ลิขิตจันทรา ภาค มายาแห่งดวงใจ (注定月下老人 )

8.0

เขียนโดย Wuzhenni

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 22.20 น.

  22 ตอน
  9 วิจารณ์
  30.40K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 20.59 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

17) แต่งเสร็จแล้ว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
แสงตะวันในยามเที่ยงตรง
 
เมื่อพระอาทิตย์จรัสแสงอยู่เหนือหัว
 
หากยังดีที่สถานที่แห่งนี้ .... โรงเรียนจงเหวินวิทยา
 
สรรพสิ่งชีวีสีเขียวเข้มที่ล้อมรอบตามแนวเขตรั้วเหล็กกำลังดูดกลืนธาราสีส้มนวลกระจ่างเนตร
 
แสงอำพันบนฟากฟ้ากระทบผ่านใบไม้เขียวขจีสีสด
 
ทว่า..ความร้อนกลับมิได้กรายผ่านผิวของคนที่กำลังยืนรอใครบ้างคนอยู่ใต้ต้นพญาเสือโคร่ง
 
ชื่อที่ดูดุดัน แตกต่างกับกลีบดอกไม้ที่ประดับอยู่ตามกิ่งก้านของมัน
 
ดอกไม้สีชมพู สวยหวานสดใสละม้ายคล้ายดอกซากุระ  มิผิดแผกแตกต่างกับใบหน้าอวบอิ่มแต่อุ่นละไม น่าเอ็นดู
 
" รอนานมั้ย?"  เสียงทุ้มนุ่มลึกแทรกเข้าระหว่างทรวง เสียงนี้หล่อนจำได้แม่นนักเชียว...
 
" ไม่นานมากหรอกคะ อาจารย์" หญิงสาวร่างกลมปุ๊กลุก หันไปตอบด้วยทีท่าสะอาดตา
 
กิริยาละมุนละไม สมกับเป็นครูสอนภาษาไทยโดยแท้
 
ชายหนุ่มหน้าทมิฬแต่จิตใจดั่งสีนิลแต้มทอง 
 
ถึงจะดุก็ดุแค่หน้า และเพราะหน้าที่...
 
ตำแหน่งครูฝ่ายปกครองจะให้ยิ้มร่อนไปทั่ว ก็คงจะยาก
 
แต่ถ้าหากจะยิ้มโอยอ่อนเพราะมีคนน่าเอ็นดูมายืนข้าง
 
เสือสมิงได้กลายเป็นแมวหงุมหงิมก็คราวนี้แหล่ะ!
 
" ทานข้าวเที่ยงรึยัง?"
 
" ทานแล้วคะ อาจารย์ล่ะคะ" หล่อนตอบหน้าซื่อ ถามก็ถามซื่อๆตามมารยาท
 
" อ่อ ยังเลย เมื่อตะกี๊เพิ่งไปจัดการเด็กมาน่ะ อะไรก็ไม่รู้ ทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่อง"
 
พราวฟ้าเหลือบตามอง มือข้างหนึ่งของอีกฝ่าย
 
ไม้เรียวขัดเงา ไม่ใหญ่ไม่เล็ก พอดีมือของคนที่ถืออยู่ ในตัวไม้สลักคำเป็นภาษาไทยเอาไว้ 
 
ของอาจารย์หลี่หวังจอมโหด...
 
 
เขาปรายตามองอย่างรู้ทัน ก่อนจะชี้นิ้วไปที่ชื่อสลักนั่นพลางขยับฝีปากอธิบายตามไปด้วย
 
" อาจารย์ต้องสลักชื่อเอาไว้ ถ้าไม่สลักเดี๋ยวมันจะหาย ครูคนอื่นเขาหยิบเอาไปแล้วก็ชอบทำหายอยู่เรื่อย  เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยอยากจะให้ใครยืมแล้วล่ะ ไอ้ไม้เรียวเนี่ย อาวุธประจำกาย พกไปไหนมาไหนด้วยตลอดแต่เป็นอาวุธที่ดีนะ"
 
" ทำไมหรือคะ?"
 
" ก็เพราะมันเป็นอาวุธที่ไม่ฆ่าคนน่ะสิ!"
เขาพูดไป นิ้วเรียวยาวก็ลูบคลำประหนึ่งเป็นของชิ้นสำคัญที่ต้องทะนุถนอมดูแลมัน
 
" . ก็แค่เศษไม้ธรรมดาไม่ได้พิเศษอะไรมาก  แต่สิ่งที่แตกต่างมันไม่ได้สร้างความเจ็บปวดให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่มันเจ็บปวดทุกครั้งที่คนเป็นครูต้องหยิบจับมันขึ้นมา...ทว่าใจเรา ใครเลยจะได้เห็น  เด็กนักเรียนเขาก็มองเราเป็นปีศาจ น่ารังเกียจ ถึงจะเป็นปีศาจแต่ปีศาจอย่างเราก็ไม่เคยฆ่าใคร อาวุธของมันไม่เคยฆ่าลูกศิษย์ของตน มีแต่จะให้ลูกศิษย์แข็งแกร่งและพร้อมจะรับมือกับปีศาจตัวอื่นที่มันร้ายกาจกว่านี้..."
 
สีหน้าที่หน่ายเหนื่อยเผยปรากฏให้เห็นเพียงเสี้ยวเดียวก่อนจะกลับคืนสู่สภาพปกติ
 อาจารย์หลี่หวัง ยืนไขว่มือไว้ด้านหลังตามเคยชิน ไม้เรียวกวัดแก่วงไปตามทิศทางของมันแต่ไม่ยักจะถูกต้องพื้นผิวดินเลยแม้แต่น้อย
 
"  เดี๋ยวจะขึ้นไปปฐมนิเทศกับท่านรองแล้ว นี้ดีนะ..ท่านเลื่อนจากตอนเช้ามาเป็นตอนพักเที่ยงจะได้มีเวลาเตรียมตัวกัน ว่าแต่...หญ้าฟางหายไปไหนซะล่ะ ยังไม่มาอีกเหรอ ฮึ.. บอกว่านัดใต้ต้นชมพูพันทิพย์  นี่ถ้ามองไม่เห็นถือว่าบอดกินตามันซะล่ะมั้ง"
 
เขาพลิกข้อมือ มองดูเข็มสั้นยาวที่กำลังเคลื่อนคล้อยไปตามกลจักรที่ถูกฝังไว้
 
" อีกยี่สิบนาที...." ชายหนุ่มเริ่มบ่น 
 
"หักคะแนนจิตพิสัยดีมั้ยเนี่ย?"
 
" แค่หญ้าฟางคนเดียวนะคะ" พราวฟ้าหันมาตอบหน้ายิ้มตาหยี คนฟังส่ายหัวยึกยัก
 
" ไม่ต้องเลย เราด้วย เพื่อนยังไม่มา แทนที่จะโทรตาม...ทำนิ่งซะงั้น"
 
" โทรตามแล้วคะ แต่โทร.ไม่ติด"
 
" อ้าว...แล้วกัน"  
 
เขาหันมาตอบ ก่อนจะยืนพักขาแล้วเคาะไม้เรียวไปที่ขากางเกง เป็นจังหวะเพลงตามอารมณ์
 
ในขณะที่อีกฝ่าย เพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะติดต่อเพื่อนสาวสวยสิงห์ 
 
หล่อนไม่อยากอยู่กับเขาแค่สองคน ในช่วงเวลาที่รัศมีหางตาของสาวน้อยสาวใหญ่กำลังจับจ้องมองอยู่
 
พราวฟ้ารู้ดี...ในบรรดาอาจารย์ผู้ชายทั้งหมดของโรงเรียน
 
ไม่รวม อีกหนึ่งหนุ่มที่หล่อนต้องพบเขาในเวลาไม่กี่อึดใจ
 
บุรุษทั้งสองที่ถูกร่ำลือไปทั่วเขตพื้นที่การศึกษา
 
หล่อเหมือนเทวดาเสก...
 
" จะบอกว่า " ถ้อยคำขึ้นต้นของเพื่อนในสาขาคนหนึ่งดังขึ้นเมื่อครั้งที่พราวฟ้ายังคงตำแหน่งเป็นนักศึกษาปีสี่ที่เตรียมจะเกษียณในอีกเร็ววัน
 
" โรงเรียนนี้ ครูฝ่ายปกครองหล่อโครตมากถึงมากที่สุด พูดแล้วไม่อยากจะคุย ตอนที่กลุ่มพวกฉันทำโปรเจค เอาแบบทดสอบไปให้พวกเด็กนักเรียนเขาสอบกันน่ะ  ฉันเห็นนะ....โอ้โห  ผิวขาว ตัวสูง ตาคมสองชั้น มีไรหนวดนิดๆหน่อยๆ  ไอ้เราเกีาะนึกว่าดาราจีนมาเดินเล่นอยู่ในโรงเรียน  โอ๊ย..หล่อเข้ม ละมุน ใจเจ๊จะวายตายเสียให้ได้เชียว "
 
" ขนาดนั้น?"  
 
" สุดๆเลยล่ะ ..ฉันลองหลอกถามอาจารย์แถวนั้นดู แกบอกมาว่า อาจารย์สุดหล่อนั้นน่ะ ไม่ใช่คนไทย  เห็นว่าตามท่านรอง ผอ. มาจากไต้หวัน คงจะเป็นพวกเจ็กพวกจีน แต่แปลก พูดไทยได้ชัดปร๋อฉิบ"
 
"  อาจารย์ที่คณะเราก็เคยเล่าให้ฟังอยู่นะ  เวลามีสัมนาหรือพวกประชุมวิชาการที่คณะ..อาจารย์คนเนี้ย ออร่าพุ่งกระจาย  พวกครูผู้หญิงกริ๊ดกร๊าดยิ่งกว่าเจอดาราซะอีก"  เพื่อนอีกคนก็มิวายจะขอร่วมวงด้วย
 
" แสดงว่าต้องหล่อมาก?" พราวฟ้าหัวเราะคิกคักราวกับกำลังฟังเรื่องไร้สาระอยู่กระนั้น
 
"  หล่อแบบโหดๆอ่ะ .... แหม ก็เป็นถึงหัวหน้าครูฝ่ายปกครองหนิเน๊าะ  แต่คนที่เคยเรียนอยู่ที่นั้น พี่ฟักแฟงปีห้าสาขาเราไง พี่แกเคยเรียนอยู่ตอนม.ต้น แล้วก็ออก  พี่เขาบอกว่า อาจารย์ฝ่ายปกครองก็ทำท่าดุไปงั้นๆแหล่ะ ก็เหมือนครูฝ่ายปกครองโรงเรียนทั่วๆไป เต๊ะท่าก็เท่านั้น ตัวจริงใจดี๊ใจดี พวกพี่ศิษย์เก่าเขารู้ๆกันอยู่"
 
ตรงข้อนี้แหล่ะ ที่พราวฟ้าไม่ค่อยเห็นด้วยซักเท่าไหร่  
 
ครั้งที่เธอเป็นเด็กนักเรียน  ผมสั้นเท่าหู กระโปรงยาวเลยเข่า 
 
กฏระเบียบที่เข้มงวด แค่หล่อนสะเพร่าในเรื่องที่เจ้าตัวก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
 
" พราวฟ้า...กระโปรงเธอสีซีดไปนะ พรุ่งนี้เปลี่ยนเป็นตัวใหม่ซะ เป็นผู้หญิงอย่าเหลวไหลแม้แต่กระโปรง!"
 
เสียงครูฝ่ายปกครองดังก้องอยู่ในหู  ทำไงได้...บ้านเธอมีเชื้อจีนทั้งก๊ก 
 
นิสัยประหยัดมักน้อย เป็นเรื่องปกติของบ้านนี้อยู่แล้ว
 
ไม่แปลกหรอก..ที่ตัวหล่อนสามารถใช้ชีวิตร่วมอยู่กับหญ้าฟางได้ รายนั้น...
 
จะควักตังค์ออกมาจ่ายที ต้องคิดแล้วคิดอีกอูย่เรื่อย
 
" ซื้อมงซื้อใหม่อะไรล่ะ  มันก็ใส่ได้อยู่ไม่ใช่เร๊อะ สีซีดนิดเดียวจะเป็นไรไป เปลืองกะตังค์!"
 
คำตอบของแม่ทำให้หล่อนต้องมองครูฝ่ายปกครองเป็นศัตรู
 
เป็นครูที่ไม่มีวันเข้าใจหัวอกของเด็ก..
 
แล้วยามที่เธอได้พบกับเขา ในครั้งนั้น
 
ท่าทีมีอำนาจ นัตย์ตาแอบแฝงรังสีอำมหิตตามประสาคนนั่งตำแหน่ง
 
หากแต่พอผ่านพ้นไปได้ไม่กี่เดือน
 
ความอ่อนโยนกลับแทรกซึมผ่านนัยนาคู่สวย
 
ครั้งแรก มันก็ดูเหมือนคนแก่มองดูเด็กคนหนึ่งเท่านั้น
 
ทว่า...นับวันมันก็ยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้นเรื่อยๆ
 
นับตั้งแต่ที่หล่อนและแม่เสือสุดกร่างย้ายร่างมาอยู่ที่บ้านเรือนไม้ใกล้ผุมิผุแหล่
 
ไม่มีวันใด...ที่ชายหน้าโหดจะไม่ฉีกยิ้มยืนรออยู่หน้าบ้าน 
 
" พราวฟ้า ช่วงนี้อดอยากมากรึเปล่าเนี่ย?  ดูผอมลงไปเยอะนะ รึไอ้คุณฟางแอบยักยอก เอาไปเขมือบกินอยู่คนเดียวซะหล่ะ"
 
เขาพูดขำๆ ขณะที่คนโดนแซวยังคงสาละวนกับการเช็ดปัดขัดถูตัวบ้านอยู่ 
 
" แหมม อาจารย์  พูดแบบนี้ หาเรื่องทางอ้อมนะเนี่ย อาร้ายยย  เข้าข้างแต่ไอ้ฟ้า ไอ้ฟ้า อยู่เรื่อย "  
 
เสียงแทรกดังแว้ดๆลอยออกมาจากห้องน้ำ ก่อนที่ร่างเพรียวเรียวระหงจะยืนเท้าเอวพิงขอบประตูด้วยสีหน้าหมั่นไส้เล็กน้อย
 
สายตาจิกกัดของแม่สาวเนื้องาม ฉายานาม ไอ้ฟางจอมเขมือบ กำลังมองดูแขกที่มาเยือนกับท่วงท่าที่อยู่บนโซฟา  
 
เออ... นั่งเป็นคุณชาย สบายอารมณ์ซะเหลือเกิ๊นน แหม่ะ..
 
" หรือไม่จริง...ไม่ต้องทำเป็นไก๋หรอก อาจารย์เปรี้ยวเขาแฉวีรกรรมของเธอให้อาจารย์ฟังหมดแล้ว"
 
หญิงสาวเบ๊ะปากใส่เขา ในใจพลางก็นึกสบถถึงแม่พริกขี้หนูตัวน้อยคนนั้นทันที
 
ปากอยู่ไม่เป็นสุขอีกแล้วนะ อาจารย์เปรี้ยว! 
 
" ฟ้า กำลังลดความอ้วนอยู่ค่ะ"  หล่อนหันมาตอบ  คนฟังมองยิ้มอย่างขันๆ
 
" ลดความอ้วน ลดทำไม? แบบนี้น่ะดีแล้ว จะลดให้ผอมโกรกเหลือแต่โครงกระดูกรึไง เป็นอย่างที่เป็นเนี่ยแหล่ะ.. น่าเอ็นดูจะตายไป"
 
 วลีสุดท้าย...ที่ทำให้คนอยากจะลดความอ้วนต้องหยุดภารกิจพิชิตความหิวของตัวเองจนสิ้น
 
ในขณะที่เจ้าตัวกำลังรำพึงนึกคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย  ฉับพลันนั่นก็เหมือนมีมือเรียวหยาบๆกระด้างแตะลงที่ข้อแขนของหล่อนได้อย่างนิ่มนวล
 
" เหม่ออะไร  ติดต่อได้รึยัง?"
 
"อ่ะ..เอ่อ.." 
 
หล่อนเห็นร่างเล็กของใครคนหนึ่งกำลังมุ่งตรงมาที่เธอและเขายืนอยู่
 
ด้วยท่าทางที่รีบเร่ง  พราวฟ้านึกดีใจ เสียงสูดลมหายใจดังจนคนข้างต้องหลิ่วตามอง...มาได้ซะที
 
แต่แล้วแม่สาวร่างกระปุกก็ต้องถอนหายใจพร้อมกับสีหน้าที่ผิดหวังระคนโมโหหน่อยๆ
 
เมื่อร่างของคนที่วิ่งเข้ามาในระยะที่คนสายตาสั้นอย่างหล่อนจะพอมองเห็นได้
 
กลับไม่ใช่ ยัยเพื่อนสวยสิงห์ของเธอซะนี่!
 
" คุณ...ครู ใช่ครูพี่ฟ้า...รึ...เปล่าคะ?"  เสียงหอบแฮ่กๆ ของคนที่วิ่งมา หายไปในบันดลเมื่อแหงนหน้ามอง เห็นบุรุษในชุดสูทสีดำพร้อมไม้เรียวที่แก่วงไปมาอย่างข่มใจ
 
" ใช่จ่ะ มีอะไรรึเปล่าเอ่ย?"  
หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง เดาจากสีหน้าของเด็กน้อยผมสั้นเท่าติ่งหู คงจะกำลังหวาดหวั่นกับคนที่ยืนเยื้องห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนต์อยู่เป็นแน่
 
" ครูพี่ผู้หญิงอีกคน เขาให้หนูฝากมาบอกว่า อาจจะมาตามนัดไม่ทัน พอดีโทรศัพท์แบตหมดก็เลยจะแวะกลับไปเอาที่ชาร์ตที่บ้านพักอ่ะค่ะ"
 
" อืม ดี ให้มันได้อย่างนี้สิ เสียเวลามายืนให้แดดเผาหัวเล่นจริงๆ"  เขาบ่นไปตามประสาคนที่มากด้วยวัย จนอีกฝ่ายคงมิได้เฉลียวใจอะไร...
 
ว่าในคำบางคำแอบแฝงไว้ด้วยความหมายอันลุ่มลึก
 
ผิวเนื้อนางอนงค์ที่โผล่พ้นชายเสื้อนักศึกษาสีขาว
 
มันเริ่มแดงทีละหน่อย ก็เพราะมัวแต่มาคอยไอ้เพื่อนมหาหิงคุ์ตัวแสบนั่น
 
" เอ้อ.. แล้วครูเขาจะมาเมื่อไหร่ได้ฝากบอกมาด้วยมั้ยฮึ?" 
 
" มะ มะ ไม่ทราบค่ะ"  
 
หัวคิ้วที่เรียงซ้อนๆกันราวกับจัดวางขมวดเข้าหาโดยมิได้นัดหมาย
 
อารมณ์ของครูพี่เลี้ยงในตอนนี้ คงไม่แตกต่างอะไรกับตอนที่รู้ว่าเด็กนักเรียนปีนรั้วหนีโรงเรียนล่ะกระมัง!
 
" เสียเวลามามากพอแล้ว ไป..พราวฟ้า เข้าไปปฐมนิเทศก่อน ปล่อยให้ผู้หลักผู้ใหญ่รอ เดี๋ยวจะโดนท่านดุเอา"
 
" รออีกนิดเถอะค่ะ ประเดี๋ยวก็คงมา"
 
" ถ้ามาแล้ว แต่ท่านรองเขาไม่ว่าง ก็เสียเที่ยวน่ะสิ  ไหนๆ ก็มาก่อนเพื่อน ก็เข้าไปฟังก่อนเลยล่ะกัน. นั้น ดูทำหน้าเข้า ไม่ต้องกลัวแกหรอก..อาจารย์อยู่ด้วยทั้งคนจะกลัวอะไร"  ช่วงท้ายประโยคเริ่มจะแผ่วลง เพราะดวงกมลคนงามเหมือนจะทำหน้าถมึงตึงใส่เขามากกว่าที่จะกลัวหากแต่ก็มิได้แสดงทีท่ามาดร้าย เฉกเช่นเพื่อนสาวของหล่อน
 
 
" ไม่ได้กลัวค่ะ แต่ถ้าฟ้าเข้าพบก่อน ท่านรองจะไม่มองว่า ฟ้าเป็นคนประเภทอยากเอาหน้า ประจบประแจงคนอื่นหรอกเหรอคะ สำคัญที่สุดน้ำใจในเพื่อนพ้องก็ต้องมาก่อน"  เจ้าหล่อนเอ่ยด้วยวาทะที่กระด้างปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ลืมที่จะย้อนถามกลับด้วยหางเสียงดั่งคนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี
 
" ใช่มั้ยคะ?"
 
" ใช่"  เขาตอบ หนักแน่น ชัดเจน " แต่ทำไมเธอไม่นึกถึงหัวอกคนที่รอบ้างล่ะ อย่างน้อย ความรู้สึกของคนที่ต้องรอ เขาก็ต้องคาดหวังว่า สิ่งที่เขารอมันจะเป็นจริง ความรู้สึกที่เจ็บปวดที่สุดของมนุษย์ คือ การรอคอยกับการจากลา คนอื่นจะมองเรายังไงก็ช่างแต่เราก็ควรถนอมความรู้สึกของคนอื่นเอาไว้"
 
หลี่หวังหันมาสบตากับหล่อน  หากแต่เจ้าตัวกลับเบือนหน้าหนีไปยัง "ผู้สาวคาบข่าวต้วจ้อย" 
 
" ขอบใจมากนะ หนู...เอ๋...ชื่ออะไรรึเรา?"
 
" รตา หนูชื่อ รตา ค่ะ"  
 
" อ๋อ..จ๊ะ ขอบใจมากนะ รตา ดูสิ...เหงื่อซกเลยเรา" 
 
" หนูหลงน่ะค่ะ เพิ่งเข้ามาเรียนเป็นครั้งแรก หนูก็เลยไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นตรงไหน"
 
เด็กสาวมอปลาย เด่นหน่อยก็ทรงผมที่สั้นเท่าติ่งหู ขนตาหนาเรียงซ้อนเป็นแพพรวน ผิวคล้ำอมเหลืองดั่งเปลือกมะขาม ทว่ากลับแลดูเปล่งปลั่งยิ่งกว่าผิวสาวในผองวัยเดียวกัน 
ดวงเนตรนั่นรวงเรียว มองปราดเดียวยังต้องหันกลับมาเชยชมมิขาดปาก นับว่าสวยไร้ที่ตินัก
 
เพียงแต่......ความผ่องใสในเยาว์วัยกลับไม่ปรากฏให้เห็นจนเด่นชัด
 
นัยว่ามีบางอย่างที่ทำให้หล่อนรู้สึกแปลกใจ 
 
นักเรียนที่นี้ มีต้นทุนทั้งหน้าตาและฐานะ
 
แต่กับแม่หญิงหน้าตาจิ้มลิ้ม มองยังไงๆก็ไม่ให้อารมณ์เหมือนลูกคุณหนูคุณนายเลยซักแอ๊ะ
 
" เออ..ดี ดันฝากข่าวเอาไว้กับเด็กใหม่ จะโทษเด็กหรือโทษครู รึ..จะทั้งครูทั้งเด็กดีนะ"
 
คนหน้ายักษ์ยืนแยกเขี้ยวอยู่ไม่ห่างกายครูสาวมากนัก 
 
ถึงกระนั้น คมเขี้ยวรึ...จะสู้สายตาหมูพิฆาตได้
 
พราวฟ้าถลึงตาใส่ ทั้งๆที่รู้ว่า อีกเดี๋ยวจะมีไม้เหงกหลุดลอยเข้ากลางหัว
 
หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้น...
 
มีเพียง สายลม..พลิ้วผ่านกะกรายสยายแพรพรมสีดำบนหนังหัวของหล่อน
 
เสมือนเงามือของสวรรค์ที่ส่งผ่านจากความรู้สึกของใครคนหนึ่ง...
 
คนที่อยากจะเดินเข้าไปใกล้ แล้วเหยียดไม้เรียวคู่ใจ แตะไว้ที่กลางกระหม่อมอย่างแผ่วเบา...
 
ยักษ์วัดพระแก้วถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นยักษ์หน้าโหด
 
แต่หัวใจ ..มิใช่ เฉกเช่น ยักษ์หรอกหรือ
 
 
" ไปก่อนนะค่ะ" น้ำเสียงดูนุ่มนิ่มคล้ายกับเจ้าหล่อนพยายามที่จะซ่อนอารมณ์ในจิตใจตน
 
"เดี๋ยวถ้าท่านไม่พอใจเข้า จะพาลตำหนิใส่ทั้งครูทั้งเด็ก"
 
ครูสาวร่างกระปุกเคลื่อนกายผ่านตัวเขาที่ยังคงเหลือบมองด้วยแววตา อบอุ่น คละเคล้าด้วยไอละมุนแปลกๆที่ส่งผ่านทำให้หล่อนต้องนิ่งชะงัก 
 
เป็นอะไรของเค้า....
 
พราวฟ้ารีบก้าวเท้ายาวกะจะหนีสายตานั้นให้พ้นๆไป โดยไม่ได้เหลียวหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่กำลังโบกมือเรียกวิกวักอยู่ร่อมๆ
 
" รีบไปไม่รอกันก่อนเล๊ยย  เดี๋ยวก็หลงซะนี่  เอ้า!" มิวายเขาจะหันกลับมาทำหน้าโหดใส่นักเรียนอีกจนได้
 
"ส่งข่าวแล้วก็กลับได้แล้ว อ่อ..แล้วไม่ต้องวิ่งนะ เป็นสาวเป็นแส้ วิ่งกระโปรงปลิวแบบเมื่อกี๊ เดี๋ยวก็ล้มหัวคะมำซะหรอก เดินดีๆ ไม่ต้องรีบ"
 
ไม้เรียวก้านเพรียวพร้อมหมุนละลิ่วไปยังน่องขาคู่สวย
 
สัญชาตญาณของนักเรียนเฉกเช่นสัตว์ที่หลบหนีภัย...
 
ไอ้เด็กหน้าเด๋อเอี้ยวตัวหลบได้ทัน รอยยิ้มกระตุกขึ้นที่มุมปากของเขาก่อนจะหัวเราะหึๆออกมาให้อีกฝ่ายฉงนใจเล่น
 
" รู้จักกลัวไม้เรียวก็เป็นด้วยรึ?  "  มันพยักหน้าหงึกหงัก
 
 ....'ไม้เรียวกับครูฝ่ายปกครอง'
 
สัญลักษณ์สำคัญของโรงเรียน...ยิ่งพวกครูตบะแตก ไล่ตีเด็กแบบไม่มีเหตุผลยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่
 
แล้วนี่จู่ๆก็จะมาตีเข้าน่องตน ถึงจะหยอกๆก็เถอะ!
 
"  วางใจเถอะ.. ครูกะจะตีเตือนเธอเบาๆ ไม่ให้วิ่งถลาหน้าลมแบบนั้นอีก 
ถ้าไม่ได้ทำตัวเหมือนไอ้พวกก้นด้าน สันดานเถื่อน ก็ไม่ต้องกลัวไม้เรียวครูหรอก 
ไอ้พวกที่ว่านั่น ครูก็กำลังรอประกาศของโรงเรียนอยู่ว่าเมื่อไหร่.....
 
เขาจะเปลี่ยนจากไม้เรียวเป็นสไนเปอร์ยิงถล่มหัวมันได้ซักที!"
.....................................................................................
 
พราวฟ้าเดินลิ่วๆ ลัดเลาะผ่านสวนย่อมเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเหล่าบรรดาแมกไม้หลากหลายสายพันธุ์ยิ่ง
 
ดูท่า เจ้าของโรงเรียน...ไม่สิ..ตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายไปจนถึงต้นตระกูลคงจะเคยมีอาชีพเป็นชาวสวนมาก่อนรึเปล่าเธอก็ไม่อาจทราบได้
 
เพราะมองไปทางไหน พราวฟ้าก็แลเห็นแต่สีเขียว สีเขียว และก็สีเขียว
 
หล่อนหยุดหายใจหอบแฮ่ก ไม่น่ารีบจ้ำอ้าวมาก่อนเลย ดูสิ..หลงเข้าจนได้
 
มิน่าเล่า ทำไมคุณมาเฟียที่สนิทกับไม้เรียวถึงได้นัดแนะพวกหล่อนเอาไว้ก่อน
 
ก็คงจะกลัวหลงสะเปะสะปะ หายกันไปคนละทิศคนละทางกัน!
 
พราวฟ้ามองพื้นที่ไปรอบๆ  เธอยอมรับว่าโรงเรียนแห่งนี้มีอาณาเขตกว้างขวางไม่ใช่เล่น
 
แต่มีตึกเรียนอยู่เพียงแค่ไม่กี่ตึก  ที่สำคัญคือ ดูเหมือนโรงเรียนจะกลายเป็นโรงเกษตรก็คราวนี้!
 
เมื่อสิ่งที่จ่ออยู่เบื้องหน้าของเธอ เป็นโรงแปลงพืชผักสวนครัวและถัดออกไปอีก คือ กระต๊อบหลังเล็กๆที่ใกล้จะพังอยู่ร่อมร่อ
 
อาจจะเป็นพื้นที่ของภารโรง คงจะปลูกไว้ประหยัดเงินค่าจ่ายตลาด..
 
สมกับเป็นโรงเรียนจีน
 
ประหยัด มัธยัสถ์ ไม่ขัดสน คำว่าจนไม่มีบบรจุไว้ในสมอง  
 
" โอ๊ะ"  ไม้แข็งๆที่แตะอยู่กลางกระหม่อมของหล่อน  คลื่นสั่นสะเทือนที่แม้นจะให้ความรู้สึกว่า "มัน" จะต้องเป็นของอันตราย แต่ทว่า...
 
คนที่ครอบครองอาวุธอันตรายนี่ 
 
ก็มีอยู่คนเดียว....
 
คนที่ทำให้ของร้อน กลายเป็น ของเย็นชื่น จับใจ
 
" ตึกท่านรองอยู่ตรงนี้ซะเมื่อไหร่กันเล่า? ห่ะ ไอ้กระปุกเอ๊ย"
 
ในแววน้ำเสียงขบขันแกมกรุ่มกริ่ม ไม้เรียวยังคงเคาะเกาะแกะอยู่บนหัว คล้ายดั่งพวกคนมืออยู่ไม่สุข เล่นได้เป็นเล่น
 
เวลาโหดก็ขาโหดสมหน้าตา!
 
" ตึกท่านรองอยู่อีกทางนึงโน่น แต่ดีที่ยังคลำทางมาถูกอยู่บ้าง ไอ้เด็กกระปุกเอ๊ย "
 
แรงสะเทือนหยุดลง พราวฟ้านึกขอบคุณสวรรค์ที่ดลบันดาลไม่ให้อาวุธคู่กายของชายหน้าดุสำแดงเดชออกมาจริงๆ
 
เสียงฝีเท้ากระทบกับใบไม้ดังกร๊อบ... พราวฟ้าหูผึ่ง  ..ถอยแล้ว..
 
หญิงสาวเบี่ยงตัวจะหันหลังเดินตามหลังชายหนุ่ม
 
แต่จู่ๆ..
 
ใบหน้าขาวอูมก็เริ่มเปลี่ยนสี  
 
ปลายจมูกที่อยู่ชิดกับริมฝีปากบาง พร้อมกับไรหนาวดชวนจั๊กจี๊
 
โสตประสาททุกส่วนในร่างกายเหมือนหยุดการเคลื่อนไหว ลมหายใจนั่น..ไม่คงที่อย่างที่เคยเป็น
 
และเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายก็ดูท่าว่าจะคล้อยตามกันไป
 
โดยเฉพาะ "หทัย" ในทรวง
 
พราวฟ้าไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าคมดุ มันก็เป็นอย่างงั้น
 
...กระแสจิตอันอ่อนโยนที่ถูกส่งผ่านจากม่านเนตร 
 
มิได้ดุดัน หากแต่นิ่มนวล จนหล่อนแทบระทวย!
 
" ขอโทษคะ" พราวฟ้ารีบผละถอยหนี พลางก้มหน้าเหมือนรู้ชะตาตน
 
" ฟ้าไม่ได้ตั้งใจ นึก..นึก ว่า อาจารย์หลี่หวังเดินนำไปก่อนแล้ว" เสียงหล่อนสั่นเล็กน้อย
 
ไม่รู้ว่า เพราะอาย หรือ กลัวกันแน่
 
คนยืนฟังโค้งศรีษะให้ก่อนจะเรียกวิญญาณครูฝ่ายปกครองกลับมาประทับร่างให้ได้ดั่งเดิม
 
" ไปเถอะ.."  เขาเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ พร้อมปรับสีหน้าท่าทางให้อยู่ในโหมดของครูจอมโหด
 
" สายมาเยอะแล้ว"  
 
 
ร่างสูงทรนงเดินนำหน้าไม่รีรอ พราวฟ้าเองก็แทบอยากจะจรลีเดินหนีให้ห่าง
 
แต่ทำไม..ฝีพระบาททั้งสองถึงอยากจะให้หล่อนเดินข้างใกล้ๆเขานักนะ
 
เหมือนยักษ์กับหมูเดินตามกันต้อยๆ
 
ทั้งหมูทั้งยักษ์คงมิอาจล่วงรู้
 
ว่ามีสายตาพญาเหยี่ยวที่กำลังเพ่งมองลงมาจากที่สูง
 
บนตึกเหลืองหลังเก่า.... 
 
ร่างที่เคลื่อนไหวผ่านทิวทัศน์ ป่าไม้ดงดิบ ผ่านศาลาเรือนเล็กที่ทุกเช้าจะมีเด็กบางกลุ่มคอยมานั่งเมาธ์มอยให้คนบนตึกได้รับรู้อยู่ร่ำไป
 
สิ่งที่เกิดขึ้น คนบนตึก ย่อมได้เห็นและได้ยิน...
 
แม้กระทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้
 
ก็ไม่รอดพ้นสายตาของคนบนโลก และ คนละโลกได้
 
" เห็นใช่มั้ย?" สุรเสียงกังวาน ทรงอำนาจดังกึกก้องไปทั่วห้อง
 
เงาร่างบุรุษเสมือน สิ่งมีชิวิต
 
ทว่า...ก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเฉกเช่นคนอื่นๆ
 
" จางอี้เซียว..อ่อ ไม่ใช่สิ ข้าควรเรียกเจ้าว่าอะไรดี"
 
เสียงที่ไร้ตัวตน ยังคงถามไม่หยุดหย่อน 
 
" แล้วแต่ท่านเทพจะทรงกรุณาข้ากระหม่อม"
 
น้ำเสียงมีความยำเกรง ทั้งๆที่ตัวคนที่เอ่ยปาก ไม่เคยที่จะกลัว
 
จะคนใหญ่คนโต ร่ำรวยมหาศาลปานใด
 
ต่อให้มีอำนาจ วาสนาล้นฟ้าล้นแผ่นดิน
 
ไหนเลยจะสู้คนที่กุม "ชะตาชีวิตของมนุษย์ทุกคนได้"
 
คนที่เขายอมรับให้เป็นเจ้าชีวิต
 
เป็นผู้กอบกำอำนาจทั้งหลายทั้งมวลบนโลก!
 
" ถ่อมตัวเกินไป"  ท่านรองก้มศรีษะหันไปทางทิศที่อยู่ในมุมมืดที่สุดของห้อง
 
" หามิได้ พระเมตตาของท่านยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งใดในโลก เพราะมิเช่นนั้นข้ากระหม่อมก็จักมิได้ถวายการรับใช้ท่านเป็นแน่"
 
" งั้นเจ้าก็ตามไปรับใช้ข้าในปรโลกก็ได้ หรือเจ้ากลัว?"
 
" ข้ากระหม่อมมิอาจกลัว ข้ากระหม่อมโชคดีที่ได้รับรู้ชีวิตในแดนไฟโลกันต์แห่งนั้น"
 
 เขาตอบท่าที มั่นใจ ใบหน้าแข็งกระด้าง ไร้รู้สึก
 
เหตุผลที่ทำให้ชีวิตเขาต้องพบเจอในสิ่งที่ไม่ควรพบ
 
ช่วงวัยเยาว์ เขามีด้วยหรือ.?  ชีวิตแห่งวัย
 
มิเคยได้สัมผัส มิเคยได้รับรู้ว่าการมีชีวิตนั้นเป็นเช่นไร
 
หากแต่รู้จัก เพียงแค่การสูญเสีย 
 
ไม่มีแน่...ไม่มีวันที่เขาจะต้องสูญเสียมันอีกครั้ง
 
เขาคือ มนุษย์!!   
 
มนุษย์ที่คงความเป็นนิรันด์
 
 มนุษย์ที่สมบูรณ์ พรั่งพร้อม คือ อมตะแห่งตน!
 
" ไม่มีอะไรที่สามารถเอาชนะความเป็นนิรันด์ได้ ความรักมันไร้ค่า ทำให้จิตใจคนนั้นอ่อนแอ"
 
เสียงนั่นยังคงดัง และกังวาน
 
ตัวเขาจดจำได้เป็นอย่างดี ทุกถ้อยคำทุกประโยค
 
ที่เจ้าฟ้า เจ้ามหาชีวิต ได้โปรดประทานลงมาให้กับเขาในวันแรก
 
เมื่อการกลับมาของวิญญาณ 
 
คำสัญญาแห่งเบื้องล่าง...จากใต้พิภพ
 
ทำให้เขาพ้นแล้วซึ่งความตาย!
 
อมตะ นิรันด์กาล คือ สิ่งที่ท่านเจ้าจะมอบประทานให้ 
 
 
 
" หากเจ้าจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อม  ก็ต้องแลกในบางสิ่ง เจ้าพร้อมที่จะแลกมันรึ?"
 
เด็กน้อยในร่างชุดขาวของใคร  ที่นอนอุดอู้อยู่ในกล่องไม้แคบๆ
 
คนหนึ่งที่รู้จัก หากแต่อีกฝ่ายมิรู้จักเขา
 
มันรับรู้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นถี่
 
รับรู้ถึงลมร้อนที่วิ่งผ่านในร่างกายของมัน
 
รับรู้แล้วว่ามันมีชีวิต!
 
" พร้อมขอรับ " เสียงของเขาในตอนนั้นช่างหนักแน่น ไม่เหลือรอยความอ่อนแอให้เห็น 
 
จนถึงตอนนี้...
 
เขาก็ยังคงหนักแน่นและมีชีวิตดุจหินผา  ไม่กลัวแล้ว อำนาจใด
 
ไม่กลัวแล้ว...คนที่ยิ่งใหญ่...
 
เขาไม่กลัว!
 
" ดี...ข้าขอมันก็แล้วกัน แลกกับชีวิตที่ยืนยาว เพื่อที่จะสร้างประโยชน์ให้กับโลก หน้าที่ของเจ้าเมื่อเจ้าออกจากโลงไม้นี้ไป
 
 จับวิญญาโสมมใส่พาน แล้วเอามาถวายให้กับข้า" 
 
จางอี้เซียวเงยหน้ามองในมุมมืด
 
เงารางๆสีทะมึน เริ่มจางหาย เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นหนึ่งหน
 
เขาเบนหน้าไปยังประตูไม้ลายสลักงามตา
 
คงจะมาถึงแล้ว 
 
มนุษย์หมูกับยักษ์ที่ดวงจิตยังคุกกรุ่นด้วยไอหวาบหวามของรัก
 
น้ำผึ้งที่เพิ่งหวาน  อีกไม่นานก็เหนียวหนืดติดคอ
 
ความรัก ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะให้คู่หูคนสนิทต้องพึงมีในตัวของมัน
 
ตราบใดที่ เป้าหมายของภารกิจ  ยังเคลื่อนคล้อยลอยหนี
 
 
เสียงเงียบหายไปชั่วครู่ จนคนฟังคิดไปว่า ท่านเทพ คงจะกลับไปยังโลกเบื้องล่างเสียแล้วรึเปล่า
 
หากมิใช่...เงาสีดำยังลอยวนอยู ณ ที่เก่า
 
" หากงานนี้เราชนะเทพจันทรา  สิ่งใดที่เจ้าหวัง ข้าจะมอบให้แก่เจ้า  "
 
" มิบังอาจกระหม่อม"
 
" ดี ช่างถ่อมตัวเสียจริง..." ถ้อยคำนั้นคล้ายดั่งจะเยาะเย้ยในที
 
"จงเดินหมากตามเกมที่ข้ากำหนดไว้ให้ ใครจะอยู่ใครจะตาย ข้าเท่านั้นที่จะลิขิตชีวิตทุกสิ่ง
 
 แม้แต่โสมส่องหล้าแห่งจันทร์ คนที่จะมาสั่นคลอนดวงใจที่เย็นดุจหิมะร่วงโรยมิยอมหยุดของเจ้าก็ด้วย!!"
 
สุรเสียงไม่ได้แผดสนั่นเหมือนทุกครั้งที่พูดคุย  
 
เสียงริบหรี่ลงเรื่อยๆ เสมือนเป็นเสียงที่ไกลวิบแว่ว
 
ท่านรองน้อมเศียร เป็นท่าสัญญาณส่งเงาปริศนา
 
ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก
 
บุรุษร่างสูงในชุดสูทสีดำมืดยิ่งกว่าของอีกหนึ่งบุรุษ
 
สีดั่งอนธการในยามค่ำ ประกอบพร้อมสีหน้าที่ทำให้ห้องทำงานกลายเป็นป่าช้าในบันดล
 
จางอี้เซียวนั่งอยู่บนโตีะทำงาน 
 
 แววตาไม่ได้จับจ้อง หมูและยักษ์ที่เดินเข้ามาพร้อมกัน
 
หากแต่....ดวงตาสีอำพัน
 
เหมือนมองเลยผ่านทะลุพื้นพรม
 
ตรงมุมมืดแห่งนั้น
 
ทะลุไปจนถึงชั้นพิภพ ดินแดนนรก ไฟร้อน ไฟกิเลส
 
เขาคือ มนุษย์ที่สมบูรณ์!!
 
 

จบตอนที่ 17
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา