผมไปนั่งแท่นตีคู่กับคุุณพ่อของคุณเสียล่ะ ?
พ่อแม่ผู้ปกครองก็มีกันตั้งเยอะ....ให้ผมเจียดเวลาไปนั่งอยู่ในพิธี มันผิดเวลาราชการของผมนา แบบนี้ก็เสียเวลาแย่"
" สรุปว่า...'ท่าน' ไม่ว่างที่จะมาเป็นประธานในงานวันพ่อของโรงเรียนเรา ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แล้วแต่ท่านสะดวก"
คำว่าท่าน บ่งบอกถึงความสุภาพและความห่างเหินได้ในคราวเดียวกัน
คนที่เป็นพี่เขยในตำแหน่งสูงของจังหวัดกับน้องเขยในตำแหน่งแถวปลายล่างของจังหวัด
แต่ชื่อเสียง กับการกล่าวขานจากปากของชาวบ้านกลับผิดแผกแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
คนมีอำนาจที่สุด ในท่านั่งวางกราม แววตาหยิ่งแกมผยอง ปากที่คาบซิการ์ไว้ เมื่อดึงมันออก มธุรวาจาที่ถูกปล่อยพ่นออกมากลับเหม็นหืดยิ่งกว่า กลิ่นควันซิการ์ที่ลอยฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง
ผู้ชายคนนี้...มีปากไว้กอบโกยผลประโยชน์โดยแท้ ถึงแม้จะไม่เอ่ยออกมาตรงๆ
คนวัยเกือบใกล้เคียงบวกกับวุฒิภาวะทั้งทางด้านร่างกายและสมองที่ถูกบ่มเพาะมาตลอด
มีรึ? ที่จะไม่รู้ว่า ค่าตอบแทนการ "เสียเวลา" นั้นจะเป็นสิ่งใด
คงไม่ใช่พวงมาลัยคล้องมือหรือกระเช้าดอกไม้ธรรมดาๆอย่างแน่นอน
" จางกู๋ พูดยังกับไม่แยแสฉันเท่าไหร่เลยนะ แต่ก็เอาเถอะ....เรามันคนไม่คุ้นเคยกัน พูดอะไรไปก็คงจะไม่รื่นภิรมย์โพรงหูซักเท่าไหร่นัก
คนเป็นข้าราชการ งานมันก็เยอะ...จะหาเวลาพักผ่อนสบายๆเหมือนกับคนอื่นเขา อย่าหวังเลย...
แล้วยิ่งให้ไปรับงานนอก สิ้นเปลืองเวลาชะมัด!!"
" ผมเข้าใจ...คนวัยใกล้เกษียณ ชั่วชีวิตนี้ทำงานไม่เคยได้พักได้ผ่อน คงเห็นเวลาทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด"
ประโยคสุดท้ายสะกิดให้คนที่กำลังนั่งต่อไฟซิการ์มวนใหม่ต้องเหลือบตามอง
ปวงโชคที่กำลังนั่งเล่นคุ๊กกี๊รันอย่างเมามันหยุดมือลงและเงยหน้าขึ้น พร้อมๆกับบุรุษในชุดสูทสีดำ ที่หันมาสบตามองเขาอยู่พอดี
แววตาที่เย็นเยือก ไม่ถึงกลับกระด้างหยาบชาเหมือนเหล็กเหมือนหิน
ดวงตาที่ไม่ได้เหมือน "สายน้ำที่เอาไว้คอยปลอบประโลมใจ"
หากแต่เป็น "สายน้ำที่ก่อตัวเป็นคลื่นแล้วซัดเข้าใส่" คู่สนทนาตรงข้ามเสียมากกว่า
น่าแปลกที่ผู้ชายคนนี้ มีดวงตาที่ลึกลับ ดูน่าค้นหา
ความโกรธ ความเกลียด ความเศร้าและความดีใจ ถูกถ่ายทอดให้เห็นได้ชัดจากแววตาของคนทุกคน
ทว่า...แววตาของคนที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า คนๆนั้นกำลังตกอยู่ในสภาวะอะไร มีความคิดหรือปราถนาในสิ่งใดอยู่
คนที่พับเก็บอารมณ์ของตนได้ดี ล็อกความรู้สึกมิให้ผ่านเข้าประตูม่านตากลมสีดำ แต่ผ่านทางคำพูดที่เรียบลุ่ม แต่แฝงนัยยะสำคัญอยู่อย่างมากมาย
นี้สินะ....คนที่น่ากลัวที่สุด คือ คนที่ไม่แสดงความกลัวที่สุดออกมาให้เห็น
" อันที่จริง...ไม่ใช่ว่าฉันคนเดียวที่ไม่ว่าง ปวงโชค...ก็ไม่ว่างด้วยเหมือนกัน ใช่มั้ย?"
" อ่อ..ใช่" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่เต๊ะท่ายียวนกวนประสาทเหมือนกับพ่อของเขามากนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเรียบร้อยตามมารยาทที่ดีระหว่างเด็กและผู้ใหญ๋ด้วยการก้มหน้าพูดตอบ พลางนั่งเล่นเล่นโทรศัพท์อย่างสบายอารมณ์
" ช่วงนี้ผมต้องซ้อมพิธีรับปริญญาที่มหาลัย ไหนจะเลี้ยงส่งรุ่นน้องรุ่นเพื่อนอีกเยอะแยะ "
คนแซ่จางทั้งสอง นั่งนิ่ง เสียงถอดถอนหายใจของชายชราดังขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ชายหน้าน้ำแข็งที่นั่งอยู่ข้างกัน กลับไม่รู้สึกหนักอกหนักใจอะไร
" ถ้าอย่างงั้น ผมกับอาป๊าก็คงไม่รบกวนอะไรอีก ขอบคุณนะครับสำหรับการต้อนรับที่เป็นเกียรติของวันนี้"
ชายหนุ่มโค้งศรีษะเล็กน้อยพลางเก็บแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะและเข็นรถเข็นร่างของชายชราออกจากห้องนี้ไป
แววตาอ่อนระโหยโอยแรงแกมอ้อนวอนของชายชรา
สะกิดใจปวงโชคอยู่บ้าง
ดวงตาสีหม่น เหมือนแฝงความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนในบางอย่าง
ผิดกับแววตาของผู้เป็นลูกชายคนเล็กของตระกูล "จาง"
ยิ่งมองเข้าลึก ก็ยิ่งลึกลับ
สิ่งที่ลึกลับนอกเหนือไปจากแววตาของมัน
ก็เหมือนดั่งพระพายหลังฝนแผ่วผ่านเนื้อผิว
ทั้งหนาว ทั้งเย็น เสียดแทง ฝังลึกเข้าหัวใจ
ผู้ชายคนนี้....
เพียงแค่ก้าวเท้าเยือนเยี่ยมที่ชานบ้านของเขา
แม่ ผู้เป็นดั่งเจ้าของกล่องดวงใจดวงน้อย
ต้องหายจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ไหนจะ จางอี้เหริน ลูกชายคนโตของตระกูลจาง
ก็หายสาบสูญไปโดยไม่พบร่องรอยอะไรเลยซักนิด
" **ตั่วจาง หายตัวไปหลังจากที่ **จางกู๋กลับมาจากไต้หวันแค่เดือนสองเดือนเท่านั้น"
คำบอกเล่าจากหัวหน้าพ่อบ้านคนเก่า ลุงนนท์ พ่อของนันทินเคยพูดเอาไว้ก่อนลุงแกจะเสีย
" คุณหญิง คุณแม่ของคุณโชคกับคนขับอีกคนหนึ่ง เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำตอนที่ท่านกำลังเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนของท่านที่หัวหิน ตอนนั้นทางตำรวจเขาบอกว่ามันเกิดจากควาประมาทที่คนขับรถไม่ตรวจสอบเช็คเครื่องยนต์ให้พร้อม แต่คุณท่านไม่เชื่อว่ามันจะเกิดจากอุบัติเหตุจริงๆ"
"ทำไม?" เด็กหนุ่มวัยละอ่อน ร่างอวบอ้วนชวนน่ารักน่าชังในคราวเดียว หันมาถามคุณพ่อบ้านที่ดูแลระบบกิจการงานบ้านทุกอย่างรองจากแม่ของเขาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
คราบน้ำตายังคงเกาะติดอยู่ที่สองข้างแก้มของเขา แม้จะพยายามปาดมันออกไปแต่ดูเหมือนต่อมน้ำตาจะทำหน้าที่ได้ดีต่อหน้าแขกและผู้คนในงานฝังศพร่างที่ไร้วิญญานของแม่
การสูญเสียที่มาพร้อมกับการเริ่มต้นครั้งสำคัญในชีวิต
วันที่เขาได้สวมเสื้อชุดนักศึกษาคณะวิศวะกรรมฝ่ายช่างกล ครั้งแรกที่เขาจะได้เริ่มต้นการเป็นเฟรชชี่ เป็นหนเดียวและหนสุดท้ายที่แม่ของเขาจะได้เห็นลูกชายสุดที่รักคนนี้ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอีกก้าวหนึ่ง
" ม๊าจะไปไหนเหรอครับ?" คำถามที่เขาได้เอ่ยเอื้อนออกมา ไม่นึกว่ามันจะเป็นบทสนทนาระหว่างแม่ลูกครั้งสุดท้ายจริงๆ
" ม๊าจะไปหาเพื่อนที่หัวหิน เพื่อนม๊าเขาไม่สบาย อาการหนักมาก เขาอยากให้ม๊าไปเยี่ยม"
" เขาโทรมาบอกหรือครับ?"
" เหมือนจะเป็นญาติเขาที่โทรมาบอก. ม๊าอยากจะไปเยี่ยมเขาซักหน่อย"
"แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่ละครับ"
" อาทิตย์หน้าๆนะจ๊ะ"
คำสุดท้ายที่ยังคงดังก้องวนเวียนอยู่ในหัว อาทิตย์หน้าๆ ไม่ได้ยาวนานเป็นปีเสียหน่อย รอนานกว่านี้ก็เคยรอ
แต่ไม่นึกว่าการรอครั้งนี้....จะเป็นการรอที่ไม่มีวันเป็นจริง!!
เพียงแค่เกือบตะวันใกล้ตกดิน
ร่างของแม่ก็กลับมาหาเขา
แม่ไม่ได้ไปนานอยากที่ว่าไว้ แม่กลับมาหาเขาจริงๆ
แต่ทำไมถึงไม่นำพาวิญญาณและลมหายใจกลับมาด้วย
แม่กลับมาหาเขา แม้จะเร็วเกินกำหนด แต่ก็เหมือนไม่ได้กลับมาอีก
ไม่มีแม้แต่จะกล่าวลาหรือคำสั่งเสียใดๆ ไม่มีสายตาที่ห่วงใยจับจ้องมาที่ใบหน้าซีดเผือกของเขา
" เขาว่าเป็นฝีมือของ...จางอี้เซียว"
คุณพ่อบ้านคนเก่าคนแก่ของตระกูลกระซิบที่ข้างหูเขาอย่างแผ่วเบา
" แต่ไม่มีหลักฐานอะไรที่โยงตัวถึงเขาได้ เขาอ้างว่า ช่วงเวลานั้นตัวเขากำลังติดเรียน ป. เอก อยู่ที่คณะ ซึ่งพยานก็มีพร้อมทุกอย่าง...แต่ก็ไม่แน่ ถึงเขาจะทำเองไม่ได้ จะยืมมือคนอื่นฆ่าเสียจะเป็นไรไป"
" จาง..อี้...เซียว"
คำพูดที่ถูกสะกดออกมาอย่างแช่มช้า ดวงตาของเด็กหนุ่มจากที่เศร้าหม่นจนม่านตาแทบจะเลื่อนลอย ดวงตางามชะง่อนกลับถูกแทนที่ด้วยกลุ่มเปลวไฟสีเพลิง
เมื่อได้ยินชื่อของฆาตกรที่ภายหลังกลายมาเป็น ญาติของเขาเอง
แต่ก็คงเป็นญาติแค่ในความคิดของคนอื่น
สำหรับเขาแล้ว คงไม่มีใครอยากจะสืบเชื้อร่วมสายกับคนที่ได้ถูกตราหน้าว่า เป็นฆาตกรเพียงหนึ่งเดียว
นิ้วเรียวทั้งห้ากุมหัวไหล่ของผู้ใหญ่วัยไม้ใหญ่ที่ใกล้จะผุกร่อน เตรียมหักโค่นตามนายหญิงของตน
" คุณปวงโชค ลุง...ไม่อยากให้นายหญิงต้องทิ้งคุณไปแบบนี้เลย ทำไม....ยมทูตถึงไม่พาร่างแก่ๆมีแต่โรครุมเร้าอย่างลุงไปเสียเล่า ทำไมถึงต้องพรากแม่พรากลูกให้ตายจากกันแบบนี้"
คำคร่ำครวญที่มิอาจห้ามสิ่งใดได้อีก แม้แต่น้ำตาใสๆที่ไหลลงตามร่องลึกของผิวหน้าก็มิอาจเก็บกักกั้นห้ามมันได้
"ลุงนนท์" เสียงอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น อย่างช้าๆ หลอดเสียงที่สั่นพร่า หากแต่เอ่ยประโยคถัดไปด้วยสำเนียงแข็งกร้าว ชัดเจนยิ่ง
" ผมอยากรู้ว่า...ระหว่างเวรกรรมกับลูกปืน ลุงคิดว่าอะไรมันจะพาคนเลวไปนรกได้ดีกว่ากัน?
ไม่ใช่อะไรหรอก....ผมแค่อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับท่านยมทูตเขาบ้าง
จะได้ไม่หยิบลากกระชากวิญญานมั่วซั่วกันแบบนี้อีก!!!"
จบตอนที่หก
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ